พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 758


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๕๘

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๕


    ท่านอาจารย์ เลือกไม่ได้แต่เข้าใจได้ไหม เข้าใจความจริงว่า เลือกไม่ได้

    ผู้ฟัง เข้าใจว่าเลือกไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เข้าใจความจริงว่าเลือกไม่ได้ ขณะที่เข้าใจเป็นสุขไหม เข้าใจไหมว่าขณะนั้นก็เป็นความสุข ซึ่งคนอื่นไม่มีโอกาสที่จะได้ ถ้าไม่เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น ก็ต้องเปรียบเทียบความสุขหลายอย่าง ความสุขของชาวโลกชั่วคราว เพราะได้รูปเสียงกลิ่นรส ได้อะไรก็แล้วแต่ ลาภยศสรรเสริญ แต่ไม่เข้าใจธรรม คุณนิรันดร์ก็ลองคิดดู ว่าสำหรับคุณนิรันดร์เองที่ได้เข้าใจธรรม ความสุขขณะที่ได้เข้าใจธรรม กับความสุขอื่นๆ เปรียบเทียบกันได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ อะไรดีกว่า

    ผู้ฟัง ความสุขในธรรมดีกว่า

    ท่านอาจารย์ ความสุขที่ได้เข้าใจธรรมดีกว่า นี่เพียงขั้นเข้าใจ ลองคิดถึงระดับของความสุข กามอารมณ์ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ชาวโลกเข้าใจว่านำความสุขมาให้ แต่ไม่เที่ยงเลยไม่ใช่ของใครจีรังยั่งยืน ไม่ใช่ของถาวรเลย เพราะว่าเพียงปรากฏแล้วก็หมดไป หมดไป คือหายไปเลยเลยไม่กลับอีกสักอย่างเดียว แต่ความติดข้องในสิ่งต่างๆ เหล่านั้น มากมายมหาศาลไม่เหมือนกับสิ่งที่เพียงปรากฏแล้วหายไป รูปปรากฏนิดเดียวหายไปไม่กลับมาอีก เสียงปรากฏนิดเดียวหายไปไม่กลับมาอีก แต่อกุศลซึ่งติดข้องในสิ่งนั้นไม่ได้หมดสิ้นไปเลย เกิด และดับ เกิด และดับสะสมอยู่ แม้ว่าสิ่งที่ติดข้องนั้นไม่ได้กลับมาปรากฏให้ติดข้องหรือว่าให้พอใจ หรือว่าให้เห็นอีกเลย

    เพราะฉะนั้น ความสุขของชาวโลก กับความสุขของคนที่เห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏต่างกัน เพียงขั้นการฟังยังอย่างนี้ ถ้ามีความสงบมากขึ้นเข้าใจมากขึ้น และรู้ความจริงมากขึ้นจะเป็นสุขกว่าสักแค่ไหน เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะได้เห็นประโยชน์ว่า สุขอื่นใดก็คือว่าเพียงชั่วคราว แต่สุขที่สามารถที่จะได้เข้าใจพระธรรม และสามารถที่จะเข้าใจได้อีก จนกระทั่งสามารถที่จะเห็นความจริงของสภาพธรรมนั้นดีกว่า ไม่ต้องเสียใจแล้วใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่เสียใจ

    ท่านอาจารย์ มีโลกภายนอกกับโลกภายใน โลกภายนอกก็ต้องมากระทบตา มากระทบหูจึงปรากฏเป็นเรื่องราวต่างๆ มากมายของโลกภายนอก แต่โลกภายในทุกขณะที่กำลังรับรู้โลกภายนอก โลกภายในเป็นอะไร กุศลหรืออกุศล สะสมเก็บขยะไปเรื่อยๆ หรือว่าแม้กำลังฟังก็รู้ความจริง ว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏชั่วคราวแล้วก็หมดไป สิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ปรากฏขณะที่เสียงปรากฏขณะที่เสียงปรากฏ สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ไม่ปรากฎ นี่คือความเล็กน้อยที่สั้นมาก ถ้ารู้ความจริงอย่างนี้จะหวั่นไหวไหม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัย

    ผู้ฟัง ก็ไม่หวั่นไหว ท่านอาจารย์เวลาคนที่ให้เสื้อผม แล้วผมก็รู้สึกว่าถ้าผมไม่ชอบผมก็ไม่ใส่ แต่ภายหลัง ผมรู้สึกว่าถ้าใส่แล้วเขาจะมีความสุขผมก็ใส่

    ท่านอาจารย์ โลกไหนเป็นโลกภายนอก โลกไหนเป็นโลกภายใน

    ผู้ฟัง โลกที่คิดนึกข้างในคือโลกภายใน

    ท่านอาจารย์ แล้วโลกภายในขณะนั้นเป็นอย่างไร

    ผู้ฟัง ก็กำลังมีการคิดนึก

    ท่านอาจารย์ กุศลหรืออกุศล

    ผู้ฟัง เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง

    ท่านอาจารย์ ไปดับอกุศลของโลกภายนอกได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ดับอกุศลของโลกภายในได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้ด้วยความรู้

    ท่านอาจารย์ แล้วจะไปห่วงอะไร จะดับกิเลสของโลกภายนอกหรือ

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ทำให้เข้าใจ ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่า การที่คิดในเรื่องผ่านมา กำลังคิดว่าใส่เสื้อด้วยกุศลหรืออกุศล ท่านอาจารย์บอกไม่มีประโยชน์เลย เท่ากับการที่รู้ว่ากำลังคิดในขณะนั้นเป็นสภาพธรรม ทำไมท่านอาจารย์ถึงให้ความเข้าใจตรงนี้ว่า การคิดในเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรเลย มากกว่าการที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนั้น ขอเหตุผล

    ท่านอาจารย์ คิดเปล่าๆ หรือว่าขณะคิดก็รู้ว่าไม่ใช่เราที่คิด คิดถึงอดีตใครห้ามได้ คิดถึงอนาคตใครห้ามได้ แต่ปัญญาเข้าใจหรือเปล่าว่า ขณะนั้นเป็นคิดไม่ใช่ใครเลย คิดตามที่วิตกได้ประสบเหตุการณ์ต่างๆ ทางตาหูจมูกลิ้นกายประมวลมา เพราะฉะนั้น ก็จะให้วิตก หรือวิตกเจตสิกไปคิดถึงอะไร นอกจากสิ่งที่เคยเห็น เคยได้ยิน เคยสนใจ เคยชอบ เคยไม่ชอบ เป็นธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้น จากอกุศลวิตก กว่าจะเป็นกุศลวิตก กว่าจะถึงสัมมาสังกัปปะ ซึ่งสามารถที่จะจรดในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ เพื่อเห็นถูกต้องตามที่ได้ฟัง ก็ต้องเป็นไปตามภาวนา คือการอบรมไม่ใช่ว่าใครจะบันดาลได้

    ผู้ฟัง การคิดถึงอดีต คิดถึงอนาคตโดยที่ไม่เข้าใจความจริงในขณะนั้น ก็จะไม่ก่อประโยชน์อะไร

    ท่านอาจารย์ เพราะขณะนั้น ไม่เข้าใจสิ่งที่มีจริง ทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจที่คิดด้วย เพราะว่าคิดก็กำลังคิด ก็สามารถที่จะรู้ว่าคิดก็เป็นธรรม ไม่ได้เลือกว่าไม่ให้คิด แต่อะไรที่เกิดแล้วสิ่งนั้นควรรู้ เพราะมีเหตุปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เพราะฉะนั้น ความสุขที่เกิดจากสงบจากกิเลส และความไม่รู้ ก็ต้องไม่ใช่ความสุขที่ไม่ได้เข้าใจธรรม แต่ว่าเพลิดเพลินไปในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

    ผู้ฟัง ในเมื่อเราไม่รู้ว่าอีก ๑๐ นาที ต่อไปจากนี้เราจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ แล้วชีวิตนับจากวินาทีนี้ เราควรจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร

    ท่านอาจารย์ ควร ทำได้หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ก็หวังว่าจะพยายาม

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่เป็นสาระของชาตินี้ทั้งหมด ก็คือการเข้าใจพระธรรมซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ให้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง มิฉะนั้นแล้ว ทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติ ก็ไม่มีสาระเพราะหมดไปแล้ว และก็ไม่กลับมาอีกเลยสักอย่าง ชาตินี้ก็ต้องเป็นอย่างนี้ชาติต่อๆ ไปก็ต้องเป็นอย่างนี้

    ผู้ฟัง ถ้าเราไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อจะเข้าใจความจริง ชีวิตของเราก็เป็นชีวิตที่ไม่มีสาระที่จะเข้าใจความจริง

    ท่านอาจารย์ นี่เป็นเหตุที่คุณนิรันดร์มาฟังธรรมใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่ เพราะรู้ว่าท่านอาจารย์ก็คงไม่รับรองว่าผมจะมีชีวิตอีก ๑๐ นาทีต่อไป เพราะเหตุนี้จึงมาฟังธรรม เพราะตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า จะจากไปเมื่อไหร่

    ท่านอาจารย์ เข้าใจอย่างนี้ก็ถูก เป็นสาระที่รู้ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ขอให้มีความเข้าใจที่มั่นคงจริงๆ แต่ต้องละเอียดถึงลักษณะของสภาพธรรมแต่ละหนึ่งที่ปรากฎไม่พร้อมกัน

    ผู้ฟัง แต่ทำไมชีวิตของมนุษย์จึงมีความรู้สึกว่าชีวิตเรายังอยู่อีกนาน เราคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตก็คือโลกนี้ ทรัพย์สินต่างๆ ธุรกิจต่างๆ โลกนี้เป็นโลกที่เราต้องดิ้นรนที่จะต่อสู้ เพราะฉะนั้น พระธรรมการเข้าใจความจริงจึงไม่ใช่ความสำคัญอันดับแรกในชีวิตของคนทุกคน

    ท่านอาจารย์ ชีวิตคืออะไร

    ผู้ฟัง สภาพธรรมที่เกิดดับทุกขณะ

    ท่านอาจารย์ โลกคืออะไร

    ผู้ฟัง โลก คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

    ท่านอาจารย์ ธรรม คืออะไร

    ผู้ฟัง ธรรม คือความจริงที่มี

    ท่านอาจารย์ รู้ กับ ไม่รู้ อะไรเป็นสาระ

    ผู้ฟัง ความรู้มีสาระ แต่ความจริงเวลาที่มนุษย์ประสบกับปัญหา ความเดือดร้อนในชีวิต ธุรกิจกำลังจะล้มเหลว ธุรกิจจะไปไม่ได้ สิ่งที่จะถูกตัดต้นๆ คือการมาฟังธรรม การที่จะเข้าใจความจริงเพราะว่า เขาคิดว่าจะต้องมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ก่อน พระธรรมเป็นเรื่องของความเข้าใจรอได้ คิดอย่างนี้ถูกหรือผิดอย่างไร

    ท่านอาจารย์ รอได้ถึงเมื่อไหร่

    ผู้ฟัง ก็เมื่อเขาทำธุรกิจให้เรียบร้อย ทำสิ่งต่างๆ

    ท่านอาจารย์ รอได้ถึงขณะต่อไปไหม

    ผู้ฟัง รอได้ถึงขณะจิตต่อไปไหม ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ก็ถูกต้อง จะรอเมื่อไหร่ รอไป รอที่จะเข้าใจธรรม อย่างอื่นสำคัญกว่าถูกต้องไหม ในเมื่อตอบว่ารอไม่ได้ เพราะว่าไม่มีใครรู้ว่าขณะต่อไปจะเป็นอะไร

    ผู้ฟัง เพราะเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงไว้ก่อนที่จะปรินิพพานว่า ความไม่ประมาทเป็นการเจริญกุศลทั้งปวง ภิกษุทั้งหลายจงอยู่ด้วยความไม่ประมาท

    ท่านอาจารย์ ประมาทเมื่อไหร่ก็เป็นอกุศลเมื่อนั้น

    ผู้ฟัง เมื่อมีโอกาส ไม่ว่าชีวิตจะดำเนินอย่างไร จะมีปัญหาอย่างไร สิ่งที่เราไม่ควรจะทอดทิ้งก็คือการที่จะเข้าใจความจริง อย่างนั้นใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง คุณนิรันดร์ไม่ทราบใช่ไหมว่าขณะต่อไปอะไรเกิดขึ้น

    ผู้ฟัง ไม่ทราบจริงๆ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็ไม่ต้องคิดถึงว่าอะไรจะเกิดขึ้น ในเมื่อคิดก็เพียงแค่คิด แต่ที่จะเกิดจริงๆ ก็เพราะมีเหตุปัจจัยที่จะต้องเป็นอย่างนั้น ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคงอย่างนี้ ก็คือความเข้าใจถูก ความเห็นถูกว่า อะไรเป็นสาระ ในเมื่อเราก็ไม่รู้ว่า ขณะต่อไปจะเป็นอะไรใช่ไหม แต่ว่าความเข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้ก็จะทำให้สามารถเป็นไปในทางกุศล และก็เข้าใจธรรมยิ่งขึ้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

    ผู้ฟัง ก็จึงรู้สึกอนุโมทนาผู้ที่เลือกที่จะมาฟังแล้วเข้าใจความจริง เพราะเขาคงต้องเลือกแล้วว่า ในช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตของสัปดาห์เขาเลือกจะใช้เวลามาเพื่อฟัง เพื่อเข้าใจความจริง

    ท่านอาจารย์ แล้วทุกคนก็อนุโมทนาคุณนิรันดร์ที่เลือกอย่างนี้

    ผู้ฟัง ก็โชคดีที่ได้มีโอกาสได้มาสนทนาธรรม ศึกษาธรรมกับท่านอาจารย์ อาจารย์วิทยากร และเพื่อนร่วมธรรม เมื่อมีโอกาสที่ยังมีชีวิตมีลมหายใจอยู่

    ท่านอาจารย์ ค่อยๆ สะสม ความเข้าใจถูก เพราะมิฉะนั้น ก็คือสะสมความไม่รู้ และอกุศลอยู่นั่นเอง ไม่ว่าจะเห็นอะไรที่น่าเพลิดเพลิน หรือไม่น่าพอใจทั้งหมดก็คือ สะสมอกุศลอยู่เรื่อยๆ เพราะฉะนั้น การสะสมความเข้าใจธรรมแต่ละขณะ ก็จะทำให้การที่เคยเป็นผู้ที่ติดข้องในเรื่องของความไม่รู้ ในเรื่องของอกุศลลดน้อยลง อย่างอื่นไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้อกุศลลดน้อยลงได้เลย นอกจากความเข้าใจถูก ทีละเล็กที่ละน้อยด้วยแม้แต่เพียงขณะนี้ที่เข้าใจยังไม่มั่นคงพอ ถ้ามั่นคงพอก็จะสามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่เพียงแต่พูดว่าสิ่งที่มีจริงขณะนี้เป็นธรรมแต่ว่า สามารถที่จะรู้ลักษณะของธรรมที่กำลังปรากฏด้วย

    อ.กุลวิไล ซึ่งท่านอาจารย์กล่าวถึงสาระที่จะได้จากการฟังธรรม เมื่อเราสะสมอกุศลธรรมมากในชีวิตประจำวัน ถ้าไม่ได้ยินได้ฟังพระธรรม เพราะธรรมชาติของจิตประการหนึ่งก็คือ สะสมสันดานของตน ในชีวิตประจำวันจะเห็นได้ว่าบางครั้งเราโกรธ บางครั้งเราติดข้อง แต่ถ้าเราไม่รู้ธรรมตามความเป็นจริง สะสมแล้ว ให้เป็นคนที่หงุดหงิด หรือว่าเป็นคนที่ติดข้องได้ทุกอย่าง และจะเห็นได้ว่าที่คุณนิรันดร์ได้ถามท่านอาจารย์ว่า ไม่มีใครทราบว่า ขณะต่อไปอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรมเราไม่ทราบ เราดูเหมือนว่าเดี๋ยวเรากลับบ้าน เราก็จะเห็นบ้าน เห็นคนในบ้าน แล้วก็จะทราบว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้า

    ท่านอาจารย์ แต่จะถึงบ้านหรือเปล่า

    อ.กุลวิไล ใช่

    ท่านอาจารย์ กลับไปไม่ถึงบ้านก็ได้ ไม่ใช่ต้องกลับไปถึงบ้านทุกครั้ง

    อ.กุลวิไล และจะเห็นได้ว่า ถ้าโดยความละเอียด เห็นก็มีจริง ได้ยินก็มีจริง บังคับบัญชาได้ไหม บางครั้งเราคาดว่าเราจะเห็นสิ่งนี้ แต่พอเราไปเห็นจริงๆ แล้วก็ไม่ได้เห็นสิ่งที่เราปรารถนาต้องการหรือแม้นได้ยิน บางครั้งก็มีเหตุปัจจัยให้เราได้ยินข่าวร้ายหรือว่าข่าวดี จะเห็นได้ว่า ความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้เอง

    ท่านอาจารย์ รู้ว่าหวังไม่ได้ ก็ยังหวัง เพราะอะไร

    อ.กุลวิไล เพราะความติดข้อง

    ท่านอาจารย์ หวังคือความติดข้อง รู้ว่าหวังไม่ได้ทุกอย่างต้องมีปัจจัยเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น หวังก็คือ ชั่วขณะที่คิดต้องการ เพราะฉะนั้น รู้ว่าหวังไม่ได้ ก็ยังหวังเพราะอะไร

    อ.กุลวิไล เพราะความไม่รู้ตามความเป็นจริง

    ท่านอาจารย์ เพราะความไม่รู้อย่างเดียว ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีความรู้ความเข้าใจขึ้นเท่านั้น อกุศลทั้งหลายจึงจะลดน้อยลงไปได้ ไม่ใช่ห้ามไม่ให้คิด ห้ามไม่ให้หวัง หรือห้ามอะไร ห้ามไม่ได้ เพราะเหตุว่าเป็นธรรม ซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย แต่สามารถที่จะเข้าใจถูกในขณะนั้น ตามความเป็นจริงได้ว่า เป็นธรรม ที่สำคัญที่สุดว่าเป็นธรรมจริงๆ เมื่อไหร่จะจริงทั้งหมดทุกอย่างที่กำลังปรากฏ ทั้งสิ่งที่ปรากฏทางตา เสียง เห็น ได้ยิน สุข ทุกข์ ทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งมีปัจจัยเกิดจึงปรากฏสั้นแสนสั้น รวดเร็วที่สุดแล้วก็หายไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย

    อ.กุลวิไล ก็เหมือนกับที่การศึกษาธรรมบางคนก็คิดว่าทำได้ แต่ท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา บางคนคิดว่าจะลุกเดินก็ได้ จะพูดก็ได้ จะหยิบของก็ได้ จะทำอะไรก็ได้ แต่ไม่รู้ว่าขณะนั้นต้องมีสภาพจิตที่คิด ถ้าไม่คิดก่อนแล้วจะทำอะไรได้ เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าถ้าไม่มีจิต อะไรเลยก็ไม่มี เพราะว่าที่มีจิตก็ทำให้เรามีการเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส แล้วก็รู้สิ่งที่คิดนึกทางใจ

    อ.วิชัย กราบเรียนท่านอาจารย์ กล่าวถึงเรื่องของไตรลักษณะ คือลักษณะ ๓ ประการ ก็คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ท่านอาจารย์กล่าวว่า ถ้าไม่เข้าใจธรรมเลย แม้จะกล่าวถึง ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ก็กล่าวเพียงชื่อของสิ่งที่ยังไม่รู้จัก ฉะนั้น ถ้าเป็นการเริ่มต้นที่จะเข้าใจไตรลักษณะนี้จะเข้าใจอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เห็นกับได้ยินพร้อมกันไหม

    อ.วิชัย ก็ไม่พร้อมกัน

    ท่านอาจารย์ ไม่พร้อมกัน ถ้าเห็นไม่เกิดขึ้นไม่ดับไป จะมีอะไรไหม

    อ.วิชัย การเห็นก็ไม่มี

    ท่านอาจารย์ การเห็นไม่มี เพราะฉะนั้น ทุกอย่างมีเมื่อเกิดขึ้น เกิดแล้วก็ต้องดับไป เพราะว่ามีลักษณะอื่นสืบต่อโดยที่ว่า ไม่รู้เลยว่าเห็นเกิดแล้วดับ แล้วสิ่งที่เกิดต่อก็ดับด้วย แล้วก็มีสิ่งอื่นซึ่งเกิดต่อแล้วก็ดับด้วย เพราะฉะนั้น การเกิดดับของสภาพธรรม ยากที่จะรู้ได้ แต่พอเข้าใจได้ไหมว่า จิตแต่ละขณะหลากหลายต่างกัน แล้วก็มีท่านที่สงสัยว่า รูปดับด้วยหรือ พอคิดถึงจิตก็พอจะ ไม่เหมือนกันแตกต่างหลากหลาย จิตเกิดดับก็ไม่รู้ แล้วรูปเกิดดับจะรู้ไหม

    อ.วิชัย ก็ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่รู้ ก็เหมือนกัน ก็ไม่รู้อะไรทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าจิตเกิดดับรู้ แต่รูปเกิดดับไม่รู้ เมื่อจิตซึ่งละเอียดกว่ารูปอีก เกิดดับเร็วมากก็ยังไม่รู้ รูปก็เกิดดับแล้วจะรู้หรือ แม้แต่จิตเกิดดับถ้าไม่ฟังจะไม่รู้เลย ไม่มีใครรู้ว่าจิตเกิดดับ คิดว่าเกิดแล้วก็ดับเมื่อตาย ใช่ไหม แต่ความจริงขณะนี้ เห็นเกิด และดับ ได้ยินเกิด และดับ คิดนึกก็เกิด และดับ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นก็ต้องมีความดับไปเป็นธรรมดา สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้น รูปเกิดหรือเปล่า

    อ.วิชัย รูปเกิด มีปัจจัยก็เกิด

    ท่านอาจารย์ แล้วรูปจะไม่ดับหรือ

    อ.วิชัย สิ่งใดเกิดก็ต้องดับ

    ท่านอาจารย์ ในเมื่อจิตเกิดดับก็ไม่รู้ และรูปเกิดดับจะรู้หรือ ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เกิดดับแน่ แต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ไตรลักษณ์ไม่ใช่คำลอยๆ แต่ว่าเป็นสิ่งที่มีปรากฏในขณะนี้ เมื่อไม่รู้จึงคิดว่าไม่เกิด และไม่ดับด้วย แม้เกิดก็ไม่รู้ แม้ดับก็ไม่รู้ แต่ผู้ที่ทรงตรัสรู้ทรงแสดงความละเอียดยิ่งของทุกสิ่งที่มี เพราะเกิดแล้วก็ดับว่าแต่ละหนึ่งเกิดขึ้นเพราะอะไรเป็นปัจจัย แล้วก็ปัจจัยก็มีมากมาย ไม่ใช่มีแต่เฉพาะปัจจัยเดียว เช่นในขณะที่กำลังเห็น ขณะนี้พูดถึงเห็น บ่อยๆ เพราะกำลังเห็นจริงๆ จะไม่ให้พูดถึงเห็นได้ไหม ในเมื่อกำลังเห็น

    เพราะฉะนั้น เห็นในขณะนี้ เพียงไม่มีจักขุปสาทรูป แล้วก็ไม่มีจิตเห็น สิ่งที่มีจริงๆ ก็ปรากฏไม่ได้ และสิ่งที่มีจริงขณะนี้ก็ต้องเกิดด้วย มิฉะนั้นจะมีได้อย่างไร ก็เป็นความลึกซึ้งของธรรม ซึ่งถ้าฟังจนกระทั่งมีความเข้าใจขึ้น ก็จะเห็นพระปัญญาคุณของอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ ตลอด ๔๕ พรรษาเป็นเรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรื่องของสิ่งที่มีจริงทุกอย่างโดยละเอียดยิ่ง เพื่อเกื้อกูลให้ผู้ที่ยังไม่เห็นการเกิดดับ ยังไม่รู้ความเป็นไตรลักษณ์ของสภาพธรรมซึ่งกำลังเกิดดับในขณะนี้ค่อยๆ มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น เพราะเหตุว่า สภาพธรรมที่สะสมมานานที่สุด ที่ประมาณไม่ได้เลยก็คือความไม่รู้ เพราะฉะนั้น กว่าจะเป็นความรู้ที่สามารถที่จะค่อยๆ ทำให้ความไม่รู้นั้นหมดสิ้นไปได้ก็ต้องอาศัยความเข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นวาจาสัจจะ จึงจะเป็นญาณสัจจะที่นำไปสู่มรรคสัจจะ ขณะนี้จิตเกิด และดับ วิตกเจตสิกมีไหม

    อ.วิชัย ก็เกิดพร้อมจิต

    ท่านอาจารย์ เกิดพร้อมจิต เว้นกามาวจรจิต ๑๐ และจิตภูมิอื่นไม่ต้องกล่าวถึง เพียงแต่ว่าเราอยู่ในโลกที่มีรูป มีเสียง มีกลิ่น มีรส มีสิ่งที่กระทบสัมผัสกาย มีการคิดนึก แล้วแต่ เป็นเรื่องของสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทั้งนั้นโดยที่ไม่รู้ความจริง ว่าทำไมเราคิดไม่เหมือนกัน เป็นเราหรือเป็นธรรมที่เกิดขึ้นต่างก็ทำกิจการงาน ในขณะนั้น

    เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่เป็นเท้าของโลก ตรึกไป ก็ต้องไปตามการสะสม ถ้ามีปัญญา วิตกก็เกิดกับปัญญา ปัญญาก็นำวิตก การที่จะตรึก คิดถึงสิ่งที่เป็นสาระที่เป็นประโยชน์ ก็ตรงกันข้ามกับขณะที่คิดด้วยโลภะ ด้วยโทสะ ด้วยโมหะ ด้วยความไม่เป็นสาระ และไม่เป็นประโยชน์ ซึ่งเลือกไม่ได้เลย เมื่อสะสมความไม่รู้มามาก

    เพราะฉะนั้น แม้แต่ความคิดก็คิดไปในทางของโลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง แต่ถ้าสะสมปัญญาก็จะสังเกตเห็นได้ว่า เมื่อมีความเข้าใจธรรม การที่จะตรึกในทางกุศล เช่นฟังธรรม ไม่ต้องไปให้หมดโทสะ เป็นไปไม่ได้ เพียงแต่คิดที่ว่า จะได้ฟังธรรม ซึ่งแต่ก่อนนี้ก็ฟังอย่างอื่น หรือทำอย่างอื่นมากกว่า แต่ว่าเมื่อมีความเข้าใจเป็นปัญญา เห็นประโยชน์ ก็ทำให้การตรึก คือวิตกเจตสิกไม่คิดเรื่องอื่น แต่ว่าคิดในทางที่เป็นกุศล ในทางที่จะเข้าใจธรรมยิ่งขึ้น

    เพราะฉะนั้น ใครก็ตามตื่นมาฟังธรรม ก็คือสะสมปัญญาที่เห็นประโยชน์ และวิตกเจตสิกก็ไม่ได้คิดเรื่องอื่น เรื่องฟังธรรม เพราะฉะนั้น ก็พาไปสู่ทางของปัญญา ตรงกันข้ามกับทางที่เคยไป คือเรื่องของโลภะ โทสะ เพราะฉะนั้น จะเห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า เป็นธรรม ว่ากว่าที่จะรู้ความจริง เดี๋ยวนี้ว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่งจริงๆ ก็ต้องอาศัยการฟัง แล้วก็สังขารขันธ์ เช่นปัญญา มนสิการ วิตกเหล่านี้ก็เป็นสภาพธรรมที่กำลังทำหน้าที่ กำลังเกิดขึ้น ทำกิจของสภาพธรรมนั้นๆ แต่ไม่ได้ปรากฏ เพราะเหตุว่า ไม่มีปัญญาที่มีกำลังพอที่จะเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมซึ่งแต่ละหนึ่ง เกิดปรากฏแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว แต่ว่าปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา จนกว่า แม้แต่คำว่าไตรลักษณะหรือไตรลักขณะ ติลักขณะ สภาพธรรมใดที่เกิด สภาพธรรมนั้นดับ ไม่เที่ยง การเกิดดับเป็นทุกข์ ไม่ได้หมายความถึงความรู้สึก เป็นทุกข์คือไม่เป็นที่ยินดี สิ่งใดที่เป็นสุขเป็นที่ยินดี แต่สิ่งที่เกิดดับเพียงปรากฏเร็วมากสั้นมากน้อยมากแล้วก็หายไปไม่กลับมาอีกเลย สุขหรือ ที่จะต้องเป็นอย่างนี้ไปตลอด คือต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องคิดนึกอย่างเร็วมากสั้นมากไปเรื่อยๆ และก็ไม่มีอะไรที่จะเหลือเลย

    เพราะฉะนั้น ต่อเมื่อใดที่ได้เห็นความไม่เที่ยงการเกิดดับจริงๆ ไม่ใช่เพียงแต่คิด ก็จะเห็นระดับของปัญญาแล้วว่าต่างกัน ขั้นฟังเริ่มเข้าใจ แต่ว่ายังไม่ใช่การรู้จริงๆ ที่เป็นการประจักษ์แจ้ง แต่เมื่อสิ่งนั้นเป็นจริงอย่างนั้น ปัญญาที่ได้อบรมแล้วเท่านั้น จึงสามารถที่จะรู้ความจริงอย่างนั้นได้ตามปกติ เพราะว่าไม่มีใครสามารถที่จะไปบันดาลสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้เกิดขึ้นได้ และถ้าสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ตามปกติรู้ไม่ได้ จะเป็นปัญญาได้อย่างไร ไม่ต้องมีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ต้องมีการบำเพ็ญบารมี คุณความดีเพื่อที่จะให้อกุศลที่เคยเกิดลดน้อยลง พอที่จะมีกำลังที่จะให้ปัญญาสามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 184
    12 ม.ค. 2567