ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1028


    ตอนที่ ๑๐๒๘

    สนทนาธรรม ที่ บ้านคุณสมบูรณ์ ผดุงไทยธรรม จ.ชลบุรี

    วันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ ความไม่รู้ก็เป็นความไม่รู้ ความรู้ก็เป็นความรู้ และจะไปเปลี่ยนสลับเอาความไม่รู้เดี๋ยวนี้ให้กลายเป็นความรู้มากมาย ที่กำลังประจักษ์ลักษณะที่เกิดดับของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ก็เป็นไปไม่ได้ ถ้าเข้าใจอย่างนี้สบายๆ ไหม หรือยังเดือดร้อนอยู่

    ผู้ฟัง ความรู้สึกที่เกิดกับตัวเองบ่อยที่สุดก็คือความรู้สึกเฉยๆ ซึ่งเราก็มาดูว่าเฉยๆ นี่เป็นโลภะหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ นี่เป็นความละเอียดของธรรม เฉยๆ เป็นความรู้สึก แต่ขณะนั้นมีความพอใจด้วยหรือเปล่า เห็นดอกไม้ เห็นอะไรก็ได้ เห็นสุนัขเมื่อสักครู่นี้ก็น่ารักมากเลย น่ารักก็ไม่ใช่เฉยๆ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเฉยๆ มี ซึ่งไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่ดีใจไม่ใช่เสียใจ เพราะฉะนั้นเฉยๆ มี เรามีสิ่งที่มีอยู่ตลอดแต่ไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้นในขณะที่กำลังมีความรู้สึกเฉยๆ ไม่รู้ว่าขณะนั้นแม้ความรู้สึกนั้น เราก็พอใจดีกว่าทุกข์ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นความรู้สึกจะห้ามไม่ให้มีไม่ได้เลย และความรู้สึกมีทั้งวัน เกิดดับสืบต่อเร็วมากไม่ปรากฏ ส่วนใหญ่ก็คือเฉยๆ แต่ถ้ามีสุขเกิดขึ้นเห็นความต่าง ไม่ใช่เฉย เป็นสุข เวลาทุกข์เกิดขึ้นก็เห็นความต่าง ไม่ใช่เฉยๆ แต่เป็นทุกข์ นี่ก็คือสิ่งที่มีทั้งหมด กว่าจะค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้นในความเป็นจริง ก็ต้องรู้ว่าความรู้สึกไม่ใช่ความติดข้อง แต่ว่าในขณะที่กำลังเฉยๆ เราไม่ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏหรือ นี่คือความละเอียด

    เวลาเห็น เราบอกว่าเฉยๆ ไม่ปรากฏความชอบในสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ติดข้องที่จะเห็นไหม หรือว่าไม่เห็นเลยดีกว่า ในโลกนี้ในกี่ชาติ เห็นไหม นี่ก็ต่างกัน

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรม เริ่มรู้จักความละเอียดที่ทรงแสดงไว้ว่าไม่ใช่เรา แต่หลากหลายมาก ถ้าสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดไม่ปรากฏ เราก็เพียงแต่ฟังคิดและจำ เรื่องของสภาพธรรมนั้น แต่ว่าเวลาที่สภาพธรรมนั้นปรากฏ เช่น เฉยๆ เดี๋ยวนี้ก็ได้แต่เรียกชื่อ แต่ก็ยังเป็นเรา เพราะเหตุว่ายังมีความไม่รู้ เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่ค่อยๆ เข้าใจ แล้วความเข้าใจนั่นต่างหากที่จะละความไม่รู้และความติดข้องและกิเลสทั้งหลายได้เพราะความเข้าใจ

    สิ่งที่มีแต่ไม่เคยรู้เลย และก็พอเริ่มฟังธรรมเริ่มรู้ว่าความเข้าใจไม่ใช่เข้าใจเรื่องอื่นเลย เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้นั่นเอง ตอนนี้ความเฉยๆ ยากที่จะรู้ได้ "เห็น" ยากที่จะรู้ได้ไหม เห็นไหม แม้เห็นกำลังเห็น ก็ยังยากที่จะรู้ได้

    เพราะฉะนั้นอะไรที่มีแต่ไม่ปรากฏลักษณะให้รู้ สิ่งนั้นเกิดแล้วดับแล้ว จะไปรู้ไม่ได้เลย เพราะมีสิ่งที่เกิดสืบต่อใหม่ แล้วก็เกิดดับสืบต่อไปเรื่อยๆ นี่คือความจริง ซึ่งถ้ารู้ความจริงอย่างนี้จะค่อยๆ เข้าใจธรรมว่าไม่ใช่เรา ไม่เช่นนั้นก็เป็นเราใช่ไหม อย่างที่คิดอย่างละเอียดเมื่อสักครู่นี้ก็เป็นเราที่คิด จนกว่าคิด เกิดแล้วก็ดับ และก็ไม่เหลือเลย ทุกอย่างไม่เว้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีความเกิดขึ้นกำลังปรากฏให้รู้ว่ามี ดับแล้ว

    ผู้ฟัง ดังนั้นถ้าเรามามองว่าโลภะกับเวทนาเหมือนกันไหม จริงๆ ไม่เหมือน เป็นคนละสภาพธรรมกัน เพียงแต่ว่าในขณะที่มีโลภะ บางทีเรามีความรู้สึกเกิดร่วมด้วย เพียงแต่ว่าความรู้สึกนั้นไม่ได้ทำให้เราตื่นเต้นว่า เรามีความสุข เราเฉยๆ เราก็เลยนึกว่าเราไม่มีโลภะ

    ท่านอาจารย์ ส่วนใหญ่เรารู้จักชื่อ เรียกชื่อได้เยอะเลย จิตมีเท่าไหร่เจตสิกมีเท่าไหร่ รูปมีเท่าไหร่ เรียกชื่อได้หมด พอเห็น ก็เรียกโลภะทันที หรือจักขุวิญญาณ หรือว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แต่ความจริงชื่อมีไว้สำหรับให้รู้ว่าหมายความถึงสภาพธรรมอะไร เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วสภาพธรรมไม่ได้มีชื่อเลย เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ไปคิดถึงชื่อ แต่เรารู้ตัวจริงว่าขณะนี้ความรู้สึกเฉยๆ เป็นอย่างไร ไม่ต้องมีคำว่าเวทนาความรู้สึกอุเบกขา ไม่ต้องมีคำว่าติดข้อง ไม่ต้องมีคำว่าโลภะ แต่ตัวธรรมไม่ชินต่อการที่จะเข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เรา เพราะว่าเป็นธรรมจริงๆ เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่งหลากหลายมากเลย ถ้าไม่เอาชื่อไปติดไว้ ก็เป็นธรรมหมดเลย แต่เราคุ้นเคยกับชื่อ พอได้ยินโลภะ หาแล้ว โลภะอยู่ไหน ทางตาหรือทางหูหรือทางใจ ก็ไปติดคำว่าโลภะ แต่ถ้าเอาโลภะออก แล้วฟังว่าที่ใช้คำแต่ละคำ หมายความถึงสภาพตัวจริงของธรรมซึ่งกำลังมีในขณะนี้ เพื่อให้เข้าใจถูกต้องให้รู้ว่าขณะนั้นเป็นอะไร

    เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงความรู้สึก เรายังไม่ต้องใช้คำอะไรเลย เมื่อสักครู่นี้คุณเอ๋ก็บอกเองว่าเฉยๆ บ่อย เฉยๆ นั่นแหละเป็นอย่างไร เห็นไหม เพียงแต่รู้ว่าเฉยๆ แต่เป็นเรารู้ว่าเฉยๆ แต่ความจริง เฉยๆ ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นฟังแล้วก็รู้ว่าแม้แต่ขณะนั้นเองที่เฉยๆ ก็ไม่ใช่เรา เพราะเป็นแต่เพียงความรู้สึกที่ไม่ทุกข์และก็ไม่สุข ไม่ดีใจไม่เสียใจ และก็ไม่ต้องเรียกอะไรด้วย ถึงไม่เรียกความรู้สึกนั้นก็มี แต่ว่ายากที่เราจะเข้าใจได้ เพราะเหตุว่าเราติดในคำ ติดในชื่อ เพราะเวลาที่เรียนอะไร มีแต่คำทั้งนั้นเลย แล้วเราก็ไปหาว่าตัวนั้นอยู่ไหน เดี๋ยวนี้คืออะไร

    ธาตุรู้ ธาตุ ธา-ตุ หมายความถึงสิ่งที่มีจริงหลากหลายมาก แต่ธาตุชนิดหนึ่งเกิดขึ้นรู้ แค่นี้ทั้งวัน ต้องไปหาที่ไหน ไม่ขาดเลย แต่ก็ไม่รู้ ด้วยเหตุนี้การฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่เพื่อเราจะไปทำอะไรเลยทั้งสิ้น ถ้าเกิดมีความคิดว่าเราจะทำ เราทำอย่างไร นั่นคือผิดทันที เพราะไม่ใช่ความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ใครทำอะไร ก็เกิดแล้วไม่ใช่หรือ เดี๋ยวนี้ เกิดแล้วทั้งหมด แล้วจะนั่งคิดว่าไปทำอะไรได้ แต่ความเข้าใจไม่มี

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมก็คือเพื่อเข้าใจ ธรรมคือสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้เอง ซึ่งไม่เคยรู้ ฟังจนกระทั่งเข้าใจว่ามีจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่เรา สบายๆ ไหม ทำอะไรไม่ได้ แต่เข้าใจได้ และก็ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรเลย แม้แต่อิริยาบถ จะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว จะกระพริบตา จะยกมือ จะคิดโน่นคิดนี่ ทั้งหมดเกิดแล้ว กว่าจะเข้าใจความไม่ใช่เราก็คือเกิดแล้ว และแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งกว่าจะค่อยๆ เข้าใจ เมื่อสิ่งนั้นกำลังมีปัญญาด้วยความเข้าใจถูก ในขั้นการฟังเกิดก่อน แล้วถึงจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ถ้าไม่มีความเข้าใจในขั้นการฟังเลย จะเอาอะไรมาเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ และปัญญาขั้นการฟัง มีผู้เดียวที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริง และทรงแสดงความจริงทุกคำในสิ่งที่กำลังมี จะไปหาความรู้อย่างนี้จากคนอื่นไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นใครในสากลจักรวาลทั้งหมด

    เพราะฉะนั้นก็เป็นโอกาสที่มีโอกาสได้ฟังความจริง จะเข้าใจแค่ไหนก็สะสมไว้ ทำอะไรไม่ได้ เพราะเข้าใจแล้วก็ดับไป แต่เมื่อเกิดแล้วก็ค่อยๆ สะสมอยู่ในจิต สภาพรู้ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ ก็คือฟังธรรมบ่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วความเข้าใจที่ค่อยๆ คลายความไม่รู้ เราจะไม่รู้สึกเลย แต่ถ้ามุ่งหน้าจะไปคลาย มุ่งหน้าจะไปให้รู้มากๆ นั่นผิด แต่ว่าปัญญาที่เกิดจากการฟัง และกำลังจะทำหน้าที่เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ทรงอุปมาว่าเหมือนกับการจับด้ามมีด เมื่อไหร่จะสึก ถ้าไม่จับไม่มีทาง และเวลาจับก็ไม่รู้ด้วยว่าการจับแต่ละครั้งนั่นแหละ คือค่อยๆ ทำให้ด้ามมีดนั้นสึกไป

    เพราะฉะนั้นปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจความจริงนี่เอง ที่กำลังจะนำไปสู่การรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ เป็นเรื่องละ เป็นเรื่องสบาย ใครไม่สบายเมื่อไหร่ ให้รู้ว่าขณะนั้นผิด หาทางที่จะรู้ ไม่สบายใช่ไหม ผิด แต่เข้าใจธรรมว่าเป็นธรรมดาซึ่งใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ยับยั้งไม่ได้

    ผู้ฟัง ในชีวิตประจำวันในการทำงาน ทุกคนก็คงจะประสบกับเรื่องพวกนี้ว่า ความถูกต้องกับความถูกใจ ท่านอาจารย์กล่าวว่าถูกตามธรรมดีกว่าไหม ขอให้ท่านอาจารย์อธิบายความละเอียด

    ท่านอาจารย์ ก็ดีที่คุณเอ๋ไม่ฟังคำของคนอื่น เพราะว่าเขาอาจมีคำแนะนำมากมายใช่ไหมว่าถูกต้องคืออะไร ถูกใจคืออะไร แต่ลืม เมื่อสักครู่นี้ทั้งหมดเป็นธรรม เห็นไหม หมดแล้ว คิดก็เป็นธรรม คิดเรื่องทำงานก็เป็นธรรม ไม่มีเราที่ตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรดี หรือปล่อยไปหรืออะไรทั้งหมด ไม่มีอะไรเว้นจากธรรมเลยสักอย่างเดียว แม้แต่ขณะนั้นเหมือนเดี๋ยวนี้เลย เพราะฉะนั้นกว่าจะถึงตัวธรรมจริงๆ ว่าไม่ใช่เรา ไม่มีการเลือกเลย เพราะว่าเป็นปกติ ทำไมถึงต้องเป็นปกติ เพราะเหตุว่ามีปัจจัยเกิดเห็นไหม ทำให้เราไม่ไปขวนขวายเลย เดี๋ยวนี้ก็เป็นปกติแล้ว มีแข็งไหม เกิดแล้วมีเห็นไหม ก็เหมือนกันเลย แต่ว่าเห็นเป็นธาตุรู้ แข็งก็เป็นสภาพที่แข็ง ทุกอย่างมีอยู่เป็นประจำ แต่ไม่รู้

    เพราะฉะนั้นถ้าเราฟังธรรมจริงๆ เราจะไม่ไปหาคำตอบอื่นเลย นอกจากคิดอย่างนี้ก็เป็นธรรม คิดอย่างโน้นก็เป็นธรรม อะไรอะไรทั้งหมดก็คือขณะนั้นไม่ใช่เรา อย่างนี้จะเป็นหนทางที่จะทำให้รู้ความจริง แล้วก็ขณะที่จะคิดอย่างไร เพราะการสะสมคือไม่มีอะไรที่จะเป็นตัวเราแทรกเข้าไปได้เลย แต่ไม่รู้ว่าขณะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามการสะสม ทำไมคนเราคิดต่างกัน ตามการสะสม เพราะฉะนั้นหนทางที่จะเข้าใจธรรมจริงๆ คือไม่ลืมไม่ว่าเมื่อไหร่ ก็ระลึกได้ นั่นคือลักษณะของธรรมหนึ่ง กว่าจะรู้จริงๆ ว่านั่นเป็นธรรม ฟังมาเสียตั้งนาน นานแสนนานไม่รู้ว่ากี่ชาติ กว่าจะรู้ว่านั่นธรรม นี่ธรรม คิดอย่างนี้ก็ธรรม จะไปขอความเห็นใคร ก็ธรรมทั้งหมดเลย ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ไม่ทิ้งความเข้าใจว่าเป็นธรรม สิ่งที่มีจริงซึ่งไม่ใช่เรา แล้วก็มีลักษณะซึ่งเกิดแล้วด้วย

    ผู้ฟัง การทำบุญตามสถานที่ต่างๆ จะทำให้รวยแล้วเกิดชีวิตที่ดีได้ไหม เพราะส่วนใหญ่ก็จะคิดกันแบบนี้

    อ.อรรณพ บุญจริงๆ เป็นสภาพที่ชำระจิต ถ้าตอนนั้นมีความอยากได้บุญ ความอยาก ขณะนั้นจิตเป็นอย่างไร ไม่ได้ถูกชำระความอยากเลย ซึ่งความอยากก็เป็นโลภะ ซึ่งเมื่อเกิดกับจิตก็ปรุงแต่งให้จิตนั้นเป็นจิตที่ไม่ดีเป็นอกุศลจิต ที่ระคนไปด้วยความอยากความติดข้อง นั่นก็ไม่ใช่บุญแล้วถ้าอยาก แล้วถ้าไม่รู้จักบุญ ก็มีความไม่รู้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นความไม่รู้จะเป็นบุญได้ไหม ความไม่รู้เป็นมลทินของจิตคืออวิชชา ก็ไม่ใช่บุญ เพราะนั่นเป็นการคิดด้วยความไม่รู้ ซึ่งก็เป็นอกุศลที่อยากได้ในสิ่งที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่คิดไปเองว่าดี เพราะฉะนั้นแม้คำว่าบุญหรือทุกคำในพระไตรปิฎก ถ้าไม่ได้ศึกษาก็จะไม่ได้เข้าใจ

    อ.คำปั่น ในความหมายของบุญก็คือสภาพธรรมที่ดีงาม ที่ชำระจิตให้สะอาดปราศจากอกุศล เพราะฉะนั้นถ้ากล่าวถึงบุญก็คือความดีทั้งหลายทั้งปวง และสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งที่ตรงกันข้ามกับบุญก็คือบาป ปาป หมายถึงสภาพธรรมที่ไม่ดี เป็นสิ่งที่ผู้ที่เป็นบัณฑิตหลีกออกห่างแสดงว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี บาปเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งที่บุคคลผู้มีปัญญาหลีกออกห่างเว้นออกห่าง เพราะว่าบาปธรรมทั้งหลายซึ่งเป็นความชั่วทั้งหลายทั้งปวง เป็นสิ่งที่ไม่ดีไม่นำมาซึ่งคุณประโยชน์ใดๆ เลย อย่างที่ อ.อรรณพ ได้ยกตัวอย่าง

    ขณะที่มีความอยากเกิดขึ้น ไม่ใช่บุญแน่นอน ก็เป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นบาปธรรมแน่นอน ขณะที่มีความไม่รู้เกิดขึ้นเป็นไปก็เป็นบาปธรรม เพราะว่าเป็นธรรมที่ไม่ดี แล้วก็อีกนัยหนึ่งที่แสดงไว้ชัดเจนว่า ความเป็นไปของบาปธรรมก็คือยังบุคคลให้เข้าถึงทุคติ เพราะว่าการที่จะไปเกิดในอบายภูมิ ทุคติภูมิ ซึ่งเป็นภูมิที่ลำบากเดือดร้อน ไปได้ด้วยบาปธรรมเท่านั้น ถ้ามีการเจริญกุศลสะสมความดี เหตุที่ดีก็นำเกิดในภพภูมิที่ดี ซึ่งก็มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะฉะนั้นการมีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรมในแต่ละครั้ง ประโยชน์ก็คือ เข้าใจความจริง แม้แต่บุญคืออะไร เป็นธรรมที่มีจริงๆ เป็นธรรมที่ดีงาม ชำระจิตให้สะอาด ในทางตรงข้ามธรรมที่เป็นบาปทั้งหลายก็คืออกุศลธรรมทั้งหลายทั้งปวงก็เป็นธรรมที่มีจริง

    อ.อรรณพ เช่น ถือศีล ก็คือไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ แล้วก็ไปปล่อยนก ปล่อยปลาบ้าง หรือก็ไปทำสิ่งที่เรียกว่าคิดว่าเป็นบุญอย่างนี้ จะมีขณะจิตที่เป็นบุญบ้างไหม แล้วจะอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้นี่เป็นบุญไหม

    อ.อรรณพ ไม่รู้ไม่ใช่บุญ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทำทำไม

    อ.อรรณพ เพราะอยากได้

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นคำตอบ ทั้งหมดมาจากความเข้าใจธรรม มีเหตุการณ์ตลอดวันตลอดคืนทุกหนทุกแห่ง เป็นธรรมทั้งหมดแต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นทุกปัญหาทุกเรื่องจะเข้าใจเมื่อเข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจธรรมเราก็สามารถจะรู้ได้ บวชทำไม ปล่อยนกปล่อยปลาทำไม ทั้งหมดก็มีคำตอบถ้ารู้ว่าเป็นธรรมขณะนั้น เพราะอะไร ทำไมทำ

    อ.อรรณพ คือทำด้วยความอยากความไม่รู้ แต่ขณะจิตที่เขามีความกรุณาปล่อยสัตว์ไป ตอนนั้นก็น่าจะเป็นบุญบ้าง

    ท่านอาจารย์ ก็อยากได้ พยายามหาทางให้บ้าง

    อ.อรรณพ หาทางให้บ้าง

    ท่านอาจารย์ ใช่ไหม แต่ความจริงถ้าเห็นมดตกน้ำ จะนั่งคิดไหมว่าเราจะไปปล่อยนกปล่อยปลา เห็นไหม ขณะนั้นเกิดจิตที่เป็นกุศล ไม่ได้ต้องการหวังผลของการที่เราจะช่วยชีวิตสัตว์ในขณะนั้น แต่ขณะนั้นไม่ใช่เรา แต่เป็นสภาพธรรมที่ดีงามที่หวังดีต่อคนอื่น มีเมตตาเห็นเขากำลังตกทุกข์ได้ยาก เพราะฉะนั้นธรรมเนียมหรือว่าประเพณีหรือความคิดที่จะปล่อยโค ปล่อยนก ปล่อยปลา แฝงอยู่เหมือนกับว่าขณะนั้นเป็นบุญ แต่ถ้าเป็นบุญจริงๆ ต้องเลือกเวลาไหม ต้องเลือกตัวหนึ่งตัวใดไหม มีตั้งร้อยตัวจะปล่อยตัวไหนใช่ไหม ก็เป็นเรื่องที่ว่าคิดไป แต่ไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นที่จะหมดความสงสัยได้ทั้งหมด ก็ต้องรู้ว่าไม่ใช่เรา ปัญหาทุกปัญหาไม่ใช่ให้ความไม่รู้ไปนั่งตอบความไม่รู้ ไม่มีทางที่จะหมดสิ้นได้

    อ.อรรณพ อย่างเรามานั่งกันอยู่อย่างนี้ เป็นบุญอย่างไรบ้าง

    ท่านอาจารย์ นั่นอย่างไร

    อ.อรรณพ แล้วคุยอย่างนี้ คนก็บอกว่าไม่เห็นได้ไปทำบุญอะไร

    ท่านอาจารย์ เรามาสนทนาธรรมเพื่อเข้าใจใช่ไหม หรือใครอยากมาเพราะจะได้บุญ

    อ.อรรณพ มาเพื่อที่จะเข้าใจธรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้ใช่ไหม และไม่รู้กับรู้ ประโยชน์อยู่ตรงไหน ก็อยู่ที่รู้ เพราะฉะนั้นก็ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ ที่จะละความไม่รู้ หวังบุญหรือเปล่า

    อ.อรรณพ ไม่ได้หวัง

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม ถ้าหวังบุญ ได้มากมายเลย ตั้งแต่ออกจากบ้านก็คิดแล้ว จะมาสนทนาธรรมใช่ไหม หวังบุญ เดินมาเดินไปบุญทั้งนั้นเลย นั่งอยู่ตรงนี้ก็บุญทุกทีได้ยินเสียงก็บุญ ก็ไปนั่งคิดอย่างนั้น แต่ว่าตามความเป็นจริงคือไม่รู้ แล้วก็ได้ฟังแล้วรู้ เพราะฉะนั้นปัญหาทั้งหลายเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก ตอบเท่าไหร่สะสางเท่าไหร่ก็ไม่มีวันจบ เพราะมีความไม่รู้ก็มีเหตุการณ์ต่างๆ แต่ถ้าขณะนั้นเป็นความรู้ จบทุกสิ่งทุกอย่างเพราะว่าสามารถที่จะรู้ความจริงได้

    อ.อรรณพ แล้วก็เป็นการแพร่หลายของการไม่รู้ เช่น ก็เลยบอกบุญกัน จะได้มาทำบุญกัน แล้วก็สาธุกันอะไรกันอย่างนี้ โดยที่ไม่ได้เข้าใจเลยว่าขณะนั้นมีแต่ความไม่รู้ไม่เข้าใจ และสิ่งที่เป็นบุญจริงๆ ก็ไม่ต้องหวัง ไม่ต้องต้องการ ขณะที่กุศลมีเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้น

    ท่านอาจารย์ ปัญหามีมากมาย พระภิกษุรับเงินทองอะไรอะไรต่างๆ เราจะแก้หมดไหม ถ้าเราไม่ได้ให้เขาเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นไม่ใช่เราไปพูดถึงสารพัดสิ่งที่เป็นความไม่รู้ แต่ถ้าเราเริ่มพูดถึงความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง มีอะไรที่ไม่ถูกต้องเขารู้เอง ดีกว่าจะไปบอกเท่าไหร่ เขาก็ไม่รู้เขาก็ทำกันอยู่นั่นแหละ ประเพณีก็เป็นประเพณีต่อไป แต่ถ้าสามารถที่จะทำให้เกิดความเข้าใจถูกขึ้น การที่จะทำสิ่งที่ผิดๆ ก็ค่อยๆ ลดลง เพราะฉะนั้นตัวอย่างมีมากมายที่เลอะเทอะ แล้วเราก็จะกล่าวถึงแต่สิ่งที่เลอะเทอะ หรือว่าเราจะกล่าวถึงสิ่งที่เขาสามารถจะเข้าใจได้ แม้นิดแม้หน่อยค่อยๆ เข้าใจขึ้น และสิ่งต่างๆ เหล่านี้ จึงจะค่อยๆ หมดไปได้

    อ.อรรณพ เพราะปัญหาทั้งหลายก็มาจากความไม่รู้ เพราะฉะนั้นถ้ามีความรู้จึงจะเป็นการแก้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเราพูดถึงสิ่งที่มีจริง แล้วสิ่งที่เลอะเทอะก็เป็นตัวอย่างให้เห็นว่านี่เพราะไม่รู้ เพราะเหตุว่าขณะนั้นเราไม่ได้ไปชักชวนให้เขามาเชื่อเราว่าไม่ถูกต้อง แต่เพราะความเข้าใจของเขาต่างหากที่หลังจากที่ฟังแล้วเข้าใจ เขารู้เองว่า นั่นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

    อ.อรรณพ นั่นก็คือเริ่มจากความรู้ เริ่มจากปัญญา เมื่อมีปัญญาแล้วจะได้พอเห็นตัวอย่างสิ่งที่ไม่ถูกต้องปัญญาก็พิจารณาได้

    ท่านอาจารย์ แน่นอน ไม่ต้องถามใคร แล้วก็ไม่ต้องไปบอกเขาว่า อย่าทำ ไม่ทำอะไรต่างๆ เขาไม่รู้ จนกว่าปัญญาเขาจะเกิดขึ้น

    อ.อรรณพ คงเป็นความลำบากที่เราจะตามไปคอยบอก ว่า อย่างนี้ไม่ใช่ สิ่งนี้ไม่ถูก

    ท่านอาจารย์ เราก็ให้มีความเข้าใจเสียก่อน สำคัญที่สุดขอให้มีความเข้าใจก่อน แล้วก็ให้ความเข้าใจที่ถูกต้องมากขึ้น แทนที่จะเป็นความไม่รู้ เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุดเป็นเรื่องเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่เรา เพราะเหตุว่าแม้บุญก็เป็นธรรมที่มีจริง บาปก็เป็นธรรมที่มีจริง แล้วแต่เหตุปัจจัยที่จะเกิดขึ้น คนนี้เขาไม่ได้ไปปล่อยโค แต่เขาเลี้ยงเด็กยากจนหรืออะไรก็ได้ตามอัธยาศัย หรือเขาไม่ทำอย่างนั้น แต่เขาศึกษาธรรมเข้าใจก็ได้ และก็ช่วยคนอื่นให้เข้าใจก็ได้ แต่ละหนึ่งไม่ใช่เป็นไปด้วยความต้องการความติดข้อง แล้วแต่อะไรจะเกิด ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ เขาจะไปปล่อยนก ปล่อยปลา หรือทำอะไร แล้วแต่ขณะนั้นไม่ใช่เขา สะสมมาที่จะเป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้นเหนือสิ่งอื่นใดก็คือความเข้าใจถูกความเห็นถูก ไม่ใช่แฝงไว้ด้วยความไม่รู้และเป็นเรา เพราะเหตุว่าเรื่องความเป็นเราละยากมาก เพราะว่าฟังวันนี้กี่คำ ได้ยินตั้งมากมายก็เป็นเรา เท่าไหร่ก็เป็นเรา ด้วยเหตุนี้จึงเหมือนกับตั้งต้นคือสิ่งที่สกปรก เหนียวหนาแน่น แข็งมาก กว่าจะละลายหายสูญไปในความเป็นเรา เพียงแค่แตะนิดเดียวด้วยพระธรรมพอไหม กี่ภพกี่ชาติ เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือว่ารู้ความจริง เพราะฉะนั้นคนที่ใจบุญสุนทาน หรือคนที่ตระหนี่ก็ตามการสะสมของเขา แต่ถ้าท่านเหล่านั้นเคยสะสมปัญญามาแล้ว แค่ฟังธรรม ทั้ง ๒ บุคคลรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ นี่เป็นอานุภาพปาฏิหาริย์เตชะเดชของธรรม สิ่งที่มีจริงซึ่งใครก็รู้ไม่ได้เลย สิ่งที่อยู่ในมหาสมุทรมืดสนิทเลย น้ำทะเลเข้มมีอยู่ทั้งนั้นเลย พระพุทธเจ้าทรงแสดงแต่ละหนึ่งยังไม่ปรากฏ แต่รู้ว่ามี เดี๋ยวนี้มีจิต มีเจตสิก เจตสิก เท่าไหร่ก็มี จิตประเภทไหนก็มี แต่ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นจะปรากฏต่อเมื่อถึงอีกขั้นหนึ่ง ระดับหนึ่งของปัญญา ซึ่งไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นเรื่องละตลอด ตั้งแต่การฟัง ละความไม่รู้ ละความไม่เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วแต่กำลังของปัญญา ทุกคนอยากดับกิเลสเป็นพระอรหันต์ แต่ว่าแล้วแต่กำลังของปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาเลยไม่มีทาง จะไปเข้าสำนักปฏิบัติ ถูกบอกให้นั่งกี่ชั่วโมง เดินไปจนกว่าจะเมื่อย ก็ไม่ใช่ปัญญา รู้อะไร เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่า ถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ว่าอะไรที่ไหนที่ไม่ถูกต้องก็รู้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 181
    18 พ.ย. 2568