ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1066


    ตอนที่ ๑๐๖๖

    สนทนาธรรม ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อัมพวา จ.สมุทรสงคราม

    วันที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ให้รู้ว่า เพราะความไม่รู้ ก็ทำให้ทุกสิ่ง ทุกอย่าง เป็นไปด้วยความไม่รู้มากมาย ตั้งแต่เริ่มมีความติดข้อง ต้องการแสวงหา ตั้งแต่เกิดจนตายก่อนตาย ก็ยังแสวงหา ไม่รู้เลยว่า จะตายเมื่อไร ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น กำลังแสวงหา แต่ก็อาจจะตายเดี๋ยวนี้ก็ได้ เพราะฉะนั้น ก่อนตายก็ไม่ได้หยุดการแสวงหาเลย แต่หาแล้วได้อะไร ตายแล้ว ไม่มีอะไรเหลือเลยสักอย่างเดียว แต่ก่อนที่จะตายจากโลกนี้ไป แสวงหามาโดยตลอด ไม่ว่าจะ ทางตาทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ตื่นเช้ามาก็แสวงหารูป ใช่ไหม ร่างกายดำรงอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีการบริหารร่างกายให้สะอาด ให้เป็นอย่างนั้น ให้อย่างนี้ จนกระทั่ง ถึงรับประทานอาหาร ก็แสวงหาอีก แสวงหารสต่างๆ ไม่ใช่เพียงแต่แสวงหาสิ่งที่ทำให้อิ่มท้อง ไม่เดือดร้อน แต่ยิ่งกว่านั้น ต้องเป็นสิ่งที่อร่อย น่าพอใจ ปรุงแต่งสารพัด หาวิธีการตลอดไป ไม่เคยหยุดเลย มีอาหารใหม่ๆ รสใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา เพราะติดข้องในสิ่งที่จริงๆ แล้ว ถ้าไม่รับประทานไม่ได้เลย ร่างกายดำรงอยู่ไม่ได้ต้องอาศัยอาหาร ซึ่งทำให้ร่างกายนี้ ดำรงอยู่ได้ แต่ก็ไม่ได้รู้เลยว่า เพื่ออิ่ม เพื่อมีชีวิตดำรงอยู่ต่อไป แต่เพื่ออร่อยใช่ไหม ทุกคนรับประทานอาหาร เพื่ออร่อยทั้งนั้นเลย

    เพราะฉะนั้น แสวงหากันไปเถอะ และก็จากโลกนี้ไป มีอะไรเหลือบ้าง เพราะฉะนั้น เป็นสิ่งที่พระโพธิสัตว์ได้แสวงหามาตลอด​ แล้วชีวิตจริงๆ มีอะไร ก็มีการเกิดขึ้น และก็มีการตายจากไป เมื่อมีการเกิดขึ้น ด้วยความไม่รู้ ก็มีความต้องการในสิ่งต่างๆ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านั้นก็หมดไป ไม่ใช่เหลืออยู่ เมื่อเช้านี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่แสวงหา ก็หมดไปแล้ว แต่ก็ไม่หยุดยั้งการแสวงหาเลย แสวงหาต่อไปอีก เพราะฉะนั้น จะแสดงให้เห็นว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นความไม่มีสาระของธาตุที่เพียงเกิดขึ้นแล้ว ก็ดับไปไม่สิ้นสุด เราไม่ได้มีแต่ชาตินี้ ชาติก่อนก็มี ชาติก่อนๆ ก็มี แต่ไม่รู้ เพราะว่า เราเพียงแต่เห็น คนเกิด และเห็นคนตาย เวลาคนเกิดมา เราก็ไม่รู้ว่าเขามาจากไหน เวลาตายไปก็ไม่รู้เขาไปไหน แต่ว่าอย่างไร อย่างไร เกิดมาแล้ว​ ไม่รู้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า ถ้าไม่มีธาตุรู้ ซึ่งเกิดขึ้น และดับไป และก็เป็นปัจจัย ให้ธาตุรู้เกิดสืบต่อ ก็จะไม่มีการเกิด จะไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีการตาย

    เพราะฉะนั้น การเกิดดับสืบต่อของจิต ไม่ใช่มีเฉพาะชาตินี้ด้วย แต่มีมานานแสนนาน ซึ่งมีธาตุรู้ เกิด แล้วก็ดับ แล้วก็เกิด แล้วก็ดับ แล้วก็เกิด แล้วก็ดับสืบต่อ จนถึงวันนี้ แล้วก็ต่อไปอีก จนถึงพรุ่งนี้ และต่อไปอีกจนถึงปีหน้า และก็ต่อไปอีก แล้วแต่ จนถึงวันที่จากโลกนี้ไป ก็เท่านี้เอง แต่ความไม่รู้ ก็ทำให้ไม่หมดการแสวงหา แต่ว่าเมื่อเกิดมาแล้ว เราเลือกสิ่งที่เราต้องการได้ไหม เลือกเห็นสิ่งที่น่าพอใจได้ไหม เลือกรสที่น่าพอใจได้ไหม เลือกเสียงที่น่าพอใจได้ไหม เลือกอะไรไม่ได้เลย สักอย่างเดียว ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ก็ยังไม่รู้ หลงคิดว่า เราทำได้ ใช่ไหม แต่จริงๆ แล้วเราทำได้ เมื่อเข้าใจว่าเป็นเรา แต่ธรรมต่างหาก​ ที่เกิดขึ้นทำ ไม่ใช่เรา เพราะถ้าไม่มี ธรรม ไหนเราจะทำอะไร ก็ไม่มีเลย เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ บังคับบัญชาได้ ก็คือ ธรรม เพราะฉะนั้น พอฟังธรรม และก็ต้องเข้าใจเลย ธรรม มีจริงๆ แล้วก็เป็นชีวิตประจำวันนั่นเอง ไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่ใครบังคับบัญชาไม่ได้เลย จะให้ได้ยินเสียงอะไร บังคับบัญชาได้ไหม แค่นี้ก็ยอมรับกันหมดทุกอย่าง แต่ว่าไม่ได้รู้ความจริง จนกระทั่ง สามารถที่จะละความเป็นเรา เพราะเหตุว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ตามที่มีการเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นก็ดับหมดไปแล้ว เราก็ต้องไม่มี

    เพราะฉะนั้น คำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้า จะทำให้เราคลายความหวัง คลายความตื่นเต้น ตกใจ คลายความติดข้องทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะรู้ว่า แค่นั้นเองแล้วก็ไม่มีอะไรเพียงเท่าขณะที่เกิดขึ้น เป็นอย่างนั้นปรากฏให้ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง รักบ้าง ชังบ้าง แล้วก็ไม่มีอะไร เพราะฉะนั้น คำว่าไม่มีอะไร มีแน่นอนจริงๆ ว่าต้องไม่มี ไม่ใช่ว่า มี​สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยั่งยืน แต่ว่าไม่มีอะไร เพราะแค่เกิดขึ้นปรากฏดับไปแล้ว อยู่ไหน ไม่มีอะไร ทุกๆ ขณะ แต่ว่ามีเมื่อปรากฏ ทำให้ไม่รู้ จึงติดข้อง แสวงหา แล้วก็เป็นเหตุ ให้การกระทำต่างๆ ในทางที่ทุจริต เบียดเบียนคนอื่นเกิดได้ ด้วยความไม่รู้ว่า สิ่งนั้นเป็นเหตุ ที่จะทำให้ได้รับผลอย่างไร เพราะฉะนั้น ทั้งหมดนี้เป็นเหตุ เป็นผล ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี ตรัสรู้ความจริงทุกขณะ สภาพธรรมที่มีจริงทุกอย่าง ไม่ว่าธาตุรู้ ขณะนี้ ซึ่งกำลังเห็น ก็ทรงแสดงว่า เห็นเกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะทำให้เห็นเกิด เราเคยคิดไหม เราเห็นแล้วจบ แต่ว่า เห็นเกิดเพราะเหตุปัจจัย เพียงไม่มีปัจจัย ก็ไม่เห็น ต้องมีตา ต้องมีสิ่งที่กระทบตา และมีธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น แต่หารู้ไม่ ว่าธาตุรู้ที่เห็น จะเกิดเองตามลำพังก็ไม่ได้ ต้องมีปัจจัย ที่ทำให้ธาตุรู้นี้เกิดขึ้น เห็นความละเอียดไหม ของสิ่งที่มี ซึ่งพระสัมมาสัมเจ้าทรงตรัสรู้ว่า แม้เห็นเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ ก็เกิดเองไม่ได้ หรือว่าจะเกิดตามลำพัง โดยไม่มีสิ่งซึ่งเป็นปัจจัย อาศัย สนับสนุน เกื้อกูล ทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น เป็นเห็น

    ด้วยเหตุนี้ จากการตรัสรู้ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธาตุรู้ว่า มี ๒ อย่าง ซึ่ง อาศัยกันและกันเกิดขึ้น ธาตุรู้ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธาน ในขณะนี้ที่กำลังเห็นใช้คำว่า วิญญาณ เป็นธาตุรู้ อาศัยตา จึงใช้คำว่าจักขุวิญญาณ ธาตุรู้ที่ต้องอาศัยตา แต่ทางหูเป็นจักษุวิญญาณหรือไม่ ไม่ใช่เ พราะไม่ได้อาศัยตา เพราะฉะนั้น ธาตุ รู้ในขณะที่ได้ยินเดี๋ยวนี้เอง อาศัยหู โสตในภาษาบาลี คือรูปที่สามารถกระทบเสียงที่เราใช้คำว่าหู และเป็นธาตุรู้ ซึ่งอาศัยหูเกิดขึ้น ขณะนี้เอง ก็เป็นโสตวิญญาณ

    คำที่เราได้ยินในพระไตรปิฏก เป็นคำที่ในภาษาไทย เราก็ใช้ เพื่อเราคนไทยจะได้เข้าใจได้ แต่สภาพธรรม ไม่เปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นภาษาใดทั้งสิ้น ธรรมก็เป็นธรรม เห็นก็เป็นเห็น ได้ยินเขาเป็นได้ยิน แล้วไม่มีการรู้เลยว่า ขณะได้ยิน ไม่มีเห็นแน่ๆ เพราะจิตธาตุรู้ เกิดขึ้นหนึ่งขณะ ต้องรู้หนึ่งอย่าง ธาตุรู้ โดยอาศัยเจตสิกที่เกิดในขณะนั้น ๗ ประเภท ในขณะที่จิตเห็น เกิดขึ้นหนึ่งขณะ ถ้าไม่มีสภาพซึ่งเป็นที่อาศัย ให้จิตเกิดคือ เจตสิก จิตก็เกิดไม่ได้ แล้วเรารู้จักเจตสิกหรือไม่ ชาติใดๆ นักปราชญ์ใดๆ ในโลกใดๆ ก็ไม่รู้จักเจตสิก ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงว่า ธาตุรู้มี ๒ อย่าง คือ จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ และเจตสิก ซึ่งเกิดพร้อมกัน อาศัยกันและกันเกิดขึ้น แต่เจตสิกไม่ใช่จิต เห็นไหม เพราะมีคำใดๆ ก็ตามแต่ละคำ ก็แสดงความเป็นของคำนั้น ที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่งปะปนกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นจิต ไม่ใช่เจตสิก คำใหม่ เรื่องใหม่ ที่ไม่เคยได้ยิน แต่เป็นชีวิตประจำวัน รู้จักมานาน แต่ไม่เคยรู้ว่า เป็นเจตสิก เคยโกรธไหม มาจากไหน ถ้าไม่เห็นจะโกรธไหม ต้องเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจเลย ตกใจไหม ตกใจ ก็มีจริงๆ จากไหน จากเห็นสิ่งที่น่ากลัว หรือเพียงได้ยินเสียงที่น่ากลัว มีไหม เสียงที่น่ากลัว ดึกๆ ตื่นมา มีเสียงอะไรก็ไม่รู้ แล้วแต่เสียงนั้นจะปรากฏเป็นเสียงอะไร เสียงเยือกเย็น โหยหวล มีไหม กลัวหรือไม่ เห็นไหม แล้วก็เสียงเพราะๆ เสียงดนตรี มาจากไหนก็ไม่รู้แต่ปรากฏกับได้ยินว่า เสียงนั้น จึงเป็น (จิต) ได้ยิน

    เพราะฉะนั้น จะเห็นได้เลย ว่าไม่มีอะไรที่ใครเลือกได้เลยสักอย่างทุกอย่างเป็นธรรมซึ่งอาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้นและดับไป โดยที่ว่าสภาพนั้นเป็นอะไรก็ไม่รู้ แต่เดี๋ยวนี้รู้แล้ว ถ้าไม่ได้ยินจะตกใจไหม​ ​ เพราะฉะนั้น สภาพที่กลัว ตื่นเต้น ตกใจ มีจริงเป็นเจตสิก เพราะฉะนั้น จิตเกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีเจตสิก และเจตสิกก็เกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีจิต จะตกใจได้อย่างไร ไม่ได้ยินอะไร ไม่เห็นอะไร ไม่รู้อะไรสักอย่าง แล้วจะตกใจได้อย่างไร แต่ตกใจเมื่อมีอะไรปรากฏทางตา หรือ ทางหู
    ทางจมูก ตกใจได้ไหม กลิ่นไฟไหม้ มีไหม

    อ.อรรณพ เวลาได้กลิ่นไหม้ ที่เราคิดว่าคงจะเป็นสายไฟหรือไฟฟ้าช็อตนี่ ก็จะตกใจ

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม นี่แสดงให้เห็นว่าทั้งวัน เป็นธรรมโดยเราไม่รู้เลย แม้แต่กลิ่น จิตที่รู้กลิ่นได้กลิ่น แต่ไม่รู้ว่าเป็นกลิ่นอะไร แต่สภาพคิดถึงกลิ่นนั้นและจำได้เห็นไหมจำได้มีจริง ไม่ใช่เรา เกิดกับจิต เป็นเจตสิก แต่สภาพรู้ก็คือจิต และเจตสิก ซึ่งมีปัจจัยเกิดดับ ตลอดเวลาทุกขณะ ไม่ขาดสายเลย จากขณะแรกที่เกิด ก็เป็นแต่ละขณะไป ในชีวิต จนกระทั่งถึงขณะสุดท้ายที่จากโลกนี้ที่ใช้คำว่า ตาย ก็คือจิตขณะนั้นเกิดแล้วดับ ไม่มีปัจจัยที่จะให้เป็นคนนี้อีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ จิตนั้น ไม่ได้ทำกิจเห็น ไม่ได้ทำกิจได้ยิน แต่ทำกิจเคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ โดยกลับมาเป็นคนนี้อีกไม่ได้เลย ทันทีที่จิตนั้นเกิด และดับไป แต่ว่าจิตทุกขณะที่เกิดและดับเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด ด้วยเหตุนี้ ทันทีที่จิตนั้นเกิดและดับ ที่เราเรียกว่า ตาย เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดใหม่ในภพอื่น เป็นคนอื่น ซึ่งไม่ใช่คนนี้ เพราะจุติจิต ทำให้สิ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ เพราะฉะนั้น เราใช้คำว่า ปฏิสนธิจิต หมายความว่า เกิดสืบต่อจากจิตขณะสุดท้าย ซึ่งใช้คำว่าจุติของชาติก่อน

    เพราะฉะนั้น เราก็ค่อยๆ เรียนคำที่พระสัมมาสัมเจ้าทรงแสดงกับชาวมคธ ในภาษานั้น ซึ่งในภาษาไหนก็ตามแต่ ก็ใช้ภาษาของตนของตน เพื่อที่จะได้ให้เข้าใจ เพราะฉะนั้น จิตขณะสุดท้าย จุติ กิจ จิตทุกขณะ ไม่ใช่เรา แต่เป็นธาตุรู้จิตเกิดขึ้นทำกิจการงานพร้อมเจตสิก เจตสิกก็มีกิจการงานของเจตสิก แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งไป เจตสิกทั้งหมดมี ๕๒ ประเภท เพราะฉะนั้น จิตหนึ่งขณะ หลากหลายกันไหม ขณะนี้กับขณะนั้น ไม่เหมือนกัน ขณะตกใจไม่ใช่ขณะที่เห็น มีเจตสิกเพิ่มขึ้นมาแล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้น เจตสิกที่เกิดกับจิตนี้ หลากหลายตามประเภท ที่จะเกิดร่วมกันได้ เป็นจิตที่ดีเป็นกุศลจิต เป็นจิตที่ไม่ดีเป็นอกุศลจิต เราอยู่ที่ไหน ไม่มีเลย แต่ไม่รู้ ไม่รู้ แม้ว่าเหตุและผล อะไรเป็นเหตุที่จะให้เกิดขึ้นแล้วทำไมต้องมีการเห็น การได้ยิน เกิดมาแล้ว ไม่เห็น ไม่ได้ยินได้ไหม ไม่หิว ไม่คิดไม่นึกได้ไหม ไม่ได้เลย เป็นไปแล้วทั้งหมด แต่ไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้น จะเห็นความต่างของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงตรัสรู้ กับคนที่ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น แต่ยังมีโอกาส ได้ยิน ได้ฟัง คำซึ่งทำให้รู้จักสัมมาสัมพุทธพระเจ้า เพราะฉะนั้น คนในยุคนั้น พอมีความเข้าใจในสิ่งที่เขาไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลยว่าแท้ที่จริง เป็นธรรมทั้งหมด คือ สิ่งที่มีจริงทั้งหมด เป็นอนัตตา ไม่ใช่ใครไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ท่านผู้นั้น ก็ขอถึงพระส้มมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เพื่อที่จะได้เข้าใจต่อไป เพื่อที่จะได้รู้ความจริงว่า อย่างไรก็ต้องตาย ไม่มีใครที่ไม่ตายเพราะสภาพธรรมเกิดดับสืบต่ออยู่ตลอดเวลา สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้เมื่อไหร่ เกิดใหม่เป็นบุคคลต่อไป เหมือนเราทุกคนมาจากชาติก่อน ซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ พอจากโลกนี้ไป ชาติหน้าก็ไม่รู้ ว่าชาตินี้เป็นอย่างนี้ อย่างเดียวนี้ที่กำลังนั่งอยู่ตรงนี้ ได้ยินอย่างนี้ ได้ฟังอย่างนี้ ก็ไม่รู้เลย

    เพราะฉะนั้น ก็เห็นได้เลยว่าแต่ละขณะนี้ก็เหมือนถูกปิดบัง ด้วยความไม่รู้ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอดีตชาติของแต่ละคน ไม่ว่าใครที่ไปเฝ้า มีการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดของคนคนนั้น ทรงแสดงว่า ก่อนนั้นเขาเป็นใคร และเคยทำอะไร เคยคิดอย่างไร นี่ก็คือ ธรรม ที่มีคำถามตั้งแต่ต้นว่า รู้จักธรรมหรือยัง เพราะได้ยินคำนี้บ่อยๆ ใช่ไหม ไม่มีใครซึ่งเป็นชาวพุทธไม่ได้ยินคำว่า ธรรม แต่รู้จักธรรมหรือไม่ ถ้าไม่รู้จักธรรม จะชื่อว่า รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไหม ก็ได้ยินเพียงแค่ชื่อ และถึงความเป็นที่พึ่งได้อย่างไร ถ้าไม่เข้าใจธรรม เราบอกว่าเรามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง พึ่งอย่างไร ถ้าไม่เข้าใจธรรมจะพึ่งได้อย่างไร แต่พึ่งเพราะว่าทำให้เกิดความเข้าใจถูก ความเห็นถูก​ ในสิ่งซึ่งกำลังมีเดี๋ยวนี้เอง​ ซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อน

    เพราะฉะนั้น ธรรม ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย เพียงแต่ว่าคำของพระสัมมาสัมเจ้าเปิดสิ่งที่ถูกปกปิด ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ก็ให้เห็นว่า แท้ที่จริงก็เป็นธรรม แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งแสดงโดยละเอียด​ กว่า จะค่อยๆ คลายความเป็นเรา จากการยึดมั่นในสิ่งที่มี ทุกอย่างว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง รู้จักธรรมหรือยัง ก่อนฟังรู้จักธรรมหรือไม่ ไม่รู้จักใช่ไหม แต่เดี๋ยวนี้คนที่ฟังแล้ว รู้จักธรรมเข้าใจธรรม ทุกอย่างที่มี ไม่ว่าอะไรทั้งหมดมีจริงๆ สิ่งที่มีจริงมีลักษณะเฉพาะของตน สภาวะ เรารู้ว่ามีจริง เพราะมีความเป็นของสิ่งนั้น มี คือ สภาวะ ความเป็นของสิ่งนั้น แข็งเป็นแข็ง เสียงเป็นเสียง กลิ่นเป็นกลิ่น รสเป็นรส เห็นเป็นเห็น โกรธเป็นโกรธ นี่คือ ธรรม เพราะฉะนั้น ถ้าฟังธรรมแล้ว ไม่รู้จักธรรม มีไหม ที่จะไม่รู้จักธรรม ถ้าได้ฟังแล้ว แต่ถ้าฟังธรรม เข้าใจจริงๆ ก็เริ่มรู้จักว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สอดคล้องกันไหมกับสิ่งที่ได้ฟังแล้ว

    เพราะฉะนั้น คำจริงทั้งหมด สอดคล้องกันตั้งแต่ต้นจนถึงคำสุดท้าย ทุกคำไม่ขัดแย้งกันเลย เพราะเป็นความจริงแล้วจะขัดแย้งกันได้อย่างไร เดี๋ยวนี้ ในห้องนี้มีอะไร มีธรรม มีคนไหม มีโต๊ะไหม มีเก้าอี้ไหม มีธรรม แน่ๆ เลย สีกระทบตาปรากฏให้เห็น เป็นธรรมอย่างหนึ่งอยู่ที่มหาภูตรูป เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ถ้าไม่มีธาตุเย็น ร้อน อ่อน แข็งจะมีสีปรากฏได้อย่างไร ไม่ว่าอะไรทั้งหมดที่มีจริงๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความจริงให้คนที่มีโอกาสได้ฟัง ได้เข้าใจ ได้รู้ตามพระองค์ด้วย เพราะฉะนั้น ผู้ที่ฟังธรรม จึงเป็นสาวก หมายความถึงผู้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้น ใครที่ฟังแล้ว จะมีคนอื่นเป็นที่พึ่งไหม หรือว่าไม่มีใครเลย ที่จะพึ่งให้ได้เข้าใจสิ่งซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนเลย เหมือนเปิดสิ่งที่ถูกปกปิดไว้นาน เห็นเป็นคน เห็นเป็นสัตว์ เห็นเป็นสิ่งต่างๆ โต๊ะ เก้าอี้ ความจริงก็คือ ธรรมแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งซึ่งเกิดดับ สืบต่อเร็วมาก ทางตา​ การเกิดดับสืบต่อของแต่ละหนึ่งที่ปรากฏกระทบตา ปรากฏเป็นสีแดงบ้าง สีขาวบ้าง ตามภาวะความเป็นของสิ่งนั้น มหาภูตรูปมี ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เราพูดถึงคำว่าธาตุ ต้องรู้ด้วย ธาตุก็คือ ธรรม เพราะว่าเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นลักษณะที่ใคร เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ทรงไว้ซึ่งภาวะของตนอย่างแข็ง ใครไปเปลี่ยนก็ไม่ได้ ดับแล้ว เสียง ใครเปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นก็ไม่ได้ ดับแล้ว

    เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่ง เป็นสิ่งที่มีจริงเฉพาะแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นขณะนี้ แข็งก็ไม่ใช่ดอกมะลิ สีสัน วรรณะ สีขาว สีแดง ก็ไม่ใช่ดอกมะลิ ใช่ไหม สิ่งที่ปรากฏทางตาเปลี่ยนสภาพไม่ได้เลย เป็นสิ่งที่ปรากฏ กลิ่นก็ไม่ใช่ดอกมะลิใช่ไหม แต่ว่าการเกิดดับสืบต่อของสภาพธรรมเร็วมาก จนรวมกันเป็นหนึ่ง เป็นดอกไม้หนึ่งดอก แต่หนึ่งดอกนี้ลองคิดดู กี่กลีบ แตกย่อยลงจนละเอียดยิบ ไม่เหลืออะไรเลย แต่ก็มีภาวะความเป็นสิ่งนั้นว่าแข็งต้องเป็นแข็ง กลิ่นต้องเป็นกลิ่น พอมารวมกันสีสันวรรณะนี้ก็กล่าวว่าดอกมะลิ สีสัน วรรณะ นั้น ก็ดอกกุหลาบเป็นต้น ทั้งหมด ก็เป็นธรรมทั้งนั้นเลย แต่ว่าถ้าเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ยังติดข้องไหม ยังแสวงหาหรือไม่ ในเมื่อได้มาแล้วก็หมด ไม่เหลือ แต่สภาพที่ปรากฏ ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย เพราะว่า ปรากฏรวมกันจนเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วก็ไม่มีปัญญาที่สามารถจะเข้าใจถูก แมัตั้งแต่เบื้องต้นว่า แต่ละหนึ่ง เป็นแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้น ก็ลงยึดถือสิ่งที่รวมกันมั่นคง ว่าเป็นสิ่งนั้นแน่นอน แต่ถ้ามีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย ทีละเล็ก ก็รู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต ตั้งแต่เกิดจนตาย หลงโกรธ หลงสนุก หลงเพลิดเพลินทุกอย่าง ก็ไม่เหลือไม่เหลือ ทุกอย่างแม้เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีอะไรเหลือสักอย่างเดียว ขณะที่พูดนี่เสียงก็ดับ และจิตที่คิดถึงคำที่จะพูดก็ดับแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นอย่างนี้ตลอดไม่ใช่แค่ชาตินี้ชาติเดียว ทุกชาติ​ เป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ในสังสารวัฎ นานแสนนานมาแล้ว ก็เป็นอย่าง ต่อไปก็เป็นอย่างนี้

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้ในวันนี้ สภาพธรรมทั้งหลายก็ถูกปกปิด เหมือนเดิม ไม่มีใครสามารถที่จะเปิดเผย ให้รู้ว่าแท้ที่จริงความจริงก็คือว่า แข็ง หรือเป็นเรา กลิ่นหรือเป็นเรา เสียงหรือเป็นเรา ตาหรือเป็นเรา ไม่มีอะไรเลยสักอย่างเดียวที่จะเป็นของใครได้ เป็นธรรม แต่ละหนึ่ง ซึ่งแยกขาดจากกัน แล้วก็สามารถจะปรากฏว่า แต่ละหนึ่ง นั้นไม่ใช่เรา ดีไหม ไม่ใช่เรา ถามจริงๆ มีเราดีกว่าหรือไม่ หรือว่ารู้ว่าไม่ใช่เราดีกว่ามาก ซึ่งไม่มีโอกาสจะรู้อย่างนี้ได้เลยถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำของคนอื่นไม่ได้ให้ความจริงอย่างนี้ แต่คำนี้ เปิดเผยให้รู้ว่า ที่เคยเป็นเราทั้งหมด ก็เป็นธรรมทั้งหมด แล้วก็เป็นธรรม แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งละเอียดมากหลากหลายมาก บังคับบัญชาไม่ได้เลย แล้วก็จากไป เห็นไหม ชาติก่อนเป็นใคร ก็มีความรักคนที่เข้าใจว่าเป็นเราชาติก่อน เหมือนอย่างนี้เลย แล้วก็ไม่เหลือเลย พอถึงชาตินี้ก็รักคนนี้ที่เกิดมาเป็นคนนี้ มากที่สุดเลย แล้วก็จากไปหายไปเลย มีอะไรเหลือ ไม่มีอะไรเหลือ ไม่มีเลย

    เพราะฉะนั้น แสดงว่าเราติดข้องในสิ่งที่ไม่มี เพราะไม่รู้ ความติดข้อง มีจริงใช่ไหม ภาษาบาลีจะใช้คำว่า โลภะ ความยาก ความติดข้อง ความเพลิดเพลิน ความสนุกสนานทั้งหมดนี้ เป็นลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง แต่หลากหลาย ตั้งแต่อ่อนที่สุด จางที่สุดจนกระทั่ง หนัก เบา มากมาย ก็แล้วแต่ระดับขั้นของสภาพธรรมนั้นๆ เหมือนกับความขุ่นใจ เรารู้ไหม แค่เห็นฝุ่น ชอบหรือไม่ ขุ่นใจ แต่ไม่เหมือนโกรธใช่ไหม เพราะฉะนั้น ลักษณะของความไม่พอใจ ก็มีตั้งแต่ หยาบ ละเอียดที่สุดจนถึงหยาบที่สุด จนถึงสามารถเกลียดชัง และพยาบาททำร้ายได้ นี่คือทั้งหมด ก็เป็นสภาพธรรม

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 181
    4 พ.ค. 2568