พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 735


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๓๕

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เช้ามา คิดที่จะรอดจากอกุศล และกิเลสหรือเปล่า สำหรับคนที่ไม่ได้ฟังธรรมไม่เห็นประโยชน์ของพระธรรมเลย จะไม่คิดเลยที่จะฟังพระธรรม เพื่อที่จะได้ขัดเกลากิเลสที่เศร้าหมอง แล้วก็ทำความดีให้มากขึ้น จนกระทั่งสามารถที่พ้นจากอกุศล และกิเลสทั้งปวงได้ เพราะฉะนั้น ท่านเหล่านั้นก็เป็นอีกโลกหนึ่ง ในโลกของความมืดสนิทซึ่งไม่มีแสงสว่างเลย แต่ว่าผู้ที่มีโอกาสได้ฟังธรรม ก็เริ่มรู้ถึงภัยใหญ่ ตั้งแต่เช้ามากิเลสเท่าไหร่ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วจะรอดได้อย่างไร เป็นภัยหรือเปล่ามากขึ้นเรื่อยๆ

    เพราะฉะนั้น ทางรอดก็คือว่า ฟังพระธรรมให้เข้าใจ มีหนทางเดียว ขณะที่เข้าใจเป็นกุศลแล้ว แล้วก็ยังจะนำมาซึ่งกุศลอื่นๆ ซึ่งเกิดเพราะความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ให้คิดถึงภัยของสังสารวัฏฏ์ เหมือนคนที่จมอยู่ในน้ำ ล้อมรอบด้วยน้ำตลอดคืออกุศล แล้วก็ทางที่พ้นจากน้ำที่เป็นอกุศลที่จะขึ้นจากน้ำได้ มีไหม และก็จะต้องอบรมเจริญอย่างไร ด้วยความเพียร ด้วยความอดทนอย่างไร

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่เห็นประโยชน์ของการฟัง ไม่ใช่ฟังเพื่อพรุ่งนี้จะเป็นพระอริยบุคคล หรือว่าจะประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไปของธรรม แต่ฟังด้วยความเป็นผู้ตรง ขณะที่ฟังก็มีธรรมปรากฏ แล้วเข้าใจตัวธรรมที่ปรากฏ แค่ไหน ซึ่งต้องอาศัยการฟังอีก ฟังอีก โดยที่ไม่ต้องหวังว่าวันไหน เดือนไหน ปีไหนเลย แต่เป็นความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น และมั่นคงขึ้นว่าทุกอย่างเป็นธรรม ซึ่งเมื่อมีเหตุปัจจัยก็เกิด

    เพราะฉะนั้น อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด โดยเฉพาะเกิดแล้วให้เห็น จากที่ยังไม่เกิดเมื่อสักครู่นี้ เป็นเกิดแล้วเดี๋ยวนี้ คืออะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เมื่อเกิดก็ทราบว่ามีปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนี้ แม้ในขณะนี้ เพราะฉะนั้น ถ้ามีความมั่นคงในเรื่องธรรม และเรื่องของเหตุ และผล คือกรรม ซึ่งเป็นเหตุ และวิบากซึ่งเป็นผลของกรรม จะเดือดร้อนไหม ระยะนั้นท่านผู้ที่ได้เล่าให้ฟัง ก็มีเหตุการณ์หลายเรื่องที่เกิดกับท่าน ล้วนแต่อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดทั้งนั้น แต่ท่านก็ผ่านพ้นมาได้ แม้แต่โรคภัยซึ่งเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เพราะการรับประทานยาผิด นี่ก็แสดงให้เห็นว่า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดหรือเปล่า โดยเฉพาะท่านผู้นั้น ที่เข้าใจพระธรรมก็มีความมั่นคง เมื่อถึงกาลที่กรรมจะให้ผล มือที่มองไม่เห็นทำได้ทุกอย่าง ทั้งฝ่ายดี และฝ่ายชั่ว อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดตามเหตุ

    เพราะฉะนั้น ก็ทำให้เป็นผู้ที่เข้าใจธรรมขึ้นเมื่อรู้เรื่องเหตุ และผล ก็จะค่อยๆ คลายการยึดมั่นว่าเป็นเรา เพราะว่าความจริงแล้วก็ไม่มีเราเลย ไม่ว่าจะเป็นขณะไหนทั้งสิ้น เห็นก็เป็นเห็นเกิดแล้วดับไป ได้ยินก็เป็นได้ยินเกิดแล้วดับไป คิดก็เป็นคิดเกิดแล้วก็ดับไป สุขก็เป็นสุขเกิดแล้วก็ดับไป หายไปไหนหมดไม่เหลือเลย ก็เป็นแต่เพียงสิ่งที่เป็นธาตุเป็นธรรมซึ่งมีจริงๆ เพราะมีเหตุปัจจัยทำให้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    ผู้ฟัง นั่นหมายความว่า คำว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ก็รู้อยู่แล้วว่าทุกอย่างเป็นธรรมเกิดตามเหตุปัจจัย ทางรอดที่กล่าวก็คือว่า ศึกษาให้เข้าใจความจริง ด้วยการฟังพระธรรมให้เข้าใจ ว่าจะเป็นทางรอดถึงแม้ว่า ขั้นฟังทำอะไรกิเลสไม่ได้ รู้ว่ากิเลสต้องใช้ปัญญาขั้นที่สูงมากถึงจะสามารถดับไม่เกิดอีกเลยได้ แต่เมื่อได้เริ่มต้นฟังพระธรรมให้เข้าใจ จะทำให้เหมือนกับได้เริ่มพบทางที่จะทำให้รอดได้ แต่ถ้าไม่มีโอกาสฟังพระธรรมหรือว่าศึกษาพระธรรมเลย ก็เหมือนกับชีวิตก็จะมืดมนไปตลอด ก็จะไม่มีโอกาสรู้เลยว่า ทางรอดนี้เป็นอย่างไร อาจจะไปคิดว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ก็อาจจะต้องไปอบาย แล้วก็สลับกับสุคติ ทุคติอยู่อย่างนี้ แต่ถ้าเมื่อมีโอกาสฟังพระธรรมให้เข้าใจ ถึงแม้ยังไม่สามารถดับกิเลสได้ ในขั้นฟังก็สามารถเข้าใจได้ว่า ได้เริ่มต้นพบทางรอดแล้วก็ค่อยอบรมไป

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ขณะใดที่เข้าใจ ขณะนั้นก็เป็นปัญญา ไม่ต้องไปขวนขวายหาปัญญาว่าอยู่ไหน และไม่ต้องถามว่าเป็นปัญญาใช่ไหม ไม่ต้องการชื่อ ใช่ไหม แต่รู้ว่าเข้าใจก็คือเข้าใจ ถ้าเข้าใจตามความเป็นจริง คงจะไม่ต้องถามใครต่อใครว่าถูกหรือเปล่าหรือว่าใช่ไหม

    อ.กุลวิไล บางครั้งผู้ที่ฟังก็เหมือนกับว่า การที่จะเข้าใจลักษณะธรรมเป็นสิ่งที่ค่อนข้างทวนกระแส คือยาก กราบเรียนท่านอาจารย์ เพื่อความเข้าใจแก่ผู้ที่ฟัง เพราะว่าหลายท่านก็อาจจะมีอัธยาศัยการฟังที่แตกต่างกัน แต่ตัวธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง

    ท่านอาจารย์ สภาพธรรมปรากฏควรรู้ยิ่ง แต่รู้ไม่ได้ถ้าไม่ได้ฟังจนกระทั่งเข้าใจจริงๆ เพราะว่าที่รู้ก็คือเข้าใจขึ้น จนกระทั่งสามารถประจักษ์ความเป็นจริงของสภาพธรรม แต่ขณะนี้ทั้งๆ ที่สภาพธรรมก็เป็นอย่างนี้ และได้ยินได้ฟังว่าสภาพธรรมเกิดจึงปรากฏ และเมื่อเกิดแล้วก็ดับไป นี่คือเข้าใจอย่างนี้จริงๆ หรือเปล่า ไม่ใช่ไปถ้าอย่างโน้น ถ้าอย่างนี้ แต่ขณะนี้ สิ่งใดก็ตามที่กำลังปรากฏเกิดแล้วจึงปรากฏ เป็นสิ่งที่มีจริง และสิ่งที่มีจริงกำลังปรากฏในขณะนี้ก็หลากหลาย สิ่งที่ปรากฏทางตาก็มี ปรากฏทางหูก็มี ปรากฏทางกายก็มี คิดก็มี จำก็มีทุกอย่าง ทั้งหมดให้เข้าใจให้ถูกต้องตั้งแต่ขั้นต้นว่าเป็นธรรมแต่ละ ๑ เกิดแล้วดับไปไม่กลับมาอีก

    เพราะฉะนั้น ธรรมจะมากมายประมาณไม่ได้สักแค่ไหน แต่ก็สามารถที่จะประมวลกล่าวรวมเป็นประเภทๆ ได้ แต่ว่าตัวธรรมจริงๆ แต่ละ ๑ เกิดแล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีก อย่างเห็นขณะนี้ ไม่ใช่เห็นเมื่อสักครู่นี้ ไม่ใช่เห็นเมื่อวานนี้ ก็แสดงให้เห็นว่าเกิดปรากฏเฉพาะในขณะนั้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่ของใคร ศึกษาเพื่อให้มีความเข้าใจที่มั่นคง ว่ามีเราจริงๆ หรือเปล่า หรือว่าสิ่งที่เคยเข้าใจว่าเป็นเราก็คือเป็นธรรมซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็มีความหลากหลาย รวดเร็ว จนกระทั่งไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ ด้วยตนเอง นอกจากฟังพระธรรม โดยอาศัยการแสดงพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ แล้วค่อยๆ พิจารณาให้เข้าใจจริงๆ ไม่ใช่ไปจำไว้เฉยๆ แล้วก็เรียกชื่อต่างๆ แล้วก็พูดชื่อเยอะๆ แต่มีความเข้าใจจริงๆ ว่าสิ่งที่ได้ฟังถูกต้องไหม ขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏถูกต้องไหม สิ่งที่ปรากฏนี้เกิดขึ้นแล้วจึงปรากฏ ถูกต้องไหม และมีใครไปทำให้เกิดขึ้นหรือเปล่า หรือว่าเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย นี่คือการที่จะเข้าใจธรรมแล้วค่อยๆ รู้ว่าธรรมขณะนี้ต่างกันอย่างไร เช่น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาต่างกับเสียงไหม เสียงดับแล้วอยู่ที่ไหน กลับมาอีกได้หรือไม่ นี่คือฟังให้เข้าใจ สงสัยก็ถาม แต่ว่าถ้าคิดเองก็ไม่สามารถที่จะถูกต้องได้ อย่างเมื่อสักครู่ถามว่าเสียงที่ดับไปอยู่ที่ไหน ท่านหนึ่งก็ชี้ที่ใจเลย เห็นไหม เสียงไปอยู่ที่ใจได้อย่างไรนั่นคิดเอง

    เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมต้องฟังด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ทุกคำที่ได้ฟังเข้าใจให้ถูกต้อง มิฉะนั้นเราก็ข้ามไป เผินไป แล้วก็มีชื่อมากแล้วก็จำเยอะ แล้วก็คิดว่าเข้าใจ แต่ความจริงไม่ได้เข้าใจ เพราะฉะนั้น ต้องฟังแล้วก็พิสูจน์ ด้วยการที่ว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังถูกไหม แล้วจะเป็นความจริงตามที่ได้ฟังหรือว่าพูดไปก็ไม่จริง ไม่ได้เป็นอย่างนั้น ก็เป็นเรื่องแต่ละคนที่ฟังแล้วไม่ได้เชื่อใคร ไม่ได้ฟังใคร แต่ว่าเหตุผล และพระธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ถ้ามีความเข้าใจก็ต้องตรงกับสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    อ.กุลวิไล ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ท่านอาจารย์กล่าวถึงธรรมมีความต่างกัน

    ท่านอาจารย์ อีกวิธี ๑ ก็คือยังไม่พูดถึงคำอะไรเลยทั้งสิ้น ชื่อต่างๆ ภาษาบาลี แต่ขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ หลากหลายมาก เรียกว่าอะไรดี สิ่งที่มีจริงทั้งหมดทุกอย่าง ถ้าไม่เคยได้ยินได้ฟังเลยเรียกไม่ถูกจะเรียกอะไรดี เห็นก็จริง ได้ยินก็จริง คิดก็จริง แข็งก็จริง ทั้งหมดจริงทั้งนั้นเลย และสิ่งที่มีจริงๆ นี้เรียกว่าอะไรดี คิดไม่ออก แต่พอได้ยินคำว่าธรรม พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติคำนี้ให้เข้าใจว่า หมายความถึง สิ่งที่มีจริงๆ

    เพราะฉะนั้น ถ้าใครคิดว่าเปลี่ยนเสียใช้คำอื่นดีกว่า คำโน้นดีไหม คำนี้ดีไหม ก็ลองคิดดู ว่าธรรม เข้าใจแล้ว ก็ไม่เรียกก็ได้ แต่ทำไมต้องเรียกจะได้รู้กันว่า หมายความถึงอะไร โดยเฉพาะพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติคำนี้ แสดงความหมาย ความจริงของคำนี้ให้รู้ว่า ทั้งหมดที่พระองค์ตรัสทรงตรัสรู้ก่อน แล้วจึงได้ตรัสเรื่องของสิ่งที่ได้ทรงตรัสรู้แล้ว เพื่อที่จะให้คนอื่นเข้าใจ ซึ่งทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่มีจริงๆ

    เพราะฉะนั้น ก็เรียกธรรม ดีไหม ไม่ต้องเปลี่ยนทุกคนก็เข้าใจคำนี้ เพราะฉะนั้น เข้าใจธรรม แล้วธรรมหลากหลายจริงไหม ไม่ใช่อย่างเดียวเลย เห็นก็เป็น ๑ ได้ยินก็เป็น ๑ หลากหลายอย่างนี้ แต่ว่าหลากหลายด้วยประการใดๆ ทั้งสิ้น ก็ยังสามารถจำแนกโดยประเภทใหญ่ๆ ว่า ธรรมที่รู้ คิด จำ ก็มี แล้วธรรมซึ่งมีลักษณะเฉพาะธรรมนั้นๆ แต่ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่จำ ไม่คิดก็มี

    เพราะฉะนั้น ก็สามารถที่จะเข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ต้องไปจำคำ เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ปรากฏ และลักษณะของสิ่งที่ปรากฏขณะนี้ ก็ต่างกันจริงๆ เช่น เห็นจะเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้อย่างไร นี่เริ่มเข้าใจไหม ยังไม่ต้องใช้ชื่อ และต้องไม่ลืม ว่าถ้าเข้าใจคือเปลี่ยนไม่ได้ เพราะว่าความจริงเป็นอย่างนี้ ใครจะไปเปลี่ยนความจริงได้ ว่ามีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นจริงๆ คนที่ตาไม่บอดเห็นทุกคน สิ่งที่ปรากฏให้เห็นต้องมีจริงแน่นอน เมื่อเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรมอย่างหนึ่ง

    เพราะเหตุว่า ธรรมหมายความถึงสิ่งที่มีจริง จะเอาเห็นออกไป จะเอาสิ่งที่ปรากฏทางตาออกไป ไม่ให้เป็นธรรมได้ไหม ใครทำได้ เพราะว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริงจะใช้คำอะไรก็แล้วแต่ เพราะฉะนั้น ฟังให้เข้าใจว่าเคยเป็นเราเห็น แต่ความจริง เห็นเกิดเพราะเหตุปัจจัย คือถ้าไม่มีจักขุปสาท และไม่มีสิ่งที่สามารถกระทบจักขุปสาทได้ จะไม่มีจิตหรือธาตุที่เกิดขึ้นเห็น สิ่งที่ปรากฏที่กระทบจักขุปสาทชั่วขณะแล้วก็ดับ เราอยู่ที่ไหนคือค่อยๆ ฟังให้เข้าใจ ค่อยๆ คลาย การที่จะหมดการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนไม่ใช่วัน ๒ วัน เดือน ๒ เดือน ปี ๒ ปี พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่ใช่เลย แต่ละสิ่งที่ผ่านมาแล้วในชีวิต จำได้หมด ถูกต้องหรือไม่ จำ แต่คิดถึงสิ่งต่างๆ เหล่านั้นได้หมดไหม ไม่ได้ แต่บางวันเกิดคิดขึ้นมา จากสิ่งที่เคยได้รู้ได้เห็น ธรรมที่ได้ฟังก็เช่นเดียวกัน สะสมความรู้ ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก จนถึงกาลที่สามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏหรือ แม้จะนึกถึงธรรมในเวลาไหนก็ได้ ตามเหตุตามปัจจัย แต่ไม่ใช่เราไปคิด วันนี้เคยระลึก หรือนึก หรือจำ หรือรู้ไหมว่า สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้น อย่างเดียว แข็งไม่ได้ปรากฏให้เห็นได้อย่างนี้เลย กลิ่นก็ไม่ปรากฏให้เห็นได้อย่างนี้

    เพราะฉะนั้น ในบรรดาธรรมทั้งหมด มีสิ่งเดียวที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ และกำลังปรากฏให้เห็นด้วย แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม แต่เมื่อมีจริง จะไม่ใช่ธรรมได้อย่างไร ถ้าไม่เอ่ยคำว่าธรรม สิ่งนี้ต้องมีแน่ๆ คือสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นขณะนี้ต้องมีแน่ ถ้าไม่ใช้คำว่าธรรม แต่สิ่งที่มีจริงในขณะนี้เมื่อมีแน่ สิ่งที่มีจริงในภาษาบาลีไม่มี ก็ใช้คำว่าธรรมคือเป็นสิ่งที่มีจริง เข้าใจแค่นี้ ค่อยๆ สะสมไปพอไหม กว่าจะรู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้นเอง แต่ก็ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏให้เห็น จนกระทั่งปัญญาต้องถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล จึงสามารถที่จะละความติดข้อง ต้องการ ยึดมั่น ในสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เหลืออีกไม่มาก ไม่นานก็ถึงความเป็นพระอรหันต์ แต่ไม่มากไม่นาน ผู้ที่เป็นพระอนาคามี และอีกเป็นกัปป์ก็ถึงความเป็นพระอรหันต์ก็ได้ นี่ก็แสดงให้เห็นถึงปัจจัย ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีใครสามารถที่จะไปเร่งรัดบันดาลให้เกิดขึ้น แต่ต้องเป็นไปตามการสะสม

    อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้น เราสะสมความเห็นถูกอยู่ สิ่งที่ปรากฏทางตาเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เดิมเรายึดถือว่าเห็นคน เห็นโต๊ะ เห็นสิ่งของมากมาย แต่รู้ไหมว่าเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น

    ท่านอาจารย์ แล้วประโยคนี้ สิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ เป็นสิ่งที่มีจริงที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ ถ้ากล่าวอย่างนี้ ไม่ได้ให้ใครไปเป็นพระอนาคามีบุคคล เห็นหรือไม่ แล้วก็กล่าวด้วยว่าสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ เป็นที่ตั้งของความยินดี ความพอใจ ความยึดมั่นอย่างยิ่ง ใครปฏิเสธ ปฏิเสธไม่ได้เลย แต่ไม่ได้หมายความว่า ให้ละความติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ด้วยความไม่รู้อะไร แต่จะละได้ต่อเมื่อปัญญาอบรมเจริญขึ้นตามลำดับขั้น คือต้องรู้ก่อนว่าเป็นธรรม ยังไม่ใช่ไปละความติดข้อง เพราะว่าผู้ที่จะเป็นพระอริยบุคคลขั้นต้นคือพระโสดาบันบุคคล มีความเข้าใจถูกตามความเป็นจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่เข้าใจผิด

    เพราะฉะนั้น สิ่งนี้เพียงปรากฏให้เห็นได้ เข้าใจถูกหรือเปล่า เมื่อเข้าใจถูกก็จะคุ้นเคยชินกับความเป็นธรรมอย่างหนึ่ง เพื่อที่จะถึงการละการยึดถืออัตตานุทิฏฐิ ว่าสิ่งที่ปรากฏนั้นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะความจริงเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นแล้วดับ แต่ปัญญาไม่สามารถที่จะรู้ความจริงอย่างนี้ ยังไม่ถึงความเป็นพระโสดาบัน แต่จะไปพยายามเป็นอย่างพระอนาคามี ถูกต้องไหม เป็นได้ไหม เป็นไม่ได้ แต่ว่าอัธยาศัยค่อยๆ สะสมได้ ที่จะคลายความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้น ก็ต้องแล้วแต่ว่า บุคคลนั้นสะสมอัธยาศัยมาอย่างไร สะสมความเข้าใจธรรมที่จะรู้ความเป็นจริงว่า เป็นสิ่งที่ ไม่ใช่ใครเลยอย่างที่เคยคิด ก็ค่อยๆ เข้าใจตามความเป็นจริงว่า เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นแล้วคิด เป็นคนตั้งเยอะเลย นั่นพี่ นี่น้อง นั่นเพื่อน นั่นคนรู้จัก นี่คนไม่รู้จัก แต่ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แล้วก็ดับ แล้วความคิดนี้ ก็คิดตลอด ยึดมั่น เข้าใจว่าเที่ยง จนกว่าจะค่อยๆ รู้ว่า ขณะที่เห็นไม่ใช่ขณะที่คิด เพราะฉะนั้น แม้ไม่เห็นก็คิด

    เพราะฉะนั้น ความละเอียดของธรรมต้องเป็นความรู้จริง ที่จะเข้าใจว่าเป็นธรรม จนละการติดข้องว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดรวมกัน แต่แยกเป็นธรรมแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ แล้วก็คลายความติดข้องเพิ่มขึ้น เพราะปัญญาเข้าใจเพิ่มขึ้น จนถึงสามารถที่จะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมในขณะนี้ ซึ่งแม้เกิดดับก็ไม่เห็น แต่ว่าขณะที่สภาพธรรมใดปรากฏ เริ่มเข้าใจสภาพธรรมนั้น แม้การเกิดดับก็ไม่เห็น เพียงแต่ว่าปัญญาเริ่มเข้าใจว่าธรรมที่พูด สามารถเข้าใจได้จริงๆ ว่ามีลักษณะเฉพาะอย่างเท่านั้นในขณะนั้น และก็ไม่สามารถที่จะไปบังคับให้มีสภาพธรรมอื่นเกิดสืบต่อในเมื่อสภาพนั้นดับไป แต่ปัญญาก็รู้ว่าถ้าไม่รู้สภาพธรรมอื่นอีก ก็ละความสงสัยในความเป็นธรรมไม่ได้

    ด้วยเหตุนี้ การฟังก็ทำให้เป็นผู้ที่ละหนทางผิด เพราะรู้ว่าต้องเป็นเรื่องความเห็นถูกในสิ่งที่มีในขณะนี้ และบุคคลนั้นเองก็สามารถที่จะรู้ว่า ได้ฟังเรื่องสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แล้วเริ่มมีความเข้าใจลักษณะที่กำลังปรากฏบ้างหรือยัง บ้างแล้ว หวังจะรู้อีกหรือเปล่า นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งกว่าจะพ้นจากอำนาจของนาย คือตัณหา เพราะทุกคนจะได้ยินคำว่า ตัณหาทาโส เป็นทาสของโลภะ ใครบ้างไม่เป็น

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นทาสของตัณหาที่ประกอบด้วยความเห็นผิดว่าเป็นตัวตนด้วย จนกว่าจะค่อยๆ พ้นไปจากความเป็นทาสด้วยกำลังของปัญญา บางทีการฟังธรรม และได้ยินคำมากมายก็เป็นเครื่องกั้น คือว่าไปติดที่คำ แต่ถ้าเข้าใจจริงๆ คำไม่มีปัญหา เช่นขณะนี้ที่กล่าวว่า เห็นเฉพาะสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ และถ้าไม่มีจักขุปสาทคือตา อย่างคนตาบอด สิ่งนี้จะไม่ปรากฏเลย

    เพราะฉะนั้น ให้เข้าใจตามความเป็นจริง เห็นแล้วคิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด คิดไม่ต้องอาศัยตาก็คิดได้ แทนที่จะกล่าวคำว่าจักขุทวาร มโนทวาร แต่ให้เข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้ เมื่อเข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้แล้ว ใช้ภาษาบาลีได้ แต่ต้องเข้าใจก่อน แต่ถ้าเราไปใช้คำ จักขุวิญญาณ มโนทวาร ภวังคจิตเกิดคั่นอะไรต่างๆ เหล่านี้ ระหว่าง ๒ ทวาร ก็ทำให้เราคิดเป็นเรื่องราว เป็นตำรับตำรา แล้วก็จำเรื่องราวต่างๆ แต่การเข้าใจธรรมนี้ใช้ภาษาที่เราเข้าใจได้ เช่น เห็นไม่ใช่คิด ยังไม่ต้องเอ่ยถึงทวารเลย เพราะว่าคิดไม่ต้องอาศัยตา เพราะฉะนั้น จะคิดทางตาไม่ได้ เพราะว่าคนที่มีตาก็เพียงเห็น แต่คนที่ไม่มีตาก็คิดได้ นี่คือจริงๆ แล้วพยายามเข้าใจสภาพธรรม แล้วก็ได้ยินคำภาษาบาลีก็สามารถเข้าใจได้ แต่ว่าคนไทยก็สามารถที่จะเข้าใจธรรมได้มาก ละเอียดลึกซึ้งด้วยภาษาไทย

    เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นก็คือว่าฟังธรรมให้เข้าใจ พอเข้าใจแล้วใช้คำว่า จักขุทวารไม่ยากแล้ว เพราะว่าจักขุเป็นตา แล้วทวารคือประตูหรือทาง ที่จิตจะเกิดขึ้นรู้อารมณ์อื่น ซึ่งไม่ใช่ก่อนนั้น เพราะว่าก่อนนั้นไม่รู้อะไรเลย หลับสนิท ปฏิสนธิจิตเกิดไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่คิดนึกใดๆ ขณะนั้นผ่านมานานแสนนาน และเมื่อปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าจะเห็นทันที ได้ยินทันที แม้ในสวรรค์ หรือว่าในภพภูมิซึ่งมีรูปพร้อมทันที ก็ยังไม่ใช่ว่า พอปฏิสนธิจิตเกิดแล้วจะเห็นได้ทันที ก็ต้องมีภวังคจิตเกิดสืบต่อ นี่เป็นการศึกษาหลังจากที่เราเข้าใจอย่างคร่าวๆ ก่อน ว่าขณะนี้เห็นกับคิดต้องต่างกัน เพียงเท่านี้จะได้เข้าใจจริงๆ จะได้ไม่ลืม ถึงความรวดเร็วของการเกิดดับสืบต่อของสภาพธรรม เพราะฉะนั้น สำคัญที่สุดคือว่าเมื่อเข้าใจแล้วคำภาษาบาลีไม่มีปัญหา แต่ถ้ายังไม่ได้เข้าใจก็จะไปหมกมุ่น คิดแต่เรื่องของคำ และขณะนี้กำลังพูดเรื่องจิต ซึ่งทุกคนมี


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 184
    12 ม.ค. 2567