ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1076


    ตอนที่ ๑๐๗๖

    สนทนาธรรม ที่ บริษัทเชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด

    วันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ สติเป็นธรรม ธรรมมี ๒ ฝ่าย จะโดยนัยหนึ่งก็ได้ หรือหลายๆ นัย ๓ ๔ ๗ ๘ ก็ได้ ได้หมดทุกอย่างแล้วแต่จะกล่าวถึง แต่เปลี่ยนความจริงของธรรมแต่ละหนึ่งไม่ได้เลย ถึงจะไปกล่าวโดยนัยใด ธรรมนั้นต้องเป็นธรรมนั้น

    เพราะฉะนั้น สติมีจริงไหม มีจริง สติเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม ตอนนี้รู้เเล้วว่านามธรรม ซึ่งนามธรรมหลากหลายใช่ไหม นามธรรมที่ดีก็มี ที่ไม่ดีก็มี ใช่ไหม รู้แล้วเหมือนกันหมดเลย เพราะฉะนั้นได้ยินคำว่าสติ ดีไหม

    ผู้ฟัง ดี

    ท่านอาจารย์ ดี แต่ยังไม่เข้าใจสติ ถูกต้องไหม เห็นไหมว่าต้องเป็นขั้นๆ ถึงจะเป็นความมั่นคง ถ้ามีคนมาบอกเราว่า สติไม่ดี อย่างนี้เราก็ไม่เชื่อใช่ไหม เพราะธรรมที่ดีก็มี ไม่ดีก็มี เพราะฉะนั้น ได้ยินคำว่าสติก็ต้องดีแล้ว จะไม่ดีไม่ได้ แต่ต้องยอมรับตามความเป็นจริงว่า แค่รู้ว่าดี ยังไม่รู้เลยว่าสติคืออะไร แต่มีแน่นอน

    พูดคำไหนต้องเริ่มเห็นถูกต้องในความเป็นสิ่งนั้น สติมีจริงไหม เป็นธรรมหรือเปล่า ถ้าตอบว่าเป็นธรรม หมายความว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่เราเป็นธรรม แต่ธรรมเป็นธรรม เปลี่ยนไม่ได้เลย ธรรมไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น สติไม่ใช่เรา แล้วสติเป็นสภาพธรรมที่ดีด้วย แต่สติคืออะไร แค่บอกว่าสติเป็นสภาพธรรมที่ดี ไม่พอ ถูกต้องไหม แต่ต้องรู้จักสติเมื่อไหร่ เห็นความดีของสติเมื่อนั้นว่าเป็นธรรมที่มีจริงที่ดี และมีสติหลายขั้นด้วย

    เวลาที่มีการสละสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้ผู้อื่นเพื่อประโยชน์ของเขา ดีไหม ถ้าสติไม่เกิดระลึกเป็นไปในการให้ จะไม่มีการให้เลย เพราะฉะนั้น สภาพธรรมของสติเป็นเจตสิก ไม่ใช่จิต เป็นธาตุรู้ ซึ่งระลึกเป็นไปในกุศล เมื่อกุศลเกิดขึ้นเมื่อไหร่ไม่ใช่เรา แต่สติระลึกเป็นไปในกุศล ทางกายก็เป็นได้ ทางวาจาคำพูดก็เป็นได้ ทางใจก็เป็นได้ เวลาโกรธเกิดขึ้นแล้วคือทางไหน ทางใจก่อน

    เพราะฉะนั้น เห็นความต่างของจิตที่โกรธกับไม่โกรธ จิตที่โกรธไม่มีใครชอบ ไม่มีใครอยากโกรธ เพราะว่าไม่สบาย ประทุษร้าย หยาบกระด้าง ทำร้ายตนเอง ดีๆ อยู่แท้ๆ กลับกลายเป็นไม่ชอบนั่นไม่ชอบนี่ เดือดร้อนแล้วใช่ไหม ยังไม่พอ พยาบาทเพิ่มเติมเข้าไปอีก ใจยังคิดจะเบียดเบียน จะว่าเขาบ้าง จะทำอะไรเขาบ้าง จะประทุษร้ายเขาบ้าง ดีหรือ ไม่ดีแน่นอน แต่สติเกิดระลึกในทางที่ดี และถ้าเป็นปัญญาก็เห็นถูกต้องว่า ขณะนั้นเป็นสภาพธรรมที่ไม่ใช่เรา แต่เป็นสภาพธรรมที่ไม่ดี เพราะฉะนั้น สติระลึกเป็นไปในกุศล แต่ปัญญาสามารถที่จะเห็นถูกเข้าใจถูกว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร

    เพราะฉะนั้น จิตเป็นจิต นามธรรมที่มีเป็นสภาพรู้ ธาตุรู้ แต่ก็ยังเกิดพร้อมกับเจตสิก จิตจะเกิดตามลำพังไม่ได้เลย ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย เชื่อไหม ไม่รู้ใช่ไหม แต่ใครรู้

    ผู้ฟัง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ ซึ่งเราต่างกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม

    ผู้ฟัง ต่าง

    ท่านอาจารย์ ก่อนอื่น ต้องมีความเคารพในผู้ที่ทำให้เราได้เข้าใจสิ่งซึ่งมีว่า จิตมี แต่ไม่ใช่เจตสิก เพราะฉะนั้น เจตสิกก็เป็นสภาพธรรมทั้งดีก็มี ไม่ดีก็มี ไม่ใช่ดีไม่ใช่ไม่ดีก็มี นี่คือผู้ที่ตรัสรู้ความจริงอย่างละเอียดยิ่ง ไม่ใช่เรา แต่ทรงแสดงชัดเจนว่า ไม่ใช่เราแล้วเป็นอะไร เป็นรูปธรรมหรือเป็นนามธรรม เป็นจิตหรือเป็นเจตสิก

    สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งหมดต้องเป็นหนึ่ง สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเกิดเป็นจิต หรือเป็นเจตสิก หรือเป็นรูป เพราะฉะนั้น จิตไม่ใช่เจตสิก เจตสิกมี ๕๒ ประเภท ทั้ง ๕๒ ประเภทรวมเป็นหนึ่งไม่ได้เลย โดย ๕๒ ประเภทก็คือ ต่างกันหลากหลายเป็น ๕๒ แต่แต่ละหนึ่งละเอียดจนถึงหยาบ ตั้งแต่ธรรมดาจนถึงลึกซึ้งที่สุด ปัญญาแค่นี้พอหรือ มากกว่านี้ได้ไหม เข้าใจกว่านี้ได้ไหม เข้าใจได้ก็ต้องไม่ใช่ความเข้าใจระดับต้นแล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้น ฟังครั้งแรกมีความเข้าใจระดับนี้ ฟังต่อไปอีก ๑๐ ปีจะเพิ่มขึ้นไหม ไม่เหมือนตอนต้นแล้วใช่ไหม

    ดังนั้น ความต่างของปัญญามีตั้งแต่ขั้นฟัง รู้เลยว่าเป็นขั้นฟัง ยังไม่ถึงการรู้เฉพาะลักษณะของสิ่งหนึ่งซึ่งเกิดแล้วก็ดับ ต่างกันแล้วใช่ไหม แต่จะมีปัญญาระดับนั้นได้ต้องเมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ โดยไม่มีการที่มีใครไปทำให้เพิ่มขึ้นได้ แต่เป็นการที่สภาพธรรมนั้นมีปัจจัยจากการฟังแล้วไตร่ตรองแล้วเข้าใจขึ้นๆ ๆ ทั้งหมดที่ได้ฟังและเข้าใจ และคิดไตร่ตรองในสิ่งที่ฟัง เป็นปริยัติธรรม เป็นปริยัติศาสนา คำสอนที่ทำให้เกิดความเห็นถูกความเข้าใจถูก แต่ไม่ใช่ขั้นประจักษ์แจ้ง ยังไม่ถึงปฏิปัตติเลย เพราะฉะนั้น จะมีสำนักปฏิบัติได้ไหม ต้องตรง ถ้าไม่ตรงก็ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงได้เลย เพราะหลงผิด

    ในครั้งพุทธกาลไม่ได้มีแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียว มีครูอื่นๆ อีกที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั่วไปอย่างมาก คือ ๖ ท่าน ก็ไม่จำเป็นจะต้องไปสนใจเลยในความเห็นผิดทั้งหลาย แต่รู้ว่าผู้ที่มีการสะสมที่จะเข้าใจผิดเขาไปไหน ไม่ไปหาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แต่ไปไหน ไปหาคนอื่นที่มีชื่อเสียงที่เข้าใจว่าถูกต้อง ซึ่งเป็นธาตุทั้งหมดเลย ความไม่รู้กับความเห็นผิดก็ไปตามความไม่รู้ และความเห็นผิดซึ่งเกิดขึ้นและนำไป

    เพราะฉะนั้น คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องต่างกับคำของคนอื่น เพราะไม่ใช่ว่านำไปหยิบยื่นให้ใครได้ แต่ต้องไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นสมบัติของตนเอง แต่ก็ไม่ใช่ของเรา เป็นธรรม ต้องไม่ลืมว่าเพื่อละความเป็นเรา เพราะจริงๆ ไม่มีเรา

    ฟังเพื่อให้เข้าใจจนถึงความไม่มีเรา มั่นคง จึงจะเป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเกิดในระดับอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งต้องเกิดจากการฟังนั่นเอง เพราะฟังแล้วรู้ เพราะฉะนั้นเวลากระทบสัมผัส หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏก็รู้เฉพาะสิ่งนั้นทันทีว่า เป็นสิ่งนั้น ไม่เป็นสิ่งอื่น ด้วยความเข้าใจที่ฟังแล้วจึงสามารถรู้ว่า ขณะนั้นเป็นธรรมนั้น ลองคิดถึงสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ตั้งแต่เกิดมาก็ได้ ธรรมดาที่สุดเลย ลึกซึ้งแค่ไหน เห็นอะไร

    ผู้ฟัง เห็นการเปลี่ยนแปลง

    ท่านอาจารย์ อะไรเปลี่ยนแปลง

    ผู้ฟัง เห็นเมื่อสักครู่กับเห็นตอนนี้

    ท่านอาจารย์ เก่ง เห็นหรือเข้าใจ

    ผู้ฟัง เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เข้าใจขั้นต้น กับเห็นประจักษ์แจ้ง ต่างกัน

    ผู้ฟัง เข้าใจขั้นต้น

    ท่านอาจารย์ เราได้ยินชื่อคนๆ หนึ่งที่ไม่เคยรู้จักเลย แต่มีคนบอกเราว่าเขาหน้าตาอย่างนี้ๆ ๆ เราเริ่มจำ เมื่อเห็นเขาก็รู้ได้เพราะเคยรู้ว่าอย่างนี้คือคนนี้ แต่ถ้าไม่รู้ก็จะสับสนว่าคนนี้หรือเปล่า คนนั้นหรือเปล่า เพราะเราไม่รู้ว่ารูปร่างหน้าตาเขาเป็นอย่างไร ได้ยินแต่ชื่อ เวลานี้จิตก็เป็นจิต เจตสิกก็เป็นเจตสิก แต่ยังไม่รู้สักอย่าง แต่เริ่มฟังแล้วรู้ว่าจิตคืออย่างไร ต่างกับเจตสิกอย่างไร และเจตสิกแต่ละหนึ่งต่างกันอย่างไร ต้องเข้าใจก่อนใช่ไหม เมื่อเข้าใจแล้วเมื่อพบก็รู้จักเลยทันที

    เวลานี้สภาพธรรมมี ไม่ใช่ไม่มี แต่ความไม่เข้าใจปิดบังสนิท ไม่สามารถที่จะรู้ว่าอะไรเป็นจิต อะไรเป็นเจตสิก อะไรเป็นรูป ไม่เห็นการเกิดขึ้นและดับไป แต่รู้จากการฟังว่าถ้าไม่เกิดไม่มี และเกิดแล้วก็ต้องดับไปเร็วสุดที่จะประมาณได้จนไม่ปรากฏการเกิดดับ เพราะเป็นปัญญาระดับเพียงฟังจากผู้ที่ได้ตรัสรู้

    ถ้าไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะรู้ว่าขณะนี้สิ่งที่ปรากฏเกิดแล้วดับ ไม่มีใครรู้ใช่ไหม แต่สิ่งนี้เกิดและดับจริงๆ เพราะว่าในขณะที่เสียงปรากฏ สิ่งอื่นปรากฏไม่ได้ แต่เหมือนพร้อมกันใช่ไหม เห็นก็ไม่ปรากฏว่าดับ และก็มีเสียงเกิดแทรกคั่น ในขณะที่เสียงปรากฏต้องไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนั้น

    ค่อยๆ ฟังในความเป็นเหตุเป็นผล และจะรู้ว่าไม่รู้อะไรบ้าง ไม่รู้หมดเลย จนกว่าจะได้ฟังธรรมและเริ่มเข้าใจ จนกระทั่งรู้ว่านี่คือขั้นเข้าใจ ยังมีปัญญาที่สูงกว่านี้อีก แต่ต้องมาจากปัญญาขั้นนี้ ถ้าไม่มีปัญญาขั้นนี้ ปัญญาขั้นต่อไปมีไม่ได้เลย

    ปริยัติ คือความรอบรู้ในพระพุทธพจน์ แค่ฟังธรรมรู้ว่า ก่อนนั้นไม่รู้เลยว่าธรรมคืออะไร ไปฟังธรรมก็เข้าใจว่าฟังธรรม แต่ไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร แต่เมื่อรู้ว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริงทุกขณะนี้เลย นั่นคือการเริ่มต้นของการเข้าใจซึ่งต้องมั่นคง ไม่ว่าขณะไหนทั้งสิ้นสิ่งที่มีจริงเกิดแล้ว เป็นธรรมในอีกภาษาหนึ่ง หมายความถึงสิ่งที่มีจริง

    ต่อไปนี้ไม่มีความสงสัยเลย นี่คือเริ่มมั่นคง แต่ยังไม่ใช่ประจักษ์แจ้งในการเกิดดับของสภาพธรรมใช่ไหม แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้ อะไรเกิดดับไม่รู้เลย เพราะไม่เคยเข้าใจ ไปนั่งเฉยๆ และอะไรวูบวับเกิดดับขึ้นมาคืออะไร รู้ไหม ละความเป็นเราได้ไหม มีแต่ความสงสัยว่านั่นอะไร นั่นหรือปัญญา

    เพราะฉะนั้น ปัญญา คือความเข้าใจถูกความเห็นถูกในสิ่งที่ปรากฏ เมื่อไหร่ก็ได้ อะไรก็ได้ ถ้าเป็นปัญญาแล้วต้องรู้ โดยไม่เลือกสถานที่ ไม่เลือกกาลเวลา แต่ว่าตามปัจจัยว่า ถ้าเพียงฟังเข้าใจแค่นี้ ไม่มีทางที่จะไปประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม แต่ต้องมีความเข้าใจที่ละความไม่รู้มากขึ้นอีก คลายความติดข้องเสียก่อน จึงสามารถที่สภาพธรรมจะปรากฏได้ตามความเป็นจริง กับปัญญาซึ่งเจริญขึ้นแล้ว ไม่ใช่ไม่รู้อะไรเลย เป็นความต่างกันใช่ไหม

    ดังนั้น ปริยัติ คือการรอบรู้ในพระพุทธพจน์ มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ไม่หวังด้วยว่าจะเกิดปัญญาที่สามารถประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพนี้เมื่อไหร่ เพราะเป็นอนัตตา ทุกอย่างต้องสอดคล้องกันหมดเลย

    เพราะฉะนั้น สติ เป็นธรรมที่มี เกิดกับจิต ทำให้จิตนั้นระลึกเกิดขึ้นเป็นไปในทางที่ดี บุญกิริยาวัตถุ ที่ตั้งของการกระทำของจิตเจตสิกฝ่ายดี ไม่ใช่เราไปทำบุญ นั่งอยู่อย่างนี้เป็นบุญไหม ต้องไปทำหรือเปล่า เข้าใจเมื่อไหร่เป็นบุญไหม เป็น ดังนั้นไปทำบุญหรือ หรือว่าไม่รู้จักว่าบุญคืออะไร ถ้ารู้จักว่าบุญคืออะไร แล้วจะต้องมีตัวเราไปทำไหม แต่แม้ทำอะไรสิ่งที่ดีที่ไหน จะอยู่ที่บ้านหรือจะไปที่ไหนก็ตาม ตามท้องถนนบุญเกิดขึ้นได้ไหม ช่วยใครก็ได้ที่เขากำลังต้องการความช่วยเหลือ ช่วยพาข้ามถนนก็บุญแล้วใช่ไหม โดยที่เราไม่รู้ล่วงหน้าด้วยว่าจะเกิดอย่างนั้นเมื่อไหร่ และจะเกิดหรือไม่เกิด แล้วแต่จิตในขณะนั้น มีคนที่เขาบอกว่าเขาเห็นสุนัขอดอาหาร เขาอยากจะเอาอาหารไปให้ เตรียมไปเสร็จ รุ่งขึ้นไม่เจอสุนัขตัวนั้นเลย ไม่สามารถจะบังคับบัญชาได้ แต่แม้ขณะที่ไม่ให้เป็นบุญได้ไหม เมื่อมีความเข้าใจว่าไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่าบุญคืออะไรก่อน แล้วเราทำบุญหรือ หรือว่าบุญเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย โดยไม่เลือกสถานที่ ไม่เลือกกาลเวลา เพราะละความเป็นเรา บุญที่สุดคือรู้ความจริงว่า ไม่ใช่เรา ไม่มีเรา เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมต้องละเอียดมาก และต้องสอดคล้องกันด้วย

    สติคืออะไร เป็นธรรมแน่นอน เจตสิกแน่นอน ฝ่ายดีแน่นอน เดี๋ยวนี้มีไหม เข้าใจเมื่อไหร่ต้องมีสติเมื่อนั้น ขณะใดก็ตามที่เป็นธรรมฝ่ายดีเกิดขึ้นต้องมีเจตสิก ต้องมีสติเจตสิกขณะนั้น แต่เราไม่สามารถที่จะรู้ว่านี่คือสติเจตสิก นั่นคือศรัทธาเจตสิก นี่คืออโทสเจตสิก นี่คืออโลภเจตสิก เพราะเหตุว่าทั้งหมดเกิดพร้อมกันและดับพร้อมกัน

    พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ว่า กุศลจิตจะเกิดได้เพราะเจตสิกฝ่ายดีเกิดกับจิตในขณะนั้น ทำให้จิตนั้นเป็นไปในทางที่ดี ซึ่งอย่างน้อยที่สุดต้องมีเจตสิกฝ่ายดี โสภณเจตสิก ๑๙ ประเภท ใครรู้ ไม่ใช่เรา สติเป็นโสภณเจตสิก ปัญญาไม่ใช่สติ เป็นโสภณเจตสิก ซึ่งบางขณะที่เป็นกุศลไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยก็ได้ บางขณะก็มีปัญญาเกิดร่วมด้วย ถ้าจะเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ต้องสงสัยเลย มีปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นก็เป็นอย่างนั้น เป็นธรรมที่ทำให้ทุกคนมั่นคงขึ้นในการเป็นสาวก ผู้ฟังคำ

    ถ้าเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วแต่ว่าฟังคำของใครก็เป็นสาวกของคนนั้น เช่น สาวกของนิครนถ์นาฏบุตรในครั้งนั้น สาวกของครูคนใดคนหนึ่งก็ได้ไม่ว่าในครั้งไหน เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ว่าถ้าเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็รู้ว่าใครก็ไม่สามารถเปรียบกับพระองค์ได้เลย ไม่ว่าเป็นใคร เทวดาหรือพรหม คนที่ฉลาดที่สุดคิดทฤษฎีต่างๆ อธิบายให้คนเกือบจะทั่วโลกเชื่อ รู้ไหมว่าขณะนี้ธรรมเกิดดับ เขาไม่ได้กล่าวถึงคำนี้เลย เพราะไม่ได้ประจักษ์แจ้งแล้วจะกล่าวได้อย่างไร

    คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคำจริงถึงที่สุด และปัญญาของผู้ที่อบรมแล้วก็สามารถที่จะบรรลุความจริงนั้นถึงการดับกิเลสเป็นพระอรหันต์ได้ แต่เป็นสาวกคือผู้ฟัง เพราะฉะนั้น เราที่ฟังคำก็รู้ได้ว่าเราเป็นสาวกของใคร เราจะเป็นสาวกของนักวิทยาศาสตร์ เป็นสาวกของนักปรัชญา นักจิตวิทยา หรือว่าสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ถ้าเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือต้องศึกษา ต้องฟัง รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อไหร่ จึงจะรู้ว่าคำของใครไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าเรายังไม่ศึกษาพระธรรมเราก็ไม่รู้ เขาอ้างว่าพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้มีในพระไตรปิฎก สติก็มีในพระไตรปิฎก ปฏิปัตติก็มีในพระไตรปิฎก ปริยัติก็มีในพระไตรปิฎก แล้วคืออะไร ได้แต่พูด หรือว่าแสดงความจริงของคำนั้น ให้เข้าใจในความเป็นจริงที่ลึกซึ้งที่ไม่ใช่เรา ต้องสอดคล้องกันหมด

    ถ้าให้ไปสำนักปฏิบัติ อนัตตาหรือเปล่า แล้วจะรู้ความเป็นอนัตตาได้ไหม สาวกใคร ต้องเป็นผู้ตรง พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากว่าจะรู้ความจริงนี้ ต้องบำเพ็ญอบรมเจริญให้มากซึ่งบารมี ๑๐ เพราะทุกบารมีเป็นการขัดเกลาความติดข้องในความเป็นเรา ก่อนอื่น ถ้ายังคงเป็นเราอยู่ตราบใดไม่มีทางดับกิเลสได้เลย แต่เมื่อไม่ใช่เราแล้วก็เป็นธรรมฝ่ายดีกับฝ่ายไม่ดี ถ้าปัญญามีความเห็นที่ถูกต้อง ปัญญาจะทำสิ่งที่ไม่ดีหรือ เพราะฉะนั้น ปัญญานำไปในกุศลทั้งปวงเพิ่มขึ้นๆ ๆ จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงที่กำลังเกิดดับได้ เห็นไหมว่าถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้

    ผู้ที่ฟังพระธรรมเข้าใจแล้วกล่าวว่า ดุจหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลง จุดประทีปในที่มืด ทุกคำให้ได้เริ่มรู้ว่าขณะนี้ไม่มีเรา แต่มีจิต เจตสิก รูป ใครคิดถึงบ้าง นั่นคุณตฤณ ไหนจิต ไหนเจตสิก ไหนรูป เป็นคุณตฤนไปแล้ว เพราะฉะนั้น ถูกคว่ำ ปิดไว้ไม่ให้รู้ว่า แท้ที่จริงเดี๋ยวนี้จิต เจตสิกกำลังเกิดดับอย่างรวดเร็วสุดที่จะประมาณได้ จนไม่สามารถจะรู้ได้ เพราะกำลังติดข้องในสิ่งที่จิตรู้ตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้าไม่มีจิตอะไรก็ไม่ปรากฏ แต่เมื่อจิตเกิดรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดสิ่งนั้นปรากฏ สนใจแต่สิ่งที่จิตรู้ ลืมว่าไม่ใช่เราเห็น จิตเห็นเกิดขึ้นและดับไป ไม่ใช่เราได้ยิน ขณะนี้จิตพร้อมเจตสิกเกิดขึ้นรู้เสียงและดับไป เห็นไหมว่าถูกปกปิดไว้สนิท แน่นมากเลย มีกำลังพอที่จะเปิดออกให้เห็นความจริงหรือยัง ไม่ใช่ไปสำนักปฏิบัติ

    ดังนั้นจึงกล่าวได้เลยว่า สำนักปฏิบัติทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถูกไหม จริงไหม พระธรรมยิ่งเปิดเผยยิ่งรุ่งเรือง เพื่อให้คนได้เข้าใจถูก คนที่เห็นผิดจะได้รู้ว่าความจริงคืออย่างไร ที่ถูกคืออย่างไร เป็นประโยชน์สำหรับเขาไหมที่จะไม่ไปหาความเห็นอื่น อาจารย์อื่น ในสมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังทรงแสดงพระธรรมก็เหมือนกันเลยกับเดี๋ยวนี้ ฟังพระธรรมเมื่อไหร่คือเข้าใกล้คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อนั้น ไม่ไปสู่คำอื่น เพราะฉะนั้น ที่พระวิหารเชตวัน มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสคำที่เรากำลังได้ฟัง ขณะใดก็ตามที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกับกำลังเข้าใกล้พระองค์ ไม่ไปสู่ที่อื่น เพื่อที่จะได้ฟังและเข้าใจคำของพระองค์ ก็จะเห็นได้ว่า ถ้าไม่สะสมความเห็นถูก ความเข้าใจในพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วชาติต่อไปเราก็ไปสู่คนอื่น

    เพราะฉะนั้น ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อไหร่ เหมือนเข้าไปสู่ที่ประทับที่ได้ตรัส พระวิหารเชตวันบ้าง พระวิหารเวฬุวันบ้าง ที่ไหนก็ตามที่มีเสียงของพระองค์ ซึ่งแต่ละคำก็คือเสียงที่ตรัสจากพระโอษฐ์ไว้แล้ว และจารึกสืบต่อมา ฟังแต่ละคำ จึงเหมือนกับเข้าไปสู่ที่ประทับที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว ถ้าไปสู่สำนักอื่นก็อันตรายเพราะสำนักอื่นไม่ได้ตรัสรู้ ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะสอนตามความคิดเห็นของตนเอง

    ถ้าจะศึกษาธรรมก็คือไม่ประมาท ก่อนที่จะทรงดับขันธปรินิพพาน ปัจฉิมวาจาคำสุดท้าย จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ให้ถึงพร้อมหมายความว่า ฟัง ก็ต้องไม่ประมาทในความลึกซึ้งของพระธรรม เพราะถ้าประมาทก็ไม่เข้าใจทันที แค่บอกว่าร่างกายไม่ใช่เรา นั่นหรือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครก็พูดได้ ไม่เห็นแปลกเลยได้ยินมาตั้งนาน แต่ว่าคำของพระองค์ต้องไม่เหมือนใคร ต้องเป็นคำที่คนอื่นกล่าวไม่ได้เพราะเขาไม่ได้ตรัสรู้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้

    เพราะฉะนั้น คำของพระองค์แค่ฟังเข้าใจนิดเดียวไม่พอ ต้องเข้าใจอีกๆ จนถึงที่สุดของคำนั้นว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏ สิ่งนั้นต้องเกิดจึงปรากฏแล้วก็ดับไป พิสูจน์ได้เมื่อปัญญาเจริญแล้วความจริงต้องปรากฏ แต่เวลานี้ความไม่รู้ทึบมาก เพียงแต่ได้ยินและก็เข้าใจว่า นี่คือการตรัสรู้ที่ใครก็สามารถรู้ตามได้ด้วยปัญญาที่เข้าใจขึ้น แต่ไม่ใช่ไปทำอะไรเลย ซึ่งไม่เป็นเหตุให้เข้าใจธรรม

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 181
    12 ส.ค. 2568