ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1040


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๑๐๔๐

    สนทนาธรรม ที่ บ้านคุณขจีรัตน์ แก้วทานัง

    วันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ เข้าใจแค่ไหนก็แค่นั้นใช่ไหม อยากจะรู้มากๆ วันนี้ก็เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้ามีการไตร่ตรอง ความเข้าใจมั่นคงไหม ว่าที่เห็นทุกวันนี้เห็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แค่นี้ไม่ต้องไปที่ไหนเลยทั้งสิ้นแต่ละคำที่ได้ฟังแล้ว มีความมั่นคงขึ้น ว่าขณะนี้ จริงๆ แล้วผู้ที่ตรัสรู้ความจริงเข้าใจถูกต้องจนดับกิเลส ไม่มีความสงสัย แต่ว่ากิเลสทั้งหมด จะดับหมดไปได้เพราะว่าต้องถึงความเป็นพระอรหันต์ไม่ใช่เพียงขั้นที่เป็นพระโสดาบัน ซึ่งเป็นขั้นตั้นที่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏซึ่งแสนยาก แต่ก็ยังจะต้องอบรมเจริญปัญญาต่อไป และถ้าเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัญญาคุณจะแค่ไหนเทียบไม่ได้เลย นี่เป็นเหตุที่พูดบ่อยๆ จะได้ฟังธรรมด้วยความเคารพ คำเดียวให้เข้าใจจริงๆ ว่ามีหลายขั้น ขั้นฟัง ขั้นไม่ลืม ขั้นระลึกถึง ขั้นกำลังรู้ตรงลักษณะนี้ ขั้นกำลังเข้าใจตรงลักษณะนี้ ตามที่ได้ฟังมาแล้วทั้งหมด ขั้นสามารถประจักษ์แจ้ง ขั้นสามารถประจักษ์แจ้งแล้วยังละลายความที่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด จนกว่าสภาพธรรมจะปรากฏตามความเป็นจริง จนดับกิเลสได้ตามลำดับ

    ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์สุจินต์ ดิฉันชื่ออัญชิสา เดินทางมาจากอุทัยธานี ชีวิตที่เกิดมารู้สึก ที่ท่านอาจารย์พูดว่าพูดคำไม่รู้จัก เบื่อสังสารวัฎ เกิดมาทำไม มันมีแต่ทุกข์ สุขเหมือนกะพริบตา สงสัยอยู่แค่นี้

    ท่านอาจารย์ เกิดก็ไม่รู้

    ผู้ฟัง เกิดก็ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ทุกข์ ก็ไม่รู้

    ผู้ฟัง ทุกข์ ก็ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ อยู่มาก็ไม่รู้ ไม่รู้ทั้งหมด

    ผู้ฟัง ก็ดิ้นรนไปหาสถานที่ต่างๆ ที่ทำสืบๆ กันมา เช่น ไปเนกขัมมะ ๗ วัน ๙ วัน ก็ไม่รู้อะไรเลย แล้วก็นั่งสมาธิ ดูลมหายใจอานาปานสติ ๑๖ ขั้นตอน มันก็ไม่เห็นไปยังไง เราจะนั่งเราจะนั่ง เริ่มหงุดหงิดมันไม่เห็นไปยังไง ดูแต่ลมหายใจยาวหายใจสั้น มันก็มีแต่ความสงสัยตัวเองแบบนี้ แล้วมาเจอท่านอาจารย์สุเมธ ก็ขอสมัครเป็นเพื่อนกับท่าน ท่านอาจารย์สุเมธก็แชร์เป็นธรรม เวลาท่านอาจารย์สุจินต์ไปสาธยายที่ไหนก็ลองฟัง แล้วนี่มาฟังท่านอาจารย์ได้ประมาณเดือนเศษๆ เข้าใจในระดับขั้นการฟัง ก็ยังแบบผิวๆ อยู่ อย่างท่านอาจารย์พูดบอกว่า ฟังให้เข้าใจในขั้นการฟังให้ถึงกระดูก มันเป็นของมันไปเอง คืออย่างท่อนไหนเข้าใจแล้วมันก็จะรู้สึกแบบ ปลื้มปิติ เห็นความเป็นจริง สิ่งที่มีจริงที่มันเกิดขึ้น นี่คือขั้นการฟังที่ดิฉันเห็น ตอนนี้ดิฉันเห็นท่านอาจารย์ ดิฉันได้ยิน ไม่มีใครบังคับบัญชาได้เลย แม้แต่ความทุกข์ความสุข หรืออะไร ในความรู้สึกของดิฉันคือ เข้าใจในระดับที่ผิวๆ ยังไม่ลึกซึ้ง แต่ก็มุ่งมั่น แล้วก็มั่นคงกับการที่จะฟังต่อไป

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมดก็เป็นบารมี แล้วก็มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่าไม่ใช่เราที่จะรู้ธรรม แม้ความเข้าใจก็เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่ก็จะเพิ่มการสะสมต่อๆ ไป

    ผู้ฟัง ยังระลึกไม่ได้ ตรงนี้ก็คือเข้าใจที่มันจะต้องสะสมต่อไป อย่างขณะฟัง เวลาอยู่บ้านดิฉันจะฟังตลอด เข้าใจขั้นการฟังตอนนั้นพอปิดวิทยุเลิกฟัง ไปทำโน่นทำนี่ สภาวะธรรมจริงๆ มันเกิดขึ้นมันดับไม่เห็นแล้ว

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่หวังใช่ไหม เพราะว่าเวลาที่ มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น ขณะนั้นไม่สามารถที่จะเป็นตัวตนที่จะไปบังคับให้รู้สิ่งนั้น แต่เพราะรู้ว่าเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ เป็นสิ่งที่มีทุกอย่าง ลืมก็เป็นธรรม โกรธก็เป็นธรรม ธรรมที่ไม่ดีก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้นธรรมหลากหลายมาก เพราะมีความมั่นคงอย่างนี้ มีศรัทธาที่เริ่มเข้าใจความจริงเพิ่มขึ้น ธรรมจึงเกิดได้ เพราะเหตุว่าไม่มีเครื่องกั้น เพราะฉะนั้นมีเครื่องกั้น ก็คือมีความเป็นตัวตน ที่อยากพยายามที่จะไประงับยับยั้ง เพราะไม่รู้ แต่ถ้ามีปัญญาขณะนั้นก็รู้ว่าเกิดแล้วดับแล้วไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้นแล้วแต่อะไรจะเกิดขึ้น ก็เป็นปัจจัยให้สามารถที่จะเข้าใจสภาพธรรม ขณะไหนก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ ด้วยความมั่นคงยิ่งขึ้น ว่าเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา หนทางสำคัญที่สุด มี ๒ ทาง แค่ก้าวแรก ก้าวเดียวที่ผิดไม่มีทางกลับมาทำถูก แต่ว่าก้าวที่ถูกตั้งแต่ก้าวแรกถูกต่อไป นำไปสู่การที่จะเข้าใจธรรม ในขณะนั้นละกิเลสคือความไม่รู้ขณะนั้น

    เพราะฉะนั้นกิเลสที่มีมาก จะค่อยๆ ละไปทีละน้อย แต่ไม่ใช่ด้วยเรา พอเกิดอกุศล หงุดหงิดจะทำอย่างไร พยายามจะละ หรือว่าเมื่อไหร่เราจะรู้อย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดง ก็ผิด เพราะเป็นเรา แต่ถ้ารู้ความเป็นจริงว่า ธรรมทั้งหมดเลย แล้วเดี๋ยวนี้ธรรมกำลังเกิดดับ ปรุงแต่งไ ม่มีเรา จิตเจตสิกรูปทั้งหมด ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ก็มีความมั่นคงว่า เมื่อไหร่สิ่งที่ไม่เคยปรากฏจะปรากฏ เพราะว่าเราฟังเรื่องของสิ่งที่มีจริง เหมือนเราฟังเรื่องสิ่งที่มีอยู่ใต้มหาสมุทรปกคลุมด้วยความมืดทึบของน้ำ จนกว่าความเข้าใจเหมือนแสงสว่างที่จะส่องไปถึงแต่ละหนึ่ง นั่นคือความเข้าใจพร้อมสติสัมปชัญญะ ที่ตรงไปเฉพาะลักษณะของสิ่งที่มีให้ปรากฏ แล้วจะรู้ความเป็นชั่วคราว แล้วก็เป็นเรื่องที่เยอะแยะหมด ที่เคยเป็นเราอยู่ใต้มหาสมุทร กว่าจะเจอทีละอันทีๆ เข้าใจทีละอันๆ จนกระทั่งหมดความเป็นเราได้ ก็ต้องเหมือนเดี๋ยวนี้ ไม่มีความสงสัยในสิ่งที่ได้ฟัง ได้เข้าใจมาแล้ว เพราะฉะนั้นจะนานอีกสักเท่าไหร่ แต่ก้าวที่ถูกต้องก้าวแรก ก็นำไปสู่จุดหมายปลายทางคือการที่จะรู้ความจริงได้

    ผู้ฟัง กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูง

    ท่านอาจารย์ ความเป็นผู้ตรง จะได้สาระจากพระธรรม

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ จะขอกราบเรียนถามว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาสว่าง หรือว่าจิตเห็นสว่าง

    ท่านอาจารย์ จิตคืออะไร ทุกครั้งที่จะพูดถึงธรรมข้อไหน ต้องรู้ก่อนว่าคืออะไร ไม่อย่างนั้นเราก็พูดต่อไม่ได้เลย

    ผู้ฟัง จิตคือ สภาพที่รู้แจ้งอารมณ์

    ท่านอาจารย์ เป็นสิ่งที่มีจริงใช่ไหม

    ผู้ฟัง มีจริง

    ท่านอาจารย์ เกิดแล้วก็รู้ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แล้วก็มองเห็นจิตไหม

    ผู้ฟัง ไม่เห็น

    ท่านอาจารย์ จับจิตได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ มีกลิ่นให้เรารู้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่มีเลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงมี ๒ อย่างเมื่อประมวลแล้ว มากมายหลากหลาย สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดแล้วดับไปไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฎ นับธรรมไม่ถ้วน ถูกต้องไหม แต่ก็สามารถที่พระผู้มีพระภาคจะประมวลธรรมประเภทต่างๆ ให้รู้ว่าสิ่งที่มีทั้งหมด ไม่ว่าโลกไหนทั้งสิ้น สิ่งใดที่เกิดขึ้นแต่ไม่รู้อะไร แข็ง เสียงกลิ่น ไม่รู้อะไรเลย เป็นธรรมที่มีจริงเป็นฝ่ายรูปธรรม เพราะไม่รู้ แต่ว่าถ้าไม่มีธาตุรู้ สภาพรู้ เกิดขึ้นรู้ อะไรๆ ก็ปรากฏไม่ได้ อย่างเสียงเวลาที่เสียงไม่ปรากฏเพราะไม่มีจิตได้ยิน แม้มีเสียงที่ไหนๆ ก็ตาม แต่ไม่ปรากฏ จนกว่าจะมีธาตุรู้เกิดขึ้นได้ยินเสียง เราใช้คำว่าได้ยินเสียง แต่สภาพที่ได้ยิน ก็คือธาตุที่รู้เสียงเฉพาะเสียงที่ปรากฏ ด้วยเหตุนี้ ธาตุรู้มีรูปร่างลักษณะไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ มีอ่อนมีแข็งไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ไม่มีอ่อนมีแข็ง แล้วจะมีสิ่งที่สามารถกระทบตาได้ไหม ฟังธรรมจะคิด แล้วเป็นประโยชน์ที่เข้าใจได้เลย สิ่งที่กระทบตาอ่อนแข็งไหม

    ผู้ฟัง ไม่อ่อนแข็ง

    ท่านอาจารย์ และถ้าไม่มีสภาพที่อ่อนที่แข็ง จะมีสิ่งที่กระทบตาได้ไหม

    ผู้ฟัง คือสิ่งที่กระทบตานี่ก็จะต้องมี ธาตุดินน้ำไฟลม อยู่ตรงนั้นด้วย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นธาตุรู้ไม่ใช่รูปใดๆ เลยทั้งสิ้น ไม่ใช่ธาตุเย็นร้อนอ่อนแข็ง แล้วก็จะมีสีสันวรรณะมีสว่างได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้ กราบขอบพระคุณ

    ท่านอาจารย์ มั่นใจได้เลย ธาตุรู้มี เกิดขึ้นต้องรู้ แต่ไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลยสักรูปเดียว ไม่อ่อน ไม่แข็ง ไม่เย็น ไม่ร้อน เกิดมาขณะแรกของชาตินี้เพียง ๑ ขณะ มีธาตุรู้เกิดแล้ว

    ผู้ฟัง แสดงว่าที่กล่าวกันว่าทางตาสว่าง โดยที่มิใช่จิต

    ท่านอาจารย์ ถ้าเห็นเป็นสีสันวรรณะต่างๆ ก็สว่าง แต่ถ้าไม่เห็นเป็นสีต่างๆ ก็มืด เห็นว่ามืดได้ เปิดไฟในห้องมืด ยังรู้ว่าความมืดเป็นอย่างไร และการที่มืดน้อยลงๆ จนสว่างก็รู้ด้วย เพราะเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ทางตา กำลังหลับสนิทมีธาตุรู้ไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไรจึงว่ามี

    ผู้ฟัง เพราะว่า มีจิต

    ท่านอาจารย์ ทำไมรู้ว่ามีจิต

    ผู้ฟัง ก็จากการที่ได้ฟัง การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าจิตขณะนั้นแม้ธาตุรู้มี แต่ไม่ใช่รู้ทางตาทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ หมายความว่าธาตุรู้ขณะนั้นไม่ใช่ธาตุที่เกิดขึ้นเห็น คนละธาตุแล้ว ไม่ใช่ธาตุที่เกิดขึ้นได้ยินเสียงธาตุที่ได้ยินก็ไม่ใช่ธาตุที่เห็น เพราะฉะนั้นใช้ธา-ตุ หรือธาตุ เป็นอีกคำหนึ่งของคำว่าธรรม หมายความถึงสิ่งที่มีจริง มีลักษณะเฉพาะตน ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้เลยทั้งสิ้น ต้องเป็นอย่างนั้น แข็งก็ต้องเป็นธาตุแข็งเป็นธาตุหวานเป็นธาตุขม อะไรไม่ได้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นธาตุรู้ก็เป็นธาตุรู้ แม้ไม่เห็นทางตา ไม่มีอะไรมากระทบ ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก แต่ธาตุรู้ก็เกิดขึ้น

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ มิเช่นนั้นก็ไม่มีสิ่งที่มีชีวิตเลย ในขณะที่เกิด ไม่ใช่เห็นไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่คิด แต่ก็เป็นธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้น ลืมไม่ได้เลย ต้องเข้าใจทีละคำจริงๆ เมื่อครู่นี้เราพูดถึงเรื่องธรรมที่มากมาย แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง เกิดขึ้นจริงๆ แล้วก็ดับไปแล้ว ไม่กลับมาอีกเลยจริงๆ เพราะฉะนั้นใหม่หมดตลอด ประมาณไม่ได้เลยในโลกนี้ว่ามีธรรมอะไรบ้าง แล้วก็โลกอื่นๆ ด้วย แต่ว่าถึงอย่างไรก็ตามจะมากมายสักเท่าไรก็ตาม ก็ธรรมที่เกิดนั้นต่างกันเป็น ๒ ประเภท คือธรรมอย่างหนึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย มีอย่างเดียวที่มองเห็นได้ขณะนี้คือสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่อย่างอื่นแม้มองไม่เห็น แต่ก็เป็นธรรมประเภทนั้นๆ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย เป็นธาตุหรือธรรมแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง

    เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีธาตุรู้ ได้ยินคำนี้ไหม ไม่ เคยเป็นเราเห็น แต่เดี๋ยวนี้เป็นธาตุรู้ ทุกคำต้องไตร่ตรอง ถ้าใช้คำว่าธาตุรู้หมายความว่าสิ่งนั้นมีจริงๆ รู้อะไร ที่ใช้คำว่าเห็น กำลังมีสิ่งที่ปรากฏเป็นสีสันวรรณะต่างๆ รู้เฉพาะในสิ่งนั้นจึงเป็นธาตุรู้ คิดได้ไหม ไม่ได้ ใช่ไหมเห็นก็ต้องเป็นเห็น เห็นจะเป็นคิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งเป็นแต่ละธาตุด้วย ด้วยเหตุนี้สิ่งที่มองไม่เห็นก็ยังรู้ยาก แล้วจิตซึ่งเป็นธาตุรู้ ซึ่งไม่มีการเกิด เป็นแข็งเป็นอ่อน เป็นเย็นเป็นร้อน จะรู้ยากกว่านั้นไหม เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ กำลังเป็นจิต ธาตุรู้ที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังคิด ทั้งหมด ก็ไม่ปรากฏ เป็นเราไปหมดเลย ถูกปิดบังไว้อีกแล้วด้วยอวิชชา เพราะฉะนั้นที่จะเข้าใจขึ้นได้ มั่นคง ในธาตุรู้กับสิ่งที่ไม่รู้อะไร ก็ต้องรู้ว่าถูกปิดบังไว้นานแสนนาน จำคลาดเคลื่อนว่าเป็นตัวตน เป็นอัตตา สิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือคลาดเคลื่อนว่าไม่ดับ นี่ใครบอกว่าดอกกุหลาบเกิดดับ ไม่เห็นดับเลย เพราะว่าจำคลาดเคลื่อนไม่ได้รู้ความจริง

    เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วต้องศึกษาธรรม ทีละ ๑ ธาตุ ทีละ ๑ คำ ธาตุรู้ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ มีเห็นเดี๋ยวนี้เรากำลังพูดถึงธาตุรู้นี้ ธาตุรู้นี้เกิดขึ้นเองได้ไหม เทุกคำต้องสอดคล้องกัน สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ต้องมีปัจจัย ที่อาศัยปรุงแต่งให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น เกิดตามลำพังไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้สิ่งที่อาศัยกัน และกันเกิดขึ้น ที่เป็นนามธรรมก็มี ที่เป็นรูปธรรมก็มี แต่ให้เข้าใจว่าไม่ว่าจะพูดถึงสิ่งใด สิ่งนั้นต้องมีสิ่งอื่นเกิดร่วมด้วย

    ด้วยเหตุนี้ธาตุรู้ที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการเห็น ใช้คำว่าจิต จิตตะ หรือจิตตัง ก็หมายความถึงธาตุรู้ เป็นใหญ่เป็นประธาน ไม่ทำอย่างอื่นเลย ไม่จำไม่สงสัย ไม่ชอบ ไม่รัก อะไรทั้งสิ้น เกิดขึ้นแค่รู้เฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏ ด้วยเหตุนี้เมื่อมีธาตุรู้คือจิต ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ สิ่งที่ถูกรู้ ภาษาบาลีใช้คำว่าอารัมมณะหรือ อาลัมพนะ แต่ที่นิยมกันก็ใช้คำว่าอารัมมณะ โดยเฉพาะภาษาไทยเรา เอามาคำเดียวคือคำว่าอารัมมณะ แต่เราตัดเสียงสั้นเป็นอารมณ์ เดี๋ยวนี้มีจิตไหม มีอารมณ์ไหม ขณะเห็นอะไรเป็นอารมณ์ สิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น อย่างอื่นจิตจะไปรู้ไม่ได้เลย เกิดขึ้นต้องรู้อย่างเดียวคือเห็นสิ่งที่ปรากฏ ขณะที่เสียงปรากฏจิตรู้อย่างอื่นได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อเสียงปรากฏก็ต้องมีจิตที่เกิดขึ้นได้ยินเฉพาะเสียงนั้น เพราะฉะนั้นเฉพาะสิ่งที่จิตรู้เป็นอารมณ์ เฉพาะจิตที่รู้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเกิดขึ้นรู้อะไร ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ สิ่งที่ถูกรู้ก็ดับ จิตก็ดับ ใครรู้ ความไม่รู้คืออวิชชา

    เพราะฉะนั้นพอได้ยินชื่อ ไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย เดี๋ยวนี้เอง พูดคำไหนก็คือให้เข้าใจว่าเดี๋ยวนี้ เพื่อเราจะได้เข้าใจสภาพธรรมทิกำลังเกิดดับ ค่อยๆ เข้าใจเรื่องราว จนกระทั่งสามารถประจักษ์แจ้งจริงๆ ว่าเกิดจริงๆ ดับจริงๆ นี่เป็นประโยชน์ของการรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าตรัสคำจริงทั้งหมด ให้คนสามารถรู้ความจริงนั้นได้ ไม่เข่นนั้นคำสอนนั้นก็เป็นโมฆะ ถ้าไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ แต่ไม่ใช่คนนั้น ปัญญาต่างหากที่เข้าใจ ตั้งแต่ต้นทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งสามารถที่จะขณะนี้เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เมื่อไหร่ยังไม่เป็นอย่างนี้ ต้องฟังอีกนานไหม ต้องเป็นความเข้าใจเพิ่มขึ้น เพื่อละความไม่รู้ ซึ่งติดแน่นหนาทึบมากมายหนักหนาเหลือเกิน เอาออกยากมาก ซึ่งไม่มีอะไรจะเอาออกได้เลย นอกจากคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งได้ทรงตรัสรู้สภาพธรรมนั้นจริงๆ จึงได้กล่าวคำจริงได้

    ด้วยเหตุนี้เราได้ยินคำว่ารูปธรรม นามธรรม ธาตุรู้ทั้งหมดเป็นนามธรรม แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดจะเกิดตามลำพังไม่ได้ ต้องอาศัยสิ่งที่อาศัยกัน และกัน ปรุงแต่งให้เกิดขึ้นเป็นไป เพราะฉะนั้นจิตจะเกิดขึ้นเห็น เดี๋ยวนี้ เรารู้เพียงแค่นี้ ไม่มีตำราใดของนักจิตวิทยาหรือนักปราชญ์คนใด ที่จะกล่าวถึงสภาพธรรมที่เกิดกับจิต คือเจตสิก ซึ่งเป็นธาตุรู้ เพียงแต่กล่าวว่าจิตใต้สำนึก จิตสำนึก อะไรก็พูดไป แต่ไม่ได้กล่าวถึงสภาพธรรมซึ่งเป็นธาตุซึ่งเกิดพร้อมจิต ทุกอย่างเดิดแล้วดับ เพราะฉะนั้นเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน รู้สิ่งเดียวกัน และถ้าในภพภูมิที่มีรูป จิตไม่ได้เกิดนอกกาย จิตต้องอาศัยรูปหนึ่งรูปใดเดี๋ยวนี้ แหละเกิด เราเริ่มเข้าใจแล้วว่าจะมีเราแต่ไหน รูปแต่ละรูปที่กาย ก็หลากหลายมาก มีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่แล้วเกิดดับ แต่เฉพาะรูปซึ่งเป็นที่อาศัยเกิดของจิตเท่านั้นเป็นรูปหนึ่ง แต่ละขณะที่จิตกำลังเกิดต้องเกิดที่รูปหนึ่งๆ จะเกิดนอกรูปนั้นไม่ได้เลย เราเริ่มเข้าใจความไม่ใช่เรา ไม่เป็นเรา ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมไม่ใช่เพื่อจุดประสงค์อื่น ไปรู้เรื่องมากมาย แต่เดี๋ยวนี้เท่าที่เราสามารถจะเข้าใจได้ โดยอาศัยแต่ละคำเช่นเดี๋ยวนี้เริ่มรู้ว่าที่ว่าเป็นเรา ก็เป็นนามธรรม และรูปธรรมนามธรรมคือสภาพรู้ ธาตุรู้ซึ่งไม่มีรูปร่าง แต่เย็นร้อนอ่อนแข็งเป็นธาตุที่ไม่รู้อะไรก็เป็นรูปธรรม เพราะฉะนั้นก็มีทั้งรูป และนาม ซึ่งเข้าใจว่าเป็นเราทั้ง ๒ อย่าง ใช่ไหม รูปเราสวยไหม ก็เป็นรูปเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ด้วยตา ตาสวยไหม แต่ความจริงคือสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เป็นสีสันวรรณะต่างๆ ไม่ใช่ของใคร จะสวยไม่สวยประการใด ก็มีปัจจัยที่ทำให้เกิดเป็นอย่างนั้น เลือกไม่ได้เปลี่ยนไม่ได้ เพราะกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น ทุกอย่างที่พูดที่ทรงแสดง มีสิ่งที่สามารถจะเข้าใจต่อไปอีกเข้าใจต่อไปอีก เพื่ออะไร เพื่อรู้ว่าเป็นธรรม เพื่อไม่ใช่เราทั้งหมด เพื่อถึงที่สุดของการที่จะหมดความสงสัยในสภาพธรรมที่ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง

    เพราะฉะนั้นพอได้ยินคำไหนมาแล้ว เป็นธรรมใช่ไหม เป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม ต้องเป็นความรู้ความเข้าใจของเรา เมื่อเช้านี้หิวไหม เดี๋ยวนี้กำลังจะหิว ก็แสดงให้เห็นว่ามีจริงๆ ใช่ไหม เป็นธรรมหรือเปล่า ไม่ต้องไปหาความรู้ที่อื่นเลย รู้สิ่งที่มีในชีวิตประจำวันนั่นแหละ และธรรมที่ได้ฟังแล้วก็อยู่ตรงนั้น แต่ลืมเสมอ ลืมก็เป็นธรรมเพราะไม่รู้ ไม่มีการเข้าใจมั่นคงที่จะไม่ลืม เพราะฉะนั้นลืมก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง หิวเป็นธรรมไหม เป็นรูปธรรมหรือเป็นนามธรรม ทำไมตอบได้ จำมา หรือว่ากำลังหิว แล้วรู้ลักษณะหิวว่าเป็นอะไร เราตอบได้ว่าหิวเป็นนามธรรม แต่กำลังหิวนี่ใครตอบ ตอบเพราะจำ หรือว่าตอบเพราะลักษณะนั้นๆ ธรรมหรือธาตุแต่ละหนึ่ง ต้องมีลักษณะเฉพาะตนสิ่งนั้น อย่างอื่นจะมาร่วมด้วยไม่ได้ แข็งก็ต้องเป็นแข็ง อ่อนก็ต้องเป็นอ่อน เย็นก็ต้องเป็นเย็น หิวก็ต้องเป็นหิว หิวไม่ใช่คันแน่ๆ ใช่ไหม แต่หิวมี เพราะฉะนั้นตอบว่าหิวเป็นนามธรรมเพราะฟังแล้วเข้าใจว่ารูปไม่รู้ รูปจะหิวได้อย่างไร แต่ถ้าไม่มีรูปก็ไม่หิว ใช่ไหม แสดงให้เห็นว่าทุกอย่าง ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาเลย

    ฟังธรรมขอให้มีความเข้าใจให้ถูกต้อง ตั้งแต่ต้นว่า เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมี มิเช่นนั้นไม่ใช่ฟังธรรม เข้าใจชื่อ จำเรื่องราวต่างๆ แต่ว่าไม่มีวันที่จะถึงการรู้ว่าธรรมไม่ใช่เรา ถ้าอย่างนั้นคงเป็นการศึกษาแบบนั้น แต่ถ้าศึกษาธรรมคือเดี๋ยวนี้ เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ที่กำลังพูดถึงกำลังเริ่มฟัง เริ่มเข้าใจสิ่งนั้น แต่ก็ยังไม่ถึงตัวธรรม ซึ่งเกิดดับ เพราะเร็วมากสุดที่จะประมาณได้ แล้วจะให้ปรากฏก็ไม่ได้ เพราะสภาพธรรมปรากฏลักษณะที่เป็นธรรมกับปัญญา ไม่ใช่กับเรา ใช่ไหม เราบอกได้ว่าโต๊ะแข็ง ปัญญาหรือว่าเราบอก ก็ยังเป็นเราบอกอยู่นั่นเอง เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ตรงจริงๆ แล้วก็เห็นประโยชน์มหาศาลของการที่จะได้รู้สิ่งที่เคยมีแล้วในสังสารวัฎซึ่งไม่เคยรู้ และจะไม่รู้ต่อไปถ้าไม่มีความเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เพราะฉะนั้นเราพูดถึงธรรมธาตุ อย่างเดียวกัน แล้วก็รูปธรรมใช้รูปธาตุได้ไหม ได้ ก็รู้อยู่แล้วว่าเหมือนกัน จะเรียกอะไรก็ได้ จะเรียกว่าเห็น ภาษาไทย ภาษาอังกฤษภาษาจีน ภาษาเขมรจะได้อะไรก็แล้วแต่ แต่หมายความถึงสิ่งที่มีจริงซึ่งเปลี่ยนลักษณะไม่ได้ เพราะฉะนั้นเห็นขณะนี้ เป็นธาตุหรือเปล่า เป็นธรรมหรือเปล่า เป็นเราหรือเปล่า ก็ตอบอย่างเคย แสดงว่าความเข้าใจธรรม ให้เราเป็นคนตรงว่ารู้แค่นี้ เพราะฉะนั้นไม่พอใช่ไหม ตอบได้ว่าเป็นนามธรรม เป็นธาตุรู้ แต่ก็เป็นเราที่ตอบ ด้วยเหตุนี้ มีธาตุรู้ แล้วก็ธาตุรู้ที่เป็นใหญ่เป็นประธานคือจิต ขณะนี้ถ้าได้ยินเสียง รู้ไหมว่ามีอะไรเกิดร่วมกับจิตได้ยิน ไม่รู้ แต่สภาพที่เป็นนามธาตุที่เกิดกับจิต ปรุงแต่งให้จิตได้ยินเกิดขึ้น เป็นเจตสิก ได้ยินมีแน่ๆ แต่ไม่รู้จักได้ยินหมดแล้ว ถ้ารู้จักได้ยิน หมายความว่าขณะนั้นเข้าใจในความเป็นธาตุรู้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 181
    24 มิ.ย. 2567