พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 768


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๖๘

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๕


    ท่านอาจารย์ เมื่อมีศรัทธาที่จะละเว้น ก็ละเว้นในขณะนั้น ไม่ได้เลือกว่าเขาเป็นใคร ชาติศาสนาใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นกุศลจิตที่เกิดขึ้นเป็นไปในขณะนั้น ชั่วขณะแล้วก็หมดไป แต่ไม่มีความเข้าใจอะไร หรือว่าเป็นผู้ที่ได้ฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงจากการที่ทรงตรัสรู้ และก็มีความเห็นถูกต้อง ว่าในขณะนั้นเป็นธรรมฝ่ายดีเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย การละเว้นทุจริต ถ้าไม่มีโสภณเจตสิกคือวิรตีเจตสิกเกิดขึ้น ใครวิรัติได้ เพราะไม่ใช่ใครที่วิรัติ

    เพราะฉะนั้น แม้ในขณะนั้นก็รู้ตามความเป็นจริง “ตามความเป็นจริง” ซึ่งต่างกับเพียงละเว้นโดยที่ไม่รู้ความจริง ว่าในขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมฝ่ายดีซึ่งเกิดขึ้นทำกิจการงาน ถ้าเจตสิกฝ่ายดีนั้นไม่เกิด ก็ไม่มีการละเว้น ก็ต้องเป็นไปตามกำลังของอกุศล

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์กรุณาแสดงเพิ่มเติมมาก เป็นความละเอียดที่ ผู้ที่ฟังเองก็ดี หรือว่าขณะที่ใดเกิดการงดเว้นจากการยังไม่เข้าใจ ก็ชื่อว่ามีกุศลจิตขั้นหนึ่ง แต่การที่ยังไม่เข้าใจว่ามีธรรมแต่ละอย่างที่ไม่ใช่เรา แล้วยังไม่ได้ฟังให้เข้าใจ คิดว่าดีแล้วก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็ชื่อว่ายังไม่ได้ฟังพระธรรม เพียงแต่ว่าได้ยินคำว่า ละชั่ว แต่ยังไม่ได้ฟังพระธรรม ถ้าฟังพระธรรมก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าขณะนั้นเป็นธรรม ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่เชื้อชาติใด ศาสนาใดทั้งสิ้น ขณะใดที่กุศลจิตเกิดขึ้นเว้น ขณะนั้นก็คือ เป็นขณะหนึ่ง ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น แต่ไม่ได้รู้ตามความเป็นจริง จึงไม่ (นาทีที่ ๒.๒๕ "ได้") ชื่อว่า ไม่ได้เข้าใจความจริง เพราะไม่ได้ฟังพระธรรม ว่าแม้ขณะนั้นก็เป็นธรรมที่เป็นโสภณธรรมเกิดขึ้นจึงละเว้นไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรมไม่ใช่ฟังแล้วเป็นเราไปตลอด ฟังแล้วก็เป็นเราเว้น ฟังแล้วเราดี ฟังแล้วเราเป็นอย่างนั้น ฟังแล้วเราเป็นอย่างนี้ นั่นไม่ใช่จุดประสงค์ของการฟัง การฟังธรรมเพื่อเข้าใจความจริง เพราะฉะนั้น ฟังแล้วเข้าใจสิ่งที่กำลังได้ฟัง ซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็หมดไป แต่ละคำๆ เพื่อให้เข้าถึงความเข้าใจถูกต้องว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่เป็นเพียงสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หมดไป

    ผู้ฟัง เพราะว่าเมื่อไหร่การงดเว้นไม่เกิดขึ้นก็เศร้าหมองอีกว่า ทำไมตัวเราประมาท ไม่ยอมรักษาศีลให้เหมือนวันก่อนๆ แล้วก็เศร้าหมองเพิ่มขึ้น ยึดถือเพิ่มขึ้น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น อะไรจะทำให้ไม่เศร้าหมองเลย ดับทุกข์ได้ทั้งหมด ไม่เหลือเลย

    ผู้ฟัง ความรู้ การได้ยินได้ฟัง สิ่งที่เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ แล้วก็เข้าใจ และรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะได้ฟังพระธรรม แล้วเข้าใจ

    อ.วิชัย พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงพระธรรมในส่วนที่ว่า ธรรมที่เป็นไปเพื่อความเสื่อมแห่งพระสัทธรรม และธรรมที่เป็นไปเพื่อความเจริญแห่งพระสัทธรรม ทรงแสดงไว้อย่างละ ๕ ประการ คือ ธรรมที่เป็นไปเพื่อความเสื่อมแห่งพระสัทธรรม ก็คือ การไม่ฟังธรรมโดยความเคารพ ๑ การไม่เล่าเรียนธรรมด้วยความเคารพ ๑ การไม่ทรงจำธรรมด้วยความเคารพ ๑ การไม่พิจารณาอรรถแห่งธรรมที่ได้ทรงจำไว้แล้ว ๑ และการเมื่อพิจารณาอรรถแห่งธรรมแล้วไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรม ๕ ประการนี้ ก็เป็นไปเพื่อความเสื่อมแห่งพระสัทธรรม

    และก็ทรงแสดงธรรม ๕ ประการ ที่เป็นไปเพื่อความเจริญแห่งพระสัทธรรม คือฟังธรรมด้วยความเคารพ การเล่าเรียนธรรมด้วยความเคารพ การทรงจำธรรมด้วยความเคารพ การพิจารณาอรรถแห่งธรรมที่ได้ทรงจำไว้แล้วด้วยความเคารพ แล้วก็การที่เมื่อพิจารณาอรรถแห่งธรรมแล้ว ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรม ๕ ประการเป็นไปเพื่อความเจริญแห่งพระสัทธรรม ใคร่กราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า การที่ฟัง การเล่าเรียน และการทรงจำด้วยความเคารพ คืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้ง ทุกคนได้ยินคำว่าทุกอย่างเป็นธรรม หมายความว่า สิ่งที่มีจริง เป็นสิ่งที่ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ภาษาบาลีหรือมคธีก็ใช้คำว่า “ธรรม” แต่ก็ยังมีคำว่า “สัทธรรม” ด้วย เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะได้เข้าใจแต่ละคำ ในเมื่อทุกอย่างเป็นธรรม เพราะฉะนั้น คำว่าพระสัทธรรม ต้องมีความหมายเฉพาะพระสัทธรรมนั้นจริงๆ ไม่ใช่ธรรมอื่นทั่วๆ ไป ขอเชิญคุณวิชัยให้ความหมายด้วย

    อ.วิชัย สัทธรรมคือ “ธรรมของสัตบุรุษ”

    ท่านอาจารย์ สัตบุรุษคือ ผู้ที่รู้ธรรมที่สงบจากอกุศล เพราะฉะนั้น ต้องเป็นปัญญาที่สามารถที่จะรู้จักอกุศลก่อน แล้วจึงสามารถที่จะละอกุศลได้ ถ้าไม่รู้ว่าขณะไหนเป็นอกุศล ไม่รู้ไม่ใช่ปัญญา เพราะฉะนั้น จะละอกุศลไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ การตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือได้อบรมเจริญเหตุที่จะให้รู้ความจริง จนประจักษ์แจ้งสภาพธรรมความจริงซึ่งเป็นอริยสัจจะ ทำให้เป็นผู้ที่สงบจากอกุศล คือดับกิเลสได้หมด

    เพราะฉะนั้น เมื่อได้ทรงบรรลุคุณธรรมถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็ทรงแสดงพระธรรมที่เป็นไปเพื่อความสงบจากอกุศล เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ บางคนอาจจะรู้จักอกุศลโดยชื่อ กำลังอยากอย่างนั้น กำลังไม่ชอบอย่างนี้ ก็เรียกชื่อว่า “อกุศล” แต่ว่าขณะนั้นเป็นเราที่ไม่ชอบ

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ความรู้ความเข้าใจที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งว่า แม้สิ่งนั้นๆ ที่เกิดแล้วก็ต้องมีปัจจัยที่จะให้เป็นสิ่งนั้น เช่นโทสะ ความขุ่นใจไม่ชอบ ความห่วงใย ความกังวล ทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งก่อนอื่นก็คือว่า ถ้าจะเข้าใจความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องรู้ว่าพระองค์ตรัสรู้อะไร ตรัสรู้ความจริงของทุกอย่างโดยประการทั้งปวง จนสามารถที่จะดับความไม่รู้ และกิเลสอกุศลทั้งหลายไม่เกิดอีกเลย และก็ทรงเห็นโทษของความไม่รู้ ความไม่เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงซึ่งเป็นเหตุให้เกิดอกุศลต่างๆ ให้คนอื่นได้สามารถค่อยๆ เข้าใจ พิจารณาไตร่ตรอง อย่างที่คุณวิชัยกล่าวถึง เหตุที่จะทำให้พระสัทธรรมเจริญ ก็ต้องเป็นไปตามลำดับด้วย ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุแล้วก็จะเจริญได้ แต่ต้องไปผู้ที่เข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดงตามลำดับ ขอเชิญคุณวิชัยกล่าวถึงข้อที่ ๑

    อ.วิชัย คือ การฟังด้วยความเคารพ

    ท่านอาจารย์ การฟัง ขณะนี้ฟังเรื่องอื่นหรือว่าฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงๆ เหมือน ณ กาลครั้งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น ณ พระวิหารเชตวัน พระวิหารเวฬุวัน หรือพระวิหารนิโครธาราม ที่หนึ่งที่ใดก็ตาม ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่ตรัสถึงสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนั้นเป็นไปไม่ได้เลย

    เพราะเหตุว่า ขณะที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดกำลังปรากฏกับผู้ที่ไม่เคยฟัง และไม่เคยรู้ พระมหากรุณาก็เห็นประโยชน์ว่า คนนั้นมีศรัทธามาบ้างที่จะได้ยินได้ฟัง แล้วก็มีปัญญามา พอที่จะได้เข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ก็ได้ทรงแสดงพระธรรม ด้วยเหตุนี้ พระธรรมทั้งหมดก็คือ พูดถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ให้เข้าใจโดยละเอียด โดยลึกซึ้งอย่างยิ่งว่า เป็นสิ่งที่มีปัจจัยเกิดจึงปรากฏว่าเป็นอย่างนี้ ชั่วคราวแสนสั้นแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก เพียงเท่านี้ ประโยชน์ก็คือว่า เป็นจริงอย่างนี้หรือเปล่า ตั้งแต่เกิดจนถึงวันนี้ แต่ละวันๆ และแต่ละขณะ ก็มีแต่ละอย่างซึ่งเป็นจริงนั้นเลย เกิดขึ้นแล้วดับไป เกิดขึ้นแล้วดับไป สืบต่อ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แม้ขณะนี้ นี่คือการฟังให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีใครเข้าใจเลย ก็พระศาสนาอันตรธานจากความเข้าใจของคนนั้น ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ แล้วถ้ามีคนที่ไม่เข้าใจเลยทั้งหมดวันหนึ่งวันใด พระศาสนาก็อันตรธานไปจากความเข้าใจไม่มีเหลือเลย

    อ.วิชัย ประการที่ ๒ คือ การเล่าเรียนด้วยความเคารพ

    ท่านอาจารย์ “ฟัง” บางคนก็บอกว่า ฟังเฉยๆ เข้าใจไหม ได้ยินได้ฟังเฉยๆ ฟังแล้วก็หมดไป ฟังแล้วก็หมดไป แต่ไม่ว่าจะใช้คำว่า “ศึกษา” หรือว่า “สิกขา” หรือว่า “เล่าเรียน” หมายความว่า ฟังเพื่อที่จะเข้าใจสิ่งนั้นโดยละเอียดขึ้น โดยแจ่มแจ้งขึ้น ไม่ใช่ว่าฟังแล้วก็ทิ้งไปเลย แค่นี้พอแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างขณะนี้มีจริงๆ เกิดขึ้นแล้วดับไป เท่านี้พอแล้วหรือ

    เพราะฉะนั้น นี่ไม่ใช่การศึกษา ไม่ใช่การเล่าเรียน การศึกษาก็มี เพราะเหตุว่า รู้ว่าเข้าใจเท่านี้ไม่พอ เพียงได้ยินว่าสิ่งนี้กำลังมีจริงๆ เพราะเกิด และดับไป และก็ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้ เมื่อเกิดแล้วดับไป แล้วไม่เหลือเลย ไม่กลับมาอีก จะเป็นของใคร หรือจะเป็นใคร ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้

    เพราะฉะนั้น เมื่อฟังแล้วศึกษาละเอียดยิ่งขึ้น เพราะเหตุว่า ต่อให้ใครจะบอกสักเท่าไหร่ ว่าขณะนี้สิ่งที่มีจริง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่สัตว์บุคคลใดๆ ที่เที่ยง เป็นแต่เพียงสภาพที่มีจริงแต่ล่ะหนึ่ง ซึ่งสามารถจะปรากฏให้รู้ว่ามีจริงได้แต่ละทาง เช่น เสียงมีจริงเมื่อจิตได้ยินเกิดขึ้น เสียงนั้นจึงปรากฏว่ามีจริง ขณะนี้ทางตาไม่ใช่ทางหู ก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ว่าสิ่งที่ปรากฏขณะนี้มีจริง แต่ว่าชั่วคราว

    เพราะฉะนั้น การศึกษาไม่ใช่เพียงรู้นิดๆ หน่อยๆ เพราะเหตุว่า แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ สมัยที่ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ก็มีสภาพธรรมอย่างนี้ปรากฏ แต่ไม่รู้ตามความเป็นจริง แต่รู้ว่า รู้ได้แน่ๆ เพราะมีจริง เมื่อสิ่งใดหนึ่งสิ่งใดมีจริง จะไม่รู้ความจริงของสิ่งนั้นได้อย่างไร แต่เมื่อขณะนั้นยังไม่รู้ก็ทรงบำเพ็ญพระบารมี แล้วแต่ว่าจะเป็นผู้ที่ยิ่งด้วยปัญญาก็ ๔ อสงไขยแสนกัปป์ ถ้ายิ่งด้วยศรัทธาก็ ๘ อสงไขยแสนกัปป์ ถ้ายิ่งด้วยวิริยะ ๑๖ อสงไขยแสนกัปป์ หลังจากที่ได้ฟังพยากรณ์ว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง จากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในกาลนั้น นานไหม สิ่งที่ปรากฏอย่างนี้ๆ ก็ปรากฏแล้วจะยากอะไรที่จะรู้ นี่คือคนที่ไม่เห็นความลึกซึ้งของธรรม แม้แต่คำว่า เกิดแล้วก็ดับ ก็ต้องพิจารณาว่าเป็นจริงหรือเปล่า นี่คือ ศึกษา

    อ.วิชัย ข้อต่อไปคือ การทรงจำด้วยความเคารพ

    ท่านอาจารย์ ฟังเมื่ออาทิตย์ก่อน จำอะไรได้บ้าง หลายชั่วโมงไหมวันเสาร์ ฟังเยอะวันอาทิตย์ก็ฟัง เพราะฉะนั้น ทรงจำไม่ใช่จำแบบไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่ได้ยินแล้วก็พูดต่อ ใครว่าอะไรก็อย่างนั้น ไม่มีประโยชน์เลย แต่จำด้วยความเข้าใจ จะไม่ลืม แต่ว่าสติปัญญาของคนในยุคนี้ต่างกับคนสมัยก่อน เพราะเหตุว่า ศึกษาน้อย อบรมมาน้อย กว่าบุคคลในสมัยโน้นมาก

    เพราะฉะนั้น เพียงแต่พูดคำว่า สิ่งที่มีจริงซึ่งกำลังเกิดดับ ปัญญาของท่านพระสารีบุตรประจักษ์แจ้งความจริง เพราะว่าขณะนี้ สิ่งนี้เกิด แล้วก็ดับ เพราะมีสิ่งอื่นเกิด ระหว่างที่ท่านฟังคำของท่านพระอัสสชิ ไม่ใช่มีแต่เห็น มีอย่างอื่นด้วย เพราะฉะนั้น ปัญญาของท่านที่อบรมมาแล้วที่จะรู้ความจริง แล้วละความติดข้องว่าเป็นตัวท่าน หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ทำให้สามารถที่จะเป็นวิปัสสนาญาณตามลำดับขั้น จนกระทั่ง สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ไม่สงสัยในคำที่ได้ฟัง

    สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา นี่คือการที่เพียงได้ฟังไม่พอ แต่เมื่อเข้าใจแล้วก็เป็นผู้ที่จะรู้ว่า จำได้แค่ไหน ถ้าจำได้น้อยก็เป็นเพราะปัญญาที่ได้เข้าใจไม่เพียงพอที่จะรู้โดยไม่ต้องไปคิดว่าจะต้องจำ เพียงจำ แต่ว่าเมื่อมีความเข้าใจแล้ว มีใครจะบอกว่าขณะนี้ไม่ใช่ธรรม เชื่อหรือเปล่า แล้วจะไปหาธรรมที่ไหน ถ้าขณะนี้ไม่ใช่ธรรม เพราะฉะนั้น แต่ละคำที่ได้ยิน สามารถที่จะเข้าใจได้ เดี๋ยวนี้มีแต่เห็น หรือว่ามีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นด้วย ความเข้าใจก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น

    อ.วิชัย ข้อต่อไปคือ เป็นผู้ที่พิจารณาอรรถแห่งธรรมที่ได้ทรงจำไว้แล้ว

    ท่านอาจารย์ เมื่อวานนี้วันเสาร์ พูดถึงสิ่งที่ปรากฏทางตาว่า อยู่ที่ไหน แล้วก็ยกตัวอย่าง คุณอรรณพ เมื่อวานนี้ว่าเห็นคุณอรรณพ แต่ว่าถ้าไม่มีธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธาน จะไม่มีสิ่งที่ต้องมีอยู่ในที่นั้น คือ สี กลิ่น รส โอชา ๘ รูป แยกกันไม่ได้เลย เราอาจจะไม่รู้ในขณะที่รสปรากฎว่า ขณะที่รสปรากฏไม่ปราศจากธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม กลิ่นด้วย โอชาด้วย และสิ่งที่ปรากฏทางตาด้วย เพราะฉะนั้น ๘ รูปนี้เป็นรูปที่ไม่แยกจากกันเลย เพียงแต่ว่ารูปใดจะปรากฏ ในขณะที่มีจิตเกิดขึ้นรู้เฉพาะสิ่งนั้น

    เพราะฉะนั้น ทุกคนเข้าใจได้ ถ้าไม่มีธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม จะมีรูปใดๆ ไหม ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส ไม่มีโอชา แต่ว่า เมื่อมีสิ่งที่ปรากฏกระทบตาได้ ก็ลืมว่าขณะนั้น ที่ว่าเป็นคุณอรรณพก็ต้องมีธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม แต่ว่าสิ่งที่มีอยู่ ติดอยู่ แยกกันไม่ได้เลยกับธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม คือ สี กลิ่น รส โอชา และสีก็สามารถจะกระทบกับจักขุปสาท เป็นรูปพิเศษที่ตัว มีอยู่เฉพาะตรงนั้นซึ่งเกิดเพราะกรรม ที่จะทำให้สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ และก็จิตเห็นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ก็ปรากฏรูปร่างสัณฐานที่จำได้ว่าเป็นคุณอรรณพ หรือเป็นธาตุ ดินน้ำ ไฟ ลม เป็นคุณอรรณพ หรือเป็นธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม เห็นไหม ก็ลืมแล้ว

    เพราะฉะนั้น ต้องฟังบ่อยๆ ทบทวน ไตร่ตรองให้เข้าใจ ว่าเมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ และความเข้าใจไม่พอที่จะทำให้ทันทีที่เห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า เป็นเพียงสิ่งปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นเอง ถ้าจิตเห็นไม่เกิดจักขุปสาทไม่เกิด เพราะกรรมทำให้ไม่มีจักขุปสาท ตาบอดเมื่อไหร่ สิ่งที่ปรากฏทางตาก็จะปรากฏไม่ได้ และจิตเห็นก็เกิดไม่ได้

    อ.วิชัย เคยฟังว่า ท่านอาจารย์กล่าวว่า อรรถ คือ ลักษณะของธรรม อย่างนั้นการพิจารณา คือไม่ใช่เพียงชื่อของธรรมเท่านั้น ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมดที่กล่าวนี้ กล่าวถึงธาตุดิน ไม่ใช่ธาตุไฟ ธาตุน้ำ ธาตุลม ลักษณะ และถ้าไม่มีลักษณะจะมีอรรถที่กล่าวถึงธาตุดินไหม ว่าธาตุดิน คือเป็นอย่างนี้

    อ.วิชัย คือ หมายความว่า แสดงถึงว่าลักษณะของเขาเป็นอย่างนั้นมีปรากฏ

    ท่านอาจารย์ จึงได้กล่าวถึงลักษณะนั้นให้เข้าใจได้ ว่าลักษณะนั้นเป็นอย่างนั้น

    อ.วิชัย ประการสุดท้าย เป็นผู้ที่เมื่อพิจารณาอรรถแห่งธรรมแล้ว เป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม

    ท่านอาจารย์ พระธรรมที่ทรงแสดง การศึกษาทั้งหมด ไม่ว่าวิชาใดๆ แม้ทั้งสิ้นทางโลกต้องเป็นไปตาม ลำดับ สำหรับพระพุทธศาสนาก็เช่นเดียวกัน เป็นเรื่องของปัญญา ปัญญามีตั้งแต่เล็กๆ น้อยๆ จนกระทั่ง คมกล้า ต่างขั้น เพราะฉะนั้น จากการที่ไม่เคยฟังธรรมเลย ไม่รู้ว่าธรรมอยู่ที่ไหน ธรรมคืออะไร ได้ยินแต่คำว่าธรรม ก็อยากศึกษาธรรม โดยไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร อย่างนั้นก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้เลย เพราะไม่มีความเข้าใจตามลำดับตั้งแต่ต้น

    เพราะฉะนั้น ตามลำดับตั้งแต่ต้น คือว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ คือเดี๋ยวนี้ทุกกาลสมัย นี่คือการฟัง แล้วเริ่มเข้าใจ ว่าปัญญาต้องตามลำดับขั้น คือต้องรู้ว่าขณะนี้มีอะไร ที่ปัญญาสามารถจะเข้าใจได้ ไม่ใช่ปัญญาเข้าใจอะไรก็ไม่รู้ ได้รู้แต่ว่าปัญญา ปัญญา แต่ปัญญารู้อะไรก็ไม่รู้ นั่นไม่ใช่ปัญญาแน่นอน

    เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงมี ๓ ขั้น ปริยัติ ปฏิปัตติ และปฏิเวธ ตามที่คุณวิชัยถามถึง ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมด้วย แต่ว่าตามลำดับก็คือว่า คนที่ไม่รู้อะไรเลย เด็กเพิ่งเกิดหรืออายุสักขวบ ๒ ขวบ ไปเข้าโรงเรียน รู้ไหม หรือว่า ต้องตั้งต้นตั้งแต่ ก ไก่ กี่วันก็ไม่รู้ กว่าจะจำไปได้แต่ละตัว จนกระทั่งอ่านออก

    เพราะฉะนั้น แม้แต่สิ่งที่มีจริง แล้วไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า นี่แหละ เป็นสิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าใช้คำภาษาบาลีว่า “ธรรม” และทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริง โดยประการทั้งปวง โดยการตรัสรู้ สิ่งที่มีจริงคือ ธรรมนี่แหละ ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ คนนั้นก็จะรู้ว่า กำลังฟัง เข้าใจแค่ไหน

    อย่างเมื่อสักครู่นี้ ขออนุญาตกล่าวถึงคุณอรรณพบ่อยๆ คงไม่เป็นไร เพราะเหตุว่า ทุกคนก็เห็น เมื่อสักครู่ฟังแล้วใช่ไหม แท้ที่จริงก็คือธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม แล้วก็มี สี กลิ่น รส โอชา และเฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ก็เป็นรูป ซึ่งอยู่ที่มหาภูตรูป ธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม ซึ่งสามารถกระทบตา จิตเห็นเกิดขึ้น แต่กว่าจะเป็นคุณอรรณพ คิ้วอย่างนี้ ตาอย่างนี้ จมูกอย่างนี้ ไม่ใช่คนอื่น เห็นไหม ก็จะต้องมีการเกิดดับของรูป ซ้ำอย่างรวดเร็วสุดที่จะประมาณได้ เหมือนอย่างเด็กเกิดใหม่ เห็นคุณอรรณพไม่รู้จักเลย ใช่ไหม คนที่ไม่เคยรู้จักคุณอรรณพโตขึ้นมาหน่อย ก็ไม่รู้จัก จนกว่าจะคุ้นเคย แล้วก็ชิน

    เพราะฉะนั้น สภาพธรรมแม้มี ก็ไม่ใช่ว่าจะรู้ความจริงของสิ่งนั้น เพียงแต่เห็น ไม่รู้ใช่ไหม ได้ยินคำว่า “อวิชชา” ในภาษาบาลี หมายความถึง สภาพที่ไม่สามารถจะเข้าใจถูก เห็นถูกตามความเป็นจริง ของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ขณะใดก็ตามที่ไม่รู้ความจริงแท้ๆ ที่ทรงแสดงไว้โดยละเอียด ขณะนั้นก็เป็นความไม่รู้

    เพราะฉะนั้น จะเป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมได้ไหม ไม่มีทางเลย เพราะว่าส่วนใหญ่ เข้าใจผิด เข้าใจว่าการที่จะรู้ธรรมโดยการปฏิบัติ แต่ไม่รู้ว่าปฏิบัติคืออะไร ปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ ปริยัติ คือ การให้ยินได้ฟังพระธรรม แล้วก็มีความเข้าใจในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง เป็นผู้ที่รอบรู้ในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง เพราะว่าพระธรรมที่ทรงแสดงเป็นเรื่อง “ละความไม่รู้”

    เพราะฉะนั้น คนนั้นจะอยากปฏิบัติไหม จะอยากรู้สภาพธรรมไหม หรือว่ามีความเข้าใจถูกต้องว่า ไม่เคยฟังธรรมจากพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เป็นความต่างของคนที่คิดเอง กับคนที่ฟังพระธรรมด้วยความเคารพ สิ่งที่ได้ฟังนี้ต้องลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะทรงบำเพ็ญบารมีนานแสนนาน กว่าจะได้รู้ความจริงอย่างนี้

    เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงอนุเคราะห์แต่ละคำมีค่าแค่ไหน เท่ากับการที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัปป์ เพราะฉะนั้น แม้แต่คำว่า “สิ่งที่ปรากฏทางตา” ไม่ต้องปฏิบัติ เข้าใจหรือเปล่า เข้าใจขึ้นหรือเปล่า เข้าใจแค่ไหน เข้าใจจนกระทั่งพอเห็นแล้วก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าชั่วคราว เพียงเห็น ขณะใดที่มีสภาพธรรมอื่นเกิดขึ้น ไม่ใช่เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏแล้ว เช่น คิด หรือเสียงปรากฏ กลิ่นปรากฏ ก็ไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา เพราะว่าจิตจะเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 184
    12 ม.ค. 2567