ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1073
ตอนที่ ๑๐๗๓
สนทนาธรรม ที่ บริษัทเชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด
วันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ สภาพที่ไม่ใช่จิต แต่เกิดกับจิตแยกขาดจากกันไม่ได้เลย จะใช้คำว่าอยู่ในจิตก็ได้ นั่นคือ เจตสิก ซึ่งกลืนผสมกันสนิทเพราะว่าเป็นนามธาตุ ถ้าเอาแม่น้ำ ๕ สาย ๗ สาย กี่สายก็ได้มารวมกัน แยกออกไหมว่ามาจากไหน ไม่มีทางเลย นั่นเป็นรูปธรรมที่เป็นน้ำ เเล้วนี่เป็นนามธรรมพ้นจากรูปใดๆ ทั้งปวง แต่มีจริง แล้วไปจงกรมแล้วจะรู้อะไร คนที่ไปปฏิบัติ นั่ง นอน ยืน จงกรม จะรู้ไหม ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย
เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่มีโอกาสได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น จึงจะรู้ว่าคำอื่นไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นมรดกไหม จะรับไหม ไม่มีใครไปบังคับให้ใครรับได้เลย ขึ้นอยู่กับบุคคลนั้นเองที่จะเห็นว่ามีค่าประเสริฐที่สุดในชีวิต เพราะว่าจากโลกนี้ไปแล้วก็ไม่มีอะไรที่จะติดตามไปได้เลย แม้ร่างกายที่เข้าใจว่าเป็นเรา หรือของเรา ตามไปด้วยหรือเปล่า ไม่มีอะไรไปด้วย จิตในขณะนี้เกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาเลย ไม่มีสักขณะเดียวที่จะติดตามไปไหนได้เลยทั้งสิ้น
การฟังพระธรรมอย่างนี้เริ่มรู้ว่า กิเลสมีเพราะไม่รู้จึงยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง โดยเฉพาะ เรา มีไหม ถ้ามีก็คือ ความเห็นผิดว่ามีเราคือ อัตตา แต่อนัตตาคือไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้นคือ อนัตตา ไม่ใช่อัตตา แต่ถ้าเป็นอัตตาก็คือ เรา ของเรา ตาใคร ตาเรา หูใคร หูเรา เสียงใคร เสียงเรา เราหมดเลย อยู่ไหน ไม่เหลือเลย หายไปหมดแล้วจะว่าเป็นเราได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น กิเลสทั้งหลายมาจากการไม่รู้ความจริงก็ทำให้มีความติดข้องแสวงหา ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ละเอียดมาก เพียงแค่มีสิ่งที่กระทบปรากฏให้รู้ว่ามี พอใจที่จะเห็น พอใจที่จะได้ยินไหม มี ๒ อย่าง พอใจก็จริง เป็นธรรมไม่ใช่เรา ไม่พอใจก็เป็นธรรม ไม่ใช่เรา หมดแล้ว
ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้จริงๆ ก็จะรู้ว่า มีหนทางเดียวซึ่งเป็นที่พึ่งคือปัญญาของตนเอง แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่สามารถที่จะดลบันดาลให้ใครหมดกิเลสได้ แต่ทุกคำของพระองค์แสดงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีโดยนัยประการต่างๆ ที่จะให้สามารถเห็นความไม่ใช่เรายิ่งขึ้นๆ ๆ ยังไม่ถึงปฏิปัตติเลย ต้องมีปัญญาขั้นต้นคือ ขั้นฟัง ซึ่งใช้คำว่า ปริยัติ
ด้วยเหตุนี้ เทศนา หรือความจริงตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพุทธศาสนา จึงมี ๓ ระดับคือ ปริยัติศาสนา คำสอนที่จะให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีในระดับขั้นที่เข้าใจ เเล้วเข้าใจหรือยัง เข้าใจจริงๆ หรือเปล่า เข้าใจมั่นคงไหมว่า ทำอะไรไม่ได้ บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะไม่มีเรา แต่มีธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยทั้งนั้น แม้แต่ความคิดของแต่ละคน เดี๋ยวนี้เองต่างคนต่างคิดตามที่ได้สะสมมา เปลี่ยนไม่ได้เลย
ด้วยเหตุนี้ ในครั้งพุทธกาลคำอย่างนี้ อย่างนี้เลย ผู้ฟังที่ได้สะสมมาแล้วเป็นพระโสดาบันก็มี เป็นพระอรหันต์ก็มี ไม่เป็นอะไรเลยก็มี จนไม่เข้าใจเลยก็มี เพราะฉะนั้นก็ต้องตามเหตุตามปัจจัย ถ้าไม่เคยเข้าใจเลยแล้วจะไปพูดคำว่าอายตนะบ้าง อะไรบ้าง โดยไม่รู้เลยว่าคืออะไรก็เป็นความไม่รู้ แต่เข้าใจว่ารู้ ผิดไหม ความเข้าใจผิด
ด้วยเหตุนี้ ความเป็นผู้ตรงเท่านั้นที่จะทำให้รู้ว่า ปัญญาแค่เพียงฟังคำไม่กี่คำยังไม่ทั่วถึงเลย แต่พระธรรมที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษา สามารถที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่ได้ฟังมาแล้ว เมื่อมีปัญญาอีกระดับหนึ่งเกิดขึ้น คือปฏิปัตติ ซึ่งต้องเกิดพร้อมสติสัมปชัญญะ
เดี๋ยวนี้ฟังคำว่า สติ รู้จักสติไหม ถ้าไม่เข้าใจคือผิด แต่ถ้าเข้าใจคือถูก ใช่ไหม เพราะฉะนั้น แม้แต่แต่ละคำก็ขาดไม่ได้เลย แต่ให้เห็นความลึกซึ้งว่า มรดกก็คือ ปัญญาที่แต่ละคนได้รับจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ฟัง ได้ยินว่าต้องเกิดจากความเข้าใจ แต่ว่าอย่างเราก็ยังไม่ถึงขั้นประจักษ์ แล้วในประเทศไทยก็มีหลายอาจารย์ที่เข้าใจว่า เขาก็กล่าวคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยที่เราเองก็ยังไม่ได้ประจักษ์แจ้ง แล้วคำสอนเหล่านั้นดูเหมือนมีเหตุผลเหมือนกัน แล้วเราจะแยกได้อย่างไรว่า คำไหนเป็นคำของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านอาจารย์ ขอทราบคำที่ว่า ดูเหมือนมีเหตุผล
ผู้ฟัง หลายสำนักปฏิบัติก็กล่าวว่า ต้องทำสมาธิ
ท่านอาจารย์ ถ้ามีใครบอกว่า ต้องทำสมาธิ เป็นคำของเขาใช่ไหม ต้องทำสมาธิ เป็นคำของใคร
ผู้ฟัง ในพระไตรปิฎกก็มีว่ามีการทำสมาธิ
ท่านอาจารย์ ในพระไตรปิฎกมีคำว่าสมาธิ เพื่อให้คนเข้าใจว่าสมาธิคืออะไร ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนุเคราะห์ให้คนที่ไม่เข้าใจอะไรเลยได้เกิดความรู้ ภาษาบาลีไม่มีคำว่า ความรู้ แต่มีคำว่า สัมมาทิฏฐิ ความเห็นที่ถูกต้อง หรือปัญญา ความเข้าใจถูก ความรู้ถูก จะใช้คำหนึ่งคำใดก็ได้ เพราะฉะนั้น ให้เราเข้าใจ หรือว่าให้เราทำ
คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด แม้แต่คำเดียวคำว่า ธรรม ให้เราเข้าใจถูกต้อง หรือให้เราทำ เพราะฉะนั้น รู้จักสมาธิหรือยัง
คำว่า สมาธิ ในพระไตรปิฎก สำหรับให้เข้าใจ หรือสำหรับให้ทำ เพราะธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ทุกคำต้องยืนยันมั่นคงเปลี่ยนไม่ได้ จึงจะเป็นผู้ที่สามารถมีกำลังพอที่จะรับมรดก มรดกนี้ต้องหนักมาก มีค่ามหาศาล ถ้าไม่มีความมั่นคง ไม่มีความจริงใจ ไม่มีการไตร่ตรองให้เข้าใจก็รับไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ แต่ละคำสำหรับให้เกิดความเข้าใจของผู้ฟัง การฟังธรรมเพื่ออะไร ที่ฟังอะไรทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นวิชาการใดๆ ทั้งสิ้น ฟังเพื่ออะไร เพื่อเข้าใจใช่ไหม
เพราะฉะนั้น คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจถูก ซึ่งเป็นมรดกที่จะให้เขา คือปัญญาซึ่งซื้อหาไม่ได้ ไม่มีเงินใดๆ มีค่ามหาศาลสักเท่าไหร่ก็ไม่สามารถที่จะซื้อหาปัญญาได้ จึงเป็นสิ่งที่ล้ำค่าเกินค่าใดๆ ทั้งสิ้น ต้องเป็นความเข้าใจของคนนั้นเอง เพราะปัญญาคือความเห็นถูก จากการฟัง ได้ยินได้ฟังแล้วไตร่ตรองก่อน ฟังแล้วเชื่อเลยจะถูกไหม ใครพูดอะไรก็เชื่อหมด แต่ฟังแล้วไตร่ตรองว่าจริงหรือเปล่า เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้ว่าสมาธิคืออะไร ใครทำสมาธิถึงรู้ว่าสมาธิคืออะไร
สมาธิเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ใครไปทำสมาธิ แล้วถ้าไม่มีเหตุปัจจัยที่จะให้สมาธิระดับใดเกิด สมาธิระดับนั้นเกิดได้ไหม เพราะเดี๋ยวนี้เองก็มีสมาธิ ระดับไหน หลากหลายมาก เพราะไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วสมาธิไม่ใช่รูปธรรม ไม่แข็งไม่อ่อน ไม่เย็นไม่ร้อน
สภาพรู้ทั้งหมดเป็นนามธรรม ได้ยินคำว่าสมาธิ ต้องกลับมาหาก่อนว่า เป็นธรรมหรือเปล่า เป็น เป็นนามธรรม หรือรูปธรรม นี่คือการที่จะให้เป็นผู้ที่มั่นคงในความเข้าใจว่าความลึกซึ้งของธรรมมากมาย หลงผิดง่ายมาก แต่ว่าคำจริงซึ่งเป็นความจริงใดๆ ไม่เปลี่ยน คำนั้นต้องมั่นคงเปลี่ยนไม่ได้
เพราะฉะนั้น สมาธิเป็นธรรม หรือไม่ใช่ธรรม เป็นธรรม เป็นเราหรือเปล่า เป็นอนัตตา ใครบังคับสมาธิได้ ใครทำสมาธิได้ ถ้าทำสมาธิได้ก็ทำเห็นได้ใช่ไหม แล้วทำเห็นได้หรือเปล่า ทำเห็นไม่ได้แล้วจะทำสมาธิได้ไหม ไม่ได้ ดังนั้น สมาธิก็ต้องเกิดเพราะเหตุปัจจัย แต่ก่อนอื่น ต้องรู้ว่าสมาธิคืออะไร ทั้งหมดนี้อยู่ในพระไตรปิฎก คำว่าสมาธิก็มี แต่ไม่ใช่ให้คนที่ไม่รู้อะไรเลยอ่านพระไตรปิฎกเเล้วทำสมาธิกัน เหมือนกับรู้แล้วว่าสมาธิคืออะไร แต่หารู้ไม่ว่าสมาธิคืออะไร ต้องไม่ใช่เรา เป็นธรรมชนิดหนึ่งซึ่งไม่ใช่รูปธรรม แต่เป็นนามธรรม
นามธรรมมีหลากหลายมาก แต่ละหนึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นมากสักแค่ไหน แต่แม้กระนั้นก็สามารถประมวลทุกสิ่งทุกอย่างเป็นประเภทๆ เช่น นามธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ เช่น เห็นเป็นจิต ได้ยินเป็นจิต คิดเป็นจิต เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ ลองหลับตาแล้วก็มีคนบอกว่า มีคนนั่งอยู่ที่นี่แถวหน้ากี่คน แถวหลังกี่คน คนหนึ่งใส่เสื้อสีอะไร ทำอะไร หลับตาแล้วฟังก็ไม่เหมือนเห็น ใช่ไหม
เมื่อลืมตาขึ้นมาไม่ต้องมีใครบอกว่าอะไร แต่เห็นเกิดขึ้นเห็น เห็นเป็นธรรมชนิดหนึ่ง แล้วรู้ไหมว่า ขณะนี้ที่เหมือนเห็นมีอยู่ตลอดเวลา แต่ความจริงชอบไหม ได้ยินไหม คิดไหม แทรกอยู่ ซึ่งไม่ใช่เห็น เพราะฉะนั้น เห็น ท่ามกลางธรรมอื่นๆ ซึ่งเกิดดับสลับกันอยู่ตลอดเวลา
ด้วยเหตุนี้ เห็นเกิดขึ้น ไม่ใช่เรา แล้วดับไป แล้วถ้าศึกษาโดยละเอียดในบรรดาสภาพนามธรรมซึ่งเป็นจิตแต่ละขณะเกิดดับอย่างเร็วสุดที่จะประมาณได้ เห็นหนึ่งขณะ คิดดู นามธรรมเร็วมากนับประมาณไม่ได้ กว่าจะเป็นดอกไม้สักหนึ่งดอกต้องเห็นทีละหนึ่งๆ กว่าจะรวมเป็นดอกไม้ และดอกไม้ตั้งกี่ดอก คนตั้งกี่คนในห้องนี้ ดังนั้น จิตเกิดดับประมาณได้ไหมว่าเท่าไหร่
เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงใช้คำว่า นิมิต หมายความถึงสิ่งที่ปรากฏ เป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ ทำให้เกิดการจำ และคิดว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร ห่างไกลกันมากเลยกับเห็น นี่คือพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจะไปจงกรม ไปนั่งนอนยืนเดินที่สำนักปฏิบัติ แล้วจะรู้อะไร
ต้องเป็นคนที่ตรงถึงจะรู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร ความจริงเป็นใคร ปัญญาจะเกิดได้จากการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเป็นคำของคนอื่นไม่มีทางเลยที่จะรู้ความจริงอย่างนี้ได้ แค่นี้เป็นเพียงปริยัติหนึ่งคำในบรรดาคำทั้งหลายซึ่งมีอีกมากกว่าจะถึงปฏิปัตติ เพราะฉะนั้น ปัญญาต้องเกิดตามลำดับ นี่ ก ไก่หรือยัง หรือเพียงแค่จุดหนึ่งของที่จะเป็น ก ไก่ แล้วก็ ข ไข่ ฃ ขวด ไปอีกตั้งเท่าไหร่ นามธรรมรูปธรรมทั้งนั้น แล้วจะไปปฏิบัติได้อย่างไร นอกจากหลงไม่รู้ว่าปฏิบัติคืออะไร แต่ปริยัติไม่ใช่ปฏิปัตติ ไม่ใช่ปฏิเวธ
คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนคนจากที่ไม่รู้ไม่เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น ให้ถึงความรู้แจ้งสภาพธรรมตรงตามที่ได้ฟัง คิดดูว่า ปัญญาต้องอบรมเจริญอย่างไร ขนาดไหน จากขั้นฟังยังไม่ทั่วเลย ปฏิบัติได้ไหม ไม่มีทาง เพราะใครปฏิบัติ ไม่ใช่เรา แต่เป็นปัญญาที่อบรมแล้วเจริญแล้วตามลำดับขั้นที่จะรู้ความจริง
ปฏิปัตติ กิจของมรรคมีองค์ ๘ แค่ได้ยินชื่อมรรคมีองค์ ๘ คืออะไร พรรณนาไป เรียกชื่อไป บอกไป เเต่รู้อะไร ไม่รู้เลยว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่งต่างกันอย่างไร เพราะแม้จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง จะเกิดได้ก็เพราะอาศัยธรรมซึ่งเป็นธาตุรู้ ซึ่งไม่ใช่จิต แต่เกิดพร้อมกันดับพร้อมกัน ต่างทำหน้าที่ของตนๆ
จิตจะโกรธได้ไหม ไม่ได้ เพราะถ้าจิตโกรธก็ต้องเป็นโกรธตลอดเวลา เพราะจิตเกิดตลอดเวลา แต่โกรธเป็นสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นนามธรรม เกิดกับจิตเท่านั้น เกิดในจิตด้วยแยกกันไม่ออกเลย เกิดพร้อมกันแล้วก็ดับพร้อมกัน จิตเป็นธาตุรู้ก็ต้องรู้สิ่งเดียวกัน แต่ในฐานะที่เป็นหนึ่งแต่ละหนึ่ง ต่างคนต่างทำกิจ
เพราะฉะนั้น เจตสิกใดจะทำกิจของจิตได้ไหม นี่คือความละเอียด เกิดพร้อมกันก็จริง ดับพร้อมกันก็จริง รู้สิ่งเดียวกันก็จริง แต่ต่างฐานะ โดยจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งเท่านั้นเอง แต่เจตสิกอื่นซึ่งเกิดกับจิต อย่างน้อยที่สุดที่จิตจะเกิดได้ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗ ประเภท รู้เจตสิกอะไรบ้างที่เกิดกับจิตในขณะที่เห็น มีชื่อสำหรับผู้ที่เคยฟังเคยได้ยินมาแล้ว แต่ขั้นฟังไม่มีทางรู้ตัวจริงเลย เหมือนสิ่งที่อยู่ใต้มหาสมุทรแล้วเราก็ไม่เคยรู้เลยว่ามีอะไรบ้าง
แต่ปริยัติ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าส่องให้เห็นว่า มี สิ่งนั้นเป็นอย่างนี้ แต่ยังไม่ถึงเลยสักอย่าง เพียงแต่ได้ฟังว่า มี จิตเป็นอย่างนี้ เจตสิกเป็นอย่างนั้น รูปเป็นอย่างนี้ แต่ยังไม่ถึงภาวะที่เป็นจริงซึ่งไม่ใช่เรา ยากไหม
ใครบอกว่าพระพุทธศาสนาง่าย ถูกไหม พระพุทธศาสนาไม่ต้องฟังก็ได้ปฏิบัติเลย ถูกไหม เพราะฉะนั้น มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง ต้องไม่ลืม
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ไม่ฟังคำของคนอื่น
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ก็คือ มีพระธรรม ความเข้าใจถูกต้องเป็นที่พึ่ง
เพราะว่าถ้าไม่มีธรรมที่ได้ฟัง อย่างไรๆ ก็เข้าใจสิ่งที่มีไม่ได้ และในบรรดาธรรมทั้งหลาย อกุศลธรรมเป็นที่พึ่งได้ไหม ไม่ได้ ต้องเป็นธรรมซึ่งเป็นเจตสิก ซึ่งใช้คำว่าโพธิปักขิยธรรม หมายความว่า มีเจตสิกประเภทที่จะนำไปสู่การรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งไม่ใช่อกุศลเจตสิก
ทั้งหมดคือเดี๋ยวนี้ ใต้มหาสมุทรไหม พูดชื่อเรียกชื่อ กำลังบอกว่ามีอะไรบ้าง แต่สิ่งนั้นยังไม่ได้ปรากฏ ต้องเป็นปัญญาอีกระดับหนึ่งซึ่งใช้คำว่า ปฏิปัตติ คนไทยใช้คำว่าปฏิบัติ มาจากคำว่า ปฏิกับปัตติ ปฏิแปลว่า เฉพาะ ปัตติแปลว่า ถึง หมายความว่า ถึงเฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏทีละหนึ่ง ด้วยความเข้าใจตามที่ได้ฟังแล้ว ถ้าไม่เคยได้ฟังเลยจะไปตามที่ได้ฟังแล้วได้อย่างไร ร่างกายไม่เที่ยง พูดไปแล้วอย่างไร ร่างกายคืออะไร เป็นธรรมอะไรก็ไม่รู้เลยทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น มรดกนี้จะรับไหม ใครก็บังคับใครไม่ได้ใช่ไหม สิ่งที่มีค่า ไก่นกปูปลาเห็นค่าไหม ให้ไปจะรับไหม ไม่รับ เพราะอยากได้หนอนบ้างอะไรบ้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาพอใจและต้องการ เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีปัญญาที่รู้ว่าตั้งแต่เกิดจนตาย เกิดมาทุกสิ่งทุกอย่างก็หมดไปๆ ทุกวันๆ ๆ ๆ ไม่เหลือเลยสักอย่างเดียว ตายเมื่อไหร่เมื่อนั้นรู้ว่าไม่มีอะไรเหลือ ไปรู้ตอนนั้น แต่ระหว่างที่มีไม่รู้เลยว่าแต่ละหนึ่งก็ไม่เหลือ เห็นเมื่อวานนี้ก็ไม่เหลือ เห็นเมื่อครู่นี้ก็ไม่เหลือ ได้ยินเมื่อครู่นี้ก็หมดแล้ว แต่เร็วจนไม่สามารถที่จะรู้ได้ จนกว่าจะมีผู้ที่ทรงตรัสรู้
ถ้าไม่รู้ตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกชาติก็เป็นอย่างนี้ ไม่สิ้นสุดไม่มีวันจบ นานมาแล้วด้วยก็ไม่รู้อย่างนี้ จนกว่าจะได้ฟังคำที่ทำให้มีความเข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นประโยชน์ว่า อย่างไรก็ต้องตายแน่ๆ ตายเมื่อไหร่ทราบไหม เดี๋ยวก็ตายได้ใช่ไหม เร็วอย่างนั้น แล้วถ้าตายไปโดยไม่เข้าใจเลย สิ่งที่ไม่มีเลย เพียงแค่มีเมื่อเกิดแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่มีอะไรเหลือเลย แล้วก็ไม่รู้ความจริง ความไม่รู้ก็ติดตามไปอีก เพราะมีเหตุที่จะให้ธรรมเกิด ธรรมจึงเกิดได้ ที่เกิดมาไม่ใช่แค่ชาตินี้ชาติเดียว เพราะว่าเกิดมาต่างกัน และความต่างมาจากไหน ถ้าไม่มีการสะสมความต่างมาทุกๆ ขณะ เวลานี้ก็กำลังต่างๆ กันไป สำหรับขณะต่อไปซึ่งต่างๆ กันไปอีก ไม่รู้จบสิ้น
ถ้าไม่รู้อย่างนี้ เกิดมาแล้วก็ไม่รู้แล้วก็ตายไป มีประโยชน์ไหม เพราะไม่มีอะไรต่างหาก หลงเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดแล้วดับยังมีอยู่จึงได้ติดข้อง เพราะฉะนั้นไม่รู้ระดับไหน ไม่สามารถที่จะรู้ได้ จนกว่าจะได้ฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงจะรู้ได้ว่าระดับไหน ซึ่งแต่ละคำที่ได้ยินและที่ปรากฏในพระไตรปิฎกไม่ใช่สำหรับอ่าน แต่สำหรับศึกษาพิจารณาไตร่ตรอง ด้วยความเคารพอย่างยิ่งที่จะไม่เข้าใจผิด เพราะว่าความเข้าใจผิดทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด และทำลายประเทศชาติด้วย เต็มไปด้วยอกุศลแล้วจะดีได้อย่างไร
ไม่มีเรา แต่มีธรรมที่เป็นกุศล และธรรมที่เป็นอกุศล
ความไม่รู้เป็นอกุศลนำมาซึ่งความโลภ ความโกรธ ความริษยา ความสำคัญตน ทุกอย่างทั้งหมดที่จะทำลาย เพราะเหตุว่าไม่ได้นำสิ่งที่เป็นประโยชน์มาให้เลย ทำลายอะไรก่อน ลองคิดได้แล้ว เมื่อฟังธรรมก็เป็นผู้ที่เริ่มไตร่ตรองแล้วเริ่มพิจารณา และการพิจารณานั้นคนอื่นพิจารณาแทนไม่ได้ ต้องเป็นคนที่ได้ฟัง ถ้าแค่ฟังเฉยๆ จะได้ประโยชน์ไหม แต่ฟังแล้วไตร่ตรอง ความเข้าใจเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ความเข้าใจนั่นเองละความไม่รู้ ละความติดข้อง ละธรรมฝ่ายที่ไม่ดี
เพราะฉะนั้น กิเลสทั้งหลายเกิดขึ้นทำลายอะไรก่อน ทำลายจิต เพราะกิเลสเกิดกับจิต จิตเศร้าหมองถูกทำลายไปเรื่อยๆ ก็เป็นจิตประเภทที่ทำร้าย คิดว่าทำร้ายคนอื่น หารู้ไม่ว่าก่อนทำร้ายคนอื่นทำร้ายตนเองแล้ว ถ้าเข้าใจอย่างนี้จะดีขึ้นไหม ไม่ทำร้ายใครแล้ว เพราะรู้ว่าทำร้ายเกิดขึ้นจากจิตของเราเลวต่างหากไม่ใช่จิตคนอื่น จิตที่เข้าใจว่าจิตของเรานี้เองเป็นจิตเลว จึงสามารถทำสิ่งที่เลวได้
เพราะฉะนั้นโลกจะสงบขึ้นไหมถ้าทุกคนเป็นคนดีเพิ่มขึ้น ประเทศชาติจะมั่นคงขึ้นไหม ถ้ามีแต่ท้องนาทุ่งนาจะเป็นชาติไทย ประเทศไทยได้ไหม ก็เป็นแค่พื้นดินที่กำหนดเขตไว้ แต่ที่เรียกว่าเป็นประเทศชาติก็เพราะว่ามีคนไทย มีสิ่งที่มีชีวิตใช่ไหม ดีเลวก็ต้องเพราะแต่ละคน และก็ไม่หวังคนอื่นด้วย เพราะฉะนั้น ที่บอกว่า ผู้ใหญ่อยากให้เด็กฟังธรรม จะให้เด็กดีหรือ แล้วตัวผู้ใหญ่เองคืออย่างไร ก็ลืม ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เป็นเหตุเป็นผล เพราะฉะนั้น ไม่สามารถที่จะแก้ไขอะไรด้วยความไม่รู้ แต่ไม่ว่าปัญหาใดๆ ทั้งสิ้นแก้ได้ด้วยความรู้
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1021
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1022
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1023
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1024
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1025
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1026
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1027
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1028
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1029
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1030
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1031
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1032
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1033
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1034
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1035
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1036
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1037
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1038
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1039
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1040
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1041
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1042
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1043
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1044
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1045
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1046
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1047
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1048
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1049
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1050
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1051
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1052
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1053
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1054
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1055
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1056
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1057
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1058
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1059
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1060
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1061
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1062
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1063
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1064
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1065
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1066
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1067
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1068
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1069
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1070
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1071
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1072
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1073
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1074
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1075
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1076
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1077
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1078
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1079
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1080
