พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 723


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๒๓

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๔


    ท่านอาจารย์ ใจนี่มองไม่เห็น คนนั้นใจดีเห็นใจเขาหรือเปล่า หรือว่าเพียงแต่เห็นการกระทำกับคำพูด และก็บอกว่าเขาใจดี แต่ใจจริงๆ ก็ไม่เห็นว่าขณะนั้นเป็นใจอะไร

    อ.วิชัย หมายความว่า ต้องมีธรรมนั้นๆ จึงจะแสดงความหมายออกมาเป็นลักษณะอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง แต่ก็ไม่รู้จักธรรม ก็รู้จักแต่คน แล้วก็บอกว่าใจดี แต่ใจเป็นอย่างไรก็ไม่รู้

    ผู้ฟัง เห็น

    ท่านอาจารย์ เห็นใช่ไหม เท่านั้น เพราะฉะนั้น เราจะศึกษาเรื่องเห็นให้เข้าใจจริงๆ เพราะว่าเห็นมีจริงๆ แล้วก็กำลังเห็นด้วย และทั้งๆ ที่กำลังเห็น รู้ความจริงของเห็นหรือยังว่าเห็นเกิดขึ้นทำกิจ คือกำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ใครจะเห็นไม่ได้นอกจากธาตุที่กำลังเห็น แล้วก็หมดไปเท่านั้นเอง คือเข้าถึงสภาพธรรมที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เกิดแล้วก็ดับไปเพื่อจะได้เข้าใจความจริงว่า ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตนใดๆ เลยทั้งสิ้น

    ถ้าไม่มีสภาพธรรมที่เกิดดับ จนกระทั่งปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานที่จะให้จำ แล้วคิดถึงสิ่งนั้นด้วยชื่อ และความหมายต่างๆ เช่น ขณะนี้ มีคน ถ้าไม่มีเห็นดีไหม ถ้าเห็นสิ่งที่ไม่มีสัณฐานเป็นคิ้ว ตา จมูก ปาก จะว่าเป็นคนไหม ก็ไม่ใช่ แต่รูปที่มีคิ้ว มีตา มีจมูก มีปาก เป็นคนใช่ไหม เพราะว่าบอกว่าเห็น แล้วก็รู้ว่าเป็นคน เพราะฉะนั้น นี่คือความจริงซึ่งค่อยๆ เข้าใจว่า แท้ที่จริงก็คือ ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละ๑ ซึ่งแต่ละ ๑ สามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจความจริงได้ว่า ไม่สับสน แล้วก็ไม่ปนกันเลย

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏทางตาก็กำลังปรากฏ ให้รู้ว่าความจริงแล้วเป็นธาตุหรือธรรมอย่างหนึ่งซึ่งปรากฏให้เห็นได้เพราะเพียงหลับตาก็ไม่ปรากฏ แล้วเมื่อไหร่จะรู้ความจริงว่า ขณะนี้มีสิ่งซึ่งเป็นธรรมอย่างหนึ่งเป็นธรรม คือสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง กำลังปรากฏ ให้เริ่มเข้าใจถูกว่าเป็นเพียงสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ เพราะเพียงหลับตาก็ไม่เห็น เห็นไหมกว่าความรู้ ความเข้าใจของเราในสิ่งที่ปรากฏ มีการเห็นบ่อยๆ สิ่งนี้ปรากฏบ่อยๆ แต่ก็ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ จนกว่าจะรู้เมื่อไหร่ นั่นคือความเห็นถูก ในเห็น และในสิ่งที่กำลังปรากฏ

    อ.วิชัย ก็ต้องเข้าใจทีละคำให้ชัดเจน ถ้าฟัง และกล่าวคำที่ไม่เข้าใจก็จะไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ในขณะนี้ ฟังแล้วเป็นอย่างนี้หรือเปล่า เป็นอย่างที่ได้ฟัง หรือว่าเริ่มจะเข้าใจว่าความจริงเป็นอย่างนี้ แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา ซึ่งต่างกับสภาพธรรมที่ปรากฏทางหู แต่ละ ๑ ไม่พร้อมกัน เพียงเกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หมดไป ทั้งหมดจึงว่างเปล่า เพราะเหตุว่า เพียงปรากฏเล็กน้อยแล้วก็หมดไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก นี่คือความจริงไม่ว่าจะพูดเรื่องอะไรความจริงก็เป็นอย่างนี้ คือเป็นเพียงสิ่งซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นปรากฏเพียงเล็กน้อยแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับไปอีก แต่ละเสียงดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีก ฉันใด สิ่งที่ปรากฏทางตาเมื่อเห็นเกิดขึ้น ๑ ขณะดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ ได้ยินแล้วพอใจ

    ท่านอาจารย์ สภาพธรรมที่พอใจมีแน่นอน แต่ว่าเป็นธรรมซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ถ้าเห็นสิ่งที่น่ากลัวน่าเกลียด ซากศพจะพอใจไหม ก็ไม่พอใจ เพราะฉะนั้น แม้แต่ความพอใจก็บังคับให้เกิดขึ้นไม่ได้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้น ก็เข้าถึงความหมายของคำว่าอนัตตา ไม่ใช่เราจะไปบังคับสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้เกิดขึ้นเป็นไป แต่สิ่งนั้นเกิดแล้วแม้เดี๋ยวนี้ เห็นเกิดแล้ว ได้ยินเกิดแล้ว คือศึกษาธรรมในขณะที่กำลังเป็นจริงขณะนี้ เห็นเกิดแล้ว ได้ยินเกิดแล้ว นี่ก็คือเริ่มรู้ลักษณะของเสียง และได้ยิน หรือว่าเห็นกับสิ่งที่กำลังปรากฏ ทีละ ๑ ทีละ ๑ จนกระทั่งเห็นว่าทั้งหมดก็เป็นธรรมซึ่งมีปัจจัยเกิดสั้นมาก แล้วก็หมดไป แล้วก็ไม่กลับไปอีกแต่ก็ติดข้อง นี่คือความพอใจ ความยินดีที่จะเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น

    เพราะฉะนั้น ทุกอย่างก็เป็นความจริงซึ่งเกิดดับสืบต่อ ซับซ้อน เพราะอะไร เห็นแล้วก็ชอบ แล้วก็เห็นอีก แล้วก็ชอบอีก ซึ่งเห็นไม่ใช่ชอบ แต่ก็เกิดสลับกัน ทำให้ปรากฏเป็นเหมือนว่าทั้งเห็นด้วย และทั้งพอใจในสิ่งที่ปรากฏให้เห็นด้วย เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมทีละคำ ทีละอย่าง ทีละลักษณะ ก็จะเข้าใจชัดเจนในความเป็นธรรมนั้นๆ ไม่ปะปนกัน ทุกอย่างที่ปรากฏทางตาก็ชอบ ทางหูก็ชอบ ทางจมูกก็ชอบ ทางลิ้นก็ชอบ ทางกายก็ชอบ ทางใจก็ชอบ เมื่อมีเหตุปัจจัย เห็นแล้วก็ไม่ชอบ ได้ยินแล้วก็ไม่ชอบ ได้กลิ่นก็ไม่ชอบ ลิ้มรสก็ไม่ชอบ กระทบสัมผัสก็ไม่ชอบ เมื่อมีเหตุปัจจัย นี่คือชีวิตตามความเป็นจริง ไม่พ้นจะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายใจ และชอบ ไม่ชอบ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะพูดถึงอะไรแต่ละคำ ก็คือธรรมทั้งนั้น

    ผู้ฟัง อยากให้ท่านอาจารย์ช่วยให้ความเข้าใจว่า เราจะเข้าใจเรื่องของสภาพรู้ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ว่าเป็นธรรมได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ธรรม คืออะไรก่อน

    ผู้ฟัง ธรรมคือความจริง

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีจริงๆ ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แล้วเมื่อสักครู่สงสัยว่าอะไร

    ผู้ฟัง สงสัยว่า เมื่อเราไม่รู้ เราจึงยึดสภาพรู้ว่าเป็นเราทั้งนั้นเลยในชีวิตประจำวันทุกขณะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น สิ่งใดที่มีจริง ที่คุณนิรันดร์ถามว่า แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นธรรมใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ จะรู้ได้อย่างไรว่าสภาพรู้เป็นธรรม ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง เมื่อสภาพรู้มีจริง สภาพนั้นก็เป็นธรรม ไม่ใช่พูดถึงสิ่งอื่นเลย ธรรมดาๆ คือใช้ภาษาไทยให้เข้าใจว่า สิ่งที่มีจริง มีจริงๆ สิ่งใดมีจริงสิ่งนั้นมีจริง เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงก็เป็นธรรม

    ผู้ฟัง อย่างนี้เราต้องมาเรียนรู้ว่า สภาพรู้คืออย่างไรในชีวิตประจำวันอย่างนั้นใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ตาเห็นไหม

    ผู้ฟัง ตัวตาไม่เห็น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ตาไม่รู้อะไรใช่ไหม

    ผู้ฟัง ตาไม่รู้อะไร

    ท่านอาจารย์ แล้วเห็นเดี๋ยวนี้ อะไรเห็น ไม่ใช่ตา เพราะตาไม่เห็น สภาพที่เห็นที่ไม่ใช่ตานั่นแหละคือสภาพรู้หรือธาตุรู้

    ผู้ฟัง ซึ่งถ้าเราไม่เข้าใจตรงนี้เราก็จะยึดว่าเป็นเราที่เห็น

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    ผู้ฟัง งั้นเรามาศึกษาก็เพื่อทำความเข้าใจให้ถูกต้องตามความเป็นจริง

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ไม่อย่างงั้นไม่ต้องศึกษา ศึกษาให้ผิดๆ ศึกษาทำไม ศึกษาก็คือให้ถูก ให้เข้าใจถูกตามความเป็นจริงว่าความจริงคืออะไร จะรู้ไหมความจริง ในเมื่อความจริงมี แต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้น เมื่อความจริงมีแล้วก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง เท่านั้นเองคือการศึกษา

    ผู้ฟัง แต่เราก็ไม่ได้ยึดเฉพาะว่า การเห็นเป็นเราเท่านั้นอาจารย์ มีสภาพจิต และเจตสิกแต่ละอย่างเกิดขึ้นมากมายในชีวิตประจำวัน

    ท่านอาจารย์ เวลานี้เรายังไม่ต้องพูดถึงคำว่าจิต และเจตสิก พูดถึงคำว่าเห็น และก็รู้ด้วยว่าตาไม่เห็น เพราะฉะนั้น ขณะนี้ที่กำลังเห็นไม่ใช่ตา สภาพที่กำลังเห็นมีแน่นอนจริงๆ แต่กว่าจะไม่ลืม แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจ เพราะว่าไม่มีรูปร่างที่จะปรากฏให้รู้ใช่ไหม แต่กำลังเกิดขึ้นเห็น ขณะที่เห็นเดี๋ยวนี้ไม่ต้องไปหารูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น เพราะไม่มีที่จะให้ไปหาพบได้ เป็นธาตุซึ่งเกิดขึ้นรู้คือกำลังเห็นว่า สิ่งที่ปรากฏขณะนี้เป็นอย่างนี้

    ผู้ฟัง คือท่านอาจารย์บอกว่า ค่อยๆ เริ่มที่จะรู้สภาพที่เห็น

    ท่านอาจารย์ ค่อยๆ เข้าใจก่อนว่ามีแน่ๆ จากการฟังรู้ว่าเห็นมีแน่นอน และเห็นไม่ใช่ตา แต่กว่าจะรู้ว่าเห็นไม่ใช่เรา แต่ว่าเป็นการเห็น การเห็น ก็คือขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏ เห็นก็คือว่ารู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏว่า สิ่งที่ปรากฏเป็นอย่างนี้ไม่เป็นอย่างอื่น

    ผู้ฟัง งั้นถ้าฟังเรื่องของการเห็นก็ให้มีความเข้าใจในเรื่องของการเห็น

    ท่านอาจารย์ ในเรื่องสิ่งที่มีจริง

    ผู้ฟัง ไม่ใช่ไปคิดถึงเรื่องจิต เจตสิกต่างๆ ที่เกิดขึ้นในจิต เจตสิกต่างๆ

    ท่านอาจารย์ จะเรียกชื่อเมื่อไหร่หรือไม่เรียกชื่อเปลี่ยนเห็นได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เห็น เราใช้คำว่าเห็นในภาษาไทย แต่ในภาษาบาลีไม่มีคำว่าเห็น มีคำว่า "จักขุวิญญาณ" หมายความถึงธาตุรู้ซึ่งต้องอาศัยตา ถ้าไม่มีตาก็ไม่สามารถที่จะเห็นได้ เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่เรา เป็นธรรมที่มีจริงๆ นี่

    ผู้ฟัง ก็คือการฟังเพื่ออบรมที่จะมีความเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ให้เข้าใจความจริง

    ผู้ฟัง โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นสติปัฏฐานหรือเปล่า สติปัฏฐานจะเกิดหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เข้าใจความจริงจะไปมีสติปัฏฐานได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ต้องตามลำดับขั้น ไม่ใช่ได้ยินคำแล้วก็ไม่รู้แล้วก็ใช้คำที่ไม่รู้ แต่ว่าสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ เมื่อเป็นอย่างนี้ เพราะฟัง ไม่ใช่ฟังเฉยๆ ต้องเข้าใจสิ่งที่กำลังได้ยินด้วย และก็ต้องเป็นผู้ที่ตรง ที่จะรู้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ ศึกษาธรรมเพื่ออะไร เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ใช่เพื่อลาภ เพื่อยศ เพื่อสรรเสริญ เพื่อคำชม แต่ว่าเพื่อเข้าใจถูกว่าเมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ แล้วจะหลงผิดอยู่ทำไม หลงไม่รู้อยู่ทำไม ใช่ไหม เพราะว่าความจริงคือเห็นเกิดแล้วก็ดับ แต่ก็บังคับบัญชาไม่ได้ แล้วก็จะไปเข้าใจผิดว่าเป็นเราเห็น มีเราจริงๆ ได้อย่างไร เพราะฉะนั้น การฟังก็เพื่อมีความเห็นที่ถูกต้อง จึงจะเป็นผู้ตรงต่อการฟัง ว่าฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง

    ผู้ฟัง ถ้าไม่เข้าใจว่าเห็นเป็นสภาพรู้ ก็ไม่มีทางที่จะไถ่ถอนกิเลสต่างออกได้เลย

    ท่านอาจารย์ แน่นอน จะเอาอะไรมาไถ่ถอน ก็ไม่รู้อะไรสักอย่าง

    ผู้ฟัง ก็ยังเป็นเราที่เห็น เป็นเรายึดมั่นในสิ่งต่างๆ เราที่ติดข้องในสิ่งต่างๆ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคุณนิรันดร์ฟังธรรมเพื่ออะไร

    ผู้ฟัง เพื่อจะเข้าใจความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้

    ท่านอาจารย์ แต่ก่อนนี้เพื่ออะไรหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เพื่อจะคลายทุกข์ เพื่อที่จะได้สิ่งดีๆ

    ท่านอาจารย์ แต่ไม่ใช่เพื่อเข้าใจสภาพธรรม

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ ก็แสดงว่ากว่าเราจะฟันฝ่าโลภะ คือการต้องการคลายความทุกข์ เกิดมาแล้วกลัวทุกข์ ไม่อยากมีทุกข์ หาทางที่จะไม่มีทุกข์ ทางหนึ่งก็คือคิดว่ามาฟังธรรมแล้วก็จะคลายทุกข์ ตรงไหมกับการฟังธรรม

    ผู้ฟัง จริงๆ ไม่ใช่อย่างนั้นฟังเพื่อที่จะคลายทุกข์

    ท่านอาจารย์ ไม่ตรงเลย

    ผู้ฟัง ไม่ตรง

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าฟังด้วยความหวัง แม้แต่เพียงการที่จะฟันฝ่า กรงของโลภะซึ่งล้อมรอบแม้แต่จะฟังธรรมก็เพื่อหวังอย่างหนึ่งอย่างใด เป็นการฟังโดยไม่หวังอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะไม่รู้ก็ฟังเพื่อที่จะเข้าใจ ไม่ใช่ฟังแล้วเราก็จะได้เป็นคนฉลาด หรือว่าคลายความทุกข์ไม่มีความทุกข์ ถ้าอย่างนั้นก็ฟังเพื่อความเป็นเรา ไม่ใช่ฟังเพื่อความเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่า เพื่อให้เข้าใจถูกต้องว่าธรรมเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้น แม้แต่การที่จะเป็นคนที่ตรง จริงใจซึ่งเป็นบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี มั่นคงที่จะรู้ว่าฟังไม่ใช่เพื่ออะไรเลย เพื่อเข้าใจสิ่งที่มี ที่กำลังปรากฏแล้วไม่รู้ เวลานี้ทุกคนต้องยอมรับ ถ้าไม่มีปัญญาที่สามารถประจักษ์ลักษณะที่เป็นนามธาตุ ก็จะรู้ว่าเพียงได้ยินชื่อว่าธาตุรู้ หรือนามธาตุ ทั้งๆ ที่กำลังเห็น

    เพราะฉะนั้น ฟังให้เข้าใจว่าในขณะที่กำลังเห็นนี่แหละ จากไม่รู้เลยว่าเป็นธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งเกิดดับ ก็เริ่มเข้าใจจากการฟังสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ บังคับไม่ได้ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับ แต่ก็ยังไม่ประจักษ์ในธาตุรู้ ซึ่งกำลังเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง คิดนึกบ้าง เพียงแต่เริ่มฟัง เริ่มเข้าใจ ทั้งๆ ที่กำลังเห็น

    เพราะฉะนั้น เห็นไหมว่ากว่าจะละโลภะ ซึ่งเกิดร่วมกับความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวเรา ก็ต้องเป็นผู้ที่ตรงตั้งแต่ขั้นต้น ฟันฝ่าความต้องการใดๆ เพื่อตัวตน เพียงเพื่อฟัง และก็ได้สาระจริงๆ คือการเข้าใจธรรมที่ได้ฟัง ถ้าเป็นอย่างนี้จะเข้าใจธรรม บางคนฟังแล้ว เราไม่เข้าใจ เห็นไหม มีเราที่ไม่เข้าใจ เราไม่เข้าใจแน่ แต่ถ้าฟังว่าขณะนี้อะไรมีจริง อะไรเป็นสิ่งที่มีจริง ก็ตอบได้ เห็นมีจริงๆ แล้วก็เมื่อรู้ว่าเห็นเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปแล้ว และเราอยู่ที่ไหน เมื่อสักครู่นี้เป็นเราเห็น แล้วพอเห็นดับไปเราจะอยู่ที่ไหน ก็ต้องไม่มี แต่ว่าตามความเป็นจริงก็คือว่า ธรรมเป็นธรรมซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ต้องเข้าใจจากขั้นการฟังก่อน

    เมื่อสักครู่นี้ ก็มีหลายคนพูดคำว่าสติปัฏฐาน ถ้ายังไม่เข้าใจธรรม พูดทำไม และสติปัฏฐานคืออะไร ก็พูดคำที่ไม่รู้จัก เพราะฉะนั้น แทนที่จะเกิดมา แล้วตลอดชีวิตก็พูดแต่คำที่ไม่รู้จัก ก็เริ่มรู้จัก และเข้าใจคำที่พูด เช่นธรรม นามธรรมก็เริ่มเข้าใจขึ้น ว่าตาไม่เห็น แต่เห็นไม่ใช่ตา แต่เห็นเกิดเห็น กำลังเห็น เป็นธรรมหรือเป็นธาตุชนิดหนึ่งซึ่งมีจริงๆ เข้าใจเพราะฟัง ถูกต้องไหม

    ผู้ฟัง เข้าใจเพราะฟัง

    ท่านอาจารย์ นั่นคือเข้าใจเพราะฟังจริงๆ ไตร่ตรองจริงๆ

    ผู้ฟัง คนที่สติปัฏฐานเกิด และคนที่วิปัสสนาญาณเกิดด้วย อย่างไร ก็คือมีทั้งอกุศล กุศลเกิดสลับกันได้เรื่อยๆ

    ท่านอาจารย์ อกุศลมีจริงๆ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง มีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ปัญญาสามารถที่จะรู้อกุศลตามความเป็นจริงได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ ฟังเรื่องสติปัฏฐานเข้าใจไหม

    ผู้ฟัง ไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่เข้าใจสติปัฎฐาน จึงไม่ทราบว่า อกุศลก็สามารถที่จะเป็นอารมณ์ของปัญญาได้

    ผู้ฟัง แต่นี่ยิ่งกว่าวิปัสสนาญาณนี่ผมเห็น

    ท่านอาจารย์ วิปัสสนาญาณเป็นปัญญาหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ สามารถจะรู้อกุศลได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ ในเมื่อปัญญาธรรมดายังสามารถที่จะรู้อกุศลได้ แล้วเป็นวิปัสสนาญาณจะไม่รู้อกุศลหรือ ชื่อว่าปัญญาแล้วจะไม่เห็นถูก ไม่รู้ ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ปัญญาสามารถที่จะรู้ได้ทุกอย่างหรือบางอย่าง

    ผู้ฟัง ทุกอย่าง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น อกุศลเป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ ปัญญาสามารถที่จะเห็นอกุศลขณะนั้นว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เราหรือเปล่า แล้วถ้าเป็นวิปัสสนาญาณจะรู้แจ้งในการเกิดดับของอกุศลได้ไหม เพราะเป็นธรรม

    ผู้ฟัง ได้

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ จะมีปัญญาในขั้นเข้าใจ หรือมีปัญญาในขั้นเจริญวิปัสสนาแล้วหรือ

    ท่านอาจารย์ คืออกุศลนี้สะสมมามากกว่ากุศลหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ใช่แน่นอน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ อะไรเกิดมากกว่ากัน

    ผู้ฟัง อกุศล

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ปัญญานิดๆ หน่อยๆ เล็กๆ น้อยๆ จะละอนุสัยกิเลสได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แล้วตราบใดที่ยังมีอนุสัยกิเลสก็จะเป็นเหตุให้เกิดอกุศลจิต และอกุศลกรรม

    ผู้ฟัง แต่ถ้าสมมติว่า มีปัญญาในระดับของวิปัสสนาญาณเกิด แต่ยังไม่ได้ถึงขณะที่ดับอนุสัยกิเลสเป็นบางส่วน โอกาสที่จะล่วงทุจริตกรรมเป็นไปได้ตลอดเวลา

    ท่านอาจารย์ คนที่แม้วิปัสสนาญาณยังไม่เกิด แต่สะสมกุศลมากๆ รักษาศีลมาหลายชาติหลายกัปป์ และก็มีการที่จะสะสมคุณความดีต่างๆ อกุศลของเขาจะเกิดมากไหม

    ผู้ฟัง อกุศลก็ต้องเกิดน้อยลง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราจะคิด แต่ที่แน่นอนก็คือว่า ถ้าโลกุตตรจิตยังไม่เกิด ดับอนุสัยกิเลสไม่ได้ แล้วตราบใดที่มีอนุสัยกิเลส ก็สามารถที่จะมีอกุศลจิตซึ่งทำอกุศลกรรมได้ตามกำลังของการสะสม

    อ.ธิดารัตน์ พูดถึงการขัดเกลานี้ก็มีตั้งแต่ทั้งที่จะเริ่มเป็นไปเล็กน้อยจนกว่าจะถึงขั้นดับกิเลสโดยลำดับเหมือนกันใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ไม่ทราบว่ามุ่งหมายระดับไหน

    อ.ธิดารัตน์ อย่างสติปัฏฐานเกิด ก็ละการที่ไม่เคยรู้ว่า ลักษณะของนามธรรมเป็นอย่างไร รูปธรรมเป็นอย่างไร ก็เหมือนกับค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    ท่านอาจารย์ แล้วใครจะรู้การสะสมของจิตแต่ละ ๑ ซึ่งนับประมาณไม่ได้ มีปัจจัย ที่จะให้อะไรเกิดขึ้นเราไม่ใช่ผู้ที่รู้ ที่จะรู้ทั่วของจิตทุกจิตในสากลจักรวาลที่จะรู้การสะสมของแต่ละจิตมา แต่ว่าที่แน่นอนก็คือว่า ถ้ายังไม่ได้ดับอนุสัยกิเลสผู้นั้นก็ยังมีอกุศล ที่จะทำอกุศลกรรม แล้วแต่ว่าระดับไหน

    อ.ธิดารัตน์ หมายถึงว่าอาจจะเล็กน้อย

    ท่านอาจารย์ คุณธิดารัตน์คิดว่าชาติก่อนๆ ของท่านพระองคุลีมาลท่านขัดเกลาอะไรหรือเปล่า

    อ.ธิดารัตน์ ท่านก็ต้องขัดเกลามาเหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ พอถึงชาติสุดท้ายก่อนที่จะเป็นพระอรหันต์ท่านทำอะไร

    ผู้ฟัง อย่างนี้ก็หมายความว่า การที่จะเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้การสะสมก็เป็นฝ่ายดีก็สะสมแล้ว และอกุศลที่สะสมมามากๆ ก็ไม่ได้หายไปไหน ก็เมื่อถ้ามรรคจิตไม่เกิดตราบใด อกุศลที่สะสมไว้มากๆ ปัญญาก็ไม่สามารถที่จะละได้

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องเข้าใจว่าเมื่อกิเลสมี ๓ ขั้น แล้วก็กุศลระดับไหน ระงับหรือดับกิเลสอะไร ทุจริตกรรมละได้ด้วยอะไร เว้นได้ด้วยอะไร ไม่กระทำได้ด้วยอะไร คนที่เขาไม่ทำทุจริตนี่เขามีปัญญาไหม

    ผู้ฟัง คนที่ไม่ทำทุจริตไม่มีปัญญาก็ละได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น อะไรสามารถที่จะระงับอกุศลกรรมในขณะนั้นได้ อกุศลจิตต้องเกิดแน่ แต่การที่จะล่วงทุจริตกรรม อะไรสามารถที่จะละเว้นได้ ความรู้ที่เคยสะสมมา ฟังไปฟังมาหายไปหมดหรือเปล่า

    อ.วิชัย ขณะที่เข้าใจ ขณะนั้นก็สั่งสมความเข้าใจ ก็จิตแต่ละขณะก็เกิดขึ้นตามเหตุ ตามปัจจัยอย่างเช่น ขณะนี้มีปัจจัยให้เกิดความเข้าใจขึ้นบ้างไหมจากการที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวสักครู่นี้เพราะเหตุว่า การสั่งสมไม่ว่าจะเป็นธรรมฝ่ายดีก็ตาม หรือธรรมฝ่ายไม่ดีก็ตาม ขณะที่เกิดแล้วสำเร็จแล้ว ขณะนั้นก็เป็นปัจจัยอยู่ คือยังสั่งสมอยู่

    ฉะนั้น ถ้าพิจารณาว่าการกระทำในแต่ละวันในชีวิตประจำวันของเรา มีทั้งการกระทำที่ดีบ้าง และก็ไม่ดีบ้างตามอะไร ก็คือตามจิตใจแต่ละขณะที่เกิดขึ้น ฉะนั้นจิตแต่ละขณะซึ่งเป็นธรรมจริงๆ มีปัจจัยที่จะให้เกิดตามการสั่งสมที่ได้สั่งสมมา หรือแม้การฟังพระธรรมขณะนี้ ถ้าบุคคลที่ไม่เคยฟังพระธรรมเลย จะกล่าวเรื่องของธรรมว่าธรรมคืออะไรก็ยังไม่เข้าใจ แต่ขณะที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงๆ สิ่งที่มีจริงคืออะไร ก็ต้องพิจารณาว่า ขณะที่เห็นมีจริงไหม เป็นธรรมหรือเปล่า

    ฉะนั้น ถ้าสิ่งที่มีจริงกำลังมีในขณะนี้ เป็นธรรม ฉะนั้น การเห็นขณะนี้ การได้ยินขณะนี้ การได้กลิ่นขณะนี้ก็เป็นธรรม เป็นธรรมแต่ละอย่าง เมื่อเป็นธรรมแต่ละอย่าง ธรรมที่กำลังมีขณะนี้ บังคับให้มีได้ไหม หรือบังคับไม่ให้ไม่มีได้ไหม ซึ่งธรรมแต่ละอย่างก็ทรงแสดงบ้าง ต้องอาศัยปัจจัย ต้องอาศัยเหตุ จึงจะมีได้จึงจะเกิดขึ้นได้ ฉะนั้น ความรู้ความเข้าใจ ก็เริ่มที่จะเข้าใจขึ้นว่าจริงๆ ว่าเป็นบุคคลต่างๆ มากมาย แต่จริงๆ ก็คือ เป็นธรรมแต่ละอย่าง พิจารณาแต่ละขณะ แต่ละขณะสิ่งที่มีจริงที่กำลังมีขณะนี้ให้เข้าใจขึ้น


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 184
    12 ม.ค. 2567