ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1075
ตอนที่ ๑๐๗๕
สนทนาธรรม ที่ บริษัทเชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด
วันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา รวมนิพพานด้วย จึงมีคำว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา รวมหมดทั้งนิพพานด้วย แต่ถ้าพูดถึงสังขารธรรมไม่รวมนิพพาน ละเอียดไหม ลืมไหม ถ้าเข้าใจจริงๆ ใครบอกว่าสังขารธรรมเรารู้ว่าหมายความว่าอะไร ใครบอกว่าสังขารขันธ์เรารู้ว่าหมายความว่าอะไร เจตสิก ๕๐ เป็นสังขารธรรมและเป็นสังขารขันธ์ เเต่ยังมีเจตสิกอื่นซึ่งไม่ใช่เจตสิก ๕๐ นั่นคือเวทนาเจตสิก เเละสัญญาเจตสิก
เพราะฉะนั้น เวทนาเป็นขันธ์อะไร เวทนาขันธ์ต่อจากรูปขันธ์ ขันธ์ ๕ คือ หนึ่งรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ครบ แสดงว่ารูปขันธ์หนึ่งก็รู้เลย ถ้าเวทนาขันธ์หมายความถึงเวทนาเจตสิก สำคัญไหม ไปซื้อมาทำไมถ้าไม่ชอบ ถ้าไม่มีความสุข ตลอดชีวิตจึงแสวงหาความสุข ความรู้สึกสำคัญไหม ไม่มีสุขก็ขอแค่ไม่ทุกข์ก็คือ อุเบกขา ไม่สุขไม่ทุกข์ แต่ไม่ได้ต้องการทุกข์เลย แล้วก็ยังเป็นที่ติดข้องด้วยความเป็นเรา เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างไม่พ้นจากความจริงซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน ดังนั้น จะละกิเลสก็ด้วยความเข้าใจถูกว่าไม่ใช่เรา เพราะกิเลสที่จะต้องละก่อนก็คือ การยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา
ผู้ฟัง เป็นปัญหาของพี่ท่านหนึ่งว่า ตั้งแต่เกิดมาก็เข้าใจว่าได้ศึกษาพระธรรมมา จนถึงปัจจุบันก็มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นว่าสิ่งใดที่ดีสิ่งใดที่ถูก ตอนนี้ก็พยายามอยู่ด้วยเมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขาบ้าง เมื่อได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับพระอภิธรรมก็รู้สึกสนใจ แต่ว่าก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไร
ท่านอาจารย์ ก็เริ่มด้วยการเข้าใจธรรมก่อน สิ่งที่มีจริงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ใช่ไหม เกิดขึ้นเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างที่ปัจจัยปรุงแต่งให้เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น สภาพธรรมซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้เลย แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เปลี่ยนไม่ได้ แต่ทรงแสดงความจริงของสภาพธรรมนั้นๆ
เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหมดเป็นปรมัตถธรรม หมายความว่า ปรม (ปะ-ระ-มะ) คือ บรม ยิ่งใหญ่ ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แข็ง ใครจะไปเปลี่ยนแปลงให้เป็นหวาน หรือเป็นเสียงก็ไม่ได้ ดังนั้นธรรมทุกอย่างเป็นปรมัตถธรรม ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ กว่าจะรู้ว่าสภาพธรรมทุกอย่างไม่ใช่เรา แข็งเป็นแข็ง เป็นนิ้วหรือ ขาหรือ ผมหรือ จริงๆ แล้วก็แข็งใช่ไหม แต่ว่ารูปร่างสัณฐานต่างๆ จำไว้หลากหลายว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ก็ลักษณะจริงๆ สภาวะคือแข็ง เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเรา
เพราะฉะนั้น ศึกษาธรรมด้วยการเข้าใจคำแรกคือคำว่า ธรรม เมื่อรู้ว่าเป็นปรมัตถธรรมก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาอีกว่า อย่างไรๆ กี่ภพกี่ชาติ ใครก็ไปเปลี่ยนแปลงธรรมซึ่งเกิดให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย และความลึกซึ้งกว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เรา ลึกซึ้งแค่ไหน เป็นอภิธรรม
ดังนั้นจะกล่าวว่า จะศึกษาอภิธรรมโดยไม่เข้าใจธรรมได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ก็คือธรรมนั่นเองเป็นปรมัตถธรรม และเป็นอภิธรรม ในครั้งพุทธกาลไม่มีตำรา แต่ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนั้น เช่น เห็นอย่างนี้มีจริงๆ ได้ยินก็มีจริงๆ ถ้าเข้าใจเห็นในขณะนั้น ในอภิธรรมก็ต้องมี แต่ไม่ใช่ไปเรียนตัวหนังสือว่าธรรมคืออะไร เป็นปรมัตถธรรม มีอะไรบ้าง จิต เจตสิก รูป เป็นสังขารธรรม นิพพานเป็นวิ ~ ปราศจาก สังขาร คือไม่มีอะไรไปปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมาได้ แต่ไม่ได้หมายความว่านั่นเป็นตัวหนังสือ เเต่เป็นเดี๋ยวนี้
ถ้าศึกษาธรรมจริงๆ ก็คือ ศึกษาสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ อาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งได้ตรัสไว้ดีแล้ว ซึ่งแต่ละคำเป็นไปตามความหมายของสิ่งหนึ่งๆ เช่น พูดว่าเห็น ไม่มีใครไปคิดถึงได้ยิน พูดว่าได้ยิน ไม่มีใครไปคิดว่าโกรธ แต่ละเสียงเป็นไปตามความหมายของคำนั้นๆ
เพราะฉะนั้น อภิธรรมไม่ใช่คำในหนังสือ แต่ทุกคำเป็นเสียง แม้แต่คิดก็เป็นเสียงที่ไม่ได้เปล่งออกมา แต่เป็นจิตที่นึกถึงคำแต่ละคำ ลองคิด พระนครสาวัตถี ไม่ต้องพูดคิดได้ไหม ก็คือคิดถึงเสียงที่ไม่ได้เปล่งออกมาเป็นเสียง เป็นคำต่างๆ ซึ่งการฟังพระธรรมในครั้งนั้นก็คือ ฟังคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส การศึกษาพระอภิธรรมในครั้งนี้ก็ต้องเช่นเดียวกัน คือเข้าใจสิ่งที่มีจริงว่าเป็นธรรม และเป็นอภิธรรม แต่ว่าหลากหลายมาก และปัญญาของคนยุคหลังๆ ก็ห่างไกลจากการที่ได้เฝ้าได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์
จากการที่ได้มีผู้ที่จารึกไว้ แต่กว้างขวางหลากหลายเป็นพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก มีใครสักคนหนึ่งไหมที่จับพระสุตตันตปิฎกขึ้นมาแล้วบอกว่าเขาเข้าใจหมด ไม่มี แสดงให้เห็นว่า การเข้าใจธรรมมาจากการที่เหมือนได้ฟังในครั้งนั้น แต่เพียงแต่ว่าไม่ได้เป็นเสียงจากพระโอษฐ์ แต่ความหมายของคำแต่ละคำครบถ้วนอยู่ที่นั่น
เพราะฉะนั้น กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง หลายคนที่ศึกษาพระอภิธรรมไม่รู้ว่า เดี๋ยวนี้เป็นอภิธรรม เป็นปรมัตถธรรม เพราะธรรมทั้งหมดเป็นปรมัตถธรรม เป็นอภิธรรม
ดังนั้น ศึกษาธรรมไม่ใช่ตามตัวหนังสือ จิตมี ๘๙ ประเภท เดี๋ยวนี้จิตไหน จะตอบว่าอย่างไร หนึ่งใน ๘๙ ง่ายไหม ไม่ใช่ไม่รู้ว่าจิตทั้งหมดมี ๘๙ แล้วเพียงคำถามเดี๋ยวนี้จิตไหน ไปนั่งคิดใหญ่เลยจิตไหน แต่ความจริงหนึ่งใน ๘๙ ใช่ไหม นี่คือความรู้ของเราแล้วต้องไปอาศัยจำหรือเปล่า
การศึกษาพระอภิธรรมก็คือ การศึกษาให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง แต่ถ้าใครศึกษาพระอภิธรรมเพื่อสอบ ถูกหรือผิด อภิธรรมตรี โท เอก เข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้หรือเปล่า มีไหมในครั้งพุทธกาลศึกษาเพื่อปริญญา ศึกษาเพื่ออภิธรรมตรี โท เอก หรือว่าศึกษาคำใดก็คือ ได้ยินคำนั้นแล้วเข้าใจเพราะไตร่ตรอง ศึกษาโดยไม่เข้าใจมีไหม จะศึกษาเพื่อให้ไม่เข้าใจกันทำไม ศึกษาก็เพื่อเข้าใจ แล้วถ้าไม่ไตร่ตรองจะเข้าใจได้ไหม ก็แค่จำ
เพราะฉะนั้น ศึกษาก็คือว่าต้องเป็นความเข้าใจที่เกิดจากการไตร่ตรอง ไม่ใช่ไปตามตัวหนังสือ แล้วไปสอบได้ เห็นได้เลยว่า คำใดเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นไปเพื่อการละ ไม่ใช่เป็นไปเพื่อการจะได้มา เพราะการได้ทั้งหมดเป็นความติดข้องใช่ไหม เพราะไม่รู้ใช่ไหม แต่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำเป็นไปเพื่อละความไม่รู้ และก็ละกิเลสอื่นๆ ด้วย ซึ่งเกิดขึ้นเพราะได้เข้าใจถูกต้อง
ใครบอกว่าไปศึกษาพระอภิธรรมก็คือ เขาต้องเข้าใจธรรมใช่ไหมว่า ธรรมนั่นเองที่ลึกซึ้ง จึงใช้คำว่าอภิธรรม แต่ถ้าเขาบอกว่าเขาไม่ศึกษาพระอภิธรรม เขาจะศึกษาพระสูตร ถูกหรือผิด แปลว่าไม่รู้ตั้งแต่เริ่ม ศึกษาไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้เพิ่มขึ้น มีแต่ตัวหนังสือแล้วก็ไปจำไว้ ถามอะไรก็ไม่รู้
เดี๋ยวนี้เป็นจิตอะไร ถามอีกทีทุกคนก็ตอบได้ ก็หนึ่งใน ๘๙
จิตเห็น เหมือนกันไหม เริ่มยาก ไม่ฟังไม่รู้ จิตเห็นเกิดขึ้นเห็น ไม่ทำกิจอื่นเลยเหมือนกัน แต่เหตุที่จะให้จิตเห็นต่างกัน บางครั้งเห็นสิ่งที่น่าพอใจ บางครั้งเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ เลือกไม่ได้ ทุกคนอยากเห็นแต่สิ่งที่น่าพอใจ แต่ทำไมเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ เพราะกรรมเป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้น ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม จิตนั้นก็ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นจิตเห็นประกอบด้วยเจตสิก ๗ ดวง แต่เป็นผลของกรรมที่ต่างกัน จึงเห็นสิ่งที่ต่างกัน
ยามใด กาลใด ขณะใดเห็นสิ่งที่น่าพอใจให้รู้เลยว่า เลือกไม่ได้ เกิดแล้ว เห็นแล้ว เพราะกุศลกรรมเป็นปัจจัยให้จิตนั้นเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่น่าพอใจ ยามใดที่เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจก็เลือกไม่ได้อีก เพราะเหตุว่ากรรมที่เป็นเหตุทำให้แม้เห็น ก็เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ เห็นสิ่งที่สกปรกเลอะเทอะ อะไรก็ตามแต่ แล้วแค่ปัญญาของเราจะรู้ไหมว่า สิ่งใดเป็นสิ่งที่น่าพอใจ และสิ่งใดเป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ปัญญาของเราพอไหม เราไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นแล้วยังไม่รู้เลยว่าตรงนี้อะไรเป็นสิ่งที่น่าพอใจ ไม่น่าพอใจ บอกไม่ได้ใช่ไหม ดอกไม้มีสีต่างๆ ชอบสีไหนเป็นที่พอใจ ไม่ชอบสีนั้นแต่เปลี่ยนสีนั้นไม่ได้ แต่สะสมมาที่จะเกิดความไม่ชอบ แม้ที่ไม่ชอบหรือชอบก็เพราะเหตุปัจจัย
แสดงความละเอียดขึ้นๆ ๆ ของธรรม ให้มีความเข้าใจที่มั่นคงว่าไม่ใช่เราก่อนจะถึงปฏิปัตติ ซึ่งเป็นปฏิบัติโดยไม่ต้องไปสำนักไหนเลย เพราะปัญญาเกิดที่ไหนก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ เพราะเป็นอนัตตา ทุกคำต้องสอดคล้องกันหมด ไม่อย่างนั้นผิดง่ายมากเพราะอะไร ผู้ที่สอนพระอภิธรรมก็มีสำนักปฏิบัติ ถูกไหม ผู้ที่สอนพระอภิธรรมก็ตั้งสำนักปฏิบัติถูกไหม ผิด ก็ถ้าเข้าใจธรรมแล้วว่าเป็นอนัตตา แล้วสำนักปฏิบัติคืออะไร ไปทำอะไร อนัตตามีไหม เห็นไหมว่าไม่ได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง
เพราะฉะนั้น ธรรมไม่ใช่เพียงแค่ฟัง ต้องเข้าใจอย่างมั่นคง เถระ มีคำว่าเถรวาท หมายความว่าอะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเถระหรือเปล่า แต่ท่านพระอานนท์เถระ ท่านพระมหากัสสปะเถระ ท่านพระอนุรุทธะเถระ คือผู้ที่มีความมั่นคงในพระธรรม จนรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระอรหันต์ จะเปลี่ยนแปลงคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้หรือ ในเมื่อท่านเป็นผู้ที่มั่นคงจนประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม แล้วคนที่ศึกษาธรรม แต่ไม่เข้าใจว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา มีสำนักปฏิบัติ ซึ่งไม่มีในครั้งพุทธกาล เพราะทุกอย่างต้องสอดคล้องไม่เปลี่ยน
อนัตตาต้องเป็นอนัตตา บังคับให้ปัญญาเกิดได้ไหม ไปเดินเพราะหวังอะไร เดินทำไม นั่งทำไม หวังอะไร หวังให้มีปัญญาเกิดขึ้น แล้วปัญญาจะเกิดเพราะอย่างนั้นหรือ สักคำก็ไม่รู้ว่าอนัตตา คือ ปกติเดี๋ยวนี้เอง
เพราะฉะนั้น ปัญญาจริงๆ เข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ที่ปรากฏ จากปกติที่ไม่เคยเข้าใจ จากแข็ง กระทบแข็ง สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เหมือนเดิม เสียงก็เหมือนเดิม ทุกอย่างก็เหมือนเดิม อะไรเป็นความต่าง ความเข้าใจในสิ่งนั้น ในความเป็นธรรมที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นโดยไม่ใช่เรา แต่โดยสติสัมปชัญญะ
เริ่มรู้แล้วว่าสติคืออะไร สัมปชัญญะคืออะไร ทั้งหมดเป็นธรรม ไม่ใช่เราอย่างไร ทั้งหมดต้องสอดคล้องกันเพื่อละความไม่รู้ แต่ว่าไปสำนักปฏิบัติเพราะต้องการใช่ไหม เห็นไหมว่าตรงกันข้ามแล้ว เพราะไม่รู้จึงต้องการ คิดว่าไปแล้วปัญญาจะเกิด แต่เดี๋ยวนี้ปัญญาเกิดหรือเปล่า ถ้าเดี๋ยวนี้ไม่มีปัญญา ไปทำอย่างนั้นนั่งอย่างนั้นปัญญาเกิดขึ้นได้อย่างไร
ถ้าปัญญาเกิดขึ้นได้ต้องเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว แต่ไม่ใช่ ถ้าใครพูดอย่างนี้แล้วบอกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ เรารู้เลยว่าไม่ใช่ เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหมายความถึง ผู้ที่ทรงตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงของธรรม แล้วเดี๋ยวนี้มีธรรม และมีความเป็นจริงของธรรมด้วย แล้วถ้าไม่รู้ความจริงจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น ทุกอย่างก็ต้องสอดคล้องกันหมด ธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งเปิดเผยยิ่งรุ่งเรือง แต่ถูกปกปิดไว้หมดด้วยคำที่ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วพระศาสนาจะรุ่งเรืองได้อย่างไร
ดังนั้นการที่ได้เข้าใจธรรม กล่าวคำจริงด้วยความหวังดีที่เป็นกัลยาณมิตร ที่จะให้คนอื่นได้มีความเข้าใจถูก มีความเห็นถูกในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ ควรกล่าวหรือไม่ควรกล่าว แค่นี้รู้แล้วใช่ไหม เป็นความหวังดีหรือเปล่าที่กล่าวให้เข้าใจถูก ไม่ใช่ให้เข้าใจผิด คนที่ให้เข้าใจผิดหวังดีหรือเปล่า
ก่อนอื่นต้องรู้ว่าต้องเป็นความจริง จึงสมควรที่จะให้คนอื่นได้รับฟัง มิฉะนั้นแล้วเขาก็เข้าใจผิด ปฏิปัตติที่เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ทำ แต่เป็นปัญญาที่เจริญแล้วจากการฟังอย่างมั่นคง จึงจะเป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเกิด สามารถเข้าใจสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน โดยความเป็นอนัตตา ไม่มีเราไปเตรียมตัวทำอะไร ใครก็ไปทำปฏิปัตติไม่ได้ เพราะเป็นปัญญาที่เกิดจากการฟัง อย่างขณะนี้ก่อนฟังรู้ว่านี่แข็งใช่ไหม ไม่รู้เลยว่าเป็นธรรมสิ่งที่มีจริงที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ก่อนฟังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดขึ้น แต่เมื่อฟังแล้ว ถ้าแข็งไม่เกิดขึ้นจะมีแข็งไหม
เพราะฉะนั้น แข็งต้องเกิด และสิ่งที่เกิดแล้วดับด้วย ซึ่งยังไม่ประจักษ์การเกิดดับของแข็ง เพียงแค่รู้แข็ง นี่คือก่อนฟังรู้ว่าแข็ง แต่เมื่อฟังแล้วกำลังกระทบสัมผัส รู้ว่าแข็งต้องเกิด ไม่เกิดไม่มีแข็ง แล้วที่ไม่รู้คือเกิดแล้วดับ นี่ไม่รู้เพราะเป็นแค่ฟัง แต่ความจริงแข็งเกิดแล้วดับหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่รู้
ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ต้องต่างกับคนที่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นฟัง คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แข็งนี้ต้องเกิด สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับเป็นธรรมดา เดี๋ยวนี้ไม่ปรากฏการเกิดดับเพราะอะไร
ผู้ฟัง เพราะเราไม่เห็นตอนเกิดดับ
ท่านอาจารย์ ต้องมีเหตุผลใช่ไหม เพราะเร็วมากสุดที่จะประมาณได้ จนปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานยาวสั้น เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ต่างๆ จำไว้
ท่านอาจารย์ จำ มีจริงไหม
ผู้ฟัง จำ มีอยู่
ท่านอาจารย์ จำมีจริงๆ เป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ เกิดดับหรือเปล่า
ผู้ฟัง เดี๋ยวก็ดับ
ท่านอาจารย์ เป็นเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ เป็นขันธ์หรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ ต้องไปนับหรือ อย่างนี้หรือที่เป็นความเข้าใจ เห็นไหมว่าถ้าไม่มีความเข้าใจระดับนี้ไปปฏิบัติอะไร ปฏิบัติเป็นปัญญาขั้นที่สูงกว่าขั้นฟัง ถ้าไม่มีการฟังมาก่อนจะรู้หรือว่า เป็นสิ่งที่ปัญญาประจักษ์แจ้งการเกิดดับ ทุกอย่างที่เคยไม่รู้ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ละคลายความติดข้อง จนสามารถที่จะเป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเกิด เข้าใจทันทีที่กระทบ ซึ่งเดิมไม่เคยเข้าใจมาก่อน โดยความเป็นอนัตตา เห็นไหมว่าตรงกันข้ามกับเราไปนั่งทำเพื่อจะให้เกิด ด้วยความหวังด้วยความเป็นเรา ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปหากันเลยว่าที่ไหนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เราไปนั่ง ไปยืน ไปเดินเพื่อที่จะรู้ ไม่มี นั่นคือการอ่านพระไตรปิฎกด้วยความประมาท ในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับความเป็นผู้ไม่รู้ ต้องต่างกันมากใช่ไหม เมื่อได้ยินคำว่าให้รู้กาย มาเลยรู้เลย ถูกหรือ ไม่รู้อะไรสักอย่าง เพียงแค่อ่านแล้วคิดว่าเข้าใจ
เพราะฉะนั้น คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องต่างกับคำของคนอื่น คำของคนอื่นเราอ่านแล้วเข้าใจได้ แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้เลยว่าต้องเป็นความจริงถึงที่สุด หายสงสัยไหม ถ้าสงสัยก็ถามต่อจนกระทั่งชัดเจน
ผู้ฟัง ปัจจุบันคนไทยเราได้ยินแต่คำว่าปฏิบัติ เเต่ศาสนานั้นมี ๓ ขั้น เเล้วก็ได้ยินคำว่า สติ และมีการแปลว่า สติ คือรู้สึกตัว อยากจะให้ท่านอาจารย์ช่วยขยายความคำว่า รู้สึกตัว จริงๆ แล้วเป็นการเห็นสภาพธรรมอย่างแท้จริงหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นได้ยินคำว่าสติ ดีไหม ดี แปลว่ามีจริงแน่ๆ ใช่ไหม แล้วต้องดีด้วย ต้องเริ่มตามลำดับ ได้ยินคำว่าสติ ต้องมีสภาพธรรมหนึ่งซึ่งเป็นสติ เราถึงใช้คำนี้สำหรับเรียกสภาพธรรมนั้นให้รู้ว่า ต่างกับสภาพธรรมอื่น เมื่อได้ยินคำว่าสติ ทุกคนว่าดี แน่ใจว่าสติดีไหม
ก่อนอื่นต้องเป็นความเข้าใจตั้งแต่ต้นจริงๆ อย่างมั่นคง เฉไฉไม่ได้ สับสนไม่ได้ นั่นคือไม่เข้าใจ เพราะการฟังธรรมไม่ใช่ฟังเพื่อให้เกิดความลังเล สงสัย ไม่รู้ แต่ทุกคำที่ฟังเพื่อให้มีความเข้าใจถูกต้องมั่นคงขึ้นว่า สิ่งนั้น ต่อให้ใครก็เปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมนั้นไม่ได้
ถ้าเป็นธรรมก็ต้องเป็นธรรม ฟังแล้วต้องเข้าใจ และความเข้าใจนั่นเองค่อยๆ เจริญมั่นคงขึ้น ไม่ใช่เราที่จะไปประจักษ์แจ้งสภาพธรรม ที่จะไปเข้าใจแต่ละคำที่ได้ยิน เพราะมีลักษณะจริงๆ แต่ไม่เคยรู้ แม้มีจริงไม่ต้องเรียกชื่อก็ได้ ไม่เรียกชื่อก็มีสองอย่าง ไม่รู้อย่างหนึ่ง แล้วก็รู้อีกอย่างหนึ่ง ตอนไม่เรียกชื่อเพราะไม่รู้ก็มี ตอนไม่เรียกชื่อเพราะรู้ก็มี แต่เปลี่ยนลักษณะนั้นไม่ได้
ทุกคำสำหรับให้ไตร่ตรองว่าคำพูดนี้จริงไหม ถ้าจริงก็เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถูกต้องไหม เพราะพระองค์ทรงตรัสรู้ ถ้าพระองค์ไม่ตรัสรู้ไม่ทรงแสดง เราหรือจะมาคิดเองรู้เองได้ ใช่ไหม เพราะฉะนั้น เรานับถือคนรู้ใช่ไหม แล้วจากการที่เราไม่เคยรู้แล้วรู้ขึ้น เราจะไม่นับถือคนนั้นหรือ มรดกใช่ไหม ล้ำค่าใช่ไหม เป็นที่พึ่งสูงสุดใช่ไหม กราบไหว้ใช่ไหม
เพราะฉะนั้น ก็ต้องมั่นคงในคำของพระองค์ เทียบเคียงได้เลยว่าคำของพระองค์ทำให้เกิดความรู้ซึ่งรู้ขึ้น เข้าใจขึ้น มั่นคงขึ้น เป็นปัญญาจนถึงความเป็นพระโสดาบัน จนถึงความเป็นพระอรหันต์ แต่ต้องด้วยปัญญา ไม่ใช่เราซึ่งไม่รู้ไปนั่งทำอะไร แล้วคิดว่าจะทำให้เป็นอย่างนั้นได้ ต้องไม่ลังเลในแต่ละคำที่ได้ฟังว่า มีจริง เป็นธรรม เพราะฉะนั้น ธรรมหมายความว่ามีจริง
ก่อนศึกษาธรรมได้ยินคำว่าสติ เมื่อได้ยินแล้วคิดว่าสติดีไหม ดี ไม่เปลี่ยน สติเป็นธรรม ธรรมมี ๒ ฝ่ายจะโดยนัยหนึ่งก็ได้ หลายๆ นัยก็ได้ ๓ ๔ ๗ ๘ ได้หมดทุกอย่างแล้วแต่จะกล่าวถึง แต่เปลี่ยนความจริงของธรรมแต่ละหนึ่งไม่ได้เลย
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1021
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1022
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1023
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1024
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1025
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1026
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1027
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1028
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1029
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1030
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1031
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1032
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1033
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1034
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1035
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1036
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1037
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1038
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1039
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1040
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1041
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1042
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1043
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1044
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1045
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1046
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1047
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1048
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1049
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1050
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1051
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1052
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1053
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1054
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1055
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1056
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1057
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1058
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1059
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1060
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1061
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1062
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1063
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1064
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1065
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1066
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1067
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1068
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1069
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1070
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1071
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1072
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1073
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1074
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1075
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1076
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1077
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1078
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1079
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1080
