ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1058


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๑๐๕๘

    สนทนาธรรม ที่ บริษัทสยามแฮนด์ส จ.นครปฐม

    วันที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ และเราก็ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเกิดเพราะปัจจัยอะไร ก็เลยคิดว่าสิ่งนั้นไม่ดับ แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิด เราก็ยังไม่เห็นการเกิดเลย ใช่ไหม เห็นเมื่อเกิดแล้ว แล้วก็ดับ แล้วก็ไม่เห็นอีก มีสิ่งอื่นเกิดสืบต่อสนิทแน่น ยากที่จะแยกออกจึงลวงให้คิดว่ายังอยู่ แต่เราตอนเกิดอยู่ไหน ตอนโตขึ้นมาทีละวัน ทีละวัน อยู่ไหน ไม่เหลือเลยใช่ไหม แต่จิตเกิดแล้วดับทันที เร็วกว่านั้นมาก จิต ๑ ขณะ อย่าหวังที่ใครจะไปรู้ เพราะฉะนั้นทันทีที่จิตนั้นดับ และจิตนั้นต้องดับก่อน และการดับของจิตนั้นแหละ เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด เพราะฉะนั้นจิตขณะต่อไป ใครก็ทำให้เกิดไม่ได้ แต่เป็นธรรมชาติ ธรรมะของจิตดวงก่อนซึ่งเป็นปัจจัยใช้คำว่า อนันตรปัจจัย อนันตะแปลว่าไม่มีระหว่างคั่นเลย ติดเลย ทันทีที่จิตนี้ดับ จิตนั้นเกิดทันทีไม่มีช่องว่าง

    ผู้ฟัง ถ้าดับแล้วก็เกิดขึ้น

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้กำลังเป็นอย่างนี้ ตั้งแต่เกิดจนถึงเดี๋ยวนี้ตั้งแต่ก่อนเกิด ตั้งกี่ชาติมาแล้วก็เกิดดับสืบต่อมา พรุ่งนี้ก็มาจากนี่แหละ มาจากขณะนี้

    ผู้ฟัง แล้วที่พระอรหันต์ไม่มีการเกิด

    ท่านอาจารย์ พระอรหันต์ คือใคร

    อ.คำปั่น กราบท่านอาจารย์ คำว่าพระอรหันต์ ภาษาบาลีก็คือ อรหันต หรือว่าอรหัง หมายถึงผู้ที่ห่างไกลแสนไกลจากกิเลส โดยประการทั้งปวง คือเป็นผู้ที่ดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงให้หมดสิ้น ไม่มีกิเลสเหลืออยู่เลย นี่คือความเป็นจริงของความเป็นพระอรหันต์ ไม่มีการเกิดอีกเลยในสังสารวัฎ

    ท่านอาจารย์ รู้จักแล้วนะ อรหันต์คือใคร

    ผู้ฟัง อย่างที่ท่านอาจารย์ว่า ถ้าเราอยากได้อะไร ก็เหมือนยังมีกิเลสอยู่ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ อยาก ตัวอยากไม่ใช่เรา แต่เป็นสภาพธรรมะชนิดหนึ่ง ทรงบัญญัติว่าโลภเจตสิก ความติดข้อง แม้น้อยที่สุดจนไม่รู้ เบาบางมากจนไม่รู้ แล้วพระอรหันต์ดับไม่เหลือ นั่นคืออรหันต์ แล้วต้องเป็นปัญญา ไม่มีปัญญาดับได้อย่างไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีเท่าไหร่ กว่าจะถึงความเป็นพระสัมมาส้มพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ แล้วคนอื่นบารมีอยู่ไหน ทำอะไร ปัญญาไม่มีเลย ไม่ได้ให้คนอื่นเกิดปัญญาด้วย แล้วตัวเองจะมีปัญญาหรือ

    ผู้ฟัง ถ้าจะมีประเพณีเรื่องการทำบุญ การสร้างพระ สร้างเจดีย์ ก็มีการเรี่ยไร จะขอความเห็นของท่านอาจารย์ว่า ที่เราทำบุญลักษณะนี้ เป็นไปตามทางศาสนาพุทธไหม

    อ.คำปั่น จริงๆ ก็ได้เข้าใจความหมายของคำว่าบุญ ตั้งแต่การสนทนาธรรมในช่วงเช้าใช่ไหม ว่าเป็นธรรมะฝ่ายดีที่ชำระจิตให้สะอาด ปราศจากอกุศล นี่คือความหมายของบุญ แต่ที่ได้กล่าวถึง จะเป็นการชักชวนคนให้มาทำอย่างโน้นอย่างนี้ ซึ่งก็ ไม่ได้ทำให้เข้าใจความจริง แต่ว่าเป็นการเพิ่มพูนให้บุคคลอื่นได้เกิดความคิดข้องในบุญ หรือว่าในผลของบุญ ซึ่งก็ไม่ใช่เป็นไปเรื่องของการละ หรือว่าขัดเกลากิเลสเลย เพราะฉะนั้น จากการศึกษาพระธรรม ก็จะทำให้เข้าใจความจริงว่า คำไหนเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำไหนไม่ใช่ ปัญญาก็จะสามารถพิจารณาแยกแยะตามความเป็นจริงได้ ถ้าเป็นการเจริญกุศลในทางพระพุทธศาสนาแล้ว่าเป็นไปเพื่อขัดเกลาละคลายกิเลสทั้งหมดเลย

    ผู้ฟัง กรณีอย่างนี้เราจะพิจารณาอย่างไรว่า เราจะทำบุญเพื่อไปร่วมบุญ

    ท่านอาจารย์ ไม่เกี่ยวกันเลย ไม่เกี่ยวเลยว่าเราจะพิจารณาอย่างไร เราจะทำอะไร ฟังให้เข้าใจ มิฉะนั้นเราก็เป็นคนตาบอด คือไม่เห็นตามความเป็นจริง แล้วก็คิดเอา เชื่อเอา ฟังเอา โดยที่ว่าไม่ใช่ปัญญาที่เข้าใจว่าอะไรคืออะไร เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้ว่าอะไรคืออะไรก็ต้องอาศัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญบารมีเท่าไหร่ ด้วยคุณความดี แล้วเราล่ะไม่มีอะไรเลย อยู่ดีๆ ก็จะทำอย่างไรจะหมดกิเลสขึ้นมาเฉยๆ อย่างนี้ได้อย่างไร เหตุกับผลไม่ตรงกันเลย เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่เข้าใจถูกต้อง ทำไมคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงมากมายมหาศาล คุณของพระองค์ประมาณไม่ได้ ลองคิดดูถ้าเราเพียงแต่คิด เราไม่เคยรู้เลยว่าไม่มีเรา เราไม่เคยรู้เลยว่าธรรมะคือสิ่งที่กำลังมี ไม่ใช่เรา แต่เป็นสิ่งที่มีจริง เกิดแล้วก็ไม่รู้ว่า ไม่ได้มีใครไปทำให้เกิดเลย แต่มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น รู้ความจริงแค่นี้ บุญมหาศาลไหม พระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามหาศาลไหม เพียงเท่านี้ ถ้าเข้าใจมากกว่านี้ มหาศาลอีกเท่าไหร่ จากการที่ตาบอด บอดมานานในสังสารวัฎ ไม่เคยรู้เลยว่าไม่มีเรา แต่สิ่งที่มีนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปหมดเลย สามารถที่จะประจักษ์อย่างนั้นด้วย ทรงแสดงแต่ไม่ใช่ด้วยความไม่รู้ ไม่เข้าใจ เพราะไม่ใช่เรา แต่ต้องเป็นปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ชื่อมีจริงๆ หรือเปล่า หรือชื่อมีเพียงเรียกเท่านั้นเอง

    ผู้ฟัง ชื่อสมมติ

    ท่านอาจารย์ ชื่อสมมติใช่ไหม เพราะฉะนั้นความจริงก็คือว่าไม่มีชื่อ ธรรมะไม่มีชื่อ ไม่เรียกอะไรเลยก็ได้ เปลี่ยนชื่อก็ได้ แต่เปลี่ยนลักษณะของธรรมะไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะเป็นใครก็ตาม ที่ฟังแล้วเข้าใจถูกต้อง สอบทานได้กับพระไตรปีฎก ซึ่งเกือบจะไม่ต้องสอบทานเลย เพราะเหตุว่ามีธรรมะจริงๆ ปรากฏให้สอบทาน ว่าตรงกับลักษณะของสภาพธรรมะนั้นไหม แต่รู้ได้ว่าใครก็ไม่มีปัญญาจะพูดถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมด้วยความเคารพสูงสุด ไตร่ตรอง ดูว่าคำอื่นไม่สามารถที่จะเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย ถ้าไม่จริง และไม่ตรง ไม่พูดเรื่องความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น แต่ให้ทำแล้วจะรู้อะไรคนไม่รู้ ทำก็คือไม่รู้ ทำไปก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นคำจริงใครจะพูดเมื่อไหร่ก็ได้ ชื่ออะไรก็ไม่สำคัญ ใช่ไหม แต่คำนี้ถูกไหม จริงไหม ด้วยความเป็นมิตรหรือเปล่า ที่สำคัญที่สุด คือให้เข้าใจถึงความหวังดี และความเป็นมิตรที่ให้สิ่งที่ดี คือสิ่งที่จริง กับคนที่เป็นมิตร เราไม่อยากให้มิตร มีโทษมีภัย ได้รับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ใช่ไหม เกิดมาเป็นมิตรสหายกันก็ให้สิ่งที่ดีที่สุดต่อกัน และสิ่งที่ดีที่สุดคือความจริงไม่ใช่คำเท็จ เพราะฉันไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราจะให้เป็นของขวัญแบบชั่วคราว แต่ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์ แล้วประโยชน์นั้นมาจากไหน พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นทุกคำที่เข้าใจ นำไปสู่การเคารพบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างสูงสุด ไม่ใช่ดอกไม้ธูปเทียน ไม่ใช่อะไรเลยทั้งสิ้น แต่ความเข้าใจของแต่ละคน เป็นสิ่งที่เป็นเครื่องสักการะ ที่ทำให้พระองค์ได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทำให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้องได้ ไม่สงสัยแล้วใช่ไหม ชื่อไม่สำคัญเลย ใครก็ไม่สำคัญ แต่คำจริงต่างหากที่สำคัญ

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์มีเพื่อนเคยไปบางสำนัก แล้วก็บอกว่า นี่ใช่เลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เลย แบบนี้เลย พูดแบบนี้ ชัวร์

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคนฟังพิจารณาคำนั้นจริงหรือเปล่า พูดถึงสิ่งที่กำลังมีจริงๆ หรือเปล่า หรือพูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นพูดถึงสิ่งที่กำลังมีให้เข้าใจเลย แล้วอย่างนั้นจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร ในครั้งพุทธกาลไม่ว่าจะเสด็จที่ใด ประทับที่ใด ตรัสธรรมะในขณะที่สิ่งนั้นๆ กำลังปรากฏ ไม่ว่าจะประทับอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา มีขอนไม้ ก็ลอยมาปะทะกัน ติดกัน แล้วก็จากกันไป ท่านก็บอกนี่ก็คือสังสารวัฎ เกิดมาแต่ละชาติก็เหมือนขอนไม้ ได้พบปะกัน แล้วชาติหน้าไปไหน ก็เหมือนขอนไม้ที่จากกันไป ลอยห่างกันไป เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะประทับที่ไหน เห็นเด็กตีงู ก็ทรงแสดงธรรมะทุกอย่างที่มีในขณะนั้น ทรงแสดงความจริง

    เพราะฉะนั้นที่ใดก็ตาม อยู่ที่ไหนก็ตาม มีสิ่งที่กำลังปรากฏ คำใดที่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือพูดถึงคำนั้นให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นแต่ละคน เขาจะไม่บอกเลยว่าเป็นคำของเขา คำของเขาได้อย่างไร ถ้าเขาไม่ได้ฟังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นทั้งหมด ทุกคำมาจากการฟัง ด้วยความเคารพสูงสุด ที่จะไตร่ตรองให้ถูกต้อง ไม่คลาดเคลื่อน เพื่อที่จะดำรงรักษาความจริงนี้ไว้ สำหรับคนอื่นๆ ต่อไป ให้เข้าใจได้ถูกต้องด้วย เพราะฉะนั้นทุกคนก็ไม่ใช่เชื่อ แต่ฟังแล้วพิจารณาด้วยตัวเอง

    ผู้ฟัง ตอนนี้ถ้าเกิดว่าเราคิดว่า เราอยากจะเพิ่มพูนสิ่งเหล่านี้

    ท่านอาจารย์ อะไร

    ผู้ฟัง เพิ่มพูนคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ ความเข้าใจ

    ผู้ฟัง ความเข้าใจ ตอนนี้นึกถึงพระไตรปิฎกเลย คือนึกว่าถ้ามุ่งตรงพระไตรปีฎก แนวทางเดียวกันแน่นอน อย่างนี้ไหม ท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด ประมวลไว้เป็น ๓ ปิฏก และอรรถกถา ซึ่งแม้แต่พระวินัย อย่างศีล ๒๒๗ มากหรือน้อย มาก และใช่ไหม ธรรมดาก็แค่ ๕ ๘ หรือ ๑๐ แต่นี่ ๒๒๗ แต่คำอธิบายศีล ๒๒๗ มากกว่านั้น แสดงให้เห็นว่าแค่ ๒๒๗ ไม่พอที่จะรู้ว่าที่ถูกต้องจริงๆ นั้นคืออย่างไร ด้วยเหตุนี้ จะขาดการศึกษาพระธรรมได้ไหม ไม่มีทางเลย ห่างไกลเพราะสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแสนนาน คำว่าอุบาสก อุบาสิกา หมายความว่าผู้นั่งใกล้ คือผู้ได้ยินได้ฟังเงี่ยโสตลงสดับ คำของพระองค์ เพราะเป็นคำจริง รู้ได้เลยว่าไม่ใช่คำของคนอื่น เพราะฉะนั้นชื่ออื่น คนอื่น ลับหายไปเลย ไม่มีความหมายอะไรเลยทั้งสิ้น แต่ว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะคงดำรงอยู่สำหรับผู้ที่ได้เข้าใจถูกต้อง และรักษาความถูกต้องนั้นไว้ เพื่อให้คนอื่น เพื่อประโยชน์ของคนอื่นทั้งนั้น ที่จะได้มีโอกาสที่จะได้เข้าใจก่อนจะจากโลกนี้ไปสู่ชาติอื่นๆ ซึ่งไม่รู้ว่ามีโอกาสที่จะได้ฟังอีกไหม


    สนทนาธรรม ที่ บริษัทสยามแฮนด์ส จ.นครปฐม

    วันที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นต้องเป็นผู้ที่เข้าใจความหมายของ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เราได้ฟังบ่อยมาก ใช่ไหม แต่ว่าพระองค์อยู่ที่ไหน แล้วก็สอนอะไร เรามีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟังคำของพระองค์ไหม เพราะว่าพระองค์ปรินิพพานไปแล้วแน่นอน ๒๕๐๐ กว่าปี แต่เราก็มีโอกาสที่จะได้ฟังคำที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้วด้วยพระองค์เอง เพราะฉะนั้นต้องคิด พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแค่ชื่อประมาทได้ไหม เป็นไปไม่ได้เลย ว่าเรารู้จักพระองค์แล้ว แค่เพียงได้ยินชื่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คำนี้เป็นคำที่ไม่มีใครจะสามารถมีชื่อนี้ได้เลย นอกจากผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด จนกระทั่งเป็นที่เคารพ สักการะของทั้งมนุษย์ เทวดา พรหม ไม่มีใครเสมอเหมือน แค่นี้เพียงฟังแค่นี้ ใจของเราเป็นอย่างไร ใจของเราเริ่มนอบน้อมเคารพในผู้ที่มีปัญญาสูงสุด เหนือใครทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตามที่คนอื่นคิดว่ารู้แล้ว แต่ถ้าไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็แสดงว่าเขาไม่เข้าใจคำนั้น เพราะเหตุว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ตรัสสิ่งที่ไม่มีในขณะนี้ กำลังมีในขณะนี้ แล้วใครล่ะสามารถที่จะแสดงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ที่จะให้รู้ ให้ได้เข้าใจไว่ นี่แหละคือบุคคลซึ่งไม่มีผู้ใดเปรียบได้เลย

    เพราะฉะนั้นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคำที่ควรเคารพอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพียงเคารพชื่อ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ยินชื่อแล้วกราบไหว้ อย่างนั้นยังไม่ใช่การเคารพจริงๆ เพราะเหตุว่าพระคุณของพระองค์มากมายมหาศาลเปรียบปานไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่จะเริ่มเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อเมื่อได้เข้าใจคำที่พระองค์ตรัสไว้ด้วยพระองค์เอง ๔๕ พรรษา ตั้งแต่ได้ทรงตรัสรู้แล้ว ก็เห็นว่าคนอื่น ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงอย่างที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ แค่นี้จริงไหม คนอื่นไม่สามารถที่จะรู้ความจริงอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ นี่เป็นการเริ่มต้น ที่จะให้เข้าใจธรรมะ คือคำที่พระองค์ได้ตรัส ได้ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริง ๔๕ พรรษา ไม่ใช่ว่าเราจะต้องไปแสวงหาที่ไหนเลยทั้งสิ้น เดี๋ยวนี้กำลังมี แต่ไม่เคยรู้ เพราะฉะนั้นจะมีใครตอบบ้างไหมว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรมะ เดี๋ยวนี้มีธรรมะ ไม่เคยขาดธรรมะเลย ตอบไม่ได้ เพราะไม่รู้

    เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของสิ่งที่คนอื่นไม่รู้ จะให้ใครมาตอบก็ไม่รู้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่าขณะนี้ มีสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งทุกคนปฏิเสธไม่ได้เลย แต่ไม่เข้าใจว่าเป็นธรรมะ เพราะธรรมะหมายความถึงสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้มีจริงใช่ไหม เห็นก็มีจริง คิดก็มีจริง สบายก็มีจริง ไม่สบายก็มีจริง ทั้งหมด ไม่รู้เลยว่านั่นแหละคือธรรมะ คือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า ถ้าไม่เกิดขึ้นจะมีไหม ธรรมดาที่สุดเลย คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าธรรมดา คือเริ่มให้ผู้ฟังคิด ไตร่ตรอง เพื่ออะไร เพื่อประโยชน์ของตนเอง ไม่ใช่ว่าพูดตาม แล้ว กราบไหว้โดยที่ไม่รู้พระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แต่ แต่ละคำด้วยต้องเป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ จึงสามารถที่จะเริ่มรู้จักว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ที่เลิศกว่าบุคคลใดทั้งสิ้น ในสากลจักรวาล ไม่สามารถที่จะมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒ พระองค์ พร้อมกันได้เลย ถ้ามีพร้อมกัน ๒ พระองค์ก็ไม่ใช่ผู้ที่เลิศที่สุด แต่เพราะเหตุว่าเลิศที่สุดจึงไม่มีใครเปรียบปานได้ สมัยหนึ่งที่จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มีได้เพียง ๑ พระองค์ และคำที่เรากำลังจะได้ฟัง เป็นคำที่พระองค์ไม่ได้ตรัสให้เชื่อ แต่ให้พิสูจน์ ให้เข้าใจ ให้ไตร่ตรอง แต่ละคำว่ากำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริง

    เพราะฉะนั้นในภาษาบาลี ภาษามคธี ไม่มีคำว่าสิ่งที่มีจริง แต่มีคำว่าธรรมะ แล้วธรรมะคืออะไร ถ้าไม่รู้จักธรรมะก็บอกไม่ได้ว่าอะไรเป็นธรรมะ เพราะฉะนั้นทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มต้นก่อนอื่นคือต้องรู้ว่าคืออะไร ไม่อย่างนั้นการสนทนาทั้งหมด ไม่เป็นประโยชน์เลย พูดไปตั้งกี่ชั่วโมงก็ตามแต่ กี่วัน กี่เดือน กี่ปีก็ไม่รู้ว่าคืออะไร เพราะฉะนั้นที่จะให้เข้าใจจริงๆ คือต้องเริ่มต้นด้วยคำว่าคืออะไร เพราะฉะนั้นเพราะสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร ทรงเป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้ พระรัตนตรัยมี ๓ พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ รัตนะหมายความถึงสิ่งที่มีค่าที่สุด ตอนนี้ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม อย่างอื่นมีค่ากว่า ลาภยศ สรรเสริญ เงินทอง ทรัพย์สมบัติต่างๆ เกียรติยศ แต่ว่าสิ่งต่างๆ เหล่านั้น เป็นแต่เพียงสิ่งซึ่งคิด ถ้าไม่คิดจะมีไหม นี่ก็ทุกคำ เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งมาก ฟังเริ่มต้นอาจจะรู้สึกว่า พูดคำธรรมดาๆ ซึ่งเหมือนจะไม่เข้าใจแต่ความจริงนี่เป็นจุดเริ่มต้นของการที่จะรู้ว่าที่ไม่เข้าใจทั้งหมด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงให้เข้าใจ

    เพราะฉะนั้นธรรมะคือสิ่งที่มีจริง ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงให้เริ่มเข้าใจถูกต้องว่า ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง ทีละขั้นตอน ปฏิเสธไหม กำลังมี เพราะฉะนั้นธรรมะคืออะไร เห็นมีจริง รู้หรือเปล่า เคยรู้หรือเปล่าว่าเห็นนี่แหละเป็นธรรมะ ได้ยินก็มีจริง คิดก็มีจริง ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมะ คำนี้ตลอดทั้งพระไตรปิฎก จะไม่พ้นไปจากคำว่าธรรมะคือสิ่งที่มีจริง ที่กล่าวถึงเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง คิดบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง โกรธบ้าง เสียใจบ้าง ดีใจบ้าง ชีวิตประจำวัน แต่ละหนึ่งขณะเป็นธรรมะทั้งหมด เพราะเหตุว่ามีจริงๆ เกิดขึ้นจริงๆ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่าสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดไม่มีแน่นอน เราไม่เคยคิดเลยว่า ตอนเกิด ถ้าไม่มีการเกิดขึ้นของธรรมะ ก็ไม่มีเราเกิด ไม่มีอะไรเกิดสักอย่างเดียว แต่เราไม่รู้ความจริงก็เข้าใจว่าเราเกิด แต่ความจริงธรรมะเกิด คือสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้น โดยที่เราก็ไม่รู้ว่าคืออะไร จนกว่าที่จะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นความเข้าใจ ต้องเป็นความเข้าใจของเราเอง เป็นมรดกที่ว่าเมื่อเข้าใจเมื่อไหร่เป็นรัตนะที่ประเสริฐ เพราะเหตุว่าคนที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจ จะเอาเงินทองไปซื้อสักเท่าไร ไม่มีทางเลย นอกจากฟังแล้วก็ไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นความเข้าใจของตนเอง เพราะฉะนั้นคิดดู ควรที่จะมีความเข้าใจในสิ่งที่คนอื่นไม่สามารถที่จะให้เข้าใจได้เลย นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า หรือว่าเสียเวลา แทนที่เราจะได้ไปทำอย่างอื่นก็กลับมานั่งฟัง คำที่คนบอกว่านี่แหละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือตรัสเรื่องธรรมะคือสิ่งที่มีจริง จนถึงหนทางที่จะรู้ความจริง ประจักษ์แจ้งความจริงเมื่อไหร่ ธรรมะนั้นก็เป็นหนทาง ที่จะเป็นการไปสู่การรู้ความจริงที่ดับกิเลสได้เป็นธรรมรัตนะใครก็ตามที่ได้ฟังแล้ว อบรมเจริญปัญญารู้ความจริง ไม่ใช่รู้ผิดๆ แต่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง ผู้นั้นเป็นพระอริยสาวกเป็นสังฆรัตนะ ไม่ใช่แค่ภิกษุที่ครองจีวรเพราะได้บวชตามพระธรรมวินัย แต่ถ้าไม่ได้ศึกษาไม่เข้าใจธรรมะ ก็ไม่ใช่สังฆรัตนะต้องเฉพาะผู้ที่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเท่านั้น และคำว่าอริยสัจจธรรมก็แสนไกล ธรรมะมีจริงเป็นสัจจะ แต่การที่จะรู้ความจริง ต้องเป็นผู้ที่อบรมเจริญปัญญาเท่านั้น จึงสามารถที่จะรู้จัก เข้าใจความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้

    เริ่มยาก แต่ว่าลองคิดดู ถ้าไม่ยาก รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า ง่ายๆ เป็นไปได้ไหม บุคคลนี้จะเป็นผู้ที่ไม่ให้ใครเกิดความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น ปล่อยเขาไป ให้เขาไม่รู้ แล้วไปทำอะไรซึ่งเข้าใจว่าเป็นหนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ แต่ไม่ใช่ ตราบใดที่ไม่ใช่เป็นความเข้าใจถูกของตนเอง เพราะฉะนั้นเริ่มเห็นสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นรัตนะ ที่จะติดตามต่อไปได้ เพราะว่าทุกคนเกิดแล้วต้องจากโลกนี้ไปแน่นอน เร็วหรือช้า วันนี้ก็ได้ เดี๋ยวนี้ก็ได้ พรุ่งนี้ก็ได้ ไม่มีใครรู้ จะเอาอะไรติดตามไป เอาความไม่รู้ตลอดชีวิตซึ่งไม่เคยรู้ติดตามไป หรือว่ามีสิ่งซึ่งเมื่อเกิดมาแล้ว ยังได้รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมี ด้วยเหตุนี้การฟังธรรมะต้องเป็นผู้ที่อดทน เพราะเหตุว่าบารมีหมายความถึง ธรรมะที่จะทำให้สามารถเข้าใจความจริงของสิ่งที่มี ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญแล้ว และได้ตรัสรู้แล้ว และได้ทรงแสดงธรรมกับคนที่ เห็นประโยชน์ แล้วก็เริ่มเข้าใจประโยชน์ของการที่จะได้ฟังธรรมะ

    เพราะฉะนั้นก่อนอื่น ธรรมะคืออะไร ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง ไหม่หรือเก่า คำนี้ ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง ใหม่หรือเก่า เคยได้ยินมาก่อนหรือเปล่า เดี๋ยวนี้เห็นเป็นธรรมะ เคยได้ยินหรือเปล่า เพราะอะไร เห็นจริงๆ กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ได้ยิน ได้ยินเป็นสิ่งที่มีจริง ได้ยินก็เป็นธรรมะ ซึ่งต้องเกิดถ้าไม่เกิด ก็ไม่ได้ยิน เสียงก็ต้องเกิด ทุกอย่างที่กำลังมีในขณะนี้เกิด แต่ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร ก็เข้าใจว่ามีเราที่สามารถที่จะทำให้เกิดขึ้น แต่ความจริงทุกอย่างที่เกิดปรากฏ ต้องละเอียดจนกระทั่งว่าสิ่งนั้นเกิดเพราะอะไร ไม่มีใครสามารถที่จะหยุดยั้งได้ เมื่อครู่นี้ได้ยินเสียงอะไร ใครไปทำให้เกิด ไม่มีใช่ไหม แต่ละหนึ่ง เสียงใครทำให้เกิด เสียงเกิดแล้ว ได้ยินก็เกิดขึ้น ได้ยินเสียงเฉพาะที่ปรากฏแล้วก็หมดไป เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งขณะ หมดไป หมดไปหมดไป โดยไม่มีใครรู้เลย เพราะฉะนั้นก็เหมือนกับว่ายังนั่งอยู่ตรงนี้ แต่นั่งอยู่ตรงนี้ เห็น แล้วก็เสียง แล้วก็ได้ยิน ก็เพียงชั่วขณะแล้วก็ดับหมดไปทั้งนั้น เพราะฉะนั้นตั้งแต่เกิดจนตายก็เป็นอย่างนี้แหละ แต่ว่าไม่มีใครมาบอกเลย ว่าสิ่งที่เกิด ดับไป หมดไป ตลอดเวลา รวดเร็วมาก

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 181
    16 ก.ค. 2567