ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1036


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๑๐๓๖

    สนทนาธรรม ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร

    วันที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ ยังมีอีกมาก นี่แค่ไม่กี่คำ คือแค่ธรรม ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ซึ่งเป็นพื้นฐานเส้นทางนี้ตลอด เพราะเป็นธรรมตลอด และเป็นอนัตตาตลอด เพราะฉะนั้นจะมีตัวตนเข้าไปแทรกแซงให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ นั่นคือผิด ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคนได้ทราบพุทธประวัติ เมื่อทรงตรัสรู้ไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดง บำเพ็ญพระบารมีมานานเท่าไหร่ เป็นพระโพธิสัตว์ตรัสรู้แล้ว ไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดงความจริงที่ได้ทรงตรัสรู้ เพราะเป็นสิ่งที่สัตว์โลกรู้ยาก แต่ว่ารู้ได้ จึงทรงแสดงธรรม สำหรับผู้ที่จะเข้าใจได้ด้วยความอดทน ที่รู้ว่ายากแต่รู้ได้ นั่นก็คือขันติบารมี มากน้อยเท่าไหร่ ไม่รู้เท่าไหร่ สะสมมาแล้วเท่าไหร่ แต่สามารถที่จะเริ่มสะสมเข้าใจได้ถูกต้อง ขณะนั้นก็เป็น ขันติบารมี วิริยบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี เนกขัมมบารมี บารมีทั้งหลายทั้งนั้นเลย แม้แต่ในหนึ่งขณะก็ค่อยๆ เป็นสังขารขันธ์ ที่เราได้ยินบ่อยๆ สังขารหมายความว่าสิ่งที่อาศัยปรุงแต่งเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว ต้องมีเครื่องปรุง มีสิ่งที่อาศัยกันเกิดขึ้น

    แกงสักหม้อหนึ่ง เอาแกงเผ็ด มีเครื่องเยอะใช่ไหม พริก กะปิ หอม กระเทียม ข่า ตะไคร้ เกลือ ก็แล้วแต่ประเภทของอาหารนั้นๆ ตำจนละเอียดยิบ โขลกจนเป็นเนื้อเดียว แยกออกมา เพราะฉะนั้นหนึ่งขณะจิตนั้นคืออย่างนั้น มีสภาพธรรมที่อาศัยปรุงแต่งในขณะนั้นเอง ซึ่งถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้เลย นี่คือพระคุณซึ่งไม่มีบุคคลใดเปรียบได้เลย แม้เทวดา พรหมก็ยังต้องมาเฝ้า แล้วก็กราบทูลถามเรื่องอะไร เรื่องชีวิตประจำวันอย่างนี้ แต่เป็นธรรมทั้งหมดที่ลึกซึ้ง ที่จะส่องไปถึงความจริงของธรรมนั้นๆ ว่าไม่มี เพียงแค่เกิดขึ้นปรากฏ แล้วก็หมดไป เพราะฉะนั้นทีละคำแต่มั่นคงว่า ฟังธรรมคือต้องฟังสิ่งที่มีตามคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดง เพื่อให้มีความเข้าใจจริงๆ นี่เป็นมรดกล้ำค่า เงินทองซื้อไม่ได้ จะเกิดตายอีกสักเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่ได้ฟังคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ ผู้นั้นก็เหมือนคนยากจน เพราะเหตุว่าอยู่ในความมืดเต็มไปด้วยสิ่งที่หลงว่ายั่งยืน เป็นสุขเหลือเกิน แต่ชั่วคราวเพราะไม่เหลือเลยสักอย่างเดียว

    ผู้ฟัง เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์ก็บอกว่าทุกอย่างเกิดดับ แล้วก็สะสมไว้ในจิต แล้วอะไรที่สะสมไว้ในจิต

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่เคยเกิดแล้วดับไป กาแฟดื่มหมดถ้วยมีคราบเหลือไหม ดื่ม ดื่มคราบกาแฟ ใครจะดื่มคราบกาแฟบ้าง แต่สิ่งที่ยังเหลือต้องมี ในฐานะที่เมื่อเกิดแล้วก็เหมือนคราบหรือสิ่งที่อยู่ในจิตอย่างละเอียดที่ได้เกิดแล้ว สะสมสืบต่อในจิตขณะต่อไป ใครก็เอาออกไม่ได้ เพราะฉะนั้นกิเลสหรือความไม่รู้มีหลายระดับ อย่างที่ไม่รู้เลยจริงๆ ขณะที่นอนหลับสนิท โลกไม่ปรากฏ ชื่ออะไรก็ไม่รู้ อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ พ่อแม่พี่น้องเป็นใครก็ไม่รู้ ขณะนั้นกิเลสที่ได้เคยเกิดแล้วในสังสารวัฏไม่ได้หายไปเลย อยู่ในจิตซึ่งกำลังเกิดดับสืบต่อ แม้ในขณะที่หลับสนิทก็มีธาตุรู้ ซึ่งดำรงภพชาติจนกว่าจะถึงขณะสุดท้าย ที่กรรมทำให้สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ แม้ขณะจิตเดียวก็ขอไม่ได้ซื้อไม่ได้ ถึงเวลาที่กรรมใดสิ่งใดจะเป็นปัจจัยให้เกิดอะไร ก็ต้องเกิด เพราะว่าเป็นธรรม ไม่มีใครสามารถจะบังคับบัญชาได้

    เพราะฉะนั้นชอบครั้งหนึ่งเกิดแล้ว เห็นอีก ชอบสิ่งนั้นไหมที่เคยชอบ ชอบดอกบัว เห็นดอกบัว ชอบไหม เพราะเคยชอบใช่ไหม เหมือนเลย เหมือนกับสิ่งที่เคยเห็นเคยชอบ แต่การชอบครั้งก่อนไม่ได้มีในขณะนั้น แต่สิ่งที่เคยเกิดแล้วนี่แหละ สะสมแล้วอยู่ในจิต เพราะฉะนั้นไม่ว่าดีหรือชั่ว กุศลธรรมหรืออกุศลธรรม ไม่ใช่ใครสักคน แต่เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งทรงแสดงไว้โดยละเอียดว่า ธรรมมากมายมหาศาล แต่ก็สามารถที่จะประมวลเป็นธรรมที่ต่างกันเป็น ๒ อย่าง คือธรรมอย่างหนึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ไม่ใช่ธาตุรู้ คำว่าธรรมกับคำว่าธาตุ ธา-ตุ เหมือนกัน มาจากศัพท์เดียวกันหมายความถึงสิ่งที่มีจริง ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ทรงไว้ซึ่งสภาพนั้น

    เพราะฉะนั้นสภาพที่เกิดจริง มีจริงแต่ไม่รู้เป็นรูปธาตุ ภาษาบาลี ก็ต้องออกเสียงว่า รูปะ ธัมมะ แต่คนไทยก็ตัดสั้นแล้วก็ไม่รู้หรอกว่ารูปธาตุ รูปธรรมคืออะไร แต่ก็พูด พูดจนผิด จนไขว้เขว แต่นั่นคือภาษาไทย เพราะฉะนั้นถ้าศึกษาธรรมก็ต้องเริ่มเข้าใจธรรมในภาษามคธี ซึ่งเป็นภาษาที่ดำรงพระศาสนา จึงใช้คำว่า ปาละหรือปาลี คนไทยก็เรียกบาลี เพราะฉะนั้นแต่ละคำ ก็คือมีเกิดดับสะสม แต่ว่าหลายระดับ เช่น เคยโกรธไหม โกรธแล้ว ดับแล้ว หมดแล้ว แต่โกรธที่ดับไปแล้วสะสมอยู่ในจิต แต่ไม่ใช่ตัวขณะจิตที่เกิดขึ้นทำกิจโกรธ แต่ว่าธาตุที่ได้เกิดขึ้นแล้ว ก็สามารถที่จะปรุงแต่งจิตแต่ละขณะเพิ่มไป เพิ่มไป ในสังสารวัฏ ก่อนจะเป็นคนนี้เราไม่ได้เป็นคนนี้ เราเป็นใครมากี่ชาติ โกรธมากี่ชาติ รักมากี่ชาติ เสียสละมากี่ชาติ ดีมากี่ชาติ ไม่ได้สูญหายไปเลย ทั้งดีและชั่วสะสมอยู่ในจิตเพียงหนึ่งขณะจิต แต่ละหนึ่งขณะ ซึ่งทันทีที่ดับไป ก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อเหมือนทุกอย่างที่จิตขณะนั้นดับไป สะสมสืบต่อจนถึงวันนี้ และขณะนี้จนถึงพรุ่งนี้ สิ่งที่เราได้ฟังวันนี้ก็ไม่ได้สูญหาย แต่ว่าเสียงหมดแล้ว การได้ยินขณะนี้หมดแล้ว ความเข้าใจเดี๋ยวนี้ไม่ใช่อันนั้นแล้ว แต่ว่าปรุงแต่งให้เป็นความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น ละเอียดขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะถึงอภิสมัย สมัยที่ไม่มีในสังสารวัฏ คือการรู้แจ้งสภาพธรรมตรงตามที่ได้ฟัง ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่เข้าใจธรรม ที่กำลังได้ฟัง ไม่ใช่เพียงอ่านแล้วไม่รู้เรื่อง ธรรมยาก ใครจะให้ธรรมง่าย

    ผู้ฟัง เรียนถามว่าเข้าใจอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่ การเห็นครั้งหนึ่งคือจิตหนึ่ง การได้ยินครั้งหนึ่งคือจิตหนึ่ง จะถูกต้องไหม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้องเพราะว่าเห็นสิ่งที่ปรากฏ ได้ยินเสียงซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่เป็นสิ่งที่ปรากฏให้ได้ยิน แต่ละหนึ่งนิดเดียว แล้วหมดแล้ว

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นจิตหนึ่งก็คือเห็น คือได้ยิน แค่นั้นเอง ก็จบไป

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง คิดก็เป็นจิต เพราะฉะนั้นเรากำลังจะพูดถึงธรรมหลากหลายมากในสากลจักรวาล ไม่ใช่เฉพาะในโลกนี้ ในนรก ในสวรรค์ เทวโลก หรือพรหมโลก ทั้งหมด ไม่พ้นจากเห็น เห็นก็ต้องเป็นเห็น เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่มีทั้งหมดในสากลจักรวาล ไม่ว่าจะในอดีตนานเท่าไหร่ ปัจจุบันและต่อไปในอนาคต ก็ไม่พ้นจากธรรม ๒ อย่างซึ่งต่างกัน ธรรมประเภทหนึ่ง เกิดแต่ไม่รู้ หวาน แข็ง กลิ่น พวกนี้ไม่รู้อะไรเลย แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้ ธรรมอีกอย่างหนึ่งซึ่งใครก็ยับยั้งไม่ให้เกิดไม่ได้ เพราะเดี๋ยวนี้ก็เกิดเป็นธาตุรู้ ซึ่งกำลังเห็น ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น และไม่ใช่ตาด้วย แต่ต้องอาศัยตาที่สามารถกระทบเฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเท่านั้น ทำให้ธาตุรู้เกิดขึ้น เห็นเฉพาะสิ่งที่ปรากฏที่กระทบตาเท่านั้น ไม่เห็นอื่นเลย เวลานี้มากมายเห็น แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ที่กระทบตา แล้วเห็นก็เห็นเฉพาะสิ่งที่กระทบตา และข้อสำคัญคือธาตุรู้ต้องเกิดที่รูป เพราะว่าอาศัยกัน เช่น ตาเป็นรูปธรรม ตาไม่เห็น แต่ว่าเห็นต้องอาศัยตา ที่กระทบกับรูป เพราะว่าทั้งตัวของเราตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า มีรูปมากมายหลายรูปแตกย่อยละเอียดยิบ คั่นด้วยอากาศธาตุ ละเอียดแค่ไหน อากาศธาตุแทรกแค่ไหน สามารถที่จะแตกทำลายทุกอย่างได้ ละเอียดยิบอย่างที่เราคิดว่ามั่นคงเหลือเกิน ทำลายได้หมด เพราะอากาศธาตุที่แทรกคั่นอยู่

    เพราะฉะนั้นแต่ละรูปที่กล่าวถึงไม่เหมือนกัน อย่างรูปหนึ่งที่สามารถกระทบสิ่งที่กระทบตา อยู่กลางตาไม่ใช่ที่อื่น รูปหนึ่งที่สามารถกระทบเสียงอยู่กลางหู รูปหนึ่งที่สามารถกระทบกลิ่นอยู่กลางจมูก รูปหนึ่งที่สามารถกระทบรสอยู่กลางลิ้น รูปที่สามารถกระทบเย็นบ้าง ร้อนบ้าง อ่อนบ้าง แข็งบ้าง ตึงบ้าง ไหวบ้าง ซึมซาบอยู่ทั่วกาย ในส่วนที่กระทบกับสิ่งที่กำลังกระทบ เป็นเย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง นี่คือสิ่งที่ไม่ใช่เรา แต่ก็คือรูปธรรมเป็นรูปธรรม ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ แต่ก็มีธาตุรู้ซึ่งเป็นนามธรรม ไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ มีปัจจัยเกิดต้องรู้ เหมือนกับรูปมีปัจจัยก็ต้องเกิดเป็นเค็ม เกิดเป็นหวาน เกิดเป็นเปรี้ยว แต่ไม่รู้อะไร

    เพราะฉะนั้นธาตุรู้ เกิดแล้วต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้ แต่จะรู้อะไร นั่นก็ละเอียดมาก เช่นเดี๋ยวนี้ เห็นเป็นธาตุรู้ ได้ยินเป็นธาตุรู้ คิดเป็นธาตุรู้ จำเป็นธาตุรู้ ชอบเป็นธาตุรู้ ชอบนี่อ่อนหรือแข็งหรือเปล่า หวานหรือเค็ม ไม่มีรสไม่มีอะไรเลย เป็นลักษณะของธาตุที่เป็นสภาพรู้ จึงไม่มีรูปร่างใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น ธรรมเปลี่ยนไม่ได้เลย ไม่ว่าจะตรัสถึงธรรมที่เป็นธรรมที่งามในเบื้องต้น หรือเป็นธรรมขั้นต้น หรือธรรมขั้นกลาง หรือธรรมขั้นสูง ทั้งหมดเป็นความจริง ซึ่งเปลี่ยนไม่ได้เลย ยังมีอีกมากมายที่เราไม่รู้ เพราะเราเห็นเพียงตรงนี้ แต่ตรงอื่นไม่เห็น แต่ตรงอื่นก็รู้ตรงนั้น ที่เขาเกิดเห็นขึ้น รู้ขึ้น แต่เขาก็ไม่รู้ตรงอื่น เพราะฉะนั้นจักรวาลก็กว้างใหญ่ไพศาล ทรงแสดงไว้ครบถ้วนทุกอย่างด้วยพระปัญญาคุณ ซึ่งไม่มีทางที่ใครจะรู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระปัญญามากมายมหาศาล สุดที่จะเปรียบปานได้ เพราะเหตุว่าที่เราได้ฟัง ที่ทั้งหมด ๔๕ พรรษา คือใบไม้ ๒-๓ ใบในกำมือ เปรียบกับใบไม้ในป่า คือพระญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเพียงแค่ได้ฟัง เข้าใจ ก็เก่งแล้ว ที่สามารถที่จะพิจารณาไตร่ตรอง แล้วก็รู้ว่าถ้าฟังธรรมก็คือว่าเข้าใจธรรมว่า ธรรมคืออะไร แล้วเดี๋ยวนี้ก็มีธรรม ไม่ใช่พูดถึงสิ่งที่ไม่มี ต้องไปค้นหาต้องไปแสวงหาเหนือใต้ ไม่ใช่เลย มีก็ไม่รู้มานานเท่าไหร่แล้ว ไม่ใช่เฉพาะวันนี้ นานกว่านั้นอีก

    เพราะฉะนั้นกว่าความรู้ จะค่อยๆ ชำระล้างความไม่รู้ให้หมดสิ้นไป ก็คิดดูว่าอาศัยบารมีแน่นอน ถ้าไม่มีบารมีคือคุณความดีต่างๆ ซึ่งขณะใดก็ตามที่จิตดีเกิด เพราะสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดกับจิต พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า เจตสิกะ เราก็ใช้คำว่าเจตสิก อันนี้ส่วนใหญ่จะไม่มีใครกล่าวถึงเลย นอกจากในพระพุทธศาสนา เพราะว่าเขาจะกล่าวถึงจิตวิทยา โดยจะกล่าวถึงจิตลักษณะใดก็ตามแต่ ใต้สำนึก นอกสำนึก หรืออะไรก็ตามแต่ ก็ไม่มีคำว่าเจตสิก เพียงแต่เท่าที่เขาจะคิดได้ และปัญญาที่คิดได้ คิดเทียบดู ไม่รู้เลยว่าขณะนี้เป็นธรรม กับการที่เริ่มฟัง เริ่มเข้าใจว่าแม้เข้าใจก็ไม่ใช่เรา และเข้าใจอะไรจึงจะเป็นปัญญา ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่มีในขณะที่สิ่งนั้นกำลังมี จะชื่อว่าปัญญาไหม เราก็ไปคิดถึงคนที่เขาคิดวิจิตรต่างๆ ด้วยการที่ทรงจำไว้ สะสมมาเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นอะไรต่างๆ ว่าน่าอัศจรรย์ ทำไมเขาคิดอย่างนั้นได้ แต่เดี๋ยวนี้ที่เกิดแล้วดับ เขาคิดไม่ได้ เพราะไม่ใช่รู้ด้วยการคิด แต่ประจักษ์แจ้งด้วยการสะสมปัญญา ละคลายความไม่รู้นานเท่าไหร่ กว่าสภาพธรรมนั้นสามารถจะปรากฏ เพราะไม่มีกิเลสคือความไม่รู้กั้นไว้ เวลานี้สภาพธรรมเป็นอย่างนี้ แต่ไม่ปรากฏ เพราะอวิชชาความไม่รู้กั้นไว้ พอพูดถึงคำว่าอวิชชา ไม่รู้มีไหม หาเจอไหม ทั้งๆ ที่เดี๋ยวนี้มี เพราะไม่รู้ เห็นไหมว่าความไม่รู้ขนาดไหน ขนาดที่ว่าที่ไม่รู้นั่นแหละ คือสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ถ้าไม่เรียกว่าอวิชชาก็ได้ ไม่เรียกว่าโมหะก็ได้ แต่ไม่รู้มี ใช่ไหม เพราะฉะนั้นไม่รู้นั่นแหละ มีแน่นอน เป็นธรรมฝ่ายที่ไม่นำความสุขความเจริญอะไรมาให้เลย อาจจะใช้คำว่าโง่ ก็ได้ ในภาษาบาลีท่านก็ใช้หลายคำ บางคำก็แรง บางคำก็เหมือนไม่แรง ฟังดูได้ แต่ว่าความจริงต้องแรง เช่น คำว่าเป็นคนเขลาเบาปัญญา หรือว่าปัญญาทราม ปัญญาทรามคือไม่มีปัญญา แต่ใช้คำว่าปัญญาทราม เราก็คิดว่าปัญญาอ่อนๆ ปัญญาน้อยๆ แต่ความจริงไม่ใช่ ปัญญาทรามคือไม่มีปัญญา

    เพราะฉะนั้นการได้ยินได้ฟังพระธรรม เป็นเรื่องที่ตลอดชีวิต สำหรับผู้ที่สะสมมาที่จะเห็นประโยชน์ว่า ไม่มีสิ่งใดที่จะติดตามไปข้างหน้าคือชาติต่อไป ทรัพย์สมบัติก็ไปไม่ได้ รูปร่างสวยงามเสื้อผ้าทุกสิ่งทุกอย่าง เกียรติยศที่ดูเหมือนกับว่าสำคัญเหลือเกินในชาตินี้ แท้ที่จริงไม่มี แต่จำปรุงแต่งคิดว่ามี อย่างที่ท่านผู้หนึ่งท่านก็กล่าวว่าเพียงแค่ได้ยินคนเรียกชื่อท่าน หรือพูดชื่อท่านเท่านั้น สนใจฟัง เขาพูดอะไรถึงเรา หรือถ้าเห็นรูป มองหาเราอยู่ไหนก่อนอื่นเลยหาเจอไหม ความติดความยึดมั่นมากมาย ในสิ่งที่ไม่รู้ว่าแท้ที่จริงก็คือธาตุ ซึ่งเกิดดับสืบต่อตั้งแต่เกิดจนตาย จากชาติหนึ่งไปอีกชาติ หนึ่ง แล้วก็เปลี่ยนสภาพไปตามเหตุตามปัจจัย ทุกคนอยากจะมีความสุข ทุกคนอยากจะมีสิ่งที่ต้องการทั้งหมดเลย แต่ได้ไหม เพราะเหตุปัจจัย ถึงได้มามีทรัพย์สมบัติมหาศาล ตาบอด ไม่อยากตาบอด แต่ธรรมเป็นอนัตตาแล้วแต่เหตุปัจจัย

    เพราะฉะนั้นปัจจัยที่ทำให้เกิดทั้งหมดเลย ถ้าไม่ศึกษาในขั้นต้นก่อนว่าคืออะไร ก็ไม่สามารถจะเข้าใจถึงว่า ปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นมาก สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้นเพียงหนึ่ง มีปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นหลายอย่าง โดยฐานะต่างๆ กันของความเป็นปัจจัย นี่คือความละเอียดอย่างยิ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจะเข้าใจได้เมื่อฟังต่อไป เข้าใจต่อไป ไม่ใช่ว่าไม่สามารถจะเข้าใจได้ ถ้าไม่สามารถจะเข้าใจ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง แต่ทรงแสดงสำหรับผู้ที่รู้จักคำว่า บารมี ธรรมยาก ลึกซึ้ง แต่รู้ได้โดยต้องอาศัยบารมีทั้ง ๑๐ ซึ่งก็จะต้องมีสัจจบารมี รู้ว่าสิ่งนี้จริง รู้ได้ ควรรู้ไหม เป็นผู้ตรง เพียรที่จะรู้แต่ไม่ใช่เราไปทำ ทำอย่างไรก็ทำไม่ได้ เพราะเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ทุกอย่างสอดคล้องกันทุกคำ ตั้งแต่คำแรกจนถึงคำสุดท้าย

    เพราะฉะนั้นธรรมมีจริง มีธรรม ๒ อย่าง ซึ่งต่างกัน อย่างหนึ่งเกิดแต่ไม่รู้อะไรเลยเป็นรูปธรรม อีกอย่างหนึ่งไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น เป็นนามธรรม คือธาตุรู้ล้วนๆ เกิดขึ้นแล้วต้องรู้ เช่น คิด ไม่มีรูปร่าง เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส ซึ่งความจริงเราสามารถจะรู้จักธาตุรู้ได้ ๖ ทาง ทางตากำลังเห็น จะไปรู้ว่าธาตุรู้อยู่ไหน ก็นี่เห็นนี่แหละ คือกำลังรู้ว่ามีสิ่งนี้ให้เห็น เป็นอย่างนี้ พอเดินไปอีกหน่อย ก็นี่อย่างไรกำลังรู้สิ่งที่ปรากฏ ต่างจากเมื่อสักครู่นี้แล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏต่างกันตามจิตเห็น ซึ่งเห็นต่างกัน แล้วคิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏให้รู้ ตั้งแต่เช้าทุกวัน ตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะฉะนั้นนามธาตุธาตุรู้อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ปรุงแต่งให้เกิดจิต ก็คือเจตสิกเป็นธาตุรู้ แต่ไม่ใช่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ จิตก็รู้ เจตสิกก็รู้ จิตรู้อารมณ์ อารมณ์คือสิ่งที่ถูกจิตรู้ เพราะฉะนั้นเราจะค่อยๆ เพิ่มคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ให้รู้ว่าเรากล่าวถึงสิ่งที่มีจริง คือขณะเห็นต้องมีธาตุรู้ และมีสิ่งที่ถูกรู้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ถูกรู้ในภาษาบาลีใช้คำว่า อารัมมณะ คนไทยก็ตัดสั้นๆ ว่าอารมณ์ แล้วก็เข้าใจผิด ตั้งแต่เช้าตื่นมาอารมณ์ดีไหม ไม่รู้เลยว่าอารมณ์คืออะไร แต่อารมณ์คือสิ่งที่จิตรู้ ถ้าจิตเห็นสิ่งที่ดี พอใจแช่มชื่น ถ้าได้ยินเสียงที่เพราะ แช่มชื่นพอใจ ได้กลิ่นหอมๆ ได้รสอร่อย สัมผัสสิ่งที่ไม่ร้อนเกินไปไม่หนาวเกินไป กำลังสบาย เราก็พอใจ

    เพราะฉะนั้นขณะนั้นก็คือว่า เป็นสภาพธรรมทั้งหมดเลย แต่ว่ากว่าเราจะรู้ว่าแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง หลากหลาย คือจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง รู้เท่านั้น ไม่รัก ไม่ชัง ไม่โกรธ ไม่ขยัน ไม่ริษยา ไม่สำคัญตน ลักษณะต่างๆ เหล่านั้นเกิดกับจิต ถ้าไม่มีจิตก็เกิดไม่ได้ แต่ลักษณะนั้นไม่ใช่จิต แต่เป็นเจตสิกะ หรือเจตสิก หมายความว่าสภาพธรรมนั้นเกิดพร้อมจิต ปรุงแต่งจิต อาศัยกันและกันเกิดขึ้น คือถ้าไม่มีจิต เจตสิกก็เกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีเจตสิก จิตก็เกิดไม่ได้ ถึงแม้ว่าเกิดแล้ว พร้อมกันก็จริง แต่จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า อารัมมณะ แล้วภาษาไทยก็ใช้คำว่าอารมณ์ เพราะฉะนั้นพอได้ยินคำว่าอารมณ์ เรารู้เลยว่าหมายความถึงอะไร หมายความถึงสิ่งที่จิตรู้ เสียงมีมาก แต่เฉพาะเสียงที่ปรากฏเพราะจิตรู้ เสียงนั้นเท่านั้นที่เป็นอารมณ์ เสียงอื่นไม่ใช่ เกิดแล้วดับแล้ว อยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ ในป่าหรือกลางถนน หรืออะไร ก็ไม่ใช่อารมณ์ เพราะว่าจิตไม่ได้รู้สิ่งนั้น

    ด้วยเหตุนี้ จิตต้องเกิดรู้อารมณ์ใช่ไหม แค่นี้เราสามารถที่จะรู้แล้วว่า นี่คืออารมณ์ เพราะจิตกำลังรู้แจ้งเฉพาะเสียงนั้น แล้วเสียงนั้นก็ดับไป แล้วจิตก็เกิดสืบต่อรู้อย่างอื่นต่อ โดยเร็วเกินกว่าจะคิดได้ว่าจิตอะไร เพราะว่าไม่มีรูปร่างที่จะปรากฏ วันนี้ทั้งวันแม้เดี๋ยวนี้ ไม่ได้มีใครคิดถึง จิต เจตสิก ซึ่งกำลังเกิดดับ ทำหน้าที่เห็น จำ คิด ชอบ ไม่ชอบเลย เพียงแต่ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏให้รู้ คือสีสันวรรณะต่างๆ เสียงต่างๆ กลิ่นต่างๆ เดี๋ยวก็มีรสต่างๆ แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งก็เป็นธรรม ซึ่งเป็นรูปธรรม หรือเป็นนามธรรม อย่างหนึ่งอย่างใด ธาตุรู้เกิดขึ้นต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ ละเอียดมาก และก็เปลี่ยนไม่ได้ ธาตุรู้คือจิต รู้ได้ทุกอย่างไม่เว้นเลย

    เพราะฉะนั้นจิตเห็นรู้สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น จิตได้ยินรู้สิ่งที่กำลังปรากฏให้ได้ยิน จิตได้กลิ่นรู้กลิ่นที่ปรากฏ มีใครเห็นกลิ่นบ้างไหม เห็นไม่ได้ แต่กระทบจมูกได้ ถ้ามีเฉพาะกลิ่น รู้ไหมว่ากลิ่นอะไร ถ้าไม่มีจำ แต่เพราะเคยรู้กลิ่นนั้น กลิ่นแกง ยังไม่เห็นหน้าตาเลย แต่ว่ากลิ่นมาแล้วใช่ไหม กระทบจมูกแล้ว สภาพจำก็เป็นธรรมมีจริงๆ ไม่ใช่เรา และขณะนั้นความจำกลิ่นทำให้รู้ว่าเป็นกลิ่นอะไร แต่ไม่มีวันที่จะเห็นกลิ่นเลย จะเห็นรสได้ไหม เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เห็นไม่ได้ เห็น แข็งอ่อน เย็นร้อน ได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่า สิ่งเดียวในบรรดาธรรมทั้งหลายที่เห็นได้คือ สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเดี๋ยวนี้เท่านั้น นอกจากนั้นแล้วอยู่ในความมืดสนิท แต่ไม่เห็นเดือดร้อนเลย อยู่ในความมืดสนิทเพราะอะไร มีสิ่งที่ปรากฏให้รู้ว่ามีอยู่ตลอดเวลาใช่ไหม เดี๋ยวเสียง เดี๋ยวกลิ่น เดี๋ยวแข็ง เดี๋ยวอ่อน มีอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นก็ไม่ได้มีความหวั่นไหวอะไรเลยทั้งสิ้นที่ว่ามีทำไม แค่มีแล้วก็หมด มีแล้วก็หมด มีแล้วก็หมด จนกว่าจะฟังพระธรรม และที่เข้าใจก็เป็นปัญญา ค่อยๆ เข้าใจขึ้นในสิ่งที่มี ขณะนี้เพียงเข้าใจเรื่องของสิ่งที่มี

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 181
    19 มี.ค. 2568