พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 731


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๓๑

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔


    อ.คำปั่น ประการที่สำคัญ การที่จะขัดเกลากิเลสได้นั้น ก็จะต้องเป็นผู้ที่มีความเข้าใจถูก เห็นถูกด้วยว่า แม้อกุศลที่เกิดขึ้นก็เป็นธรรมไม่ใช่เรา สำคัญก็คือปัญญาความเห็นที่ถูกต้อง เพราะว่าเมื่อมีความเห็นที่ถูกต้องแล้ว ก็จะเป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลให้มีความประพฤติเป็นไปที่ดีงาม ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของคำพูด ซึ่งปกติในชีวิตประจำวันเราก็มีการพูดอยู่เป็นประจำ แต่เมื่อได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในส่วนนี้แล้ว ก็จะทำให้เข้าใจว่า อะไรคือสิ่งที่ควรพูด อะไรคือสิ่งที่ไม่ควรพูด

    เพราะเหตุว่า คำพูดใดก็ตามที่พูดไปแล้ว เป็นไปเพื่อความเกิดมากขึ้นของอกุศลธรรมคือความไม่ดี สิ่งนั้นไม่ควรพูด แต่สิ่งใดก็ตามที่พูดไปแล้วเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม ความดีประการต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่ควรพูด ถึงแม้ว่าเรายังไม่สามารถที่จะละกิเลสอะไรๆ ได้เลย แต่พระธรรมทุกส่วนก็จะเป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลสำหรับผู้ที่มีความตั้งใจที่จะศึกษา แล้วก็น้อมที่จะประพฤติปฏิบัติตามจริงๆ เพราะว่าพระธรรมมีค่าสำหรับผู้ศึกษา และน้อมประพฤติปฏิบัติตาม

    อ.ธีรพันธ์ จริงๆ แล้ว เป็นเพียงธรรมไม่ใช่เรา ตอนนี้ก็คิดว่าพยายามจะไม่พูดวันนี้ เดี๋ยวไม่ทันไรแล้ว และก็เกิดขึ้นอีกเพราะโดยความเป็นอนัตตา แต่ด้วยการฟังพระธรรมบ่อยๆ เห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรมว่าเป็นเพียงแค่สภาพธรรมซึ่งก็เห็นยากว่าจะเป็นธรรมก็ยากเหมือนกัน ต้องอาศัยการฟังบ่อยๆ พิจารณาบ่อยๆ โดยรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นการพูด แม้แต่การทำก็ดี การประพฤติทางกายก็ดี รวมทั้งหมด เป็นสิ่งที่ควรละทั้งหมด แต่ต้องฟังให้เข้าใจก่อนว่าเป็นธรรม กราบเรียนท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ คุณหมออภิญญา ขณะที่ปัญญาสามารถที่จะรู้ลักษณะขณะที่กำลังพูดนั้น แล้วก็รู้ว่าเป็นธรรม กับ ขณะที่กำลังเป็นตัวเรา ที่คิดที่จะไม่ให้พูดอย่างนั้น ควรจะเป็นอย่างไรในวันหนึ่งซึ่งอาจจะไม่ใช่วันนี้ แต่ถ้าอบรมความเห็นที่ถูกต้อง ก็จะเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า นี่แหละอนัตตา ความหมายของคำว่าอนัตตาคือบังคับบัญชาไม่ได้ เพราะอะไรเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย แต่เพราะความที่เคยยึดถือว่าเป็นเราแล้วก็เป็นตัวตน เพราะฉะนั้น ในขณะนั้นก็ไม่เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้น ก่อนที่กิเลสอื่นใดทั้งสิ้นจะหมดไปได้ ต้องหมดความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นตัวตน เพราะฉะนั้น กุศลใดๆ ก็ตาม ขั้นทาน ขั้นศีล ขั้นความสงบของจิต ก็ไม่สามารถที่จะละความยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงหนทางที่จะดับกิเลสด้วยความรู้ ความเข้าใจถูก ความเห็นถูก จนกว่าจะสามารถรู้แจ้งสภาพธรรมในขณะนั้นตามความเป็นจริง มิฉะนั้นแล้ว เราก็จะมีแต่การไม่อยากจะเป็นอย่างนี้ ไม่อยากจะเป็นอย่างนั้น ไม่มีใครอยากจะเป็นอกุศล แต่อกุศลก็เกิด เกิดแล้วก็ยังไม่รู้ แล้วก็ยังยึดมั่นว่าเป็นเราต่อไป

    เพราะฉะนั้น ก็ยังไม่ได้เข้าใกล้พระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก่อนอื่นยังไม่ต้องไปคิดถึงว่า เราจะเป็นพระอรหันต์ไม่พูดคำล้อเล่น ล้อเลียนเลย ซึ่งต้องถึงความเป็นพระอรหันต์จึงจะไม่พูดสิ่งซึ่งไม่มีสาระ ไม่มีประโยชน์ แต่ว่าถ้ายังมีโลภะ มีโทสะอยู่ ก็จะรู้ได้ว่า ตามระดับขั้นของปัญญา ต้องถึงความเป็นพระอรหันต์จึงจะไม่พูดสิ่งซึ่งไม่มีสาระ ไม่มีประโยชน์ แต่ว่าถ้ายังมีโลภะ มีโทสะอยู่ ก็จะรู้ได้ว่าตามระดับขั้นของปัญญา อย่างพระโสดาบันท่านก็มีความเห็นที่ถูกต้องว่าธรรมเป็นธรรม รู้แจ้งอริยสัจจ์ ๔ แต่ท่านก็ยังมีโลภะ โทสะ โมหะ ที่สะสมมามาก แต่ว่าไม่ถึงขั้นที่จะกระทำทุจริตกรรม นี่ก็แสดงให้เห็นว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามเหตุตามผล ไม่ใช่เราหวังอย่างนั้น เราสะสมมาที่จะพูดเล่นสนุกสนาน แต่ว่าไม่เข้าใจว่าเป็นธรรม แล้วไปพยายามสักเท่าไรก็ไม่สำเร็จ เพราะเหตุว่าวันหนึ่ง วันหน้า ชาตินี้ ชาติหน้า ก็ยังจะต้องเป็นไปตามการสะสม

    ผู้ฟัง แต่ในช่วงเริ่มต้นนี้หมายความว่า กายวาจานี้ ก็ต้องควบคุมบังคับเพื่อให้เป็นไปในทางกุศล แต่สภาวะจิตตอนนั้นอาจจะไม่ใช่กุศลก็ได้ แต่เป็นการที่เรารู้ว่าสิ่งนี้ดี สิ่งนี้ไม่ดี แต่ว่ามันเป็นเรื่องของว่า เป็นหลักการที่เราจำไว้ แต่ไม่ใช่ด้วยตัวความเข้าใจของปัญญาจริงๆ อยากจะเรียนถามเรื่องการใช้ชีวิตประจำวันตรงนี้

    อ.วิชัย สักครู่นี้ก็กล่าวถึงการพูดที่ว่าพูดเล่น พูดต่างๆ ก็รู้ว่าเมื่อมีเหตุปัจจัยก็ต้องเป็นไป เพราะเหตุว่ากาย วาจา ถ้าไม่มีจิต กายก็ไหวไม่ได้ คำพูดก็พูดไม่ได้เลย แต่ถ้าจิตที่เป็นกุศลเกิด การที่จะกล่าวคำที่ไม่ดีออกมา สามารถที่จะเว้นได้ทันที ข้อนั้นเพราะเหตุว่า จิตที่ดีเกิดขึ้นเว้นจิตที่ไม่ดีที่จะกล่าวคำพูดที่ไม่ดี ดังนั้นถ้าสามารถที่จะรู้ และเข้าใจว่าอะไรที่จะเป็นเหตุให้เกิดกาย วาจาที่ไม่ดี และก็อบรมกุศลที่เป็นการที่จะวิรัติงดเว้นจิตหรือว่าที่ไม่ดีต่างๆ อันนี้ก็จะเป็นการที่จะเจริญในธรรมวินัยได้ กราบเรียนท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ คิดจะควบคุม หรือเพราะเข้าใจจริงๆ ว่าเป็นสิ่งที่ดีที่ควรประพฤติ เพราะฉะนั้น สิ่งใดก็ตามที่เป็นประโยชน์ควรกระทำทั้งกาย วาจา ปัญญา ต้องเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง นั่นเป็นเหตุที่จะให้ค่อยๆ ประพฤติตาม ไม่ใช่ประพฤติตามได้ทันทีทั้งหมด

    อ.กุลวิไล ในการที่เราศึกษาปริยัติ ถึงแม้จะเป็นเรื่องราวของสิ่งที่มีจริง แต่สิ่งเหล่านี้ก็คือธรรมที่มีในขณะนี้เอง มั่นคงหรือยัง ปัญญาที่มั่นคงในความเป็นธรรม ซึ่งก็มีท่านเขียนคำถามมาเรียนถามท่านอาจารย์ว่า สิ่งที่ชาวโลกขาดแคลนที่สุดคือ ความเข้าใจพระธรรม ที่เป็นเช่นนี้เพราะอะไรกราบเรียนท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้จัก เพราะไม่เคยได้ฟัง เพราะไม่ได้สะสมมาที่จะศรัทธา และสนใจ ไม่ใช่ว่าพระธรรมไม่มี มี แต่ว่าสนใจที่จะศึกษา สนใจที่จะฟังหรือเปล่า แต่สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสก็มาก ไม่มีโอกาสที่จะได้ฟังเลย แล้วก็พอมีโอกาสก็ แล้วแต่ว่าสะสมมาที่จะเห็นประโยชน์มากน้อยแค่ไหน

    เพราะว่า ถึงแม้ฟัง ก็ยังเบื่อได้ ฟังมากไปแล้วทำอย่างอื่น ทั้งหมดเป็นธรรม แต่ว่ากว่าจะรู้จริงๆ ว่าเป็นธรรมทั้งหมด ตั้งแต่เกิดจนตาย ก็จะต้องค่อยๆ เข้าใจว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ ทุกขณะ ไม่ต้องเลือก ไม่ต้องคอย แล้วก็ไม่ต้องทำอะไร แล้วก็ไม่ต้องหวัง เพราะว่า ตอนที่ไม่ได้ฟังธรรมเลย ชีวิตก็ดำเนินมา เป็นไปจนถึง ณ.วันนี้ตามเหตุตามปัจจัย

    เพราะฉะนั้น เมื่อมีความเข้าใจธรรมจะไปเปลี่ยนแปลงเหตุที่จะให้ชีวิตดำเนินต่อไปได้ไหม เพราะว่าทุกขณะนี้ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แต่เพิ่มความเห็นถูก ความเข้าใจถูกว่าทั้งหมดเป็นธรรม ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น เมื่อมีเหตุพร้อมที่จะให้ผลเกิดเมื่อไหร่ ผลที่เกิดก็ต้องเกิด เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นธรรมที่เป็นฝ่ายที่น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจ แต่คนที่เข้าใจธรรมแล้วไม่หวั่นไหว เพราะว่ารู้จริงๆ ว่าเป็นธรรม แต่ถ้าลืม หวั่นไหวทันที ด้วยโลภะบ้าง โดยโทสะบ้าง เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าความเข้าใจธรรมจะมีได้ ต่อเมื่อฟังแล้วไม่ลืม ถึงลืม ก็ฟังอีก เข้าใจอีกไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีความมั่นคง

    อ.กุลวิไล เพราะว่าความเข้าใจพระธรรมนี้คือปัญญา ปัญญาต้องอาศัยการอบรมนั่นเอง นั่นก็คือค่อยๆ มีเพิ่มขึ้นจากการเริ่มจากการฟังพระธรรม เพราะว่าพระธรรมแสดงถึงสิ่งที่มีจริง ท่านอาจารย์กล่าวว่า ผู้เข้าใจพระธรรมไม่หวั่นไหว ถ้าเราไม่รู้ลักษณะธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ถึงแม้หวั่นไหวทุกคนก็อาจจะเป็นเราที่หวั่นไหว ก็ดูไม่เดือดร้อน

    ท่านอาจารย์ เพียงแค่ได้ยินคำว่าธรรม รู้ตัวเองได้เลยใช่ไหม ว่าสะสมมาที่จะสนใจ อยากฟัง อยากรู้อยากเข้าใจว่าธรรมคืออะไร เพราะพอได้ยินคำว่าธรรมก็ต้องรู้ว่ามาจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ และทรงแสดง เพราะฉะนั้น จะมีอะไรอื่นที่น่าสนใจกว่าไหม

    อ.กุลวิไล สำหรับกรณีของวิตก ถ้าท่านมานั่งฟังธรรมท่านอาจารย์ก็พูดบ่อยว่า เป็นสภาพธรรมที่จรดในอารมณ์ ก่อนอื่นก็จะขอให้คุณคำปั่นช่วยให้ความหมายของคำว่า วิตก ว่าคำว่า วิตกศัพท์นี้คืออะไร

    อ.คำปั่น วิตกเจตสิกนั้น เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่ตรึกหรือจรดในอารมณ์ที่จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ในขณะนั้น เป็นสภาพธรรมที่มีจริง แล้วก็ตามการศึกษาในส่วนของพระอภิธรรมซึ่งเป็นธรรมที่ละเอียดยิ่ง ทุกท่านก็คงจะทราบว่า วิตกเจตสิกนั้น เป็นเจตสิกประการหนึ่งที่เป็น ปกิณณกเจตสิก หมายถึงว่า เป็นเจตสิกที่เกิดร่วมกับจิตได้ทุกชาติเลย หมายความว่า เกิดร่วมกับจิตที่เป็นกุศลก็ได้ เกิดร่วมกับจิตที่เป็นอกุศลก็ได้ เกิดร่วมกับจิตที่เป็นวิบากก็ได้ เกิดร่วมกับจิตที่เป็นกิริยาก็ได้ นี่คือความละเอียดของพระธรรม แต่จริงๆ แล้วก็คือธรรมที่กำลังมีในขณะนี้

    เพราะว่า เมื่อกล่าวโดยละเอียดแล้ว วิตกเจตสิกไม่เกิดกับจิตประเภทใดบ้าง ขอยกตัวอย่าง เช่น ไม่เกิดร่วมกับทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ประเภท อันนี้คือไม่มีวิตกเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่เมื่อหลังเห็น หลังได้ยิน หลังได้กลิ่น เป็นต้น วิตกเจตสิกก็เกิดพร้อมกับจิตขณะต่อไป คือสัมปฏิจฉันนจิต อันนี้คือความเป็นจริงของสภาพธรรม ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถทราบถึง หรือว่าเข้าถึงความละเอียดอย่างนั้น แต่ก็สามารถที่จะเพิ่มความเข้าใจได้ว่า เป็นธรรมที่มีจริงที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย วิตกเจตสิกเป็นธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่แล้วก็ดับไป ไม่ใช่เรา

    อ.กุลวิไล ทุกคำที่เรากล่าวก็ต้องล้วนแต่เป็นธรรม เพราะว่าทั้งหมดเป็นธรรม ต้องมีสภาพธรรมที่จรดในอารมณ์ ในชีวิตประจำวันท่านอาจารย์ อย่างน้อยก็ต้องมีสภาพธรรมที่เป็นเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย แต่พอเราศึกษาในส่วนของพระอภิธรรมแล้วก็ไม่พ้นขณะนี้เอง แม้แต่สภาพธรรมที่เป็นวิตกเจตสิกในชีวิตประจำวันก็ต้องมี

    ท่านอาจารย์ ฟังธรรมเพื่อเข้าใจ ว่าเป็นธรรมแล้วก็เป็นอนัตตา แต่ไม่ใช่ฟังธรรมแล้วเมื่อไหร่เราจะรู้สิ่งที่เราได้ฟัง เช่น วิตกเจตสิก หรือว่าผัสสเจตสิก เป็นต้น เพราะฉะนั้น ต้องไม่ลืมเลย ฟังเพื่อที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังฟังในความละเอียดยิ่ง เมื่อสักครู่นี้ พูดถึงวิตกเจตสิก ซึ่งเกิดกับจิต เว้นทวิปัญจวิญญาน คือจิตเห็นขณะนี้ ขณะที่ทำกิจเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่มีวิตกเจตสิกเกิดร่วมด้วย มีเพียงสัพพจิตสาธารณเจตสิก ๗ ซึ่งต้องเกิดกับจิตทุกขณะ แล้วลองคิดดูสิ ขณะนี้ทันทีที่จิตเห็นดับ จิตต่อไปมีวิตกเจตสิกเกิดร่วมด้วยแล้ว ไม่มีใครไปเปลี่ยนแปลง จะไปทำให้ไม่เกิดก็ไม่ได้

    เพราะเหตุว่า กิจของจิตเห็น ไม่ใช่กิจของจิตขณะที่ต่อจากจิตเห็น นี่แสดงความละเอียดของธรรม ต่างโดยเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้น เวลานี้ ใครบอกว่ารู้จักวิตกเจตสิกเป็นไปได้ไหม เพราะจิตเห็น เกิดเห็นแล้วดับไม่มีวิตกเจตสิก แต่จิตต่อไปเกิดต่อ สืบต่อทันที มีวิตกเจตสิกแล้ว

    เพราะฉะนั้น ใครจะบอกว่ารู้จักวิตกเจตสิกได้ไหม เพราะขณะนี้ก็ไม่รู้เลยว่า จิตขณะนี้เป็นจักขุวิญญาณ หรือว่าสัมปฏิจฉันนะ หรือว่าสันตีรณะ หรือว่าโวฏฐัพพนะ หรือแม้อกุศล หรือกุศลซึ่งเกิดก็ไม่รู้เลย เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นเรื่องฟังให้เข้าใจว่าเป็นธรรม เพื่อรู้จริงๆ ว่า ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้เลย ความจริงเป็นอย่างนี้ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นบุคคลผู้เกิดในนรก เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเทพ เป็นมนุษย์ หรือแม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สภาพธรรมก็เปลี่ยนไม่ได้เลย ต้องเป็นไปตามปัจจัยที่จะทำให้เกิดขึ้น นี่คือไม่มีใครสามารถรู้ว่า เดี๋ยวนี้มีวิตกเจตสิก จะกล่าวว่าใครรู้วิตกเจตสิกเป็นไปไม่ได้ และยิ่งกว่านั้น ผัสสเจตสิกต้องเกิดกับจิตทุกประเภท

    เพราะฉะนั้น มีใครจะบอกว่ารู้จักผัสสเจตสิกไหม ในเมื่อผัสสเจตสิกเกิดกับแม้จักขุวิญญาณซึ่งไม่มีวิตกเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้น จะเห็นความจริงการฟังธรรมเพื่อเข้าใจปริยัติ การที่จะค่อยๆ รู้ว่าเป็นธรรม จนกว่าสามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติด้วยทีละเล็กทีละน้อย โดยมีเหตุปัจจัยที่จะให้สติสัมปชัญญะเกิด แล้วก็เริ่มเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ อย่างขณะนี้แข็งปรากฏ ไม่เคยฟังธรรมเลย จะรู้ไหมว่า ขณะนั้นแข็งเป็นธรรม ซึ่งเมื่อปรากฏ สิ่งอื่นจะปรากฏรวมอยู่ในแข็งนั้นไม่ได้เลย ทีละ ๑ ขณะ ของจิตที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ก็เป็นสังสารวัฏฏ์ซึ่งจากตาไป หู จมูก ลิ้น กาย ใจ วนเวียนอยู่แถวนี้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทุกภพชาติ กับเรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมเริ่มจากการให้รู้จักว่า ขณะนี้เป็นธรรม แล้วก็เป็นธรรมที่ละเอียดยิ่ง มีเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้นโดยที่ว่าใครก็ไม่สามารถที่จะบังคับบัญชาได้ เพราะฉะนั้น ในขั้นที่ฟัง มีใครจะรู้ความจริงของเห็นซึ่งเกิดดับ หรือว่าวิตกเจตสิกซึ่งไม่ได้เกิดกับจิตเห็น แต่จิตเห็นมีผัสสเจตสิกเกิดร่วมด้วย นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ สะสมความมั่นคงซึ่งจะเป็นสัจจญาณว่า สภาพธรรมก็คือเป็นปกติ แล้วก็เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แต่พร้อมที่จะให้ปัญญาเจริญขึ้นได้เพราะมีจริงๆ และกำลังปรากฏ ถ้าฟังเพียงเล็กน้อยจะเข้าใจสภาพธรรม จนกระทั่งสามารถที่จะละความติดข้อง และประจักษ์การเกิดดับสภาพธรรมไม่ได้ แต่ถ้าฟังมากขึ้นละคลายมากขึ้น เข้าใจมากขึ้น โดยไม่หวัง ขณะนั้นปัญญาก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น และสภาพธรรมที่เป็นสังขารขันธ์แม้ขณะนี้ ก็กำลังสะสมที่จะน้อมไปสู่ความเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรม จนสามารถรู้ความจริงได้

    อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมเพื่อสะสมความเห็นถูก ซึ่งท่านอาจารย์เน้นถึงสภาพธรรมที่มีจริงที่ละเอียดยิ่ง ขณะนี้ก็ต้องมีธรรม เชิญคุณแก้วรัชดา

    ผู้ฟัง เมื่อฟังในด้านปริยัติแล้ว ผัสสเจตสิกเกิดขึ้นทุกครั้งที่จักขุวิญญาณกระทบอารมณ์ คือไม่ใช่ว่าไปเห็นตัวจริงของผัสสะแต่ก็เข้าใจว่า ทันทีที่ตากระทบแล้วก็เห็น ตอนนั้นก็ต้องมีผัสสะแล้ว

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้จิตเห็นกำลังเห็น ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗ ประเภท

    ผู้ฟัง อันนั้นก็ต้องเป็นความเข้าใจที่มั่นคงด้วยใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เพื่อจะรู้ว่าจิตหลากหลายมาก แม้เพียงเห็นจะสั้นเล็กน้อยสักแค่ไหน เพราะว่าเกิดเพราะเจตสิก ๗ ประเภทเป็นปัจจัยแล้วดับ ขณะต่อไปไม่ใช่จิตเห็นแล้วเพราะมีวิตกเจตสิกเกิดร่วมด้วย นี่ก็แสดงความละเอียดอย่างยิ่งของการที่จะให้รู้ว่า เป็นอนัตตาจริงๆ แล้วธรรมก็เป็นอย่างนี้ แต่ต้องเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่ไปคิดถึงสิ่งที่ไม่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้น เราจะไม่คิดถึงบุคคลใดทั้งสิ้น แม้พระอริยบุคคลท่านก็หมดความสงสัย หมดความไม่รู้ และการยึดถือสภาพธรรมที่ปรากฏว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เพราะรู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ นี่เป็นความต่างกันของผู้ซึ่งเป็นอันธพาลปุถุชน ไม่ได้ฟังพระธรรมเลย ไม่มีโอกาสที่จะรู้ว่าขณะนี้เป็นธรรม ได้ยินแต่เพียงชื่อเหมือนแว่วๆ มา พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ แต่อยู่ที่ไหนเป็นยังไง ไม่มีหนทางที่จะรู้เลยถ้าไม่มีการฟังพระธรรม

    เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ก็คือว่า ผู้ที่ไม่ใช่อันธพาลปุถุชน ก็ยังมีการได้ยินได้ฟังบ้าง แต่จะถึงความเป็นกัลยาณปุถุชนหรือยัง ก่อนที่จะถึงความเป็นพระอริยบุคคล ไม่ใช่แค่ฟัง แต่เข้าใจพระธรรมที่กำลังปรากฏเพิ่มขึ้นว่าเป็นสัจจธรรม เป็นความจริงที่ขณะนี้เป็นอย่างที่ได้ทรงแสดงไว้ แต่ไม่ใช้ปัญญาที่เพียงขั้นฟังแล้วจะรู้ได้ ต้องเป็นผู้ที่มีความเห็นถูกจริงๆ ว่า ปัญญาจะเจริญก็ต่อเมื่อรู้ว่าปัญญารู้อะไร และสิ่งที่ปัญญารู้ขณะนี้มีไหม แม้มี แต่ก็ยังไม่ได้เข้าใจจึงต้องฟังต่อไปอีก เพื่อที่จะเข้าใจถูกเพื่อละ แต่ไม่ใช่เพื่อเดาอย่างโน้นอย่างนี้

    ผู้ฟัง ขออนุญาตสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์สุจินต์ ชีวิตคนเรานี่เกิดมาเพื่ออะไร

    ท่านอาจารย์ เป็นคนหรือว่าเป็นธรรม

    ผู้ฟัง อันนี้ถือว่าเป็นเรา

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีธรรมเกิดจะมีคนไหม ต้องเข้าใจตั้งแต่ต้น เราศึกษาธรรมเพื่อรู้ว่าทั้งหมดเป็นธาตุ เป็นธรรม เป็นสิ่งที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย แต่เพราะความไม่รู้สิ่งที่ปรากฏ ปรากฏเหมือนเที่ยง เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด รูปร่างสัณฐานอย่างนี้ก็เป็นคน รูปร่างสัณฐานอย่างนั้นก็เป็นนก รูปร่างสัณฐานอย่างโน้นก็เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ นี่คือเราไม่ได้เข้าใจว่าทั้งหมดเป็นธรรม ถ้ามิเช่นนั้นจะมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่ออะไร เพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่มี แล้วก็ทรงแสดงให้บุคคลอื่นสามารถที่จะเข้าใจถูก ตามความเป็นจริงของสภาพธรรมด้วย เพราะว่าธรรมมีจริงๆ แต่ไม่มีใครรู้ความจริงของสภาพธรรมนั้น ก่อนการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มีคนเกิด มีสัตว์เกิด แต่ว่าทั้งหมดที่ว่าเป็นคนคืออะไร ถ้าไม่ใช่ธาตุรู้ สภาพรู้ จะเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นสิ่งที่มีชีวิตได้ไหม แล้วก็มีธรรมอีกอย่างหนึ่งด้วย ซึ่งมีจริงๆ แต่ไม่รู้อะไร

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่มีแต่ธาตุรู้ แต่มีรูปร่าง มีธรรมที่เป็นรูปธรรมด้วย เพราะฉะนั้น ก็ฟังเพื่อที่จะได้มีความเข้าใจถูกต้องว่า ที่เคยไม่รู้มานานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ ก็มีโอกาสที่จะได้ฟังให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏว่าเป็นธรรม

    ผู้ฟัง แต่ในชีวิตจริงของเรา ทุกคนก็ดิ้นรนขนขวายที่จะยังชีพด้วยการงานบ้าง ดูแลบุตรธิดา ดูแลบิดามารดาบ้าง

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีธรรมต้องทำอย่างนี้ไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่ต้องทำ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นอะไรทำ

    ผู้ฟัง จิต เจตสิก

    ท่านอาจารย์ ก็ธรรมนั่นแหละเกิดมาแล้วต้องเป็นไป

    ผู้ฟัง แล้วเราจะดิ้นรนขวนขวายทำสิ่งต่างๆ

    ท่านอาจารย์ เราอยู่ที่ไหนในเมื่อธรรมเกิดแล้วต้องเป็นไป คือเกิดแล้วต้องเห็น เห็นแล้วก็ต้องคิด ทั้งหมดเป็นธรรม ไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์จะบอกว่าแม้จะดิ้นรนขวนขวายทำสิ่งต่างๆ ก็ไม่มีเรา

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละอย่างที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยละเอียด ก็เพื่อให้เข้าใจความจริงว่า ทุกขณะเป็นธรรมอะไร เป็นรูปธรรมหรือว่าเป็นนามธรรม เป็นจิตหรือเป็นเจตสิกประเภทต่างๆ แม้เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ก็เป็นอย่างนี้ ให้เข้าใจให้ถูกต้องตามความเป็นจริง

    ผู้ฟัง ให้เข้าใจว่าเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ถูกไหม เป็นหรือเปล่าธรรม

    ผู้ฟัง แม้จะดิ้นรนขวนขวายสิ่งต่างๆ ก็เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่าง จะเห็นได้ว่าความไม่รู้ของเราจะสงสัย กำลังเร่งรีบจะทำอะไรสักอย่างเป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก็จะคิดแล้วมันเป็นธรรมอะไร เป็นจิตประเภทไหน แต่ความจริงเป็นธรรมทั้งหมด แต่ว่ากว่าจะรู้ว่าเป็นธรรมต้องอาศัยการฟังจนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่ากำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ให้มีความเห็นถูกต้องว่าเป็นธรรมแต่ละอย่างจริงๆ เห็นไม่ใช่ได้ยิน


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 184
    12 ม.ค. 2567