ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1048


    ตอนที่ ๑๐๔๘

    สนทนาธรรม ที่ บ้านทันตแพทย์หญิง วิภากร พงศ์วรานนท์

    วันที่ ๒๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ สภาพที่จำ เกิดจริงๆ จำจริงๆ ทำอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากจำ ภาษาบาลีใช้คำว่า สัญญาเจตสิก สภาพที่จำ เพราะฉะนั้น สัญญาว่า ... หมายความว่า เตือน จำ ว่าพรุ่งนี้จะทำอะไร สัญญาเป็นปี เป็นวัน เป็นเดือน ได้หมดเลย สัญญาเรื่องอะไรก็ได้ จำไว้ แต่ความจริงแล้วสัญญาเจตสิกเกิดกับจิตทุกขณะ แต่ภาษาไทยที่เราทำสัญญาเพื่อจะได้ไม่ลืม จะได้จำได้ เพราะสัญญาคือสภาพที่จำ

    ท่านอาจารย์ คิดมีจริงไหม

    ผู้ฟัง มีจริง

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมหรือไม่

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมที่เป็นรูปธรรม หรือนามธรรม

    ผู้ฟัง เป็นนามธรรม

    ท่านอาจารย์ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น คิดเป็นอะไร จิตหรือเจตสิก

    ผู้ฟัง เจตสิก

    ท่านอาจารย์ เจตสิกเกิดกับจิต จิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งคำที่คิด แต่ถ้าไม่มีการจำก็ไม่คิด เพราะฉะนั้นพูดคำไหน มีจิตและเจตสิกที่กำลังรู้คำนั้น คิดคำนั้น คิดแล้วไม่พูดมีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เห็นไหมว่าธรรมตรง ไม่ใช่ต้องมาบังคับว่าให้ตอบอย่างนี้อย่างนั้น แต่ต้องให้เข้าใจจริงๆ ว่า คิดที่ไม่พูดก็เป็นคิด ไม่ใช่เรา เลือกให้คิดก็ไม่ได้ เลือกให้จำก็ไม่ได้ ทุกขณะเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ตามการสะสม

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เราคิด แต่คิดถึงสิ่งที่เคยเห็นบ้าง เคยได้ยินบ้าง เคยจำไว้บ้าง เคยชอบบ้าง ทั้งหมดเป็นปัจจัยที่จะให้คิดเกิดขึ้น คิดถึงสิ่งนั้นแล้วก็ดับไป ในขณะที่คิดเกิดขึ้น จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งเป็นเรื่อง เป็นคำที่คิด หรือเป็นรูปร่างสัณฐานก็ได้ที่เจตสิกในขณะนั้นจำ ซึ่งถ้าไม่จำจะคิดได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ขณะนั้นมีทั้งจิตและเจตสิก เวลาคิดเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ หรือเฉยๆ

    ผู้ฟัง มีได้หมด

    ท่านอาจารย์ บางครั้งก็เฉยๆ ความรู้สึกเฉยๆ ก็มี บางครั้งก็เป็นสุข แปลว่าความรู้สึกเป็นสุขก็ต้องมี บางครั้งก็เป็นทุกข์ แสดงว่าเป็นทุกข์ ทุกข์ก็ต้องมี สุขทุกข์พวกนี้เป็นจิต หรือเป็นเจตสิก

    ผู้ฟัง เป็นเจตสิก

    ท่านอาจารย์ เป็นเจตสิก เพราะจิตป็นสภาพที่รู้เท่านั้น ไม่มีอะไรเกินกว่านั้นเลย แต่อาศัยเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยแต่ละหนึ่ง ทำกิจหน้าที่ของเจตสิกนั้นๆ เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน ก็เลยไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นอะไร เป็นจิตหรือเป็นเจตสิก

    จนกว่าปัญญาอีกระดับหนึ่งจะเกิดขึ้น รู้ตรงลักษณะ ยากไหมเพราะว่าสภาพธรรมเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ แต่เพราะความเข้าใจว่าไม่ใช่เราทีละเล็กทีละน้อย ก็เป็นปัจจัยให้เกิดรู้เฉพาะลักษณะหนึ่ง แต่ความที่ได้ศึกษามาแล้ว ฟังมาแล้วมากก็รู้ว่าสิ่งนั้นมีจริง แต่ความรู้ความเข้าใจสิ่งที่มีจริงยังน้อยมาก เพียงขั้นเริ่มรู้ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสแล้วมีจริงๆ เมื่อสติสัมปชัญญะเกิดขึ้นรู้ลักษณะนั้นว่า ลักษณะนั้นมีจริง และเริ่มที่จะรู้ว่าเป็นเพียงลักษณะนั้น ไม่ใช่เรา เพราะมี แล้วก็หามีไม่ ค่อยๆ ฟัง

    ทั้งหมดนี้ ปัญญาก็ค่อยๆ เริ่ม ค่อยๆ เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย และรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ทรงประจักษ์แจ้งทุกคำที่ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ให้คนอื่นได้รู้ความจริงจนประจักษ์แจ้งด้วย เป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจได้เมื่อเริ่มเข้าใจ เหมือนเราเรียนหนังสือ ความเข้าใจวันแรกที่ไปโรงเรียนนั้น ก่อนเรียนไม่มีใช่ไหม แต่เมื่อเรียนแล้วก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ค่อยๆ เพิ่มขึ้น

    เพราะฉะนั้น การเข้าใจสภาพธรรมหลากหลายทั้งจิตและเจตสิก สามารถจะมีได้เมื่อเราคุ้นเคย จากการฟังและไตร่ตรอง ความเข้าใจนั้นก็ค่อยๆ มีทีละเล็กทีละน้อย ไม่ใช่เรา จนกว่าลักษณะที่ไม่ใช่เราปรากฏชัดเจน นั่นก็คือวิปัสสนา ไม่ใช่ใครไปทำเลย แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจขั้นปริยัติ ขั้นฟังแล้วมั่นคงเป็นสัจจญาณที่ว่า เดี๋ยวนี้เองกำลังเกิดดับ แต่ยังไม่รู้ เพราะไม่ใช่ปัญญาที่สามารถจะรู้ได้ ต้องอาศัยความเข้าใจมากกว่านี้อีก เพราะเดี๋ยวเราก็ลืม

    ผู้ฟัง คำว่าจิตไม่เที่ยง จะมีความหมายเหมือนกับกายไม่เที่ยงทั่วๆ ไปหรือไม่

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อน ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะมีอะไรดับไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีอะไรเกิดเลย จะมีโลกไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ แต่ที่เราเรียกว่าเป็นโลกก็เพราะมีสิ่งที่เกิด แต่เราไม่รู้ว่าสิ่งนั้นดับ ถูกต้องไหม ถ้าไม่มีการเกิดจะมีต้นไม้ มีภูเขา มีทะเล มีน้ำแข็งไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วเป็นจริงอย่างนั้น โดยที่เราไม่สามารถจะไปดลบันดาลว่าให้ไม่เกิด เมื่อมีปัจจัยก็ต้องเกิด แต่เราไม่รู้ว่าเกิดแล้วดับ แต่ให้คิดว่าเห็นไม่ใช่ได้ยิน เห็นจะเป็นได้ยินไม่ได้เลย และพร้อมกันก็ไม่ได้ ในขณะที่กำลังมีสิ่งที่ปรากฏทางตา เสียงจะไปอยู่ที่สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ได้ยินขณะหนึ่ง เห็นอีกขณะหนึ่ง ไม่ใช่พร้อมกัน แต่ความเร็วเหมือนพร้อมกัน ดังนั้น ทุกอย่างที่ปรากฏเพราะไม่รู้ในการเกิดดับ จึงเหมือนพร้อมกันหมดเลย เดี๋ยวนี้เห็นทุกคนพร้อมกัน เห็นไหมทันทีเลย ลืมตาขึ้นมาก็มีทุกอย่างพร้อมกัน แต่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุดแต่ละหนึ่ง แต่ละทาง ไม่ปะปนกัน อย่างเช่น เห็น จะไปอาศัยกายกระทบให้เกิดเห็นก็ไม่ได้ ต้องอาศัยตา ไม่มีใครมองเห็นตาที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เห็นแต่เพียงสีสันวัณณะของสิ่งที่อยู่ที่เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว

    ซึ่งคนไทยเราชินกับคำว่ามหาภูตรูป ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เรารู้เพียงแค่นี้ แต่ความจริง สีสันวัณณะต้องอยู่ที่ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ถ้าไม่มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม จะมีสีได้อย่างไร จะมีสิ่งที่กระทบตาได้อย่างไร แต่เราไม่รู้อะไรเลยสักอย่างเดียว ไม่รู้แม้แต่ว่าสิ่งที่กระทบตาอยู่ไหน ตาอยู่ไหน และเห็นอยู่ไหน บอกว่าธาตุรู้หรือจิต อยู่ไหนก็ไม่รู้

    แต่เมื่อฟังแล้วก็เห็นนั้นเอง ตรงนั้นเอง ที่เห็นนั้นเองเป็นธาตุรู้แล้ว จะต้องไปอยู่ตรงไหนอีก ก็ตรงที่เห็นนี้เอง เป็นธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นรู้ กว่าจะค่อยๆ เข้าใจว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ไม่ใช่เรา ก็ต้องอาศัยการฟัง การไตร่ตรอง ค่อยๆ สะสม และสภาพที่จำก็ไม่คลาดเคลื่อน หมายความว่าฟังแล้วเข้าใจอย่างไร จำไว้มั่นคงระดับไหน

    ถ้าจำไว้มั่นคงก็เป็นสัจจญาณ ไม่ไปไหนเลย ไม่ต้องไปนั่งที่โน่น ไปเข้าสำนักนั้นสำนักนี้ เพราะเหตุว่าเดี๋ยวนี้มี แล้วก็เกิดด้วย ดับด้วย ถ้าไม่เข้าใจเดี๋ยวนี้แล้วจะเข้าใจเมื่อไหร่ ก็ต้องขณะที่สิ่งนั้นกำลังปรากฏเท่านั้น แต่เมื่อยังไม่ถึงเวลา เพราะปัญญาแค่นี้เอง ความไม่รู้สะสมมามากแค่ไหน และการได้ฟังมากแค่ไหน เริ่มเข้าใจเพียงแค่ขั้นฟัง

    สภาพธรรมสามารถที่จะปรากฏกับปัญญาที่อบรมแล้ว ประจักษ์แจ้งความจริงตรงตามที่ได้ฟังเมื่อไหร่ เมื่อนั้นเป็นวิปัสสนา ปัญญาอีกระดับหนึ่งซึ่งเกิดจากความเข้าใจที่มั่นคง ไม่ใช่ไปทำวิปัสสนา

    ผู้ฟัง จิตไม่เที่ยง คือจิตเกิดแล้วก็ดับ

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ธาตุรู้เกิดใช่ไหม ถ้าไม่มีธาตุรู้เกิด จะมีอะไรปรากฏไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ธาตุรู้เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา เกิดเองไม่ได้ อาศัยกันและกัน คือ จิตอาศัยเจตสิก เจตสิกอาศัยจิต ปรุงแต่ง สนับสนุนทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น เวลานี้จิตอะไร

    ผู้ฟัง เห็น

    ท่านอาจารย์ เห็น ถ้าไม่มีเจตสิกซึ่งกระทบกับสิ่งที่ปรากฏ จิตเกิดขึ้นเห็นไม่ได้ ถ้าขณะนี้คนอื่นได้ยิน ขณะที่เราเห็น ก็เพราะเจตสิกซึ่งกระทบเสียงเป็นปัจจัยให้จิตได้ยินเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งเกิดขึ้นและดับไป ไม่เหมือนกันเลย ทั้งๆ ที่นั่งอยู่ด้วยกันที่นี่ บางคนรู้แข็งเพราะอะไร เพราะเจตสิกที่กระทบแข็ง เป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นรู้แข็ง

    เพราะฉะนั้น เจตสิกละเอียดมาก มองไม่เห็นเลย แต่ว่าพระปัญญาที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริงทั้งหมดก็ได้แสดงความจริงนี้ เพื่อให้ค่อยๆ เข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เรา จนกว่าจะมั่นคง ถ้าพูดตามภาษามคธี ภาษาบาลี สภาพที่กระทบสิ่งหนึ่งสิ่งใดและจิตเกิดขึ้นรู้สิ่งนั้น สภาพที่กระทบเป็นนามธรรม คือ ผัสสะเจตสิก

    ใครจะรู้ผัสสะเจตสิก เพราะจิตเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมผัสสะเจตสิกและเจตสิกทั้งหมดที่เกิดด้วยกัน ความจำก็จำสิ่งที่จิตรู้ แต่ไม่ได้กระทบ สภาพจำไม่ใช่สภาพที่กระทบ แต่ละหนึ่งเจตสิกไม่ใช่เรา ไปทำให้เจตสิกใดเกิดขึ้นก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งก็เป็นธรรมซึ่งมีกิจเฉพาะของตน ของตน ผัสสะเจตสิกเกิด ตั้งแต่เกิดจนตายทุกขณะที่จิตเกิดทุกชาติ ซึ่งผัสสะเจตสิกเกิดดับๆ สืบต่อมานานเท่าไหร่ แสนโกฏิกัปป์ เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งไม่ซ้ำกันเลยแม้จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ก็แต่ละหนึ่งที่กระทบ จิตเกิดขึ้นรู้และดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย

    นี่คือการเริ่มเข้าใจ แต่ว่าสิ่งที่มีจริงเป็นอย่างนี้ก็รู้ได้ ประจักษ์แจ้งได้ เป็นวิปัสสนาได้ แต่ไม่ใช่ด้วยความไม่รู้อะไร ไม่เข้าใจอะไรเลย แล้วจะไปทำให้เกิดวิปัสสนาก็เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจทุกคำอย่างมั่นคงในเหตุในผล

    ผู้ฟัง ถ้าเจตสิกเกิดทางมโนทวาร

    ท่านอาจารย์ มโนทวาร คืออะไร

    ผู้ฟัง ทวารทางใจ

    ท่านอาจารย์ หมายความว่าไม่อาศัยตา ไม่อาศัยหู ไม่อาศัยจมูก ไม่อาศัยลิ้น ไม่อาศัยกาย จิตก็เกิดได้เพราะใจที่เกิดก่อน สะสมทุกสิ่งทุกอย่างมา แต่ละหนึ่งขณะตั้งแต่เช้ามาจนถึงเดี๋ยวนี้ ไม่มีใครรู้หน้าที่การงานของจิตเลยว่า จิตเกิดขึ้นรู้หนึ่งขณะดับไป จากการที่กุศลและอกุศลเกิดแล้วนั้น แม้จิตขณะที่ชอบหรือไม่ชอบจะหมดไปแล้ว เมื่อกลางวันชอบอาหารอะไร หมดแล้วใช่ไหม

    แต่สภาพชอบนั้นยังมีสะสมอยู่ในจิตที่จะเกิดต่อไปในสิ่งต่างๆ ซึ่งแวดล้อมทุกชาติ เป็นปัจจัยที่เราไม่สามารถจะรู้ได้เลย แต่ละหนึ่งเป็นปัจจัยโดยสภาพ สภาวะของตน ซึ่งปัจจัยต่างๆ ก็ต่างกันไปตามความเป็นจริงของสภาวธรรมนั้นๆ

    เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่าเราเพิ่งฟัง คือเราเพิ่งรู้ว่าแท้ที่จริงอีกมากมายนักเท่าไหร่ ที่กว่าจะได้เข้าใจในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและได้เข้าใจ เพราะฟังแล้วเกิดความเข้าใจจึงรู้แน่ว่ามีผู้ที่ตรัสรู้ความจริงอย่างนี้ จึงแสดงความจริงอย่างนี้ ให้คนอื่นซึ่งเป็นผู้ฟังได้เริ่มมีปัญญาของตน มีปัญญาของตนเมื่อไหร่ ได้รับมรดกธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อนั้น

    เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องที่ละเอียด ได้ยินคำไหนอย่าเพิ่งข้ามไปถึงมโนทวารเลย เข้าใจจิตละเอียดมั่นคงแค่ไหน เจตสิกไม่ใช่จิต แต่ละหนึ่งเป็นแต่ละเจตสิก มากมายแค่ไหน จนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจว่าไม่มีเรา มีธรรมซึ่งไม่รู้ แต่ฟังแล้วจะเข้าใจขึ้นว่าไม่ใช่เราเลย ยิ่งเพิ่มความมั่นคงขึ้นว่าเป็นเราไม่ได้เลย เป็นการที่จะทำให้สามารถถึงเฉพาะลักษณะที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ด้วยความเข้าใจที่ได้ฟังแล้ว จนสภาพธรรมนั้นปรากฏตามความเป็นจริงคือ เกิดดับ นั่นเป็นวิปัสสนา

    เพราะฉะนั้น ต้องละเอียด ต้องตั้งต้นว่า ทวารคืออะไร

    ผู้ฟัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ๖ทาง

    ท่านอาาจารย์ รู้อย่างคร่าวๆ แต่ว่าความเป็นจริงต้องรู้ว่า ทำไมใช้คำว่า ทวาร เราใช้คำว่าทวาร ทวาระ หมายความถึงทาง จิตก็ต้องอาศัยทางที่จะรู้อารมณ์ ซึ่งไม่ใช่อารมณ์ของภวังค์ แสดงว่าจิตในขณะที่หลับสนิทไม่มีอะไรปรากฏเลย ธาตุรู้ก็ยังต้องเกิดขึ้นรู้ เมื่อจิตเกิดขึ้นรู้ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ แต่เพราะไม่อาศัยทวารหนึ่งทวารใดก็ไม่ปรากฏว่าเป็นอะไร อยู่ในโลกนี้โลกไหนก็ไม่รู้ทั้งสิ้น ไม่มีอะไรที่จะปรากฏ

    เพราะฉะนั้น เราอยู่ในโลกนี้เมื่อไหร่ เมื่อเห็น อาศัยตาเกิดขึ้น รู้ว่าโลกนี้มีต้นมะม่วง มีต้นขนุน มีทะเล มีอะไรๆ ต่างๆ เพราะอาศัยตาจึงเห็น ถ้าไม่อาศัยตาเห็นได้ไหม ไม่มีทาง ดังนั้น ตาเกิดหรือไม่ ตาเป็นธรรมหรือไม่ ตารู้อะไรหรือไม่ ตาเป็นของเราหรือไม่

    ทั้งหมดนำไปสู่ธรรมซึ่งไม่ใช่เรา ไม่มีทวารเลยจิตรู้อารมณ์ได้ไหม จิตเป็นธาตุรู้ เกิดแล้วต้องรู้ ไม่ได้ไปเกี่ยวกับทวารอะไรเลย เพราะจิตเป็นธาตุรู้ เปลี่ยนได้ไหม ให้จิตไม่รู้อะไรได้ไหม ไม่ได้

    เพราะฉะนั้น จิตเป็นธาตุรู้ เกิดขึ้นต้องรู้ การศึกษาธรรมถ้าเข้าใจละเอียดแล้วก็คือ ไม่ต้องไปอ่าน หรือไปฟังด้วยการจำ แต่ไม่เข้าใจ อย่างนั้นไม่มีประโยชน์เลย เเค่ได้ยินคำแล้วก็จะจำไว้ แต่ไม่เข้าใจไม่มีประโยชน์ แต่ได้ยินคำไหนก็เข้าใจความลึกซึ้ง ความละเอียดยิ่งของแต่ละคำ เช่น ทวาร ก็ต้องรู้ว่า หมายความถึงอะไร ทวาร คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย รูป ๕ รูป ซึ่งสามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ และถึงแม้ไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งเป็นรูป ใจยังคิดได้

    ดังนั้น อีกทวารหนึ่งก็คือใจนั่นเอง ที่สะสมสืบต่อมา เป็นทางที่จะทำให้เกิดการคิดนึก ถ้าไม่มีจิตขณะก่อน การคิดนึกก็เกิดไม่ได้ เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก เพราะฉะนั้น ฟังแต่ละคำเพื่อเข้าใจจริงๆ ไม่เผิน และจะรู้ได้ว่าความเข้าใจนี้ไม่เปลี่ยนและก็มั่นคง จะนำไปสู่ความเข้าใจว่าไม่ใช่เรา โดยที่ไม่ได้ฝืน โดยที่ไม่ได้ไปพยายามด้วยความเป็นตัวตน แต่รู้หน้าที่ของธรรม ไม่มีเรา แต่เป็นหน้าที่ของธรรมแต่ละหนึ่ง

    วิริยะเกิดแล้ว ไม่ต้องไปทำความเพียร สติก็เกิดแล้ว ไม่ต้องอยากมีสติ เมื่อเข้าใจ ทุกอย่างมีปัจจัยเกิดขึ้นทั้งหมด ฟังอย่างนี้ถึงจะค่อยๆ ละคลายความคิดที่จะไปทำในสิ่งซึ่งทำไม่ได้ ยังไม่ได้เกิดขึ้น และสิ่งที่เกิดก็ไม่ได้มีใครไปทำ เพราะมีปัจจัยจึงเกิดขึ้นทุกอย่างต้องสอดคล้องกันเพื่อจะละความไม่รู้และความเป็นตัวตน ละด้วยอย่างอื่นไม่มีทางเป็นไปได้เลย เพราะไม่รู้ก็ต้องละด้วยความรู้

    นอนหลับมีจิตไหม เห็นอะไรหรือไม่ ไม่อาศัยตา ได้ยินอะไรหรือไม่ขณะที่หลับสนิท แต่มีจิตใช่ไหม แล้วฝันหรือคิดอะไรหรือไม่ แต่ขณะที่ไม่ฝันก็มี ไม่ได้คิดก็มี แต่ยังมีจิตเกิดดับสืบต่อดำรงภพชาติ

    ถ้าเข้าใจเรื่องจิตก็ต้องรู้ว่าจิตมี ๒ ประเภท ประเภทหนึ่งเกิดขึ้นรู้โดยไม่อาศัยทวารใดๆ เลยทั้งสิ้นจริงๆ รู้ได้ในขณะที่หลับสนิท ชื่ออะไร เป็นใคร บ้านอยู่ไหน พี่น้องกี่คน สมบัติอยู่ไหน ไม่มีเลยที่จะให้รู้ว่าอะไร นั่นคือจิตเกิดขึ้น ทำกิจดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนี้ไว้ ยังจากโลกนี้ไปไม่ได้ ยังจะต้องเป็นคนนี้อยู่ ตราบใดที่กรรมที่จะให้พ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ยังไม่ถึงที่จะให้เกิดขึ้น ก็เกิดไม่ได้ คือตายไม่ได้ ไม่อยากตายก็ต้องตาย อยากตายก็ไม่ตาย ถ้าไม่ถึงเวลา

    แสดงความเป็นอนัตตาชัดเจน ฟังธรรมเพื่อให้เข้าใจว่าไม่มีใครไปทำอะไร แต่ว่าขณะใดที่เข้าใจก็ไม่ใช่เรา เห็นไหมว่ากว่าจะหมดทุกอย่าง ตั้งแต่เช้า ค่ำ บ่าย เย็น กี่วันกี่เดือน กี่ปี ก็คือให้มั่นคงว่า เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ขั้นฟังจะนำไปสู่ขั้นรู้ลักษณะทีละหนึ่ง ที่จะค่อยๆ ไปถึงการเกิดดับของสภาพธรรม


    สนทนาธรรม ที่ แก่งกระจานคันทรีคลับ จ.เพชรบุรี

    วันที่ ๓๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ เราเป็นมิตร คือผู้ที่หวังดีต่อทุกคน สิ่งใดที่เราเห็นว่าเป็นประโยชน์ แต่ยังไม่ถึงเวลาเขาก็มองไม่เห็น เพราะฉะนั้น ก็อดทน สบายๆ เพราะรู้ว่าพระธรรมยากลึกซึ้ง จึงไม่ใช่สำหรับทุกคนซึ่งไม่ได้สะสมมาจะเห็นประโยชน์

    สิ่งที่มีค่าเหนือสิ่งอื่นใดทั้งสิ้นในสากลจักรวาล คือ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำ ลองคิดดู จากการที่เราไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น แม้แต่เดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่ของเรา เพราะเกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย

    คำเหล่านี้ ฟังแล้วก็เข้าใจขึ้นทีละน้อย แม้ดูเหมือนกับว่าเข้าใจหมดเลย จริง แต่ไม่พอ เพราะว่าจริงๆ แล้วผ่านหูไป แล้วเวลาที่สิ่งอื่นเกิดต่อไปก็ไม่ใช่คำนั้นแล้ว เพราะว่าสะสมคำอื่นไว้มาก แต่รู้ได้เลยว่าคำจริงทนต่อการพิสูจน์ แม้แต่เห็นเดี๋ยวนี้ไม่ปรากฏว่าเกิดดับ แต่ผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ตรัสไว้ ค่อยๆ พิจารณา ไม่มีเห็น ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะให้เห็นเกิด ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แม้แต่เพียงอะไรก็ตามสักอย่างหนึ่งที่มี ก็ต้องเกิดเพราะอาศัยเหตุปัจจัยทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้น ถูกปิดบังไว้ไม่ให้รู้ความจริงนี้มานานแสนนานด้วยความไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังแต่ละคำและเป็นผู้ที่ตรง สัจจบารมี คือมีความเข้าใจแค่ไหนก็คือถูกต้องแล้วแค่นั้น ไม่พอที่จะรู้ความจริงขณะนี้ซึ่งกำลังเกิดดับ

    แต่ท่านที่ได้สะสมอบรมมาแล้ว ท่านสามารถที่จะรู้ได้ด้วยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่ด้วยความเป็นตัวตนไปพยายามสักเท่าไหร่ ที่จะให้ประจักษ์แจ้งการเกิดดับของสภาพธรรม หรือที่จะให้สติสัมปชัญญะเกิดก็เป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุว่าไม่มีความเข้าใจใดๆ เลย ที่จะเป็นปัจจัยให้ถึงเวลาที่กำลังเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    ดังนั้น จึงต้องเป็นผู้ที่ตรงด้วยความมั่นคงว่า ธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์เองก็ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะรู้ความจริง แล้วเราเป็นใคร ฟังนิดเดียวสามารถที่จะรู้ได้หรือ แต่เมื่อเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ เพราะว่าผู้ที่ได้รู้ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีตก็มีแล้ว

    ถ้าท่านเหล่านั้นไม่เคยสะสมอย่างเรากำลังสะสมเดี๋ยวนี้ จะถึงวันนั้นได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่มีความหวังดีต่อคนอื่น แล้วก็รู้ว่ายากแสนยาก ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะได้ฟัง เขาก็ไม่ฟัง จนกว่าจะถึงเวลาของเขา แต่เราก็มีความหวังดีต่อทุกคน และก็ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ถ้าใครจะไม่สนใจธรรมเดี๋ยวนี้ ถ้าเขาได้สะสมมาบ้าง วันหนึ่งเมื่อถึงเวลาเขาก็จะสนใจได้

    ผู้ฟัง ที่เห็นปัญหาต่างๆ ที่ทำงาน หรือปัญหาครอบครัว ถึงจะมีความรู้ระดับปริญญาเอกก็ตาม แต่ถ้าขาดพระธรรมเป็นที่พึ่งแล้ว ก็ยังแก้ปัญหาทางโลกไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้ เพราะเขาไม่รู้ จะเอาความไม่รู้ไปแก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลย

    ผู้ฟัง มีโมหะหรือเปล่า เพราะไม่รู้

    ท่านอาจารย์ แน่นอน เราเรียกสภาพธรรมที่ไม่รู้ว่าโมหะ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เวลานี้จิตก็มีจริง แต่ไม่มีใครรู้จักจิต ไม่มีใครเห็นจิต เพียงแค่รู้ว่ามีจิต

    เพราะฉะนั้น ความไม่รู้ก็มี กำลังไม่รู้สิ่งใดในขณะนั้น สภาพที่ไม่รู้ขณะนั้นไม่สามารถที่จะรู้ เปลี่ยนเป็นสภาพรู้ไม่ได้ แต่จากการที่ได้เริ่มฟังธรรมโดยละเอียดขึ้นๆ ก็สามารถที่จะรู้ความต่างกัน และเริ่มเข้าใจสิ่งที่มีตามลำดับ เช่น ได้ยินคำว่าจิต ไม่เผิน ต้องรู้ว่าจิตคืออะไร

    แม้ขณะนี้ ทุกคนที่ศึกษาธรรมรู้ว่าไม่มีเรา มีแต่จิต เจตสิก เท่านั้นที่กำลังเกิดดับอยู่ทุกขณะ แต่ไม่ปรากฏตัว จึงเหมือนเป็นคนนั้นคนนี้อยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าไม่มีสภาพธรรม คือ จิต เจตสิก ซึ่งเป็นธาตุรู้ ส่วนรูปไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น เสียงก็ไม่รู้อะไร แต่มีเสียง และเสียงปรากฏเมื่อมีจิตได้ยินเกิดขึ้น รู้เฉพาะเสียงที่ปรากฏให้ได้ยินขณะนั้นเท่านั้น นี่คือเงาของจิต เจตสิก รูปทั้งหมด ที่กว่าจะรู้จักจริงๆ ก็ต้องอาศัยการฟัง แล้วก็ละความไม่รู้ไปทีละเล็กทีละน้อย เพราะรู้ขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 181
    15 ก.ย. 2568