พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 738


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๓๘

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔


    ท่านอาจารย์ ยิ่งฟัง ยิ่งเข้าใจตามความเป็นจริงว่า เป็นธรรม

    ผู้ฟัง เมื่อเราไม่ประจักษ์ เราจะเชื่อได้อย่างไรว่า สภาพธรรมเกิดขึ้น และดับไป

    ท่านอาจารย์ เมื่อสักครู่นี้คิดอะไร

    ผู้ฟัง คิดที่จะถาม

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ยังมีคิดนั้นอยู่หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่มีแล้ว

    ท่านอาจารย์ ดับหรือเปล่า หมดไปหรือเปล่า หรือยังเหลืออยู่ ความเข้าใจขั้นฟังต้องมั่นคง ถ้าไม่มั่นคง ไม่มีทางที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    ผู้ฟัง แม้แต่ความเข้าใจเรื่องสภาพธรรมที่เกิดขึ้น และดับไป จะต้องเป็นความเข้าใจที่มั่นคง แม้จะยังไม่ประจักษ์

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เป็นสัจจญาณก่อนจะถึงกิจจญาณ

    ผู้ฟัง ต้องเชื่อตามอย่างนั้นจริงๆ ว่า สภาพธรรมเกิดขึ้น และดับไป

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่บังคับ แต่ฟังแล้วมีความเข้าใจมั่นคงไหมว่า เป็นอย่างนี้จริงๆ ไม่ใช่มีใครมาบังคับ

    ผู้ฟัง เช่นนั้นคงต้องยอมรับจริงๆ ว่า ตั้งแต่ฟังธรรม และอบรมมา ไม่เคยมีความรู้สึกจริงๆ เลยว่า ธรรมนั้นเกิดขึ้นแล้วดับไป คงต้องฟัง และอบรมอีกยาวนานมาก

    ท่านอาจารย์ แต่ยังจำได้ใช่ไหม ว่าได้ยินคำนี้ เวลาลืมก็ลืม แต่ว่าถ้ามั่นคงขึ้นก็จะระลึกได้

    ผู้ฟัง คงต้องฟังต่อไปเพื่อให้มีความมั่นคงในเรื่องของสภาพธรรม

    อ.กุลวิไล สืบเนื่องจากที่เราสนทนาถึงลักษณะสภาพธรรมที่ปรากฏแต่ละอย่าง แต่ละทาง "กราบเรียนท่านอาจารย์สุจินต์ ขอความกรุณาอธิบายหรือเทียบเคียงในขั้นการฟังธรรม เพื่อเข้าใจถึงลักษณะของรูปตึงไหวที่ปรากฏแล้วพอรู้ได้ และพอเข้าใจลักษณะได้"

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่ปรากฏไม่ต้องการทราบ เพราะฉะนั้น แต่ละคนให้รู้ได้เลย ฟังธรรมแล้วก็อยากรู้อะไร กับฟังธรรมแล้วเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ต่างกันไหม อยากรู้ไปหมดเลย “ปฏิจจสมุปบาท” “อายตนะ” ทุกอย่าง แต่สิ่งที่กำลังปรากฏ เมื่อไหร่จะรู้ ไม่มีทางเลยเพราะ “อยาก” คือ โลภะ ไม่ใช่ปัญญา เพราะสิ่งนั้นไม่ปรากฏ แต่เวลาตึงๆ ไม่รู้ เวลาไม่ตึงถามว่า ตึงมีลักษณะอย่างไร เวลาไหวๆ ก็ไม่รู้ แต่เวลาไม่ไหวถามว่า ไหวเป็นอย่างไร แล้วจะรู้ได้อย่างไร ไม่เคยมีไหวเลยหรือ กลืนอะไรบ้างหรือเปล่า หรือค้างอยู่ที่คอไม่ลงไปสักที หรืออย่างไร หรือว่าถืออะไรมากๆ หรือจับ อย่างลูกโป่งอย่างนี้ตึงไหม ไม่ต้องเอ่ยคำว่า ตึงก็ได้ใช่ไหม แข็งกับตึงจะเหมือนกันไหม แต่ก็สามารถจะปรากฏความต่างเมื่อกระทบสัมผัส โดยไม่ต้องเรียกชื่อเลย แต่พอได้ยินชื่อ สงสัย เหมือนกับไม่เคยรู้เลย และให้แสดงลักษณะด้วย แสดงอย่างไรก็ไม่ได้ จนกว่าลักษณะปรากฏ แล้วก็ไม่ต้องอธิบาย เพราะว่าอธิบายอย่างไรดี เวลารับประทานอาหารแม้อย่างเดียวกัน แต่ผู้ปรุงต่างกัน คนละคน รสต่างกันไหม อธิบายอย่างไรดี เพราะไม่ใช่ “ชิวหาวิญญาณ” คือ จิตที่ลิ้มรส จิตที่ลิ้มรสไม่ต้องอธิบายเลย เปลี่ยนรสที่ปรากฏกับลิ้นไม่ได้เลย เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น จะอธิบายสักเท่าไร คนอื่นเข้าใจอีกอย่างหนึ่งก็ได้ ไม่ชัดเจนใช่ไหม เพราะว่า สิ่งนั้นไม่ได้ปรากฏกับจิตที่กำลังรู้สิ่งนั้น

    เพราะฉะนั้น สภาพธรรมใดกำลังปรากฏ แล้วไม่อยากรู้ แต่ไปอยากรู้อย่างอื่นก็ให้รู้ว่า โลภะนี้อยู่ที่ไหน แล้วก็การศึกษาธรรมทั้งหมด พระธรรมที่ทรงแสดงไว้เพื่อละโลภะ ละความติดข้อง ซึ่งเป็นการละได้ด้วยความรู้ เพราะฉะนั้น ก็คือละเพราะรู้ เพราะติดข้องเพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้น ขณะใดที่รู้ ขณะนั้นเองไม่ใช่ขณะอื่น กำลังละความไม่รู้ และความติดข้อง เพราะฉะนั้น เวลาที่เกิดต้องการขึ้นเมื่อไรแสดงว่า ไม่รู้ แล้วใครจะไปทำให้รู้ได้

    อ.ธิดารัตน์ สภาพธรรมที่ว่า ธรรมนั้นมีจริง เพราะว่า เมื่อปรากฏ แต่เป็นของเท็จเพราะว่า ปรากฏแล้วดับไปอย่างรวดเร็ว พระนิพพานที่ว่า เป็นของจริงๆ เป็นสภาพที่ไม่เกิด ไม่ดับ และก็ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะ ในชีวิตประจำวันส่วนใหญ่ แม้สภาพธรรมที่มีจริงๆ แต่ละอย่างๆ แต่จริงเมื่อปรากฏ และผู้ที่ไม่มีปัญญา ไม่ได้เข้าใจว่า เป็นสภาพธรรมก็จะยึดถือนิมิตหลังจากที่ธรรมนั้นเกิดแล้ว สิ่งเหล่านั้นไม่มีเลยเพราะว่า นิมิตไม่มีเลย แต่เป็นการยึดถือสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว

    เพราะฉะนั้น การยึดถือนิมิต และอนุพยัญชนะก็จะมีอยู่เสมอ สำหรับผู้ที่ไม่เห็นความเกิดดับของสภาพธรรม เพราะฉะนั้น เวลาที่เข้าใจว่า ธรรมนั้นมีลักษณะ คือ ปัญญาที่เข้าใจว่า เป็นธรรมที่ปรากฏ มีลักษณะอย่างนั้นๆ แต่เกิดแล้วดับแล้วอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้น การเข้าใจเรื่องของนามธรรม รูปธรรม ตามความเป็นจริง เพราะว่า เป็นจริง จริงเพราะมีลักษณะอย่างนั้น มีความเป็นไปอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น การรู้ลักษณะของสัจจธรรม หรือว่าธรรมที่เป็นจริง คือ รู้ความจริงว่า ธรรมมีเหตุมีปัจจัยอย่างไร เกิดแล้วดับแล้วอย่างไร คือ รู้ความจริงของนามธรรมรูปธรรม แต่ตัวนามธรรมรูปธรรมที่ว่า เป็นของเท็จ เพราะว่า ไม่ได้เหลืออยู่ให้ยึดถืออะไรได้เลย ผู้ที่จะพ้นจากความเกิดความดับ จะต้องรู้จักลักษณะของธรรม ที่เกิดแล้วดับตามเหตุตามปัจจัย ที่เป็นสังขารธรรมทั้งหลาย เมื่อมีสังขารธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะปัจจัยปรุงแต่ง ย่อมต้องมีนิมิตของสังขารธรรม

    เพราะฉะนั้น จึงมีทั้งสังขารธรรมที่ปรากฏเป็นนิมิต นิมิต คือ ลักษณะที่สืบต่อกัน ที่เราเห็น สิ่งที่เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ ดับแล้วอย่างรวดเร็ว แล้วสืบต่อกันจนเป็นคน และเห็นทุกครั้งก็มีนิมิตของสิ่งที่ปรากฏทางตา เสียงก็มีนิมิตของเสียงซึ่งทำให้เข้าใจความหมาย แล้วก็ยึดถือลักษณะของสิ่งเหล่านี้ ถ้าไม่ได้ศึกษาธรรม ไม่ได้เข้าใจจริงๆ ว่า ปรมัตถธรรมเกิดแล้วดับแล้วอย่างรวดเร็ว ท่านก็แสดงหลากหลายโดยความไม่มีสาระบ้าง เพราะว่า ไม่ใช่สิ่งที่สามารถที่จะยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ยึดถือว่าเที่ยง ยึดถือว่าเป็นตัวตนอะไรได้เลย เพราะว่า สภาพธรรมเป็นอย่างไรก็คือเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น การเข้าใจความจริงของนามธรรมรูปธรรม คือ นามธรรมรูปธรรมเกิดแล้วดับแล้วอย่างรวดเร็ว

    ผู้ฟัง รูปนามเป็นเท็จ พระนิพพานเท่านั้นที่จริง จริงๆ เป็นเช่นนั้นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เราพูดเรื่องจริงใช่ไหม เรื่องไม่จริงไม่พูด เพราะว่า ประโยชน์ที่สุดคือได้รู้ว่า ความจริงคืออะไร และความจริงแท้ๆ ถึงที่สุดของความจริงนั้นคืออะไร เพราะฉะนั้น เวลาที่เราพูดเรื่องจริง สิ่งที่มีจริง คือ สภาพธรรมเดี๋ยวนี้ อย่างเห็นมีจริงควรพูดถึง และสิ่งที่ปรากฏทางตามีจริง ควรพูดให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงไม่เรียกว่า “นามธรรม” ไม่เรียกว่า “รูปธรรม” ไม่เรียกว่า “ธรรม” สิ่งที่มีจริงนั้นมีจริงแน่นอน ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้น ขณะนี้เห็นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้น ความจริงมี ๒ อย่างกว้างๆ คือ สภาพธรรมที่มีจริงซึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้ แต่ปรากฏให้เห็นว่า มีจริงๆ นี่คือกำลังปรากฏขณะนี้ ปรากฏให้เห็นว่า มีจริงๆ และก็มีสภาพที่กำลังเห็น

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่ฟังพระธรรม คิด ไตร่ตรอง ให้เข้าใจคำที่ได้ฟัง หรือว่าจะได้ยินจากใครกล่าวก็ตามแต่ หรือข้อความที่อ่านพบในพระไตรปิฎก เพื่อเข้าใจถูกตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้นๆ เพราะฉะนั้น ขณะนี้เห็นมีจริง และเห็นก็ไม่มีรูปร่างเหมือนสิ่งที่ปรากฏสัณฐานต่างๆ แต่มีเพราะกำลังเห็น เป็นธาตุที่ไม่มีรูปร่างถ้าจะใช้คำ คือ เป็นธาตุรู้ เป็นนามธาตุ ส่วนสภาพที่ไม่รู้เป็นรูปธาตุ มีจริงๆ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง มีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ มีจริง แต่ว่า ผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ทรงรู้ว่า เห็นขณะนี้เกิดขึ้นแล้วดับ ปรากฏอย่างนี้หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ยัง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เท็จหรือจริงที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง เมื่อไม่รู้ความจริงก็ยังปรากฏให้รู้ว่า เป็นเท็จ

    ท่านอาจารย์ เข้าใจผิดใช่ไหม เพราะลักษณะของสภาพธรรมนั้นเกิดดับเร็วมาก ลวงให้เห็นว่า ไม่ดับ เพราะฉะนั้น ที่กำลังปรากฏเหมือนไม่เกิดดับเลยเท็จ เพราะความจริง คือ เกิดดับ และเราพูดถึงสิ่งที่มีจริงด้วย ไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ไม่มี เพราะฉะนั้น ความเข้าใจธรรมต้องตามลำดับขั้น คือเข้าใจว่า นามธรรมรูปธรรมมีจริงๆ แต่ความจริงของนามธรรมต้องเป็นอนุปัสสนา ที่สามารถที่จะเริ่มเห็นความจริงของสิ่งที่ไม่ปรากฏ เวลาที่ปัญญาไม่เกิดขึ้น ไม่มีความเห็นถูก ไม่มีความเข้าใจถูก ในความเป็นจริงของสิ่งที่มี เช่น ธาตุที่เห็น เพียงได้ยินคำว่า ธาตุ กว่าจะเข้าใจได้ว่า หมายความถึง สิ่งซึ่งไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมนั้นได้เลย อย่างแข็งเกิดแล้ว เป็นแข็งแล้ว จะเปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้

    เพราะฉะนั้น เห็นขณะนี้เกิดขึ้นเห็นแล้ว เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย ก็เป็นธาตุชนิด ๑ แต่ความจริงของสิ่งนี้คือ เป็นสภาพธรรมที่ เร็ว สั้น น้อย สุดที่จะประมาณได้ เมื่อวานนี้ก็มีการสนทนากันถึงท่านที่ชอบดูรายการของโลก สากลจักรวาล กว้างใหญ่ไพศาล ประมาณไม่ได้เลย มีใครประมาณได้ แม้แต่โรหิตัสสเทพบุตรอยากจะรู้ว่า จักรวาลนั้นสิ้นสุดที่ไหน ก็ยังไม่สามารถที่จะเห็นที่สุดของจักรวาลได้ แม้ว่าจะเป็นการเดินทางอย่างเร็วสักปานใดก็ตาม นั้นเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่ว่าไม่รู้ความจริงว่าแท้ที่จริง สภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ ความจริงไม่ใช่เท็จอย่างที่ปรากฏว่า เที่ยง แต่ว่าจริงเพราะเกิดแล้วดับไปอย่างเร็ว จนกระทั่งเสมือนให้เห็นว่า เที่ยง

    เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า ลองคิดอย่างคนที่สนใจในเรื่องของจักรวาลที่กว้างใหญ่ แต่ละคนที่นี่แค่ไหน เล็กกว่าเม็ดทรายอย่างละเอียดหรือเปล่า ถ้าเทียบกับของที่ใหญ่มาก และในนั้นที่เล็กแสนเล็ก ยังมีรูปแต่ละกลาปะหรือกลาปซึ่งเล็กที่สุด แล้วคั่นด้วยอากาศธาตุ เทียบความเล็ก ทั่วทั้งตัวไปเทียบกับจักรวาล แล้วมาเทียบกับกลาป แล้วเทียบกับอากาศธาตุที่แทรกคั่น แล้วเทียบกับจิต ซึ่งเป็นธาตุรู้ซึ่งมีอายุ ๑๗ ขณะเกิดดับ รูปๆ ๑ ถึงได้ดับ แต่รูปก็ดับเร็วมาก และหมดไปแล้วไม่เหลือเลย พอจะเข้าใจได้ใช่ไหม แต่ยังไม่ประจักษ์ความจริงซึ่งแม้นามธรรมมีจริง รูปธรรมจริง แต่การปรากฏของนามธรรม และรูปธรรมเป็นเท็จ เพราะเหตุว่า ดับก็เหมือนไม่ได้ดับ พอจะเข้าใจได้ไหม เพราะบอกว่า เห็นมีจริง ทุกคนก็แค่นั้นแหละ ก็รู้เพียงเท่านี้

    ผู้ฟัง แต่เมื่อความไม่รู้ก็รู้ความจริงไม่ได้ แต่ถ้าผู้ใดสามารถอบรมเจริญปัญญาจนเข้าใจความจริง คือ เห็นว่านามรูปแยกกัน และเห็นการเกิดดับของนามรูป นั้นคือปัญญาที่อบรมเจริญแล้ว สามารถเข้าใจความจริงตรงนั้นได้ จะหายเท็จหรือว่าจะอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ความจริงก็ต้องเป็นความจริงใช่ไหม ขณะนี้ปรากฏจริงๆ อย่างที่เป็นความจริงอย่างนั้นหรือยัง

    ผู้ฟัง ยัง

    ท่านอาจารย์ แต่ในที่สุดเปลี่ยนแปลงลักษณะของความจริงนั้นได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ความจริงนั้นทนต่อการพิสูจน์ ปัญญาสามารถที่จะเริ่มเข้าใจถูก เห็นถูก ในขั้นการฟัง ในขั้นการฟังซึ่งต้องมั่นคงว่า นี่คือ ธรรม ไม่ใช่ของใคร และไม่ใช่ใคร มีปัจจัยเกิดแน่นอนแล้วดับ เพราะฉะนั้น ขณะนี้ดับไปหมดแล้วเรื่อยๆ มีแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นว่า เหมือนไม่ดับเลย เพราะฉะนั้น โลกของอวิชชาไม่ใช่โลกของปัญญา อวิชชามืดสนิท คือ ไม่สามารถที่จะเห็นสิ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริงได้ แต่ปัญญาต้องเจริญขึ้นจากการฟัง พิจารณา ไตร่ตรอง ขณะนี้สภาพธรรมปรากฏกับอวิชชาหรือปัญญา

    ผู้ฟัง ส่วนใหญ่ก็เป็นอวิชชา

    ท่านอาจารย์ เมื่อไหร่ที่กำลังปรากฏกับสติสัมปชัญญะ จะต่างกับขณะที่สติสัมปชัญญะไม่เกิด เพราะขณะนี้ปรากฏแล้วดับไปเรื่อยๆ ไม่มีการรู้เลย แต่เวลาที่สติสัมปชัญญะเกิด จะเริ่มรู้เฉพาะลักษณะ ๑ นี่จากที่ดับไปเรื่อยๆ เกิดแล้วดับไปเรื่อยๆ ทั้งนามธรรม และรูปธรรม เป็นขณะที่สติสัมปชัญญะเกิด แล้วรู้เฉพาะลักษณะของธรรม ๑ ยังไม่ได้ประจักษ์การเกิดดับ แต่เพียงมีความเข้าใจในขณะนั้นว่า นี่แหละ คือ สิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นเห็น หรือสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือสภาพที่แข็งที่ปรากฏ และมีธาตุที่กำลังรู้แข็ง ก็เป็นสิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง มาแล้วทั้งนั้น แต่ไม่ได้รู้ตรงนั้น จนกว่าเมื่อไหร่มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ก็จะมีการรู้เฉพาะลักษณะของธรรม ๑ ซึ่งความจริงก็เกิดดับ แต่ว่า ในขั้นต้นไม่มีทางที่จะประจักษ์การเกิดดับเลย เพียงแต่เริ่มมีความเข้าใจในธรรมที่ได้ยิน ได้ฟังว่า นี่เป็นธรรม ซึ่งขณะที่สภาพธรรมนั้นปรากฏ ไม่มีอย่างอื่นปรากฏเลย เป็นอย่างนี้หรือยัง

    ผู้ฟัง ยัง

    ท่านอาจารย์ ยัง แต่ความจริงเป็นอย่างนี้ใช่ไหม นี่ยังไม่ได้ประจักษ์ความเท็จของนามธรรม และรูปธรรม เพียงแต่เริ่มที่จะรู้ว่า สภาพธรรมนี้มี แต่ขณะที่ปรากฏนั้นก็ดับแล้ว แต่ก็ไม่ประจักษ์ เพราะว่า เป็นปัญญาที่จากการฟังเรื่องราวของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ มาเป็นการเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ คำว่า ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ เป็นสิ่งที่สามารถจะรู้ได้ว่า ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้จะไม่สามารถมีปัญญา ความเห็นที่ถูกต้องในสิ่งใดเลยทั้งสิ้น นอกจากสิ่งที่เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้

    เพราะฉะนั้น ถ้าจะถามถึงสิ่งที่ไม่ปรากฏในขณะนี้ เป็นเรื่องราว เป็นความคิดนึก ซึ่งไม่ทำให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ถูกต้องไหม ถ้าจะพูดถึงเรื่องอื่น ไม่ใช่พูดถึงสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจความจริงซึ่งขณะนี้เป็นเท็จ ไม่ประจักษ์การเกิดดับสืบต่อเลย เพราะฉะนั้น ก็ต้องฟังจนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจได้ ว่าถ้าจะรู้ความจริง คือ เดี๋ยวนี้ วันนี้ทุกคนคิดเรื่องเยอะแยะมากมาย แต่ไม่ได้รู้สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ และฟังเรื่องสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ แล้วยังคิดถึงเรื่องที่ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้หรือเปล่า นี่แสดงให้เห็นว่า ทั้งๆ ที่กำลังฟังอยู่แท้ๆ ก็ยังมีปัจจัยที่จะทำให้ไม่รู้ ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ และกำลังได้ฟัง เพราะว่า ไม่ได้สะสมความมั่นคงที่จะรู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว ในขณะที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ สิ่งอื่นไม่มีเลย ไม่มีจริงๆ บังคับให้มีก็ไม่ได้ ไม่ใช่ของใครด้วย

    เพราะฉะนั้น จึงมีความเข้าใจธรรมละเอียดขึ้น และตรงต่อธรรม เคารพในความเป็นธรรมซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลง หรือว่าบังคับบัญชาได้ เพราะฉะนั้นการฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง ก็ต้องอยู่ที่ความเข้าใจ โดยที่ไม่ไปคิดเรื่องคำ และสงสัย หรือว่าอยากรู้ อยากเข้าใจว่า แล้วเรียกอย่างนี้ได้ไหม และพูดอย่างนี้ได้ไหม ไม่มีประโยชน์เลย จะเรียกทำไม ในเมื่อไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ

    ผู้ฟัง ดูเหมือนว่า ปัญญายังไม่เจริญที่จะรู้ได้ และลักษณะของธรรม คือ เกิดดับเร็ว สิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้จริงๆ แล้วเกิดดับ แต่ก็เห็นเหมือนเที่ยงอยู่อย่างนี้

    ท่านอาจารย์ อริยสัจจ์ ๔ ทุกขอริยสัจจะ เห็นว่า การเกิดดับเป็นทุกข์ ยังไม่เห็น แต่เข้าใจได้ว่า ทุกข์ยิ่งกว่าอย่างอื่น ไม่ใช่ความรู้สึกเท่านั้น คือ ความไม่เที่ยง มีใครชอบความไม่เที่ยงบ้าง ทุกคนอยากจะให้สิ่งที่พอใจ ยั่งยืน ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นไปได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ที่จะไม่เปลี่ยนแปลง เป็นไปไม่ได้เลยไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นสิ่งซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เกิดแล้วเปลี่ยนไปทั้งๆ ที่ไม่อยากให้เปลี่ยนเลย เป็นทุกข์ไหม เพราะไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา นี่คือ ทุกขอริยสัจจะ คือ สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตามซึ่งมีการเกิดดับ สามารถรู้จริงๆ ในการเกิดดับได้ เมื่อปัญญาอบรมเจริญแล้ว แล้วก็ให้ละความติดข้อง คิดดู งานหนักไหม ทำได้ไหม ไม่มีทางที่ใครจะทำได้เลยถ้าไม่ใช่ปัญญา

    เพราะฉะนั้น ปัญญาที่รู้ความจริงเท่านั้น ที่สามารถจะทำให้พ้นจากทุกข์ เพราะเหตุว่า โลภะ ความติดข้อง เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ทุกคนมีโลภะ ลองคิดว่า ละโลภะได้ไหม ยากแค่ไหน พยายามสักเท่าไหร่ก็ละไม่ได้ นอกจากปัญญา และเมื่อปัญญายังไม่เจริญถึงขั้นที่สามารถจะละความติดข้อง ก็ไม่มีใครไปทำอะไรได้เลยทั้งสิ้น นอกจากสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูกไปเรื่อยๆ โดยที่ว่า ในขณะที่กำลังเข้าใจถูกนั่นเอง กำลังละความไม่รู้ และความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตน

    เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นให้ทราบฐานะที่แท้จริงของแต่ละคน ฐานะของปุถุชน ผู้ที่มีกิเลสมากจะข้ามไปเป็นพระอรหันต์ อย่าหวังเลย หรือว่าจะไปเป็นพระอนาคามีก็คิดไป แต่เป็นไปไม่ได้ เพราะว่า ฐานะตามความเป็นจริง ปัญญาต้องเห็นตามความเป็นจริงว่า ปุถุชนมีมากมายหลาย ๑ คือ แต่ละหนึ่งๆ นับไม่ถ้วนเลย เพราะฉะนั้น ก็มีคำที่กล่าวไว้ว่า ข้อความในพระไตรปิฎก และอรรถกถา ปุถุชนไม่ฟังสิ่งที่ควรรู้ สั้นมากไหม ปุถุชนไม่ฟังสิ่งที่ควรรู้ ฟังได้ทุกเรื่อง ชอบฟังทุกเรื่อง เรื่องอื่นๆ ชอบหมดเลยแต่ว่า ปุถุชนไม่ฟังสิ่งที่ควรรู้

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้ยินได้ฟังธรรมแล้วเข้าใจอรรถ ความลึกซึ้งของแต่ละคำ ที่ทรงแสดงความหมายของปุถุชนนัยหนึ่งว่า ปุถุชน คือ ผู้ที่ไม่ฟังสิ่งที่ควรรู้ เพราะฉะนั้น ผู้ที่กำลังฟังสิ่งที่ควรรู้ เป็นปุถุชนที่ มีความเห็นที่ถูกต้อง จนกว่าจะหมดถึงที่สุดของความเป็นปุถุชน ไม่ใช่ด้วยการละโลภะที่ติดข้อง ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ แต่ละ การคิดว่า สภาพธรรมขณะนี้เป็นเรา หรือว่า เป็นของเราด้วยความยึดมั่นจริงๆ ซึ่งละเอียดมาก มีตั้งแต่ระดับขั้นของอนุสัย เป็นพืชเชื้อที่จะให้เกิดอกุศล จนถึงว่า เมื่อมีปัจจัยที่อกุศลจิตจะเกิด อกุศลธรรมเกิดขึ้น ขณะนั้นทำให้จิตนั้นเป็นอกุศล และจนถึงระดับขั้นที่กระทำทุจริตกรรมต่างๆ ได้ นี่คือ ชีวิตตามความเป็นจริงที่เป็นธรรม ที่ต้องเข้าใจจริงๆ พระธรรมทั้งหมด “พุทธ” คือ รู้ ไม่ใช่ไม่รู้ “ศาสนา” คือ คำสอน “พุทธศาสนา” คือ คำสอนให้รู้ถูก ให้เห็นถูก ให้เข้าใจถูก ไม่ใช่อย่างอื่น ทั้งหมดเลยตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด เพื่อความถูกต้อง เพื่อความเข้าใจธรรม ตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้น ขณะนี้ให้ละอย่างอื่น ละไม่ได้ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แต่ค่อยๆ ละความที่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เคยยึดถือว่า เป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก่อน ไม่ใช่ทำอย่างอื่น และหนทาง คือ เข้าใจ ถ้าไม่มีความเข้าใจ ก็ไม่มีอะไรที่จะไปค่อยๆ ละ ความไม่รู้ได้ เพราะฉะนั้น ในขณะที่กำลังฟัง และเข้าใจ แม้ว่าจะแสนไกล เพราะว่า ลักษณะของสภาพธรรมถ้าเทียบอย่างกว้างกับจักรวาล จนมาถึงขณะจิต ๑ คือ จิต และเจตสิกที่เกิดร่วมกัน ดับเร็วแค่ไหน ขณะนี้ให้เข้าใจความจริงเป็นพื้นฐานที่จะสะสมไป


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 184
    12 ม.ค. 2567