พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 757


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๕๗

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๕


    ท่านอาจารย์ ฟังแล้วฟังอีก ไม่ต้องไปหาเรื่องมาก ใช่ไหม แต่ว่าเพียงแต่สิ่งที่สามารถที่จะทำให้เข้าใจได้จริงๆ ว่า แม้สิ่งที่กำลังปรากฏแล้วได้ฟังอย่างนี้ แต่ก็ยังเห็นคน เห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้ จะมีการที่จะสามารถค่อยๆ เข้าใจขึ้นเมื่อไหร่ว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นเอง แล้วสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เมื่อมหาภูตรูปเกิดดับ สิ่งนี้ก็ต้องเกิดดับด้วย แล้วถ้าไม่รู้อย่างนี้ จะไปทำอะไรให้รู้ จะไปนั่งสงบ คิดอะไรก็ไม่รู้ แล้วก็จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏทุกวันตั้งแต่เกิดได้อย่างไร

    พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ความจริง และทรงแสดงความจริง ให้คนอื่นสามารถที่จะเข้าใจความจริงได้ และความจริงก็มีปรากฏ ทั้งทางตาหูจมูกลิ้นกายใจทุกวัน เพราะฉะนั้น การที่จะเข้าใจธรรม แม้แต่หนึ่ง ยากไหม ที่จะเข้าใจว่าขณะนี้ สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่อะไรเลยทั้งสิ้น สมมติเรียกได้ว่าเป็นดอกไม้ คน โต๊ะ เก้าอี้ แต่ก็ยังไม่รู้จักอยู่ดีว่า สิ่งที่เรียกนั้น ความจริงเรียกเพราะอะไร แต่มีสิ่งที่ปรากฏทางตาแล้วก็ไม่รู้ว่าจริงว่า ต้องมีสิ่งซึ่ง เป็นที่อาศัยเกิดของสิ่งที่สามารถกระทบจักขุปสาทได้

    เพราะฉะนั้น จึงยากที่จะละความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เห็นก็เป็นดอกไม้ เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นเพื่อน เป็นคน เป็นนก เป็นช้าง เป็นสารพัด ที่จะจำไว้ แล้วเมื่อไหร่จะเกิดความเข้าใจ เริ่มเข้าใจ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เพื่อละความติดข้อง กว่าจะถึงการรู้จริงๆ ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้เกิดแล้วก็ดับด้วย

    อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตา วิปลาสหรือเปล่า คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง และจะเห็นได้ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา มีจริง และขณะนี้ พูดได้หรือเปล่า สิ่งที่ปรากฏทางตา ท่านอาจารย์เคยอธิบายให้ฟังว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาพูดไม่ได้ เพราะว่าเสียงปรากฏทางไหน เสียงปรากฏทางหู ทางตาเงียบ แต่ที่เรารู้เรื่องราว ก็เพราะว่ามีเสียงที่ปรากฏทางหูนั่นเอง แล้วให้คิดให้รู้ได้ว่าหมายถึงอะไร

    ท่านอาจารย์ แต่เวลานี้เหมือนสิ่งที่ปรากฏทางตากำลังพูดใช่ไหม

    อ.กุลวิไล ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็แสดงเห็นว่าธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง และเป็นเรื่องละ ละความไม่รู้ เพราะเหตุว่า ตราบใดที่ยังมีความไม่รู้อยู่ ก็จะต้องเป็นอย่างนี้ไป ประมาณไม่ได้เลยว่าจะจบสิ้นลงเมื่อไหร่

    ผู้ฟัง ขอเรียนถาม ในชีวิตประจำวันกุศลเกิดน้อยมาก จนทำให้เรายังเข้าใจว่า มีวิปลาสอยู่ ถูกต้องไหม

    ท่านอาจารย์ เราคิด แต่ว่าไม่ใช่การรู้ขณะที่วิปลาสเกิด เพราะเหตุว่า ถ้ารู้ก็คือขณะใดที่กำลังเป็นอกุศลเดี๋ยวนี้ ก็สามารถที่จะรู้ความเป็นธาตุที่เป็นอกุศลได้ เพราะฉะนั้น เราคิดคาดคะเนต่างๆ แต่ว่าตามความเป็นจริง ลองคิดถึงธาตุที่ต่างกัน กุศลกับอกุศล และถ้าไม่มีกุศล อกุศลจะหมดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ก็ยังคงวิปลาสไปตลอด ถูกต้องไหม แต่ว่าความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราต้องแยกธรรมอย่างละเอียดยิ่ง ให้รู้ว่าขณะที่เป็นอกุศลขณะนั้น แม้ไม่รู้ เข้าใจว่าดี แต่ก็เป็นวิปลาส ปัญญาของเราสามารถที่จะเข้าใจความจริง ที่กำลังปรากฏ แล้วก็ได้ฟังแล้วแค่ไหน อย่างเวลานี้ เห็นไม่วิปลาส เพราะเห็นเป็นวิบาก เป็นผลของกรรม

    เพราะฉะนั้น ขณะใดก็ตามที่เห็นขณะนั้นไม่วิปลาส แล้วเราจะมาผสมกันหมดได้ไหม หรือว่าตอนนี้เอาอย่างนั้น ตอนนั้นเอาอย่างนี้ ก็ไม่ได้ แต่ต้องเข้าใจตามความเป็นจริง อย่างละเอียดยิ่ง ตามกำลังที่สามารถจะเข้าใจได้ สติปัญญาของเราสามารถที่จะเข้าถึงความเข้าใจของพระอรหันต์หรือเปล่า ผู้ที่เป็นพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคล สามารถที่จะมีความรู้ ความเข้าใจถึงพระสกทาคามีบุคคลหรือเปล่า

    เพราะฉะนั้น การที่เพิ่งเริ่มฟังธรรม แล้วก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เข้าใจก็ยังยาก แล้วเราก็คิดเกินไปเรื่อยๆ โดยที่ว่ายังไม่ได้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงที่กำลังปรากฏ แล้วเมื่อไหร่เราจะถึงปัญญาเพียงขั้นที่สามารถที่จะเห็นถูก ตามความเป็นจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ยังไม่ต้องใช้ชื่อว่าที่วิปลาสหรือไม่วิปลาสเลย

    เพราะเหตุว่า การที่จะรู้จักธรรม ต้องรู้จักธรรมที่ปรากฏก่อน ขณะนี้มีใครรู้ผัสสเจตสิก รู้เจตนาเจตสิก มนสิการเจตสิก หรือว่าไม่ได้รู้เจตสิกสักอย่าง ในขณะที่มีสิ่งที่กำลังปรากฏก็ยังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เพียงปรากฏให้เห็นได้ เป็นธาตุชนิดหนึ่งซึ่งต่างกับธาตุอื่นๆ และขณะที่เห็น ก็เป็นธาตุที่เกิดขึ้นเห็นเท่านั้นเอง ทำหน้าที่อื่นไม่ได้เลย อย่างที่เราศึกษาเรื่องของจิต จิตทำกิจอะไรบ้าง สำหรับจิตเห็นเป็นจักขุวิญญาณ จิตที่อาศัยตาเกิดขึ้นเห็นแล้วดับ ไม่ทำกิจอื่นเลย แค่นี้

    เพราะฉะนั้น คิดนึกก็ไม่ใช่แล้ว ความรู้ของเราจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเพื่อที่จะละความไม่รู้ในวันนี้ หรือว่าเราไปหาเรื่องต่างๆ อยู่ตลอดเวลา ที่จะไปสงสัยบ้างซึ่งความสงสัยจะดับเป็นสมุจเฉท เมื่อถึงโสตาปัตติมรรคจิต วิจิกิจฉานุสัย ความสงสัยไม่มีที่สิ้นสุดเลย ฟังธรรมก็สงสัย และก็เวลาสติสัมปชัญญะแม้เกิดแล้วก็ยังสงสัย ตราบใดที่โสตาปัตติมรรคจิตยังไม่เกิด

    เพราะฉะนั้น ก็เห็นได้ว่า กำลังสะสมความสงสัย และความอยากรู้ แต่ว่าสิ่งที่ควรรู้ยิ่งสามารถรู้ได้ในขณะนี้ ปัญญาที่สามารถที่จะถึงการรู้แจ้งได้ ยังไม่มี ถ้ายังคงสงสัยอยู่ตราบใดก็ไม่มีใครห้ามได้ อย่างทุกคนก็บอก ใครจะไปห้ามธรรมประเภทไหนไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อสงสัยเกิดเดี๋ยวนี้ ปัญญาสามารถที่จะรู้ไหมว่าเป็นธรรม เพียงขั้นที่ได้ฟังแต่ตั้งแต่ต้น ว่าทุกอย่างเป็นธรรม ก็ยังไม่ถึง และเราก็จะเต็มไปด้วยเรื่องราว ซึ่งเราก็รู้ว่าจะรู้ได้ไหม ถ้ารู้ไม่ได้ควรรู้อะไรได้ ฟังแล้ว รู้แล้วว่า ธรรมมีจริงๆ บังคับบัญชาไม่ได้ และเกิดแล้วด้วย ค่อยๆ เข้าใจไหมว่าขณะนี้เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้

    ผู้ฟัง เข้าใจขั้นฟัง

    ท่านอาจารย์ แล้วเมื่อไหร่จะเข้าใจจนละ เพราะเหตุว่า ถ้าไม่ละ สติสัมปชัญญะก็ไม่เกิด และขณะนี้ ความเข้าใจเพิ่มขึ้นระดับไหน ทุกคนหวังปัญญาจะเกิดรู้ชัดตามความเป็นจริง ตามที่ได้ฟังใช่ไหม หรือว่าเริ่มเข้าใจว่า แม้เพียงคิดว่าสิ่งนี้มีจริงๆ เพียงปรากฏให้เห็นได้ ถ้ามีความเข้าใจในขณะนั้นก็เป็นปัญญา ที่เป็นสังขารขันธ์ที่จะต้องปรุงแต่ง จนถึงวันที่สามารถรู้ความจริง มั่นคงขึ้น แล้วละคลายความติดข้องที่เคยยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะนั้นปัญญาก็จะเริ่มรู้ลักษณะของสภาพธรรมอื่น ซึ่งเกิดดับ เพราะไม่ติดข้องในสิ่งที่กำลังปรากฏ

    ผู้ฟัง เหมือนกับแนวการศึกษา ก็จะต้องฟังเรื่องราวของเขาไปก่อน

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ก่อนอื่น แม้แต่สิ่งที่ปรากฏขณะนี้ เข้าใจขึ้นหรือเปล่าว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ ให้เห็นได้

    ผู้ฟัง เข้าใจขั้นฟังขึ้น

    ท่านอาจารย์ แล้ววิปลาสอยู่ไหน ที่จะเข้าใจว่าขณะนั้นเป็นวิปลาสเป็นธรรม ในเมื่อสิ่งที่ปรากฏทางตา กำลังปรากฏ และเห็นก็มีจริงๆ ก็ยังไม่เข้าใจได้ ว่าขณะนั้นไม่มีเรา ไม่มีสัตว์ไม่มีบุคคลเลย เป็นธาตุที่เกิดขึ้นเห็น เพียงเห็นแล้วก็ดับไป แล้วก็มีธาตุอื่น มโนธาตุ สัมปฏิจฉันนะเกิดต่อแล้ว ก็ไม่รู้ใช่ไหม แล้วเราก็มาสงสัยที่เราจะรู้อย่างนั้น จะรู้อย่างนี้ คิดว่าเราสามารถที่จะรู้ได้หรือ หรือว่าสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ต่างหาก ที่เมื่อฟังแล้วก็ค่อยๆ เริ่มที่จะสะสมความเข้าใจ ซึ่งจะทำให้วิตกเจตสิก ไม่ไปตรึกถึงเรื่องอื่น แต่ว่ากำลังเริ่มที่จะเห็นประโยชน์ว่า เห็นไปทุกวัน และก็ได้ฟังมาทุกวัน ก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ จบแล้ว แต่มีขณะไหนบ้างไหม ที่เกิดระลึกได้ ในขณะที่เห็น ไม่ว่าจะเห็นอะไร และที่ไหน ก็จะเกิดการคลายความติดข้อง เพราะเริ่มเข้าใจ ประโยคที่ได้ยินซ้ำๆ ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เห็นไหม ว่าเราจะข้าม ขั้นตอนคือเราอยากไปรู้ชัด แม้แต่คำว่าวิปลาส หรือแม้แต่คำว่าเห็น หรือแม้แต่คำว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ความจริงไม่ได้เข้าใจเลยว่าสะสมอกุศลมามากแค่ไหน

    เพราะฉะนั้น วิตกเจตสิก ซึ่งไม่เกิดกับจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ ๑๐ คือเป็นกุศลวิบาก ๑ อกุศลวิบาก ๑ ต่อจากนั้นเพียงแค่จิตนั้นดับ จักขุวิญาณดับ วิตกเจตสิกเกิดแล้ว ตามควรแก่ความเป็นปัจจัย เช่น วิตกเจตสิกซึ่งเกิดต่อจากจักขุวิญาณ ทำสัมปฏิจฉันนะกิจ ตรึกถึงอารมณ์ที่จักขุวิญาณทำทัสสนกิจ แต่สัมปฏิจฉันนะ ไม่ได้ทำทัสสนกิจ จึงต้องมีวิตกเจตสิกตรึก แต่โดยความเป็นวิบากซึ่งต้องเกิดดับสืบต่อ จนกระทั่งมาถึงกุศล และอกุศล วิตกเป็นอะไร คิดสงสัย คิดอย่างนั้น คิดอย่างนี้ แทนที่จะเป็นการที่เข้าใจสิ่งที่สามารถเข้าใจได้

    และรู้ว่าการที่ใครคนหนึ่งคนใดจะเข้าใจความลึกซึ้งของธรรมที่ทรงแสดงไว้ ไม่ใช่เพียงการฟัง แต่ว่าถ้าผู้นั้นมีปัญญาที่เพิ่มขึ้น สามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ความแจ่มแจ้งของสิ่งที่ได้ฟัง หรือสิ่งที่มีในพระไตรปิฎก ก็จะชัดเจน และเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น ขณะนี้อยู่ตรงไหน จะมีความเข้าใจ ได้ชัดเจนไหม อยากรู้ไปทั้งปีจะรู้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ถ้าอยากรู้ ก็รู้ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ และทั้งปีนี้เสียเวลาหรือเปล่า กับวิตก ซึ่งตรึกไปเรื่องนั้นบ้าง เรื่องนี้บ้าง ยังไม่ถึงการที่จะจรด เพราะปัญญามีความมั่นคงที่เดี๋ยวนี้เอง เป็นเพียงธาตุรู้ชั่วขณะซึ่งเกิดขึ้นเห็น นี่คือสิ่งซึ่งกว่าจะตรงกับสิ่งที่ได้ฟังตามลำดับขั้น เพราะฉะนั้น เพียงเข้าใจ เข้าใจถูกว่า วิปลาสเกิดกับอกุศลจิตเท่านั้น ไม่เกิดกับวิบากจิต ไม่เกิดกับกิริยาจิต แน่นอนใช่ไหม เพราะฉะนั้น สำหรับวิปลาสซึ่งเกิดกับอกุศลจิต สามารถที่จะละหมดสิ้นไปได้ไหม

    ผู้ฟัง ต้องเป็นพระอรหันต์

    ท่านอาจารย์ ได้ใช่ไหม ด้วยอะไร

    ผู้ฟัง ปัญญา

    ท่านอาจารย์ ปัญญาหรือว่ากุศลอื่นๆ ด้วย เพราะว่าถ้าไม่มีกุศลเลยทั้งวัน เป็นอกุศลไปหมด มีโอกาสไหมที่จะมีปัญญาเกิดกับกุศลจิต หรือแม้แต่กุศลจิตก็ยังเกิดไม่ได้ เพราะเหตุว่า วิตกตรึกไป จรดไปแต่ในเรื่องของอกุศล ตามความคุ้นเคยมาตลอด คิดเรื่องอะไรก็คือว่าเรื่องนั้นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ก็ยังไม่รู้ แม้แต่ขณะที่สงสัยเป็นกุศลหรือเป็นอกุศลก็ยังไม่รู้

    เพราะฉะนั้น เพียงแต่ปัญญาที่สามารถที่จะรู้ ว่าวิปลาสเกิดกับอกุศลไม่เกิดกุศลถูกต้องไหม เพราะว่า มิฉะนั้นแล้วอะไรจะไปละวิปลาสได้ และปัญญาอยู่ดีๆ จะเกิดโดยไม่มีกุศลในวันหนึ่งๆ เลย หวังว่าจะเข้าใจธรรมที่ได้ฟัง โดยรวดเร็ว เป็นไปได้ไหม ก็ไม่ต้องอาศัยกุศลที่เป็นบารมีเลย ถ้าสามารถจะเป็นไปได้ แต่เพราะความยากลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรม ซึ่งแม้เป็นจริงอย่างนี้ จะได้ฟังกี่ชาติก็ตามแต่ ก็เหมือนอย่างนี้ ไม่ได้แปลกเปลี่ยนไปจากความจริงที่ได้ฟังจากพระธรรมที่ทรงแสดง ก็เห็นได้ว่าฟังเท่าไหร่ก็ยังไม่ถึงการที่สามารถที่จะรู้จริง ในความเป็นธาตุ ในความเป็นธรรม ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น และดับไป

    เพราะฉะนั้น จึงต้องอาศัยกุศล ขณะที่กำลังฟังเข้าใจ ทราบว่าเป็นปัญญาแน่นอน แต่ปัญญานั้นไม่มีกำลังที่จะกระทำกิจของปัญญาที่จะละความไม่รู้ ในสิ่งที่ปรากฏ แต่ถ้าไม่มีปัญญาจะมีการตรึกถึงกุศลอื่นๆ ไหม ที่จะกระทำ ไม่ว่าจะเป็นความเพียร ในการที่จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ ในทางที่เป็นกุศล ในทางที่เป็นคุณความดี หรือมีความอดทนต่อคำพูดที่ไม่น่าฟัง ต่อความหนาว ความร้อน ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่สิ่งที่น่าปรารถนาน่าพอใจก็ยังต้องอดทน ที่จะเป็นกุศลไม่ใช่อกุศล

    เพราะฉะนั้น ถ้าเราฟังอย่างนี้ก็ชีวิตปกติธรรมดา เข้าใจได้แค่ไหน ก็เข้าใจแค่นั้น จนกว่าปัญญาจะเพิ่มมากขึ้น แต่ถ้าคิดอย่างตรงไปตรงมา ถ้ากุศลเป็นวิปลาสก็ไม่มีอะไรจะดับวิปลาสเลย เพราะปัญญาก็เป็นกุศลด้วย

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์กล่าวเมื่อวานว่ากุศลที่จะบริสุทธิ์ ต้องเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา ในตรงนี้ก็จะข้อความกรุณาท่านอาจารย์ ว่ารายละเอียดของตรงนี้เป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ มีความเข้าใจจากการฟังบ้างหรือเปล่า

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ แล้วปัญญาปรากฏทั้งวันหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่

    ท่านอาจารย์ แต่ปัญญาที่มีไม่ได้หายไปเลย สังขารขันธ์ปรุงแต่ง เพราะฉะนั้น เราจะไม่รู้เลยว่า ไม่ว่าจะเป็นสติ ไม่ว่าจะเป็นสมาธิ หรือว่าเจตสิกใดๆ ทั้งสิ้นที่เป็นสังขารขันธ์ กำลังทำหน้าที่เดี๋ยวนี้เอง ไม่มีใครทำอะไรเลย นอกจากสภาพธรรมซึ่งเป็นจิต และเจตสิก ซึ่งทำหน้าที่นั้นๆ เพราะฉะนั้น ปัญญาขณะนี้ มีแล้วก็ไม่มี แล้วก็มี แล้วก็ไม่มี เพราะสภาพธรรมเกิดดับ จะไม่ให้อกุศลที่สะสมมาเกิดบ้างหรือ ในเมื่อมีเยอะ

    ผู้ฟัง จริงๆ เกิดเยอะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ปัญญาสามารถจะทำหน้าที่ของปัญญาเต็มที่หรือยัง

    ผู้ฟัง ก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ใช่ไหม แต่เริ่มปรุงแต่งไปแม้แต่การคิด เวลาคิดเป็นกุศล ถ้าไม่เคยฟังมาก่อนเลย ว่าขณะใดก็ตามที่กุศลจิตไม่เกิด อกุศลจิตเกิด นี่เป็นปัญญาที่ทำให้เกิดวิริยะ ขันติทั้งหมดเลย ที่จะทำกุศลแม้เล็กน้อยในขณะนั้น ก็เนื่องมาจากปัญญา แต่ตัวปัญญาจริงๆ ไม่ได้ปรากฏว่ากำลังทำหน้าที่ของปัญญา ยังสามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ได้ แต่เพราะเหตุว่า มีปัญญาสภาพธรรมอื่น ก็เริ่มคล้อยตาม น้อมตามปัญญา ที่จะรู้ว่าความดี ทางฝ่ายกุศลนี้เป็นสิ่งที่ควรเจริญ ไม่ใช่ว่าจะต้องเจริญแต่เฉพาะปัญญาอย่างเดียว หรือว่ากุศลที่ประกอบด้วยปัญญาเท่านั้น เพราะเหตุว่าอกุศลมีมาก ตราบใดที่อกุศลยังไม่ลดน้อยลงไปเลย ก็มีปัจจัยที่จะเกิด

    เพราะฉะนั้น สังขารขันธ์ก็ทำหน้าที่ไปเรื่อยๆ แล้วแต่ว่าจะตรึกไปในทางเป็นกุศลประเภทไหน หรือว่าอกุศลประเภทไหนก็แล้วแต่เหตุปัจจัย เพราะว่าเป็นธาตุเป็นธรรม ซึ่งปัญญาสามารถที่จะรู้ว่าเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา นี่คือสิ่งที่สำคัญ ไม่ว่าจะฟังมากสักเท่าไหร่ หรือว่าทำความดีสักเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่ได้เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง กุศลนั้นไม่บริสุทธิ์ เพราะเหตุว่ายังเป็นเรา แต่ว่าปัญญาก็เกิดน้อยมาก บางครั้งก็จะเกิดบางครั้งก็ไม่เกิดซึ่งต้องอาศัยการอบรม

    เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามภาวนาคือการอบรม ถ้าเป็นผู้ที่ประมาท ก็จะไม่เห็นโทษของอกุศลเลยใช่ไหม นิดๆ หน่อยๆ ก็ได้ไม่เป็นไร แต่ว่าปัญญานั่นเอง จะค่อยๆ ทำให้เห็นโทษของอกุศลเพิ่มขึ้น แล้วก็จะทำให้แม้แต่จะคิด ก็คิดไปในทางที่เป็นกุศลเพิ่มขึ้น มิฉะนั้นแล้ว ทุกคนก็ลืมปัจฉิมโอวาท พระดำรัสสุดท้ายก่อนที่จะปรินิพพาน “จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม” สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา ห้ามไม่ได้

    เพราะฉะนั้น จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ในกุศลแม้เพียงเล็กน้อย ปัญญาแม้เพียงเล็กน้อยจากการได้ฟังวันนี้ แล้วจะได้เข้าใจสักเท่าไหร่ ก็ยังเป็นประโยชน์ที่จะสะสมต่อไป ที่จะทำให้สามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏ ซึ่งกำลังปรากฏ

    อ.อรรณพ กราบเรียนท่านอาจารย์ ช่วงก่อนนี้ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึง ว่าจะขออะไรก่อนตาย ที่นี้เพื่อความเข้าใจว่า การขอที่ไม่ใช่เป็นการขอด้วยความติดข้อง และการเห็นประโยชน์ ก่อนจะตาย

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ขอเปล่าๆ ไปนั่งขอใคร แต่ผลของกรรมมีไหม ผลของการสะสมมีไหม เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นกุศลใดๆ ทั้งหมดที่ได้กระทำแล้ว ไม่ได้ต้องการเพื่ออย่างอื่น สาวกโพธิสัตว์ เช่นเดียวกับปัจเจกโพธิสัตว์ พระมหาโพธิสัตว์ เพราะเหตุว่า ไม่ได้ปรารถนาสิ่งอื่นเลย นอกจากความเข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ และก็ไม่ใช่หมายความว่าไปนั่งขอใคร แต่รู้ว่า กุศลกรรมมีผลแน่ คนที่ต้องการผลของกุศลที่ต้องการเป็นรูปเสียงกลิ่นรส ยศถาบรรดาศักดิ์ ก็ได้ตามความปรารถนาเมื่อกุศลนั้นพอ

    อย่างพระเจ้าอโศกมหาราช ในชาติของท่าน ซึ่งเป็นพ่อค้าน้ำผึ้ง ก็ปรารถนาที่จะเป็นใหญ่ ด้วยอำนาจของกุศลนั้น ที่ปรารถนาที่จะให้กุศลนั้นให้ผลอย่างนั้น จึงได้ถามว่า ทุกคนที่ทำกุศล ปรารถนาอะไร ไม่ใช่ว่าไปขอใคร ใช่ไหม แต่ว่าไม่ได้ต้องการที่จะให้กุศลนั้นให้ผลอย่างอื่น แต่ว่าสามารถที่จะให้ผล ในการที่ทำให้เข้าใจสิ่งที่มีที่กำลังปรากฏ คือเข้าใจธรรม ยากที่จะเข้าใจ

    เพราะฉะนั้น ตลอดชีวิตกี่ชาติในสังสารวัฏฏ์เข้าใจหรือยัง ถ้ายังไม่เข้าใจ เมื่อไหร่จะเข้าใจ แล้วกุศลก็มีไม่ใช่ว่าไม่มี และปรารถนาผลของกุศลอะไร ที่เป็นที่ปรารถนาจริงๆ ที่ทำกุศลกันเดี๋ยวนี้ ทุกวันปรารถนาอะไร คุณอรรณพปรารถนาอะไร หรือกลัวว่าจะเป็นกิเลส ไม่ใช่อย่างนั้นเลย

    อ.อรรณพ ก็ขอให้ได้เข้าใจพระธรรมเพิ่มขึ้น

    ท่านอาจารย์ ก็คือสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ แม้แต่การฟังพระธรรมก็ยังเข้าใจยาก แล้วถ้าไม่มีการฟังเข้าใจจะนำมาสู่ความเข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏได้อย่างไร

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้น ก็คือไม่ใช่ว่ากลัวคำว่าขอ แต่ว่าจริงๆ แล้วแต่ว่าสภาพนั้นจะเป็น กุศลหรือว่าเป็นโลภะใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ขอโดยไม่มีเหตุจะไปขอใคร ขออะไรได้ แต่กุศลมีผลไหม แล้วทำกุศลเพื่ออะไร ฟังธรรมเพื่ออะไร เพื่อเข้าใจหรือเพื่ออะไร

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้น กุศลกรรมที่ได้กระทำไว้แล้ว สำหรับผู้ที่เห็นประโยชน์ของการที่จะเข้าใจสภาพธรรม ก็น้อมไป เป็นไปที่จะได้ศึกษาธรรมต่อไป

    ท่านอาจารย์ แล้วก็ปัญญาที่เข้าใจอย่างนี้ ก็จะทำให้ตลอดชีวิตของบุคคลคนนั้น ก็เป็นไปในทางที่จะได้เข้าใจธรรมขึ้น โดยไม่ติดข้องในอย่างอื่น ซึ่งเป็นที่ติดข้องของบางคนที่ต้องการความสุข อย่างนั้นบ้าง อย่างนี้บ้าง แต่ก็ต้องรู้ตามความเป็นจริงว่า ไม่เที่ยง และเป็นแต่เพียงธาตุ เมื่อเหตุดีผลดีก็ต้องเกิดขึ้น แต่ผลดีที่ไม่ประกอบด้วยปัญญาก็ได้ผลดีไปชั่วคราว เพราะอกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้ ก็มีมากที่จะให้ผล

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์แล้วตั้งแต่เป็นเด็ก เป็นวัยรุ่น โตขึ้นมา เราก็รู้ว่าการที่ได้รักใครสักคน หรืออยู่กับคนที่เรารัก ก็เป็นความสุขอย่างยิ่ง

    ท่านอาจารย์ เขาเหล่านั้น มีความสุขที่ได้เข้าใจธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ แล้วคุณนิรันดร์จะเลือกอย่างไหน

    ผู้ฟัง อยากจะเลือกทั้งสองอย่าง

    ท่านอาจารย์ เลือกได้ไหม

    ผู้ฟัง เลือกไม่ได้ เพราะเลือกไม่ได้ถึงทุกข์

    ท่านอาจารย์ เลือกไม่ได้ แต่เข้าใจได้ไหม เข้าใจความจริงว่าเลือกไม่ได้

    ผู้ฟัง เข้าใจว่าเลือกไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เข้าใจความจริงว่าเลือกไม่ได้ ขณะที่เข้าใจเป็นสุขไหม เข้าใจไหมว่า ขณะนั้นก็เป็นความสุข


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 184
    12 ม.ค. 2567