ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1070


    ตอนที่ ๑๐๗๐

    สนทนาธรรม ที่ กนกรัตน์รีสอร์ท อัมพวา จ.สมุทรสงคราม

    วันที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ ตั้งต้นด้วยความไม่รู้แล้วค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ สะสมไป เป็นธรรมทั้งหมด บางคนก็บอกว่า เมื่อได้ยินว่าธรรมทุกอย่างเป็นอนัตตา ตอนนี้สบายเเล้ว ทำอะไรก็เป็นอนัตตา จะทำทุจริต จะเกียจคร้าน จะสนุกสนาน จะอะไรก็เป็นอนัตตา เข้าใจจริงๆ หรือว่าทำ เพียงแค่เป็นตัวตนที่ต้องการจะทำ แล้วอ้างว่าเป็นอนัตตา

    เพราะฉะนั้น สัจจะบารมี ความจริงใจต่อความตรง ต่อความจริงของธรรมสำคัญที่สุด ถ้าศึกษาธรรมจะเป็นคนจริงและเป็นคนตรง จึงจะได้สาระจากธรรม ผิดคือผิด เป็นธรรมที่ผิด ถูกคือถูก ก็เป็นธรรมที่ถูก ไม่ใช่เรา

    ทุกอย่างต้องสอดคล้องกันทั้งหมด ด้วยการที่เข้าใจเพียงคำเดียวว่า ธรรม สิ่งที่มีจริงเป็นอนัตตา ถ้ามั่นคงจริงๆ ก็คือ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น รู้ไหมว่าในขณะนั้นว่าเป็นธรรม ถ้ายังไม่รู้ ยึดมั่นในขันธ์ ๕ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้ความจริงของขันธ์ ๕ จะละความยึดมั่นในขันธ์ ๕ ได้อย่างไร ก็ยังคงเป็นเราอยู่นั่นเอง

    ผู้ฟัง เห็น มีตาก็เห็น มีหูก็ได้ยิน แล้วเห็นเป็นธรรม ก็ยากและลึกซึ้ง เหมือนกับจะเข้าใจยากมากว่าเป็นอย่างไร เพราะถ้าคนเริ่มต้นก็อาจคิดว่าการไปแสวงหาธรรมจะต้องเป็นสิ่งที่ลึกลับ ไม่ใช่ลึกซึ้ง การที่จะเริ่มฟังเพื่อเข้าใจเรื่องนี้คืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ เมื่อครู่ทุกคนได้ฟัง เห็นเกิดแล้วดับ

    ผู้ฟัง เห็นเกิดแล้วดับ

    ท่านอาจารย์ ลึกซึ้งไหม

    ผู้ฟัง จริงๆ เหมือนเห็นอยู่ตลอดเวลา

    ท่านอาจารย์ นั่นสิ ไม่ลึกซึ้งใช่ไหม แต่ลึกซึ้ง คือเห็นนี้ เกิดและดับทันทีด้วย จิตที่เกิดต่อไม่เห็น คิดดู หนึ่งขณะจิตสั้นแค่ไหน ในเมื่อเดี๋ยวนี้เป็นทั้งคน เป็นทั้งโต๊ะ เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง จิตเกิดดับนับไม่ถ้วน เพราะฉะนั้น จิตหนึ่งขณะที่เกิดขึ้นทำกิจเห็น ไม่ใช่เราเห็น แต่จิตทุกจิตที่เกิดขึ้นต้องทำกิจการงานของจิตนั้นๆ ซึ่งกิจทั้งหมดของจิตมี ๑๔ กิจ ไม่ใช่เราสักกิจเดียว ใช่ไหม แต่เป็นกิจหน้าที่ของจิต และเจตสิก ซึ่งต่างเกิดขึ้นพร้อมกันจริง ต่างคนต่างทำหน้าที่ แยกกันไม่ออกด้วย อนัตตาหรือเปล่า ไม่ใช่ใครสักคน ซึ่งกว่าจะรู้ความจริงว่า ไม่ใช่เรา ต้องอาศัยการฟังอีกมาก ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ไปสำนัก ไปนั่งปฏิบัติ แล้วก็จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ไม่ได้รู้อะไรสักอย่าง แล้วจะไปรู้แจ้งอะไร

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรม ขันติบารมี ไม่มีบารมีเเล้วจะสามารถรู้ความจริงได้หรือไม่ ใครจะไปรู้ได้ เห็นกำลังเกิดดับ คิดเเล้ว ใช่ไหม อดทนไหม ในเมื่อความจริงเห็นเกิดดับ จะรู้หรือไม่รู้ ไม่รู้ก็ไม่รู้ไป แต่ถ้าจะรู้ความจริง ก็มีหนทางที่สามารถจะทำให้ถึงการประจักษ์แจ้งลักษณะของเห็น ซึ่งกำลังเกิดดับได้ นั่นคือ ธรรมที่เป็นธรรมรัตนะ ที่จะนำมาซึ่งการประจักษ์แจ้งความจริงของทุกคำที่ได้ฟังว่า เป็นคำจริงจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ถ้าความจริงไม่เป็นอย่างนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสอย่างนี้ได้หรือ แต่เมื่อธรรมเป็นจริงอย่างนี้ ได้ทรงตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมที่เป็นอย่างนี้ จึงได้ตรัสคำนี้ว่า เห็นเกิดขึ้นแล้วดับไป ธรรมทุกอย่างเกิด ต้องอาศัยเหตุปัจจัย เกิดแล้วก็ดับไป ลึกซึ้งไหม

    ผู้ฟัง ก็ฟังเข้าใจว่าเป็นอย่างนี้ แต่ก็รู้ว่า กว่าจะรู้อย่างที่ฟังอย่างนี้ก็จะต้องอาศัยปัญญา

    ท่านอาจารย์ ขณะที่กำลังเข้าใจอย่างนี้ ละเหตุของทุกข์ ละความติดข้อง สภาพธรรมจึงปรากฏตามความเป็นจริงได้ เพราะฉะนั้นทุกคำที่กล่าว ฟังแล้วเข้าใจ แต่ทำไมไม่ประจักษ์แจ้งอย่างนั้น เพราะความไม่รู้ และความติดข้องที่เนิ่นนานมาแล้วปิดกั้น ไม่ให้เห็นความจริงของสภาพธรรม

    เพราะฉะนั้น ต้องมีความรู้ที่ค่อยๆ คลายความไม่รู้ สภาพธรรมที่ถูกปิดไว้ก็เปิดลักษณะที่แท้จริง ให้เห็นว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ แต่ไม่ใช่กับคนที่ไม่รู้อะไรเลย แต่กับปัญญาเท่านั้นที่ได้อบรม จนกระทั่งละคลายความไม่รู้ และความติดข้อง แล้วสภาพธรรมก็ปรากฏได้ตามความเป็นจริง

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์กล่าวว่า รู้ความจริงที่สุดของเห็น แล้วก็บอกว่าเห็นเกิดแล้วดับ แล้วท่านอาจารย์ก็ยังบอกว่าไม่ทำอย่างอื่น คิดไม่ได้ ได้ยินไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้นนอกจากเห็นสิ่งที่กำลังเห็น

    ท่านอาจารย์ เห็น คิดได้หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ก็ตอบแล้ว

    ท่านอาจารย์ เห็น จำได้ไหม

    ผู้ฟัง จำก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ก็ตอบแล้ว เห็นก็เป็นเห็น แล้วจะสงสัยอะไร

    ผู้ฟัง แล้วจะลึกซึ้งอย่างไร ทำไมแค่รู้ว่าเห็นเพียงเห็น

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ที่เห็น จำด้วย ลึกซึ้งไหม ขณะที่เห็นเดี๋ยวนี้ จำด้วย แต่ไม่ปรากฏสภาพที่จำ แล้วเรียนมาทำไม จิตดวงนี้เกิดขึ้นพร้อมเจตสิก ๗ ซึ่งมีสัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย เรียนไปทำไม เรียนให้รู้ว่า ขณะนี้เจตสิกเหล่านั้นไม่ปรากฏเลย ลึกซึ้งไหม มีแต่เห็นซึ่งกำลังเห็น แต่สภาพที่จำสิ่งที่เห็นนี้ในขณะนั้นไม่ได้ปรากฏ ลึกซึ้งไหม และไม่ใช่มีแต่สัญญาเจตสิก คือสภาพที่จำภาษาบาลีใช้คำว่า สัญญาเจตสิก ยังมีเวทนาเจตสิก สภาพรู้สึกในสิ่งที่ปรากฏด้วย ลึกซึ้งไหม ทันทีที่จิตเกิดจะต้องมีเจตสิก ๗ ประเภทเกิดร่วมด้วย ลึกซึ้งไหม แล้วเห็นเป็นขันธ์หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่รู้ ก็ยึดมั่นว่าเป็นเรา ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จะละความยึดมั่นในขณะนี้ที่กำลังเห็น เพราะเห็น เห็นตามความเป็นจริง ปัญญาสามารถเข้าใจเห็นตามความเป็นจริงจึงสามารถที่จะคลาย จนกระทั่งดับการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราได้หมด เมื่อรู้ความจริงของขันธ์ทั้ง ๕ เพราะทั้งหมดเป็นอุปาทานขันธ์

    เพราะฉะนั้น ยากไหม ลึกซึ้งไหม อีกนานไหม แม้แต่เพียงสภาพธรรมที่ขณะเกิด ก็มีสภาพธรรมอื่นเกิดพร้อมกันก็ไม่ได้ปรากฏเลย แต่ต้องรู้เพราะรู้ได้ แต่ไม่ใช่ด้วยความเป็นเรา ตั้งใจจะรู้สัญญาเจตสิกได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ตั้งใจจะรู้เวทนาเจตสิกได้ไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ปัญญาใช่ไหมที่เป็นอนัตตา ทุกอย่างเป็นอนัตตา สติเป็นอนัตตา แล้วแต่ปัจจัย เลือกไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น หนทางนี้เป็นหนทางที่จะเข้าใจความเป็นอนัตตามั่นคงขึ้น ตามกำลังของปัญญา

    ผู้ฟัง ตรงนี้ก็เป็นการตอบคำถามว่า เลือกที่จะสนใจสิ่งที่เป็นประโยชน์กับชีวิต หรือสนใจเรื่องอื่น อย่างสะสมทรัพย์สมบัติ ทุกคนรู้ว่าตายไปก็เอาไปไม่ได้ หมดไป ชาติหน้าก็ไปแสวงหาสะสมใหม่

    ท่านอาจารย์ ตอบได้คำเดียว ทั้งหมดเป็นธรรม ถ้ายังไม่เป็นก็หมายความว่า ยังมีความเป็นเราอยู่นั่นเอง มากบ้างน้อยบ้าง ตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง เพราะเหตุว่ายังไม่รู้จริงๆ ว่า ไม่มีปัญหาเลย เพราะว่า ไม่ใช่เรา เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย บังคับบัญชาไม่ได้ ยับยั้งไม่ได้ด้วย

    ผู้ฟัง ถ้ากล่าวว่าทั้งหมดเป็นธรรม ก็ไม่มีอะไรสนทนา

    ท่านอาจารย์ มี ก็ยังมีว่า ธรรมหลากหลายไม่ใช่หรือ แล้วแต่ละหนึ่งรู้หรือยัง รู้มากน้อยแค่ไหน

    ผู้ฟัง ทราบว่าทั้งหมดเป็นธรรม แต่ยังไม่รู้เป็นธรรมอย่างไร ก็ศึกษา

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมด ก็บอกมาทีละอย่างจนหมด

    ผู้ฟัง ทั้งหมด ก็เห็น รู้ความจริงของเห็นหรือยัง

    ท่านอาจารย์ ใช่ อะไรอีก

    ผู้ฟัง คิด รู้ความจริงของคิดหรือยัง

    ท่านอาจารย์ อะไรอีก ไม่มีจบ

    ผู้ฟัง ชอบ ไม่ชอบอะไร

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมด

    ผู้ฟัง อาหารอร่อย

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างในชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายเป็นธรรม ไม่มีอะไรเลยนอกจากธรรม

    อ.อรรณพ ตอนที่ฟังธรรมไม่รู้เรื่อง เป็นธรรมไหม

    ท่านอาจารย์ แน่นอน ถ้าไม่มีธรรมจะไม่รู้เรื่องหรือ เพราะไม่รู้เรื่องมี เพราะฉะนั้น ไม่รู้เรื่องนั่นเอง เป็นธรรม

    อ.อรรณพ ถ้าท่านที่มาฟังใหม่เเล้วรู้สึกว่าไม่รู้เรื่อง เพราะอาจมีคำภาษาบาลีที่ฟังยาก อุปาทานขันธ์อะไรอย่างนี้ ก็ให้ทราบว่า ขณะที่ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น นี่คือ ประโยชน์ของการสนทนาธรรม เป็นมงคลในมงคล ๓๘ แม้ว่ามีการฟังธรรมแล้วยังต้องมีการสนทนาธรรม เพราะว่ามีปัญหา มีความข้องใจ และก็สามารถที่จะกล่าวถึง ความจริงของสิ่งนั้นจนกระทั่งเข้าใจกันได้

    อ.อรรณพ มีพระสูตรหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ดีละ ภิกษุทั้งหลาย การที่พวกเธอผู้เป็นกุลบุตร ออกจากเรือนมาบวชด้วยศรัทธา นั่งสนทนาธรรมกันเป็นการสมควร แล้วพระองค์ก็ได้เกื้อกูลพระธรรม ตั้งแต่เรื่องของการแสวงหาว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย การแสวงหามี ๒ อย่าง อย่างแรกคือ แสวงหาที่ไม่สมควร เป็นการแสวงหาที่ไม่ประเสริฐ อย่างหนึ่ง แล้วก็การแสวงหาที่ประเสริฐอีกอย่างหนึ่ง

    การแสวงหาที่ไม่ประเสริฐ เป็นไฉน คนบางคนในโลกนี้ ตนเองเป็นผู้มีความเกิดเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งที่มีการเกิดเป็นธรรมดาอยู่นั่นเองหมายความอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดมา แล้วก็แสวงหาสิ่งที่เกิดหรือเปล่า

    อ.อรรณพ แสวงหาสิ่งที่เกิด คืออะไร

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างเกิด ก็แสวงหาสิ่งที่เกิดนั่นเอง

    อ.อรรณพ แสวงหาสิ่งที่เกิด

    ท่านอาจารย์ รู้ไหมว่า ที่เกิด ที่ว่าเป็นเรา คือเพราะมีการเกิด ก็ยังแสวงหา ไม่ว่าอะไรทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่ต้องเกิด ไม่เกิดจะมีได้อย่างไร

    อ.อรรณพ จะแสวงหามือถือดีๆ สักอัน

    ท่านอาจารย์ นั่นก็ต้องเกิด ไม่เกิดจะมีให้ได้หรือ

    อ.อรรณพ สิ่งนั้นต้องเกิด

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างต้องเกิด

    ท่านอาจารย์ เมื่อเป็นผู้ที่มีความเกิดเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งที่เกิด

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะแสวงหาอะไร เมื่อย่อยไปแล้ว สิ่งนั้นประกอบด้วยสิ่งที่เกิดทั้งสิ้น

    ท่านอาจารย์ แสวงหาสิ่งที่เกิด

    อ.อรรณพ แสวงหาดอกไม้

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องมีดอกไม้เกิด

    อ.อรรณพ แสวงหาความรู้สึกสบายๆ

    ท่านอาจารย์ ความรู้สึกสบายๆ ก็ต้องเกิด ไม่เกิดจะมีหรือ

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้น ก็คือแสวงหาสิ่งที่เกิด

    ท่านอาจารย์ แน่นอน และตัวเองก็เกิด เมื่อมีความเกิดเป็นธรรมดา ยังแสวงหาสิ่งที่เกิด

    อ.อรรณพ มีความเป็นธรรมดาของผู้ที่ยังมีความไม่รู้อยู่ จึงต้องมีการเกิดมา แล้วเมื่อเกิดก็ยังไม่รู้ แล้วยังหาสิ่งที่เกิด และสิ่งนั้นก็จะต้องดับ เพราะฉะนั้น ก็จะสอดคล้องกับข้ออื่นด้วยทั้งหมดว่า มีความตายเป็นธรรมดา และยังแสวงหาสิ่งที่เป็นมรณะ เป็นความตายอีกอย่างไร

    ท่านอาจารย์ แน่นอน แสวงอะไรสิ่งนั้นก็ต้องตาย คนไหนก็ต้องตาย จะแสวงหาคนที่พอใจที่รักใคร่เป็นญาติ เป็นพี่น้อง อย่างไรก็ตามแต่ก็ต้องตาย

    อ.คำปั่น ถ้าเป็นการแสวงหาที่ไม่ประเสริฐ ก็แน่นอนว่าเป็นไปด้วยอกุศล ด้วยโลภะเป็นต้น ก็ยังเป็นเหตุให้ผู้นั้นมีการเกิดอยู่ร่ำไป จึงไม่ใช่สิ่งที่ประเสริฐเลย

    อ.อรรณพ เเล้วทราบชัดโทษในสิ่งที่มีการเกิดเป็นธรรมดา

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เห็นโทษหรือยัง

    อ.อรรณพ ไม่เห็นอะไรเลย

    ท่านอาจารย์ ไม่เห็นก็ต้องบอกว่า สิ่งที่เกิดนั้นดับทุกขณะแล้วไม่เหลือ เห็นโทษไหม กว่าคำนี้จะลงไปถึงใจอย่างมั่นคงว่า ไม่มีอะไร เพียงแต่เกิด จากไม่มี ก็เกิด แล้วก็หมดไป ไม่กลับมาอีกเลย เหมือนเดิมที่ไม่มี แล้วอยู่ไปทำไม แค่เกิดมาเห็น เกิดมาได้ยิน เกิดมาคิด เกิดมาชอบสิ่งซึ่งเกิดดับอยู่ตลอดเวลา

    เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังไม่เข้าใจอย่างนี้ก็ไม่เห็นโทษ ต่อเมื่อเห็นโทษว่า แล้วมีประโยชน์อะไร จากไม่มี แล้วก็มี แล้วก็หามีไม่ คือไม่มีอีกเลย หายไปเลย แล้วจะมีทำไม เพียงชั่วขณะที่เกิด แล้วยังไม่ดับ ถ้ายังไม่เห็นโทษอย่างนี้ก็เกิดต่อไปอีกเรื่อยๆ ใช่ไหม ก็ชอบที่จะมีสิ่งนั้นสิ่งนี้ โดยไม่รู้ว่าแท้ที่จริงไม่มี ไม่มีแน่นอน เพราะสิ่งใดที่เกิดขึ้น สิ่งนั้นดับ

    ถ้าไม่ประจักษ์ความจริงอย่างนี้ ในขณะนี้ละความเป็นตัวตนไม่ได้ เพราะยังรวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ต้องแต่ละหนึ่งเกิดจริงๆ ดับจริงๆ ให้ปรากฎว่า ไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น ไม่เป็นของใคร ไม่ใช่ใคร ไม่มีอะไรเหลือ แล้วจะเป็นอย่างนี้ไปในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งเป็นมาแล้วอย่างนี้ แล้วจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ พ้นจากนี้ ออกจากนี้ไม่ได้เลย ไม่เห็นว่าเป็นทุกข์ใช่ไหม ไม่เห็นว่าเป็นความทรมานใช่ไหม จะต้องเป็นอย่างนี้อีกนานแสนนานนับไม่ถ้วนเลย คือ ไม่มีทางออกจากการที่จะต้องเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ถ้าตราบใดยังแสวงหาอย่างนี้ก็เป็นอย่างนี้ เพราะว่าไม่ได้แสวงหาสิ่งที่ประเสริฐ คือ ไม่เกิดอีกเลย

    อ.อรรณพ ตอนนี้จะมี ๒ พวก คือ พวกที่เป็นการแสวงหาที่ไม่ประเสริฐ คือ ตัวเองมีกิเลสเป็นธรรมดา แล้วก็ยังแสวงหากิเลสนั้นอีก กับผู้ที่เป็นการแสวงหาประเสริฐ คือ รู้ว่าตนเป็นผู้มีกิเลสเป็นธรรมดา แต่ก็ทราบชัดในกิเลสเป็นธรรมดานั้น แล้วก็ย่อมแสวงหาสิ่งที่พ้นจากกิเลสไป คือ พระนิพพาน

    ท่านอาจารย์ ถ้าเห็นโทษของกิเลส อยากมีกิเลสไหม

    อ.อรรณพ ถ้าเห็นโทษก็ไม่อยาก

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ยังมีกิเลส เพราะยังไม่เห็นโทษของกิเลส

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้น ก็เป็นคำอธิบายให้ทราบของโทษ แต่คงยังไม่ทราบชัดโทษในกิเลส

    ท่านอาจารย์ ถ้าทราบวันนี้บ้าง ต่อไปรู้ขึ้นอีกไหม ต่อไปรู้ขึ้นอีกไหม นี่คือการเป็นผู้ที่เป็นสาวกโพธิสัตว์ ไม่ถึงความเป็นพระมหาสัตว์ หรือพระมหาโพธิสัตว์ คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่จากความเข้าใจถูกต้องทีละเล็กทีละน้อย ก็เป็นโพธิสัตว์ สัตว์ที่ข้องในการที่จะมีความเข้าใจที่ถูกต้อง คือ ความจริงเดี๋ยวนี้ ก็จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ความจริงทนต่อการพิสูจน์

    เพราะฉะนั้น คำที่ว่า ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏเกิดขึ้นและดับไป ต้องปรากฏแน่นอน แต่กับปัญญาที่ได้อบรมแล้วเท่านั้น เพราะว่าขัดเกลากิเลส ละความติดข้อง คลายความไม่รู้ จนสภาพธรรมนั้นปรากฏได้ คุณธิดารัตน์ กรรมฐานคืออะไร

    อ.ธิดารัตน์ ก็หมายถึง ที่ตั้งของการงาน ถ้าในที่นี้ก็เป็นการงานทางใจ เพราะว่าไม่ใช่เป็นการกระทำ อย่างเช่น การอบรมเจริญวิปัสสนา ก็ใช้คำว่า กรรมฐาน ที่ตั้งแห่งการงานที่เป็นปัญญา ที่รู้ลักษณะของธรรมนั่นเอง หรือว่า สมถกรรมฐาน ก็เป็นที่ตั้งของการงานทางใจที่ทำให้จิตสงบ

    ท่านอาจารย์ ฐานะเป็นที่ตั้ง กรรม คือการกระทำ เพราะฉะนั้น กรรมฐานเป็นที่ตั้งของใคร

    อ.ธิดารัตน์ ท่านใช้คำว่า การงานทางใจ

    ท่านอาจารย์ ต้องเป็นที่ตั้งของการกระทำของปัญญา

    อ.อรรณพ การฟังธรรม การสนทนาธรรม พระองค์ตรัสว่าเป็นกรรมฐานสำหรับผู้ที่มีโมหจริต คือ ผู้ที่ยังมีความไม่รู้อยู่มากมาย การฟังธรรม การสนทนาธรรม เป็นกรรมฐาน

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ฟังจะรู้ไหมว่าอะไรเป็นฐาน ที่ตั้งของปัญญา

    อ.อรรณพ ไม่ทราบเลย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ทุกอย่างที่มี แล้วปัญญารู้และเข้าใจในสิ่งนั้น สิ่งนั้นเป็นที่ตั้งของการงานของปัญญา ที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งนั้น ไม่ใช่สิ่งอื่น

    อ.ธิดารัตน์ คำว่าสติปัฏฐาน หมายถึงธรรมที่เป็นที่ตั้งให้สติระลึก

    ท่านอาจารย์ เป็นที่ตั้งของสติที่กำลังเกิดในขณะนั้น สติรู้อะไรขณะนั้น ก็เป็นฐานที่ตั้งให้สติที่พร้อมด้วยปัญญา จึงเป็นสติปัฏฐาน ถ้าไม่พร้อมด้วยปัญญาก็เป็นสติปัฏฐานไม่ได้

    เพราะฉะนั้น แต่ละคำถ้าเราไม่เข้าใจ เราก็ไปนั่งกรรมฐาน แต่ว่าความจริงไม่ใช่เลย เดี๋ยวนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มี สิ่งไหนที่ปัญญาเข้าใจ สิ่งนั้นเป็นฐานะ เป็นที่ตั้งของกิจของปัญญาที่จะเข้าใจในสิ่งนั้น

    อ.ธิดารัตน์ การอบรมเจริญสติปัฏฐานก็ไม่ได้จำกัดสถานที่ ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องไปเจริญ ณ ที่นั้นๆ ท่านใช้คำว่า จำปรารถนาในที่ทั้งปวง หมายถึงว่าสามารถที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดในที่ทั้งปวง

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    อ.ธิดารัตน์ เพราะความเข้าใจที่สะสมเป็นปัจจัย

    ท่านอาจารย์ เพราะที่ไหนๆ ก็มีสิ่งที่ไม่เคยรู้ และถ้าจะรู้ก็ต้องรู้ในสิ่งที่มีนั่นเอง ไม่ใช่ว่าต้องไปเลือกว่าจะต้องรู้ตรงนั้นตรงนี้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นโดยนัยนั้นก็โดยความเป็นอัตตา เข้าใจผิดคิดว่า สามารถที่จะกระทำเมื่ออยู่ตรงนั้น แต่ว่า อนัตตา คือสภาพธรรมไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา

    เดี๋ยวนี้ ผู้ที่ฟังธรรมในครั้งนั้นบรรลุเป็นพระโสดาบัน เพราะสภาพธรรมเดี๋ยวนี้เป็นที่ตั้งของปัญญา ที่ผู้นั้นแทงตลอดสิ่งนั้นในขณะนั้น จึงสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้

    อ.ธิดารัตน์ หมายความว่า ความเข้าใจสมบูรณ์ที่จะรู้ลักษณะของธรรม ณ ที่ไหน ก็ระลึก ณ ที่นั้น

    ท่านอาจารย์ เริ่มตั้งแต่ ต้องมีความเข้าใจในขั้นปริยัติว่าสิ่งที่ปัญญาจะรู้ ไม่ใช่สิ่งอื่นเลย ทุกอย่างที่มีจริงที่ไม่รู้นั่นเอง เมื่อปัญญารู้สิ่งนั้น สิ่งนั้นก็เป็นฐานะ เป็นที่กระทำกิจความเข้าใจของปัญญา

    อ.ธิดารัตน์ เหมือนอย่างเราได้สนทนาเรื่องของสภาพเห็น หรือเรื่องสิ่งที่ปรากฏเหล่านี้ ความเข้าใจที่มั่นคงเหล่านี้ก็เป็นที่ตั้งให้สติระลึก ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ปัญญารู้เห็นไหม

    อ.ธิดารัตน์ ต้องรู้

    ท่านอาจารย์ เห็น ก็เป็นที่ตั้งของปัญญาในขณะที่รู้ ปัญญารู้เเข็งไหม เพราะฉะนั้น แข็งนั้นก็เป็นที่ตั้งของปัญญา ที่กำลังเข้าใจถูกต้องในขณะนั้น

    อ.อรรณพ เเต่ท่านมีคำว่า ตามกาล หมดเลย ฟังธรรมก็ตามกาล สนทนาธรรมก็ตามกาล สมถะก็ตามกาล หรือแม้กระทั่งวิปัสสนา ท่านก็ใช้ว่าตามกาล

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวจะถึงตามกาลอะไร เห็นไหมว่าทุกขณะก็เป็นกาลของสิ่งนั้นทั้งนั้น เดี๋ยวก็ถึงตามกาลกลับบ้าน ใช่ไหม ก็เป็นของธรรมดา คือ ขอให้เข้าใจ ไม่ใช่ว่าเราจะไปติดที่คำ แต่ต้องเข้าใจ โดยไม่ข้ามแต่ละคำเลย ต้องเข้าใจ จะประมาทคิดว่า เมื่อครู่นี้พูดได้ตั้งหลายคำ หมดเเล้ว ต่อเรื่องใหม่ แต่ว่าแต่ละคำนั้นมีความเข้าใจมากน้อยแค่ไหน แล้วจะเข้าใจถูกต้องขึ้นได้ไหม

    แม้แต่คำว่า เถรวาท กับคำว่า สำนักปฏิบัติ เราข้ามได้ไหม กรรมฐาน กรรมฐานคืออะไร แต่ไปนั่งกรรมฐานถูกไหม ก็ต่างกันเเล้ว มีคำว่ากรรมฐาน แต่ใช้ผิดเพราะเข้าใจผิด ไปนั่งกรรมฐาน นั่งทำไมกรรมฐาน แต่ถ้ารู้ว่ากรรมฐานคืออะไร ที่ตั้งของปัญญาที่แทงตลอดในสภาพธรรมนั้น

    เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้เป็นเถรวาท แต่ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ไม่ใช่เถรวาท ซึ่งเถรวาท ไม่ใช่ว่าเราไปตั้งหรือกำหนดขึ้นมา แต่ว่าต้องเป็นความมั่นคงในความเข้าใจในพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    อ.ธิดารัตน์ อย่างคนที่คิดว่า เขาจะต้องไปทำสมถะให้ได้ก่อน แล้วค่อยเอามาเป็นบาทของวิปัสสนา คือ เขาไปศึกษาแล้วเจอคำที่ว่า สมถะเป็นบาทของวิปัสสนา เขาก็เลยต้องไปเจริญสมถะก่อน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น วิปัสสนาคืออะไร สมถะคืออะไร ก่อนที่จะสนทนาเรื่องอะไรทั้งหมด ต้องรู้ทีละคำให้ชัดเจน ไม่ใช่ว่าเราคิดว่าเราเข้าใจแล้ว แต่เราเข้าใจอย่างไรก็ต้องสนทนากันให้เป็นที่เข้าใจว่าถูกหรือผิด เพราะฉะนั้น วิปัสสนา คืออะไร

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 181
    2 ส.ค. 2568