ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1069


    ตอนที่ ๑๐๖๙

    สนทนาธรรม ที่ กนกรัตน์รีสอร์ท อัมพวา จ.สมุทรสงคราม

    วันที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ มีเห็น แต่ไม่รู้ว่าเห็นคืออะไร กับมีเห็น แล้วรู้จริงๆ ว่าเห็นคืออะไร อะไรจะดีกว่ากัน อัธยาศัยของแต่ละคน ทีเล็กทีละน้อย ไม่รู้เลยว่าต่างกันละเอียดยิบ แม้แต่เพียงเบื้องต้นที่จะให้สนใจธรรม เห็นประโยชน์ของธรรม ก็ต้องเริ่มจากการเป็นผู้ที่ละเอียด และเป็นผู้ตรง ฉลาดกับโง่ อะไรดีกว่ากัน

    ผู้ฟัง ฉลาดดีกว่า

    ท่านอาจารย์ ตอบได้ว่าฉลาดดีกว่า แต่โง่ คือ ไม่รู้อะไร และฉลาด คือ รู้อะไร โง่ที่จะไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ หรือว่าฉลาด จึงได้เข้าใจถูกต้องว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นอะไร เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นเรื่องละเอียดอย่างยิ่ง ไม่มีใครสามารถที่จะรู้จักตัวเอง เพราะว่าสะสมมาหลากหลายอัธยาศัยมาก ตอนเป็นเด็กรู้ไหมว่าจะเป็นอย่างนี้วันนี้ ไม่รู้เลยใช่ไหม

    แต่ว่าสะสมมาแล้วที่จะต้องเกิดขึ้นเป็นไปตามการสะสม ทำไมเด็กบางคนน่ารักมาก เห็นผู้ใหญ่ถือของก็จะช่วย แย่งมาเลย ขอช่วยถือ เด็กบางคนก็เดินเฉย และอะไรดีกว่าอะไร

    เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว ไม่มีใครสามารถไปทำอะไรได้เลย จะบอกเด็กคนที่เดินเฉยให้มาถือของ หรือบอกเด็กคนที่ถือของว่า ไม่ต้องช่วยก็ได้ใช่ไหมแต่เขาจะช่วย เขามีอัธยาศัยสะสมมาที่จะเป็นอย่างนั้น บางคนก็บอกว่าลูกเขาแปลกมากเลย ไม่เคยโกรธ ทำอย่างไรก็ไม่โกรธ มีใครอยากจะลองทำให้เขาโกรธไหม

    ตามอัธยาศัยของแต่ละคนซึ่งไม่เหมือนกันเลย เพราะฉะนั้น รู้อย่างนี้ดีไหม ถ้าไม่รู้ เราอาจจะไม่ชอบคนนี้เลย เขาเป็นคนไม่ดี แต่ว่าถ้ารู้ว่าไม่มีเขาเลย เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริง ซึ่งต้องเกิดขึ้นเป็นไปอย่างนั้น ทุกคนอยากเป็นคนดี แต่ทำไมดีไม่ได้ ไม่สามารถจะเป็นอย่างคนอื่นที่ดีๆ ได้เลย ทำอย่างไรก็ดีไม่ได้ ก็เพราะว่าเขาสะสมมา ไม่มีใครสามารถที่จะไปบังคับบัญชาอะไรได้เลย แม้แต่ตัวเอง

    ลองบังคับได้ไหม ไม่โกรธใคร ไม่เกลียดใคร ไม่สนใจใคร ไม่รักใคร ไม่ชอบใคร ได้ไหม ไม่ได้เลย เพราะว่าไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แต่ไม่รู้จึงยึดถือว่าเราทำได้ บางคนก็อาจจะคิดอย่างนี้ อย่างเมื่อเช้านี้ก็มีคนที่บอกว่าเขายกมือได้ แต่เพียงไม่มีจิต ยกได้ไหม อัมพาตอยากยก ยกได้ไหม ทุกอย่างมีเหตุมีปัจจัยที่เป็นไปทั้งหมด

    แต่ไม่เคยรู้ว่าอะไรเป็นเหตุที่หลากหลายกันไปมากๆ บังคับก็ไม่ได้ ต้องเป็นไป แต่ถ้ารู้ว่าความจริงคือ ไม่มีเรา แต่มีธาตุ ธาตุ ก็คือ สิ่งที่มีจริง ซึ่งใครเปลี่ยนแปลงสภาวะความเป็นจริงของสิ่งนั้นไม่ได้ สิ่งนั้นต้องเป็นอย่างนั้น แข็งต้องเป็นแข็ง หวานต้องเป็นหวาน เสียงต้องเป็นเสียง โกรธต้องเป็นโกรธ ทุกอย่างเป็นแต่ละหนึ่งธรรม ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปเร็วมาก แล้วจะโกรธใคร แล้วจะไม่ชอบอะไร ก็เป็นธรรมทั้งหมด

    เพราะฉะนั้น แต่ละคนมีสิ่งซึ่งตนเองก็ไม่รู้ว่าสะสมมาอย่างไร เชื่อได้เลยว่าแต่ละคน ก่อนที่จะมานั่งอยู่ในห้องนี้ ตอนเป็นเด็กไม่เคยคิดเสียด้วยซ้ำไปว่า จะอยู่ตรงนี้แล้วก็ฟังธรรม แต่ทำไมถึงได้เป็นอย่างนี้ บังคับได้ไหม ไม่ได้ ไปชวนคนอื่นที่เขาไม่ฟัง ให้มาฟังได้ไหม ก็ไม่ได้

    ถ้ามีความเข้าใจว่าธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่เรา จะไม่คิดว่าจะไปทำอะไรใครเลยทั้งสิ้น หรือแม้แต่ตัวเองก็ต้องค่อยๆ เข้าใจว่า เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ทำไมคนสนใจที่จะเรียนตัดเสื้อ คนนี้สนใจทำกับข้าว คนนั้นเป็นสถาปนิก คนนั้นเป็นวิศวกร ศึกษาต่างๆ นานากันตามอัธยาศัย

    เพราะฉะนั้น ทุกอย่างให้ทราบว่า ทำไมบังคับบัญชาไม่ได้จริงๆ หรือ ลองคิดให้ดี ไม่ได้แน่นอน เพราะอะไร เพราะเกิดแล้วต่างหาก แค่นี้ สิ่งนั้นเกิดแล้ว แล้วก็ดับแล้วด้วย แล้วจะบังคับอะไร แค่คิดจะบังคับ คิดนั้นก็เกิดแล้ว แล้วก็ดับแล้วด้วย สิ่งที่จะเป็นไปไม่ได้เป็นไป เพราะมีตัวตน ซึ่งคิดว่าเราจะทำ แต่เพราะไม่รู้ว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดแล้ว แม้แต่ขณะแรกที่เกิดที่เป็นคนนี้ก็เกิดแล้ว บังคับบัญชาไม่ได้ ซึ่งถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคงก็จะรู้ได้ว่า นี่คือธรรม คือสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย เป็นอนัตตา

    เพราะฉะนั้น ต้องการอะไร เข้าใจธรรม หรือว่ายากไป ฟังไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าฟังจริงๆ ภาษาไทยไม่รู้หรือ และถ้าเป็นภาษาอื่นจะเข้าใจได้ไหม ยิ่งไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น ภาษาของเราที่ได้ฟังมาแล้วตั้งแต่เด็ก เป็นภาษาเดียวที่จะทำให้สามารถเข้าใจคำ หรือ สิ่งที่ได้ยินได้ฟังในภาษาของเราเอง ยิ่งกว่าภาษาอื่นใช่ไหม แม้แต่ภาษาบาลีเรายังต้องแปลเลย เช่น จักขุ

    วันนี้ใครพูดบ้าง จักขุ พูดแต่ตา เห็น ก็ไม่ต้องพูดว่า จักขุวิญญาณ ก็เป็นอีกภาษาหนึ่ง แต่ภาษาไหนที่ใครสะสมมาที่จะเข้าใจ ก็เข้าใจในภาษาของตน เพราะฉะนั้น ฟังไม่รู้เรื่องหมายความว่า สนใจหรือไม่ เห็นประโยชน์หรือไม่ แต่ถ้ารู้ว่าเป็นสิ่งซึ่งไม่เคยฟังมาก่อน สิ่งหนึ่งซึ่งทุกคนไม่รู้ก็คือว่า คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำเป็นคำที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน เพราะเหตุว่าในภาษาไทยเรามีคำว่า เห็น ได้ยินคำว่าเห็นเเล้ว แต่ว่ารู้ไหมว่า เห็นคืออะไร เมื่อครู่นี้บอกใช่ไหมว่า รู้ดีกว่าไม่รู้

    เพราะฉะนั้น รู้ไหมว่า เห็นเดี๋ยวนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร บังคับบัญชาไม่ให้เห็นได้ไหม เมื่อมีปัจจัยที่เห็นจะเกิด เห็นเกิดแล้ว ข้อสำคัญที่คิดว่าจะบังคับจะให้อะไรเกิดขึ้น เป็นไปไม่ได้เลยทั้งสิ้น เพราะสิ่งนั้นเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย เดี๋ยวนี้ทุกคนก็เห็นแล้ว ใครทำให้เห็นเกิด เดี๋ยวนี้ก็คิดแล้ว ใครทำให้คิดเกิด

    เพราะฉะนั้น แต่ละอย่างต้องเป็นผู้ที่สะสมมา ที่จะเห็นคุณค่าอย่างยิ่งของการที่เกิดมาแต่ละชาติๆ จบไปแต่ละชาติ ทุกขณะ แต่ไม่รู้อะไรเลยตามความเป็นจริง กับการที่มีผู้ที่ทรงตรัสรู้ แค่ได้ยินคำนี้ คำของบุคคลนั้นต้องต่างกับคำของบุคคลอื่น เหมือนกันไม่ได้เลย เพราะเหตุว่า คนอื่นพูดคำที่ไม่รู้จักทั้งนั้น แต่บุคคลนั้น ทุกคำเป็นไปเพื่อปัญญาที่จะให้เข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมี

    ก่อนอื่นที่จะสนใจหรือเห็นคุณค่าก็คือ ต้องรู้ว่าเป็นประโยชน์ หรือไม่เป็นประโยชน์ มีค่ามากไหมที่จะได้เข้าใจตามความเป็นจริง ซึ่งใครก็มาบอกเราไม่ได้เลย นอกจากคำจริงแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่คำว่า ธรรม ต้องรู้แล้วคืออะไร ธรรมทั้งหลาย ทุกอย่างไม่เว้นเลย เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร และก็ไม่เป็นใครด้วย เพราะว่าเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หมด ไม่เหลือเลยสักอย่างเดียวตลอดเวลา มีแต่สิ่งที่มีปัจจัยปรุงแต่ง เกิดแล้วก็ดับไป เกิดแล้วก็ดับไป เร็วจนปรากฏเหมือนกับว่าไม่ไดัดับ มายากลเก่งไหม อะไรเก่งกว่า ธรรมเก่งกว่า เพราะว่า มายากลก็ยังไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    ผู้ฟัง แล้วคนที่สะสมอกุศลมา เราจะสะสมสิ่งใหม่ที่เป็นกุศลเพิ่ม อย่างการมาพบท่านอาจารย์ก็ได้รับประโยชน์มากมายมหาศาล จากการที่ได้เข้าใจพระธรรม ซึ่งเป็นความเมตตาของท่านอาจารย์ แล้วเราก็จะส่งต่อความเมตตานี้ไปให้ผู้อื่น ซึ่งไม่ได้คาดหวังเลยว่า เขาจะได้รับประโยชน์นี้ หรือไม่ได้รับประโยชน์ ทำไม่ได้หรือท่านอาจารย์ คือก็เป็นการทำ

    ท่านอาจารย์ คิดที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจธรรม ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แต่บังคับให้เขาฟังได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่บังคับ

    ท่านอาจารย์ ถึงจะจูงมือเข้ามานั่งในห้องนี้ เขาไม่ฟังยังได้เลย เขาคิดเรื่องอื่นของเขาไป

    ผู้ฟัง แต่อย่างน้อยเราก็ขอได้ให้ เพราะเราได้รับมา

    ท่านอาจารย์ เพราะสิ่งที่มีปัจจัยเกิดขึ้นให้ทำ ไม่ทำก็ไม่ได้ เพราะสะสมมาที่จะเป็นอย่างนั้น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะการสะสมของแต่ละหนึ่ง ซึ่งเข้าใจว่าแต่ละบุคคลสะสมมาต่างๆ กัน ก็ต่างกันไป คนที่สนใจธรรมก็มี คนที่ไม่สนใจธรรมก็มี เพราะฉะนั้น มีท่านผู้หนึ่งที่ท่านกล่าวว่า ยากยิ่งก็คือการให้คนที่ไม่มีความสนใจในธรรม ไม่เห็นประโยชน์เลย ได้เริ่มเห็นประโยชน์ และเริ่มสนใจที่จะฟัง ขั้นจะฟัง ฟังแล้วยังยากไหม

    ผู้ฟัง ยากมาก

    ท่านอาจารย์ ฟังแล้ว ไม่ฟังอีกก็มี เพราะฉะนั้น เห็นประโยชน์หรือไม่ ถ้าง่าย ไม่ต้องเสียเวลาใช่ไหม แต่กว่าจะรู้ความจริงอย่างนี้ได้ พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่ แล้วเราเป็นใคร เพียงแต่ฟังคำของพระองค์ซึ่งได้ทรงตรัสรู้แล้วเข้าใจตาม แค่นี้ยังว่ายาก แล้วจะอย่างไรดี ไม่ฟังเสียเลยง่ายกว่า จะอย่างนั้นหรือ

    ผู้ฟัง ไม่ คิดว่าเริ่มมีแสงสว่างนิดๆ อยู่ที่ปลายอุโมงค์ ก็ขอตามไปเรื่อยๆ จะได้แค่ไหนก็แค่นั้น

    ท่านอาจารย์ เพราะสะสมมา แต่คนที่ไม่สะสมมาไม่ได้คิดอย่างนี้เลย เพราะฉะนั้น ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะไปให้คนอื่นเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่สะสมมาที่จะเกิดขึ้น ที่เข้าใจว่าเป็นเราตามการสะสม ก็เป็นไปตามการสะสม ห้ามไม่ให้ทำก็ไม่ได้ ห้ามไม่ให้คิดก็ไม่ได้ เพราะว่าสะสมมา ปรุงแต่งมาให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ก็ต้องเป็นตามที่ได้สะสมมา

    ผู้ฟัง กว่าจะเข้าใจจริงๆ ตอนที่เริ่มมาฟังท่านอาจารย์ก็ยังชอบที่จะไปทำบุญ ไปทอดกฐินอะไรตามที่ต่างๆ แต่เมื่อเราฟังไปนานๆ แล้ว เริ่มเข้าใจว่าระหว่างให้เลือกไปทำบุญ กับเลือกมาฟังพระธรรม ขอเลือกมาฟังพระธรรมเพราะได้ประโยชน์มากมาย

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่คุณพัฒน์นรี แต่ตามการสะสม จะเห็นได้ว่าถ้าเราบอกคนอื่นว่า ทุกคนพูดคำที่ไม่รู้จัก พูดตั้งแต่เกิดจนตาย พูดคำที่ไม่รู้จักทุกคำเลย เขาจะว่าอย่างไร คงแปลกใจ หรืออาจจะโกรธ

    ผู้ฟัง เขาโกรธว่าเราไปว่าเขาโง่ หรือไม่ฉลาด อะไรอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ แต่ลองคิดว่าจริงไหม พูดคำที่ไม่รู้จักตั้งแต่เกิดจนตาย จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม เมื่อครู่พูดถึงเรื่องบุญ บุญคืออะไร

    ผู้ฟัง บุญ คือ สภาพจิตที่ผ่องใส

    ท่านอาจารย์ คนอื่นที่ไปทำบุญกันตามวัด เขารู้ไหมว่าเป็นสภาพจิตใจผ่องใส ไม่มีทาง เพราะฉะนั้น พูดคำถูกเมื่อได้ฟังพระธรรมว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นจิตที่ประกอบด้วยเจตสิกที่เป็นฝ่ายดี นามธาตุที่ดีเกิดขึ้นเป็นไปในทางที่ไม่เป็นโทษ ไม่ให้ผลที่เป็นโทษเลย ทั้งในขณะที่ทำและแม้ภายหลัง

    เพราะฉะนั้น พูดคำที่ไม่รู้จัก บุญก็ไม่รู้จัก คิดว่าเราเป็นบุญ เเล้วบุญเป็นเรา หรือเราเป็นบุญ หรือว่าบุญเป็นธรรม เพราะว่าธรรมหลากหลาย ปุญ (ปุน-ยะ) บุญ ขจัดขัดเกลากิเลสในขณะนั้น ก็ไม่รู้จักสักคำ พูดว่าเห็น เห็นอะไรก็ไม่รู้ เมื่อฟังธรรมแล้วจะรู้ แม้เดี๋ยวนี้เองเข้าใจได้ทันที เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เห็นแข็งไหม

    ผู้ฟัง ไม่เห็นแข็ง

    ท่านอาจารย์ เพราะแข็งไม่ได้ปรากฏ ไม่ได้มากระทบตา แต่มีธาตุหนึ่งเดียวในบรรดาธาตุทั้งหมด ที่กระทบจักขุปสาท รูปพิเศษที่อยู่กลางตา แล้วก็เป็นเหตุปัจจัยให้ธาตุที่เป็นนามธาตุ ธาตุรู้ ขณะนี้เกิดเห็นสิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ว่าเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น พูดคำว่าเห็น ก็ไม่รู้จักว่าเห็นคืออะไร ไม่ว่าใครทั้งสิ้นถ้าไม่ได้ฟังธรรม พูดคำที่ไม่รู้จัก

    ผู้ฟัง การละความชั่วทุกชนิด ซึ่งเป็นหัวใจของศาสนาพุทธ ละความชั่วทุกชนิด อาจารย์กรุณาให้ความละเอียดของคำนี้

    ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ละ หรือว่าเข้าใจ

    ผู้ฟัง เข้าใจการละความชั่ว

    ท่านอาจารย์ เพราะว่า ถ้าไม่เข้าใจ ละได้ไหม เพราะไม่ใช่เราละ แต่เป็นความเห็นที่ถูกต้อง สภาพที่รู้ความจริง เห็นโทษของความชั่ว เมื่อเห็นโทษขณะนั้นก็ไม่ทำชั่ว ที่ทำชั่วกันทั้งหมดเพราะไม่เห็นโทษของความชั่วใช่ไหม และไม่รู้ด้วยว่าชั่วคืออะไร ทั้งหมดที่เคยไม่รู้มาก่อน ทุกคำต้องตั้งต้นว่า คืออะไร ไม่อย่างนั้นก็ไม่ชื่อว่าฟังธรรม เพราะฉะนั้น ชั่วคืออะไร ถ้าไม่รู้ ละได้ไหม

    ผู้ฟัง ถ้าไม่รู้ ละไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ต้องรู้ก่อนใช่ไหมว่า ชั่วคืออะไร

    ผู้ฟัง แต่บางอย่างในพื้นฐานของชีวิต เช่น คนขี้ขโมย เขาจะไม่รู้เลยหรือว่าการขโมยไม่ถูก ไม่ดี

    ท่านอาจารย์ ถ้ารู้จริงว่าไม่ดี จะทำไหม

    ผู้ฟัง ลึกซึ้ง

    ท่านอาจารย์ มาก ยิ่งฟัง ยิ่งลึก คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเริ่มต้นจากสิ่งที่มี ซึ่งใครไม่เคยรู้มาก่อนเลย แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ลึกซึ้งเกินกว่าที่ใครจะคิดว่าลึกซึ้ง แค่ว่าลึกซึ้งมาก ยังไม่ถึงความลึกซึ้งจริงๆ ของสภาพธรรม

    อ.คำปั่น สำหรับในเรื่องของความเป็นผู้ที่สนใจในการศึกษาพระธรรม ก็แสดงถึงการสะสมมาของผู้นั้นอย่างแท้จริงว่า จะเห็นประโยชน์ของพระธรรมมากน้อยแค่ไหน ซึ่งคำหนึ่งที่สรุปก็คือ คำว่า ฟังไม่รู้เรื่อง ถ้าเห็นประโยชน์ของพระธรรม ฟังไป ศึกษาไป ในที่สุดก็ต้องเข้าใจแน่นอน เพราะเหตุว่าพระธรรมเป็นสิ่งที่ยาก เป็นสิ่งที่ละเอียด ลึกซึ้ง

    ฟังเพียงครั้งเดียวไม่ได้ ก็ต้องฟังบ่อยๆ เนืองๆ แล้วก็ไม่ใช่เพียงแค่ชาตินี้ชาติเดียวด้วย ต้องสะสมเป็นระยะเวลาที่ยาวนานจริงๆ แต่ละคนที่จะสนใจในการศึกษาพระธรรมต้องมีเหตุมีปัจจัย อย่างที่พระองค์ทรงแสดงไว้ในจักกสูตร แสดงถึงความเป็นสมบัติที่ถึงพร้อมแล้ว ที่จะทำให้ผู้นั้นสนใจที่จะศึกษาพระธรรมมากน้อยแค่ไหนก็เพราะว่า ผู้นั้นเคยสะสมบุญ คือ ความดีที่ประกอบด้วยปัญญามาแล้วตั้งแต่ในอดีต จึงทำให้ผู้นั้นได้เกิดในถิ่นที่เหมาะ ก็คือถิ่นที่มีพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเหตุให้ผู้นั้นได้อาศัยบุคคลผู้มีปัญญา คือ อาศัยสัตบุรุษ ซึ่งเป็นผู้ที่เข้าใจธรรม ที่จะเป็นเหตุให้ได้ฟังคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ที่จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ตั้งตนไว้ชอบ ซึ่งก็เป็นคุณความดีที่เกิดขึ้นเจริญขึ้น จากที่ไม่เคยเข้าใจก็เข้าใจขึ้น แล้วก็ได้สะสมเป็นเหตุที่ดีต่อไป

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องของการสะสมของแต่ละบุคคลจริงๆ ที่จะเห็นประโยชน์ของพระธรรมมากน้อยแค่ไหน ที่ท่านอาจารย์ยกตัวอย่างก็ชัดเจนใช่ไหมว่า ก่อนที่จะมาศึกษาธรรม แต่ละคนไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มาฟังธรรม จะได้มาศึกษาธรรม ก็เพราะว่าเป็นเรื่องของธรรม ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัยนั่นเอง

    ผู้ฟัง ในการที่ฟังใหม่ๆ หรือว่าความเข้าใจยังไม่มากพอ อยากจะรู้ว่าที่เราจะตัดสินใจกับเรื่องราวมากมาย การตัดสินใจที่จะเลือกนั้นจะเป็นธรรม หรือว่าเป็นอนัตตาอย่างไร

    ท่านอาจารย์ คุณอรวรรณเลี้ยวซ้าย เพราะเหตุปัจจัยหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เลี้ยวซ้าย ใช่

    ท่านอาจารย์ เลี้ยวขวา เพราะเหตุปัจจัยหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ มีตัวคุณอรวรรณหรือเปล่า เพราะฉะนั้น สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือว่า กำลังคิดอย่างนั้นก็เป็นธรรม มีปัจจัยที่ทำให้เกิดสงสัย มีปัจจัยที่จะให้เกิดคิดว่าจะทำอย่างนี้ดี หรือจะทำอย่างนั้นดี กระตือรือล้น มีไหม เป็นธรรมหรือไม่ เขาเลือก เขาคิด หรือว่าขณะนั้นกำลังสงสัย ไม่ใช่กระตือรือล้น หรือ อาจจะกระตือรือล้นที่จะรู้ความจริง แล้วก็มีความสงสัยด้วยก็ได้

    ทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ลืมเสมอว่าเป็นธรรม คิดอย่างนั้น สงสัยอย่างนั้น ตัดสินใจอย่างนั้น ก็เป็นธรรมทั้งหมด ถ้ายืนอยู่เเล้วจะเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา ขณะนั้นเป็นธรรมหรือเปล่า ก็เป็น แล้วเวลาเลี้ยวซ้ายก็เป็นธรรม หรือว่าจะเลี้ยวขวาก็เป็นธรรม ให้ทราบว่า ทุกขณะเกิดขึ้นเป็นธรรมทั้งหมด และเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยด้วย ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะให้เป็นอย่างนั้นก็เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นไม่ได้

    ผู้ฟัง หมายความว่าจะฟังธรรม หรือไม่ฟังธรรม เหมือนกับบังคับบัญชาไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แน่นอน เราไปบังคับคนเลวให้เป็นคนดีได้ไหม บอกเขาสิ บอกเขาทุกวัน จงเป็นคนดี จงเป็นคนดี แล้วเขาเป็นหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า บังคับบัญชาไม่ได้

    ผู้ฟัง ถ้ามีคำถามที่ว่า เมื่อมีสถานการณ์ เหตุการณ์อย่างนี้ แล้วจะตัดสินใจอย่างไรดี

    ท่านอาจารย์ สงสัยขณะนั้นก็เป็นธรรม ยังไม่ทันตัดสินก็เป็นธรรม ทุกขณะเป็นธรรม

    ผู้ฟัง แต่ก็จะเป็นคำถามที่ไม่ใช่เป็นธรรมแล้วไม่เป็นอนัตตา เพราะสมมติคิดเอาไว้ แต่ถึงเวลาเมื่อสิ่งนั้นมาถึงจริงก็จะต้องเป็นไป ณ ขณะนั้น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะคิดหรือไม่คิด ไม่คิดก็เป็นธรรม คิดก็เป็นธรรม เห็นก็เป็นธรรม ได้ยินก็เป็นธรรม ไม่เว้นเลย ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ธรรมทั้งหลายไม่เว้น คิดก็เป็นอนัตตา ไม่คิดอย่างนั้นได้ไหม สงสัยก็เป็นอนัตตา ไม่ให้สงสัยได้ไหม กระตือรือล้นที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็เป็นธรรม ไม่ทำอย่างนั้นได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะไม่ใช่เราทำ

    จิต เจตสิก เกิดขึ้นทำหน้าที่ของจิต เจตสิก ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงแสดงสภาพของธรรมแม้จิตโดยละเอียดยิ่งทุกขณะ ให้รู้ว่าขณะนี้ก็มี แต่ไม่รู้

    ผู้ฟัง แล้วเป็นไปได้ไหมที่ว่า ก่อนฟังธรรมจะกระตือรือล้นวางแผนทำมาหากินให้เจริญเติบโตก้าวหน้า หาเงินได้เยอะๆ แต่เมื่อฟังธรรม ไม่มีเรา ไม่มีอะไรเลย ก็ไม่ทราบว่าจะขยันขันแข็ง กระตือรือล้นไปทำไม สู้ไม่ต้องเอาอะไรมาก ก็ฟังธรรม

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมดก็เป็นธรรม จะทำอะไรก็เป็นธรรม จะกระตือรือล้นต่อไปก็เป็นธรรม จะไม่กระตือรือล้นอีกแล้วก็เป็นธรรม ไม่กระตือรือล้นแล้วไม่ฟังธรรมก็เป็นธรรม ไม่กระตือรือล้นแล้วฟังธรรมก็เป็นธรรม ทุกอย่างไม่เว้น ถ้าพูดว่าไม่เว้น คือ ไม่เว้น

    ผู้ฟัง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ ที่ทำให้เมื่อมาฟังธรรมแล้วทำให้ขี้เกียจทำมาหากินอะไร ก็ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ ถ้ามีปัจจัยที่จะขี้เกียจ ไปห้ามไม่ให้ขี้เกียจได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ว่าจะฟังธรรม หรือไม่ฟังธรรมก็ตาม

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น ความเข้าใจมั่นคงว่า ทุกอย่างเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นทั้งสิ้น ฟังคำไหนเข้าใจคำนั้น เพราะฉะนั้น ที่จะบอกว่าฟังแล้วไม่รู้เรื่องก็คือไม่รู้ว่า แท้ที่จริงก็เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทั้งหมด ไม่ว่าจะขยัน ไม่ว่าจะเกียจคร้าน ไม่ว่าจะคิด ไม่ว่าจะสุขจะทุกข์ ไม่ว่าจะสงสัย เมื่อตัดสินใจคิดว่าเป็นเราตัดสินใจ ก็ไม่ใช่

    ขณะนั้นเป็นธรรมที่เกิดขึ้นคิดอย่างนั้น ตัดสินอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ต้องมั่นคงทุกคำที่ได้ฟัง ทุกอย่าง ไม่เว้น ทุกอย่างเป็นธรรม สิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย จึงเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ใครไปทำให้เป็นอย่างนั้น

    ผู้ฟัง เข้าใจยาก

    ท่านอาจารย์ ต้องมั่นคง มิฉะนั้นไม่ถึงการที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมตามที่ได้ฟัง ไม่ใช่เพียงแค่ให้ฟังเฉยๆ ประจักษ์แจ้งได้ เพราะมีผู้ที่อบรมเจริญปัญญาประจักษ์แจ้งแล้วมาก ซึ่งก็ตั้งต้นด้วยความไม่รู้เหมือนกัน แล้วค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ สะสมไป เป็นธรรมทั้งหมด

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 181
    1 ส.ค. 2568