ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1053


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๑๐๕๓

    สนทนาธรรม ที่ บริษัทสยามแฮนด์ส จ.นครปฐม

    วันที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ มีสิ่งที่เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ พ้นไปแต่ละขณะแต่ละวัน แต่ว่าไม่เข้าใจว่าคืออะไร จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม เดี๋ยวนี้พอได้ยินคำอย่างนี้รู้เลยใช่ไหมคำของใคร คำของพระสัมมาพุทธเจ้าเท่านั้น ที่จะพูดเรื่องธรรมะคือสิ่งที่มีจริง แล้วก็ทรงแสดงความจริงของธรรมะโดยนัยประการต่างๆ ให้เราเข้าใจถูกต้อง ด้วยเหตุนี้ มีธรรมะ ๒ อย่างใหญ่ๆ เลย อย่างหนึ่งก็คือว่าเกิดแต่ไม่รู้อะไรหลากหลายมาก เป็นเสียง เป็นกลิ่น เป็นรสต่างๆ ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ไม่ใช่สภาพรู้ เป็นธรรมะแต่สภาวะก็คือว่าไม่รู้ สภาวะมี ภาวะแข็งเท่านั้น แข็งก็ต้องเป็นแข็ง คนไทยใช้คำว่าสภาพธรรมะแต่จริงๆ แล้วคือสภาวะ ว กับ พ ใช้แทนกันได้ ภาวะคือความเป็น สะ คือมี มีความเป็นสิ่งนั้นว่าแข็งก็ต้องเป็นแข็ง เป็นอื่นไม่ได้ ร้อนก็ต้องเป็นร้อน ร้อนมีจริงๆ ใช่ไหม เป็นอื่นได้ไหม เป็นร้อนได้อย่างเดียว เป็นขนมได้ไหม ขนมร้อนๆ ไม่ได้ ร้อนก็ต้องเป็นร้อนเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นสภาพรู้มีแน่ๆ ใช่ไหม

    ผู้ฟัง มี สภาพรู้มี

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ อะไรล่ะ ที่เป็นสภาพรู้ ตอบแล้วว่ามีแน่ๆ เพราะฉะนั้นอะไรเป็นสภาพรู้เดี๋ยวนี้ ชอบไหม

    ผู้ฟัง ชอบ

    ท่านอาจารย์ ชอบ สภาพรู้ ถ้าไม่รู้จะชอบไหม

    ผู้ฟัง ถ้าไม่รู้ก็ไม่ชอบ

    ท่านอาจารย์ เริ่มเห็นว่าสภาพรู้คืออะไร เป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เราเลยตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกชาติในสังสารวัฎแล้วก็ไม่เหลืออะไรเลยสักชาติเดียว เกิดแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีกที่จะย้อนกลับไปเป็นคนก่อน ไม่มี ชาติก่อนเป็นใคร

    ผู้ฟัง ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้ชาติหน้าเป็นใคร

    ผู้ฟัง ไม่รู้อีก

    ท่านอาจารย์ รู้แต่ชาตินี้ชาติเดียว จะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่

    ผู้ฟัง ไม่รู้อีก

    ท่านอาจารย์ ไปไหน

    ผู้ฟัง ก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ พอถึงชาติหน้ามาจากไหน เหมือนชาตินี้มาจากไหนก็ไม่รู้ เต็มไปด้วยความไม่รู้ นี่ยังน้อย ไม่รู้ตลอดชีวิต ทั้งหมดเลย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นขณะเกิดต้องมีธาตุรู้เกิดด้วย มิเช่นนั้นไม่ใช่สิ่งที่มีชีวิต ธาตุรู้ ฟังอย่างนี้ไม่คุ้นหู แต่ถ้าบอกว่ารู้ไหม มีรู้ไหม มี นั่นแหละคือธาตุชนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้นคำว่า ธาตุกับธรรมะความหมายเหมือนกัน เพราะเห็นว่าธรรมะคือสิ่งที่มีจริง มีจริงอย่างไรล่ะ มีจริงแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง จริงแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งเปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ คือเป็นธาตุแต่ละหนึ่ง เพราะเปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ภาษาไทยจะเขียนว่า ธ-า-ตุ ทุกอย่างเป็นธรรมะ เพราะฉะนั้นทุกอย่างเป็นธาตุ เพราะใครเปลี่ยนลักษณะของธรรมะนั้นไม่ได้เลย โกรธเปลี่ยนเป็นสนุกได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะเป็นธาตุโกรธ เป็นตัวโกรธนั่นแหละเป็นธาตุชนิดหนึ่ง มีใครเป็นเจ้าของธาตุบ้าง

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย มีเสื้อผ้าไหม

    ผู้ฟัง เสื้อผ้านี่มีอยู่

    ท่านอาจารย์ เป็นเจ้าของหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ ไม่ได้เป็น

    ท่านอาจารย์ ไม่เป็น เพราะแค่สัมผัสกระทบแข็งก็ดับแล้ว ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นย่อยไปถึงที่สุด เมื่อไม่มีเราก็ต้องไม่มีของเรา ไม่อย่างนั้นก็ค้านกันใช่ไหม ไม่มีเราจะมีของเราได้อย่างใด ในเมื่อสิ่งนั้นไม่มี แล้วจะว่ามี แล้วเรามีได้อย่างไร ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าเข้าใจธรรมะแล้ว สอดคล้องกันทั้งหมด ถ้าค้านกันเมื่อไหร่แสดงว่าความเข้าใจไม่พอ ไม่ถึง ยังติดขัด ยังไม่รู้ ยังไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นถ้าถูกต้องแล้วต้องถึงที่สุด ต้องไม่มีคือไม่มี มีคือมี เกิดคือเกิด ถ้าไม่เกิดจะดับไหม

    ผู้ฟัง ถ้าไม่เกิดก็ไม่ดับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นนิพพานไม่เกิดจึงไม่ดับ แล้วจะไปยังไงกัน ทุกคนดูเหมือนอยากจะไปนิพพานเหลือเกิน อย่าหวัง อยากนั่นแหละคือตัวไม่ถึง ไม่มีทางถึงเลย ได้ยินแต่ชื่อ เหมือนเครื่องล่อ ไม่รู้อะไรสักอย่างเดียว แค่ได้ยินแต่ยังไม่รู้เลยว่าอะไรก็อยากแล้วมากมายด้วยความไม่รู้ ด้วยความต้องการ ปกปิดมิดชิด ไม่ให้รู้ว่าความจริงคืออะไร เพราะฉะนั้นทรงแสดงความจริงทุกระดับ ตั้งแต่ว่าไม่รู้เพราะอะไร ทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าวันนี้ได้เริ่มเข้าใจธรรมะคือสิ่งที่มีจริง และสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ของใครเลยทั้งสิ้น ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี แต่พอเกิดแล้วไม่รู้ต่างหาก จึงยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เพราะสิ่งที่เกิด เกิดรวมกันปรากฏรูปร่างสัณฐานต่างๆ ทำให้ยึดถือว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ แล้วก็ยึดถือว่าเป็นของเรา การไม่รู้ และกันเข้าใจผิด และยึดถือตามลำดับขั้นเลย ตั้งแต่ไม่รู้ว่าสิ่งนี้เพียงปรากฏ เกิดแล้วก็ดับเมื่อไม่รู้อย่างนี้เป็นเราแล้ว ใช่ไหม แค่เรา ยังของเราอีกมหาศาล มากมายเหลือเกิน แล้วไหนล่ะ ถ้าไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่คิด ก็ไม่มีอะไร ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นอยู่ด้วยความไม่รู้ ซึ่งด้วยความยึดมั่นทำให้มีเราตลอดเวลา ตั้งแต่เกิดจนตาย เริ่มเป็นเราเพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้นตอนเกิดเป็นธรรมะใช่ไหม ที่เกิด

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ธรรมะอะไรเกิด กลับมาหาที่เก่า จะได้รู้ว่าเข้าใจแค่ไหน อะไรเกิด ไม่มีเรา แต่มีธรรมะ แล้วธรรมะอะไรล่ะที่เกิด เพราะฉะนั้นการสนทนาธรรมเป็นมงคล การฟังธรรมะก็เป็นมงคล เพราะต้องฟังก่อนจึงสนทนาได้ ถ้าไม่ฟังก่อนก็ไม่รู้จะสนทนากันเรื่องอะไรใช่ไหม แต่พอฟังแล้วก็สนทนากัน ฟังธรรมะก็เป็นมงคล สนทนาธรรมก็เป็นมงคล มงคลคือสิ่งที่นำความสุขความเจริญ จนถึงการรู้แจ้งความจริง เราพูดอย่างนี้ยังไม่ได้รู้แจ้งความจริง เพียงแต่เริ่มจะรู้ความจริงคืออะไร แล้วมีความจริงทั้งนั้นเลยที่ปรากฏให้เห็นว่ามีจริง แต่ยังไม่ได้รู้แจ้งความจริงนั้นๆ เพราะฉะนั้นความรู้มีหลายระดับขั้นขั้นนี้เป็นวิปัสสนาหรือเปล่า ได้ยินคำนี้บ่อยใช่ไหม แปลว่าอะไร

    ผู้ฟัง วิปัสสนาคือรู้ตามจริง

    ท่านอาจารย์ ความจริงของอะไร

    ผู้ฟัง ความจริงของธรรมชาติ

    ท่านอาจารย์ ของธรรมะที่มีเดี๋ยวนี้หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะรู้ได้อย่างไร วิปัสสนาต้องไม่ใช้ขั้นฟัง ถ้าไม่มีขั้นฟังไม่มีวิปัสสนาแน่นอน เพราะเหตุว่าความรู้ต้องตามลำดับ จะไปรู้อะไร ยังไม่ได้ฟังสักนิดหนึ่ง ยังไม่รู้อะไรสักหน่อยหนึ่งแล้วจะไปรู้อะไรได้ แต่ปัญญาก็รู้สิ่งที่ได้ฟังนี่แหละ แต่ไม่ใช่แค่ฟังความรู้เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมะต้องตามลำดับ แล้วต้องเข้าใจให้ถูกทีละคำ แต่ละคำด้วยอย่างมั่นคง จะทำวิปัสสนาไหม ถาม จะทำวิปัสสนาไหม

    ผู้ฟัง อยากทำ

    ท่านอาจารย์ นั่นไง ลืมไปเลย ลืมไปเลยว่า

    ผู้ฟัง ทำให้เกิดไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ลืมไปเลยว่าไม่มีอะไร ถ้าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น และสิ่งที่เกิดก็ดับ

    ผู้ฟัง ทำไม่ได้

    ท่านอาจารย์ นี่ขั้นฟังทำได้อย่างไร ทำเห็นยังทำไม่ได้เลย ทำคิดยังคิดจะไปทำวิปัสสนาได้อย่างไร

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แล้วจะทำไหม

    ผู้ฟัง ไม่ทำ

    ท่านอาจารย์ ก็ขออนุโมทนา เพราะเหตุว่าเป็นการยากจริงๆ ที่จะเป็นคนตรงต่อความจริง เพราะรู้ว่าความจริงนี่มาจากใคร มาจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเห็นพระคุณอย่างยิ่งที่ทรงแสดงความจริง ว่าต้องประพฤติปฏิบัติตาม จึงจะไม่หลงทาง การหลงทางคือหันหลังให้พระพุทธเจ้า หันหลังให้พระสัทธรรม ไกลออกไปทุกที เหมือนพวกเดียรถีย์ในครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน เวฬุวัน ไม่ไปเฝ้าเลย ไปหาเดียรถีย์ ไม่เห็นคุณค่าของคำที่ยากที่สุด ที่จะมีได้ในสังสารวัฎ และไม่ได้มีบ่อย ไม่ใช่มากมาย นานๆ ก็จะมีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเมื่อบังเกิดแล้วตรัสรู้แล้ว ไม่มีพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์พร้อมกัน ปัญญาเลิศประเสริฐหาบุคคลใดเปรียบไม่ได้ คำนี้ไม่เปลี่ยน ถ้าเปรียบได้ก็มี ๒ ใช่ไหม แต่นี่เปรียบไม่ได้เลยก็คือต้องหนึ่ง และมีโอกาสได้ฟังคำของพระองค์ คิดดูคำจริงทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ต้องเป็นผู้ที่ตรงว่า จะฟังธรรมะต่อไปเพื่ออะไร เมื่อครู่นี้บอกว่าจะฟังต่อใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่ คือความเข้าใจถูก

    ท่านอาจารย์ เพื่อเข้าใจถูกอย่างเดียว ความเข้าใจถูกเป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ เป็นอะไร

    ผู้ฟัง เป็นธรรมชาติ

    ท่านอาจารย์ ใช้คำว่าธรรมะได้ไหม

    ผู้ฟัง เป็นธรรมะ

    ท่านอาจารย์ ถ้าธรรมชาติ หมายความว่าการเกิดของธรรมะ ชา-ติ แปลว่าเกิด แต่ว่าเป็นธรรมะใช่ไหม เราพูดถึงธรรมะแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง เพราะว่าถ้าพูดว่าธรรมชาติ คนจะเข้าใจผิด ต้นไม้ ดอกไม้ภูเขา ทะเล พวกนี้เป็นธรรมชาติ ไม่ได้กล่าวถึงธรรมะสิ่งที่มีจริงแต่ละ หนึ่ง แต่พอกล่าวถึงธรรมะแต่ละหนึ่ง ชา-ติ คือเกิด ธรรมมะที่เกิด กับธรรมะที่ไม่ได้เกิด ต่างกันใช่ไหม ด้วยเหตุนี้การที่เราเข้าใจธรรมะจะทำให้เราใช้คำที่ถูก เพิ่มขึ้นด้วย

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ถามนิดหนึ่งว่า ถ้าเรามีความเห็นถูกแล้ว มีความเห็นถูกแล้วนี่ก็แสดงว่า เราไม่ต้องเกิดแล้ว เพราะว่าเราเห็นถูกเราบรรลุธรรมแล้ว อย่างนั้นหรือเปล่า ท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ กิเลสมีมากไหม

    ผู้ฟัง มากๆ เลย

    ท่านอาจารย์ อะไร ดับกิเลสได้

    ผู้ฟัง ความเข้าใจถูก

    ท่านอาจารย์ แล้วมีความเข้าใจถูกแค่ไหน

    ผู้ฟัง ก็เข้าใจถูกแล้ว แต่ว่าบางครั้งก็

    ท่านอาจารย์ แล้วก็มีกิเลสแค่ไหน

    ผู้ฟัง กิเลสเยอะมาก

    ท่านอาจารย์ เทียบกับความเข้าใจถูกได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แล้วจะดับกิเลสได้หรือยัง

    ผู้ฟัง ยังไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แล้วกิเลสมีมากอย่างนี้ การดับกิเลสต้องดับตามลำดับของปัญญา สิ่งนี้ธรรมดาๆ อย่างงี้ ไม่รู้ก็ไม่รู้ พอรู้ก็รู้ ต่างกันแล้ว ทั้งๆ ที่สิ่งนี้ก็เป็นปกติ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย แต่ไม่รู้ก็คืออย่างนี้คือไม่รู้ พอรู้ก็รู้ พอรู้เพิ่มขึ้น สิ่งเดียวกันนี้แหละก็เพิ่มขึ้นอีก แล้วสิ่งที่มีปกติอย่างนี้แหละ เพิ่มขึ้นอีกจนเป็นวิปัสสนา ตามปกติปัญญาที่สามารถเข้าใจถูกรู้แจ้งประจักษ์ความจริง ตรงตามที่ได้ฟังต้องตรงด้วย ไม่อย่างงั้นการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมีประโยชน์อะไร ถ้าพูดอย่างหนึ่ง รู้อย่างหนึ่งไม่ตรงกัน แต่นี่รู้ตรงตามที่พูด พูดอย่างไรรู้ตรงอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้นกว่ากิเลสจะดับ ฟังเข้าใจต้องอีกแค่ไหน แล้วเหตุธรรมะทั้งหมด อกุศลไม่เป็นเหตุให้ถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ต้องเป็นธรรมะที่เป็นฝ่ายดี ด้วยปัญญา ถึงเป็นคนดีสักเท่าไหร่ เกิดเป็นเทวดาเยอะแยะ เป็นพรหมก็ได้ แต่ไม่ใช่เป็นผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เพื่อดับกิเลส เห็นโทษของกิเลสก่อนจึงฟังธรรมะ ณ.วันนี้ถ้าใครยังไม่เห็นโทษของกิเลส ไปสนุกดีกว่า จะฟังธรรมะทำไม ทำโน่นทำนี่ดีกว่าใช่ไหม แต่ต้องเป็นผู้ที่เห็นโทษของกิเลส และรู้ว่ากิเลสไม่มีทางจะดับได้ ใครก็ดับไม่ได้ แต่ต้องปัญญาเท่านั้น แล้วปัญญาก็มีไม่ได้ ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของผู้รู้ แล้วทรงแสดงธรรม

    เพราะฉะนั้นผู้ฟัง เป็นสาวก เป็นผู้ฟัง ฟังเข้าใจขณะไหน ละความไม่รู้ไปทีละน้อย ไปตามกำลังของความเข้าใจ ขณะนี้ที่เข้าใจว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรมะ ก็ละความไม่รู้แล้ว แต่ก่อนเป็นเรา ทุกอย่างเป็นเราไปหมด แต่เดี๋ยวนี้พอฟังแล้วก็เป็นธรรมะที่หลากหลายมาก แต่ละหนึ่งทางตาก็เป็นอย่างหนึ่ง ทางหูก็เป็นอย่างหนึ่ง ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ล้วนแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีก นี่คือสิ่งที่ไม่รู้ แต่ถ้าไม่รู้อย่างนี้ตามปกติเดี่ยวนี้ ดับกิเลสไม่ได้ เพราะฉะนั้นจากไม่รู้ เป็นรู้ขึ้น รู้ขึ้น รู้ขึ้น จนกระทั่งรู้ว่านี้กำลังเป็นหนทาง หนทางเกิดแล้วแต่ยังอีกไกล เพราะหนทางนี้เป็นหนทางละโดยตลอด ดีไหมละ ไม่เหลือความเห็นผิดก่อน ถ้ายังคงเห็นผิดอยู่ไม่มีทางจะละได้เลย ฟังไว้เพื่อว่าชาติหน้าจะได้ฟังอีก เพราะได้เคยฟังแล้วแต่ปางก่อนไม่มีใครสามารถที่จะจัดสรร ให้ใครเกิดที่ไหน วันไหน ทำอะไร รู้อะไรเห็นอะไร ป่วยไข้ได้เจ็บ ได้ลาภ ได้ยศ อย่างไรไม่มีทางเลย เพราะทุกอย่างเกิดเพราะเหตุปัจจัย ซึ่งปิดบังไม่ให้ใครรู้ว่าขณะนี้กำลังเป็นความเข้าใจธรรมะ เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่ถูกต้อง ดีไหม

    ผู้ฟัง ดี

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่ดีจะให้ผลดีไหม

    ผู้ฟัง ให้ผลดี

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องให้ผลดี ให้ผลดีเมื่อไหร่ ไม่รู้ เพราะถูกปกปิด เหมือนชาติก่อน ปิดบังไว้หมดเลยทุกชาติ ไม่รู้ว่าชาติไหนทำอะไรชาตินี้จึงได้ฟังธรรมะ เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งซึ่งทุกคำ เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเห็นที่ถูกต้อง ละความไม่รู้ และความหลงผิด ที่ยึดถือสภาพธรรมะว่าเที่ยง และเป็นของเรา กิเลสเยอะมาก หนากว่าแผ่นดิน กว่าจักรวาล แต่ปัญญาก็ค่อยๆ ชำระล้างจนกระทั่งหมดจด จนกระทั่งหมดได้ ต้องตามลำดับ เพราะฉะนั้นบางคนก็บอกว่าทีแรกอยากจะเป็นพระอรหันต์กันใช่ไหม เดี๋ยวนี้เอาแค่ไหน

    ผู้ฟัง อย่างวันนี้ได้ยินท่านอาจารย์พูดก็คือว่ารู้สึกเหมือนกับ ดีจังเลย เข้าใจจังเลย แต่ว่าในอดีตก็เคยฟังอย่างนี้มาเหมือนกัน แต่ก็ลืม

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้นะ ไม่รู้นะ แต่มีแน่ๆ ถ้าได้ฟังอีก เพราะน้อยคนเหลือเกินที่จะได้ฟังน้อยมาก นับวันก็จะอันตระธานน้อยลงๆ

    ผู้ฟัง เคยได้ยินมาแบบนี้แล้วก็ลืมบ่อยๆ แต่ว่าตอนนี้อยากจะถามอาจารย์ว่า ถ้าให้เข้าใจบ่อยๆ ตลอดเวลาจะทำอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ทำอีกแล้ว อีกแล้ว เรื่องผิดจะมีตลอดเวลา แล้วแต่ปัจจัย แต่ความเข้าใจวันนี้ไม่ได้สูญหายเลย วันหน้ามาแล้ว ไม่ว่าจะได้ยินได้ฟังอะไร หรือเพียงคิดขึ้นมา นี่ก็คือธรรมะเท่านั้นเอง ชั่วคราว ชั่วคราว่า สุดที่จะประมาณได้ แต่ไม่รู้ชั่วคราวจริงๆ ทุกอย่างชั่วคราว เมื่อครู่นี้หมดแล้วใช่ไหม ชั่วคราว มาถึงก็ได้รับประทานน้ำอ้อยสด อยู่ไหน ชั่วคราว ชั่วขณะที่สิ่งนั้นปรากฏจริงๆ แค่ชั่วขณะที่ปรากฏ ให้รู้ไว้ว่าสิ่งที่มีสั้นแสนสั้น เพียงชั่วขณะที่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้น เมื่อได้ฟัง และเห็นประโยชน์จะปรารถนาอย่างอื่นไหม เพราะอย่างอื่นก็ล้วนแต่ว่าเพียงเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ชั่วคราว ก็ขอความเข้าใจที่จะได้ฟังต่อไป ถ้าไม่มีการฟังให้เข้าใจ ไม่มีทางที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย เห็นพระพุทธรูปก็ไม่รู้คุณ เพราะว่าไม่เคยฟังแล้วจะรู้คุณได้อย่างไร ถึงไม่เห็นแต่รู้คุณขณะใด ขณะนั้นพุทธานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้อยู่ที่ไหนก็ตามแต่ พระภิกษุท่านที่อยู่ในป่าบ้าง อยู่ที่ไหนก็ตามแต่ ที่ท่านจาริกไป ท่านก็ระลึกถึงพระพุทธคุณได้โดยไม่ต้องเห็น แต่ถึงเห็นพระพุทธรูปหรือเห็นพระองค์จริงๆ อย่างชาวสาวัตถีแต่ไม่รู้คุณ ก็ไม่รู้ว่าคนนี้มีคุณถึงแค่ไหน ถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เหมือนธรรมดา ตอนเช้าเสด็จออกบิณฑบาต ชาวบ้านชาวเมืองก็เห็น ก็เหมือนเห็นธรรมดา แต่ความเป็นภิกษุ ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเพศบรรพชิตต่างจากคนที่เป็นคฤหัสถ์ และยิ่งประกอบด้วยพระปัญญามหาศาลมากมาย เทียบไม่ได้เลย อยากเห็นไหม

    ผู้ฟัง อยากเห็น มีความยาก

    ท่านอาจารย์ เรามีความมีความอยาก ซึ่งเห็นไม่ได้ เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ ให้รู้ว่าห้ามใครห้ามไม่ได้ ห้ามตัวเองยังห้ามไม่ได้เลย แต่เข้าใจได้ อันนี้สำคัญกว่าเพราะว่าจริงๆ แล้ว ธรรมะเป็นธรรมะ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น บังคับไม่ได้แต่เข้าใจถูกต้องได้ตามความเป็นจริง แล้วความเข้าใจที่ถูกต้องนั่นแหละจะละสิ่งที่คนอื่นก็ละไม่ได้ ใครก็ละไม่ได้ เงินก็ละไม่ได้ ใครจ้างเท่าไหร่ก็ละไม่ได้ ต้องปัญญาเท่านั้นที่จะเข้าใจแล้วก็ละ ฟังอะไรก็ตามเดี๋ยวนี้ไม่ลืมเลย ธรรมะทั้งนั้นที่ไม่ใช่ธรรมะไม่มี แต่ไม่รู้ แล้วก็ลืมอย่างที่พูด ฟังแล้วก็ลืม

    เพราะฉะนั้นจะรู้อีก ก็เมื่อฟังอีกบ่อยๆ มีคำว่าพหุสุต พาหุสัจจะ ฟังความจริงมากมั่นคง ไม่ใช่ฟังอย่างอื่น เพราะฉะนั้นเราเรียกสั้นๆ ว่า พหูสูต ผู้ที่ฟังมาก และฟังอะไรล่ะ เขาเป็นพหูสูต นี่เขาฟังอะไรกัน ใช่ไหม แต่ถ้าไม่เข้าใจธรรมะไม่มีทางที่จะเป็นพาหุสัจจะ จากนี้ฟังไปบ่อยๆ ก็รู้เข้าใจขึ้น ต้องใช้ภาษาบาลีไหม ป็นหรือยัง ไม่ต้องคิด ถ้าตราบใดที่ยังไม่มีความเข้าใจที่มั่นคงจริงๆ ที่จะทำให้ถึงการเริ่มรู้หนทาง ตอนนี้ยังไม่รู้หนทางใช่ไหม ฟังธรรมะเข้าใจ แต่ทางที่จะเข้าใจขึ้นอีก เริ่มรู้ว่าเพราะฟัง แต่ฟังอย่างเดียวไม่พอ จะต้องมีปัญญาระดับสูงกว่านี้ต่อไป ซึ่งเกิดจากปัญญาขั้นฟัง ถ้าไม่มีปัญญาขั้นฟัง ขั้นอื่นมีไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นปัญญาที่ทรงแสดงไว้ ตามลำดับก็คือปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ ปริยัติคือการฟังพระพุทธพจน์ เขาก็ฟังกันไม่ใช่หรือ เขาก็ว่าเป็นพระพุทธพจน์กันไม่ใช่หรือ แต่เขาให้เข้าใจหรือเปล่าในแต่ละคำ ทุกคนได้ยินคำว่าธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่มีการปฏิเสธเลย แต่ไม่ได้เข้าใจว่าธรรมะคืออะไร และเป็นอนัตตาอย่างไร แต่เดี๋ยวนี้วันนี้เข้าใจแล้วว่าทุกอย่างที่มีจริงๆ มีลักษณะเฉพาะของตนของตน ไม่มีใครสามารถจะไปทำให้เกิดได้เลย แต่เกิดแล้ว นี่นั่งอยู่ตรงนี้แล้วตามเหตุตามปัจจัย ซึ่งตลอดมาไม่เคยรู้เลยสักขณะเดียว ว่าอะไรเป็นปัจจัย ให้ทำ ให้พูด ให้คิด ให้เสียใจ ให้ดีใจ ให้ช่วยเหลือคนอื่น ให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่วันนี้ก็คือว่าธรรมะทั้งหมด เกิดดับสืบต่อกันตั้งแต่ขณะแรก เพราะฉะนั้นตอนแรกที่ว่าเราเกิด เดี๋ยวนี้ก็รู้แล้วว่าไม่มีเรา ก็เป็นธรรมะเกิด แล้วธรรมะที่เป็นสัตว์บุคคลที่มีชีวิต ก็ต้องมี ๒ อย่าง คือสภาพที่ไม่รู้อะไรเลยเป็นรูปธรรม แต่ธาตุรู้หรือสภาพรู้ที่เกิดแล้วรู้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นนามธรรม เพราะฉะนั้นก็มี ๒ อย่าง นามธรรมกับรูปธรรม เดี๋ยวนี้มีนามธรรมไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ มีรูปธรรมไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ แล้วก็มีทั้งนามธรรม และรูปธรรมไหม แล้วมีแต่รูปธรรมมีไหม ก็มี โต๊ะ เก้าอี้ พวกนี้ก็เป็นรูปธรรมทั้งนั้น สภาพธรรมะมี ๒ อย่าง คือนามธรรมหรือรูปธรรม แต่นามธรรมมี ๒ อย่าง ตอนนี้แยกแล้ว เป็นจิตกับเจตสิก จิตธาตุรู้เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นนี่คือจิต คิดก็เป็นจิต ทุกขณะเป็นจิตตั้งแต่เกิดเพราะว่าจิต เกิดแล้วก็ดับ แล้วก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 181
    5 ก.ค. 2567