ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1072


    ตอนที่ ๑๐๗๒

    สนทนาธรรม ที่ บริษัทเชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด

    วันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ ภาษาไทยเราเคยได้ยินไหม ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่ไม่มีใครบอกเลยว่า ธรรมคืออะไร แล้วก็เป็นอนัตตาอย่างไร แต่ ณ บัดนี้ ธรรมทั้งหลาย ไม่เว้นเลยสักอย่าง ที่ปรากฏเพราะเกิด ถ้าไม่เกิด ไม่มีที่จะปรากฏ เมื่อเกิดแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง คำว่าเที่ยงคือ คงที่ ยั่งยืน ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ว่าสภาพธรรมทั้งหลาย แม้แต่หนึ่งเดียวซึ่งเกิดแล้วก็ดับ จะเป็นอื่นไปไม่ได้เลย ต้องเป็นแต่ละหนึ่งนั่นเองเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร

    เพราะฉะนั้น มี ๒ คำแล้ว ธรรมทั้งหลาย ไม่เว้นเลยใช่ไหม ทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่ก็ยังมีคำว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ต่างกันแล้วใช่ไหม เมื่อสักครู่นี้ธรรม แต่เดี๋ยวนี้สังขาร

    ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่ละคำเกิดจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เปลี่ยนไม่ได้ เพราะทรงตรัสรู้ถึงที่สุด ทุกอย่างหมดเป็นอนัตตา แต่ว่ามีคำว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ต่างกันแล้ว ไม่ละเอียดได้ไหม เหมารวมไปไม่ได้เลย เพราะความต่างกันของคำที่ว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขาร หมายความถึงสภาพธรรมที่ปรุงแต่ง สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดได้ไหม ถ้าไม่มีธรรมอาศัยกันและกันเกิดขึ้น

    สิ่งที่จะมีได้ต้องอาศัยสิ่งที่ปรุงแต่ง อาศัยกันและกันเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิด เราไม่รู้เลย เห็น เกิดได้เมื่อมีการปรุงแต่งคือ ต้องมีสภาพธรรมที่ทำให้เห็นเกิดขึ้น ถ้าไม่มีสภาพธรรมที่ปรุงแต่งทำให้เห็นเกิด เห็นเกิดไม่ได้เลย ไม่มีตาจะเห็นอย่างไร ไม่มีทางเป็นไปได้ ถ้าไม่มีสิ่งที่กำลังปรากฏเพราะกระทบตา สิ่งที่กำลังปรากฏต้องกระทบตา ถ้าไม่กระทบตา กระทบหูได้ไหม ไม่ได้ใช่ไหม

    สิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ที่มีเห็น เพราะกระทบตา เพราะถ้าไม่มีตาสิ่งนี้ปรากฏไม่ได้ เพราะฉะนั้น ต้องมี ๒ อย่าง คือ มีตา แล้วก็มีสิ่งที่กระทบตาได้ที่กำลังปรากฏ เท่านั้นยังไม่พอ เป็นปัจจัยให้ธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น เพียงแต่ตากับสิ่งที่สามารถกระทบตา แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้น สิ่งนี้ปรากฏไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น สิ่งที่เห็น ธาตุเห็น กำลังรู้ว่าในห้องนี้มีอะไรปรากฏแล้วกับเห็น ไม่ได้ปรากฏกับอื่นเลย แต่ปรากฏกับเห็น

    เห็นมีจริงไหม ก็รู้ว่าเห็นมีจริง ตั้งแต่เกิด ใครบ้างที่ไม่รู้ แต่ไม่รู้ว่า เห็นไม่ใช่เรา เห็นเป็นธรรม ธรรมหมายความถึงแต่ละหนึ่งๆ ๆ ที่มีจริง ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แข็งเป็นแข็ง กระทบสัมผัสที่ตัวเมื่อไหร่ก็แข็ง แต่แข็งเป็นแข็ง ไม่ใช่เรา

    ดังนั้น ทุกอย่างที่รวมกันทั้งหมดไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เป็นสิ่งที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิด เพียงตัวอย่างที่เรากล่าวถึงเห็นคำเดียวว่า ก็ต้องอาศัยตา ต้องอาศัยสิ่งที่กระทบกันได้ และธาตุรู้เกิดขึ้น จึงสามารถที่จะรู้ว่าขณะนี้เป็นอย่างนี้เพราะเห็น เพียงแค่หลับตาหายไปหมดเลย จริงไหม แต่ไม่คิดอย่างนั้น คิดว่ามีอยู่ ถึงเราออกจากห้องนี้ไปแล้ว เราก็ยังคิดว่าในห้องนี้ยังมีสิ่งที่เราเห็นนั้นยังอยู่ เพราะฉะนั้น ก็มีความคิด กับความเป็นจริงของแต่ละหนึ่ง ต้องแยกกันว่า เห็นคิดไม่ได้ เห็นเกิดขึ้นแค่เห็น แล้วก็คิดต่อ ดังนั้นขณะที่คิดไม่ใช่ขณะที่เห็น เป็นอะไร เป็นธรรม คือเป็นสิ่งที่มีจริงทั้งหมดแต่ละหนึ่ง

    ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้ ปัญญาสามารถที่จะถึงการประจักษ์แจ้งการเกิดดับของสภาพธรรม ได้ไหม ไม่มีทางเป็นไปได้เลย เพราะฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นไปตามลำดับ คนที่อ่านหนังสือไทยออกต้องรู้จัก ก ไก่ ถ้าไม่รู้จักอ่านออกไหม ไม่มีทางเลย รู้จัก ก ไก่ตัวเดียวอ่านออกไหม ก็ไม่ออก เพราะสิ่งที่ไม่ใช่ ก ไก่ก็มี ข ไข่ก็ไม่ใช่ ก ไก่ แล้ว รูปร่างก็ต่างกันแล้ว ฉันใด ธรรมแต่ละหนึ่งไม่ใช่จะรวมกันเป็นอย่างเดียวกันได้ แต่ละหนึ่งต้องแยกออกเป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ เช่น เห็น ไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เห็น ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏ และไม่ใช่ตา แต่เป็นธาตุรู้ที่กำลังเห็น

    ทุกอย่างคือความเป็นจริงในชีวิต ทุกชีวิตในสังสารวัฏฏ์ สวรรค์ก็เห็น มนุษย์ก็เห็น พรหมที่เห็นคือพรหมที่มีรูปเห็นได้ แต่ก็ยังมีพรหมซึ่งไม่มีรูป ถ้าไม่มีรูปก็ไม่เห็น นี่คือการแสดงความจริงของสิ่งที่มี โดยที่ใครก็ไม่สามารถที่จะคิดเองได้ คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก อย่างธาตุรู้ ทั้งๆ ที่บอกว่าเห็น ไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น และก็ไม่ใช่ตาด้วย แต่เป็นธาตุหรือสิ่งที่มีจริง ธรรมอย่างหนึ่งซึ่งเป็นธาตุรู้ ต้องอาศัยตาด้วยธาตุนี้จึงจะเกิดขึ้น และธาตุรู้นี้ที่เห็นเพียงแค่เกิดขึ้นเห็น แล้วดับไป จะได้ยินก็ไม่ใช่แล้ว ไม่ใช่ธาตุที่อาศัยตาเกิดขึ้นแล้ว จะคิดนึกก็ไม่ใช่ธาตุที่อาศัยตาเกิดขึ้นแล้ว ทั้งหมดเป็นธรรมหลากหลายมาก ตั้งแต่เกิดจนตายเป็นธรรมทั้งหมด แต่ไม่เคยรู้เลย

    ด้วยเหตุนี้ การฟังพระธรรมแล้วเข้าใจ จะต้องไปนั่งคิดเองหรือเปล่า ไม่ต้องใช่ไหม ถ้าเราเปิดพระไตรปิฎก หรือหนังสืออะไรก็ตาม มีคำว่าธรรม สามารถรู้ไหม ถ้าไม่เคยฟังมาก่อนว่าธรรมคืออะไร แต่เมื่อได้ยินคำว่า ธรรม เข้าใจถ่องแท้ ธรรม หมายความถึงสิ่งที่มีจริง ทั้งหมดไม่เว้นเลย แต่ละหนึ่งเป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งปรากฏเพราะเกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี เกิดแล้วดับไป

    นี่คือสิ่งที่สามารถที่จะรู้ความจริง ที่ใช้คำว่าตรัสรู้ ไม่ใช่ขั้นคิด ไม่ใช่ขั้นฟัง แต่เป็นขั้นประจักษ์แจ้ง เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งก่อนนั้นยังไม่รู้แจ้งความจริงอย่างนี้เลย ชีวิตของพระโพธิสัตว์ คำว่าโพธิคือปัญญา สัตว์คือผู้ที่ข้อง สัตวะ สัตตะในภาษาบาลีหมายความถึงผู้ที่มีชีวิต สิ่งที่มีชีวิต คือโพธิสัตว์ ผู้ที่ข้องในการที่จะรู้ความจริง เพราะฉะนั้น ทุกคำที่เราฟังเป็นความจริง ไม่ใช่อย่างอื่นเลย เป็นความจริงของสิ่งที่มีถึงที่สุด

    ก่อนตรัสรู้ เมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ก็มีการเห็น มีการได้ยิน เหมือนอย่างนี้เลย เรายังไม่ได้ตรัสรู้ใช่ไหม ก็เหมือนชีวิตของพระโพธิสัตว์ก่อนตรัสรู้ ก็ไม่รู้อย่างนี้ แต่เป็นผู้ที่ข้องในการที่จะเข้าใจถูก เห็นถูกในสิ่งที่มี เพราะว่าเกิดมาแล้วก็ต้องมีตาย โดยไม่รู้ว่าระหว่างเกิดและตายก็มีตั้งหลายอย่าง แล้วหายไปไหนหมด ตายแล้วก็ไม่เหลือเลย แค่เมื่อวานนี้ก็ไม่เหลือ เมื่อครู่นี้ก็ไม่เหลือ พอถึงพรุ่งนี้ วันนี้ก็ไม่เหลือ หาอีกได้ไหม เอากลับคืนมาได้ไหม ไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา แต่ละคำต้องชัดเจน ดับไม่กลับมาอีกเลย เมื่อไหร่ ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ ในสังสารวัฏฏ์หาอีกไม่ได้ เห็นเมื่อสักครู่นี้ที่ดับแล้วจะไม่มีอีกเลย ไม่มีคือไปหาที่ไหนอีกก็ไม่ได้แล้ว เหมือนไฟที่ดับแล้ว ลองไปหาก็ไม่มี มีแต่ไฟที่เกิดใหม่ ตามเหตุตามปัจจัยใหม่ ซึ่งแต่ละขณะตั้งแต่เกิดจนถึงขณะนี้ และต่อไปก็คือธรรม ซึ่งไม่มีใครบังคับบัญชาได้เลย

    ได้ยินเสียงไหม บังคับไม่ให้ได้ยินได้ไหม เพราะได้ยินแล้ว เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย ก็จะเห็นได้ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา รวมทั้งสังขารธรรมหมายความถึง สิ่งที่เกิดเพราะมีปัจจัยทำให้เกิดขึ้น ถ้าไม่มีปัจจัยก็เกิดไม่ได้ เงียบๆ ไม่มีเสียงใช่ไหม แต่เมื่อมีการกระทบกัน เสียงเกิดขึ้น และถ้าไม่มีธาตุรู้คือจิตได้ยิน เสียงไม่ปรากฏว่ามี และทุกอย่างที่มีในชีวิตของเราก็เพราะเกิดทั้งนั้น มีสิ่งที่เกิดดับสืบต่อกันอยู่ตลอดเวลา

    เพราะฉะนั้น ไม่มีการที่จะรู้ความจริงตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้าไม่เป็นโพธิสัตว์ ซึ่งความหมายของโพธิสัตว์มีหลายระดับ พระมหาโพธิสัตว์ หรือที่เรียกสั้นๆ ว่าพระมหาสัตว์ ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ ผู้ที่บำเพ็ญพระบารมีเพื่อที่จะรู้ความจริงตามที่เราได้ฟังทุกคำ ทุกคำที่ได้ฟัง มาจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ดังนั้น พระโพธิสัตว์ซึ่งจะตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เลิศกว่าบุคคลใดในโลก เพราะไม่ใช่เป็นแต่เพียงปัญญาที่สามารถรู้ความจริง แต่ประกอบด้วยพระทศพลญาณ ญาณซึ่งคนอื่นไม่มีนอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งยังไม่ต้องถึงญาณนั้น แค่นี้ก็ไม่รู้แล้ว แค่ปัญญาที่กล่าวถึงการตรัสรู้ว่าทรงตรัสรู้อะไร เพราะฉะนั้น ปัญญาอื่นๆ ของพระองค์ คนอื่นไม่มีทางที่จะคาดคะเนได้เลย

    ผู้ที่จะรู้จักพระพุทธเจ้า สามารถที่จะสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้าก็คือ พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์เท่านั้น คนอื่นไม่มีปัญญาที่จะหยั่งรู้ถึงพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แค่นี้ มรดก เริ่มรับไหม หรือจะเอาไปทิ้ง ไปฟังคำของคนอื่นแล้วก็ละเลยมรดกที่ล้ำค่า ซึ่งไม่มีใครมีโอกาสที่จะได้รับ นอกจากฟังคำที่เป็นคำของพระองค์ต่อไปใน ๔๕ พรรษา แต่ทุกคำต้องรู้จริง มิฉะนั้นจะสับสนเเล้วไขว้เขว และก็ไปเข้าใจคำอื่น

    เพราะฉะนั้น คำของพระพุทธเจ้าต้องเป็นคำของพระพุทธเจ้า ผู้ใดกล่าวถึงคำที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว ผู้นั้นกล่าวคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าเป็นคำอื่นทั้งหมดจะไม่เป็นคำเหล่านี้เลย ถ้าจะไม่รับมรดกคือ ไปคิด ไปเชื่อ ไปฟังคำอื่นซึ่งไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ด้วยเหตุนี้แต่ละคำต้องไตร่ตรอง เมื่อเข้าใจแล้วได้ยินคำว่าธรรม ออกไปจากห้องนี้รู้ไหมว่าธรรมคืออะไร เริ่มรู้ ซึ่งคนอื่นรอบๆ ข้าง อาจจะเป็นในตลาด ที่บ้านหรือที่ไหนก็ได้ คนที่ไม่เคยฟังเขาก็ไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร แต่คนที่ได้ฟังแล้วมั่นคงว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงทุกอย่าง เสียงเป็นธรรมหรือเปล่า เป็น โกรธเป็นธรรมหรือเปล่า เป็น เพราะฉะนั้น โกรธเป็นธรรม มั่นคงว่าไม่ใช่เรา แต่ละคำต้องสอดคล้องกันทั้งหมดทุกคำ เพราะว่าเป็นความจริงถึงที่สุด

    เพราะฉะนั้น ได้ยินคำว่าอนัตตาเเล้วบอกว่า ไม่ใช่เรา แค่นี้พอหรือ ไม่ใช่เราเพราะเป็นอะไร เป็นแต่ละหนึ่งของธรรม ซึ่งมีลักษณะแต่ละหนึ่งเฉพาะตนหลากหลาย แต่ละหนึ่งจึงเป็นแต่ละหนึ่ง เป็นเราไม่ได้เลย ได้ยินเมื่อสักครู่นี้ดับเเล้วใช่ไหม ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมก็เป็นเราได้ยิน ใช่ไหม แต่เมื่อได้ฟังพระธรรม ได้ยินเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย และได้ยิน ได้ยินเฉพาะเสียงด้วย คิดก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ ชั่วขณะที่เสียงปรากฏยังไม่มีอะไรปรากฏเลย ขณะนั้นดับแล้วใช่ไหม แค่นี้ตลอดเวลา

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่เกิดดับไม่มีใครสนใจนอกจากผู้ที่เป็นโพธิสัตว์ จนกระทั่งได้ตรัสรู้ความจริง จนกระทั่งแสดงความจริงให้คนอื่นได้รู้ตาม จนกระทั่งดับความไม่รู้ ซึ่งเป็นเหตุนำมาซึ่งกิเลสทั้งหลาย หมดสิ้นไม่เหลือเลย ถึงความเป็นพระอรหันต์ แต่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ก็เป็นความต่างกันของพระพุทธรัตนะ ซึ่งเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมรัตนะ สิ่งที่ได้ฟังแล้วเข้าใจ ค่อยๆ ละความไม่รู้ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดกิเลสทั้งหลาย จนกระทั่งประจักษ์แจ้งความจริงเมื่อไหร่เป็นสังฆรัตนะ สังฆะหมายความถึงหมู่ ไม่ใช่คนเดียว แต่ละหนึ่งๆ รวมกันจึงเป็นหมู่ หมู่จะปราศจากแต่ละหนึ่งไม่ได้ หนึ่งเดียวก็ไม่เป็นหมู่

    แต่ละหนึ่งก็คือ ใครก็ตามที่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นภิกษุ หรือเป็นคฤหัสถ์ ต้องแล้วแต่ปัญญา ถ้าภิกษุไม่รู้ธรรม ไม่เข้าใจธรรมก็ไม่ใช่สังฆรัตนะ คฤหัสถ์ที่ฟังพระธรรมแล้ว เข้าใจนิดๆ หน่อยๆ ก็ยังไม่ใช่สังฆรัตนะ แต่ปัญญาไม่ใช่ว่าจำกัดว่าเฉพาะภิกษุหรือคฤหัสถ์ ปัญญาเป็นปัญญา ปัญญาเป็นเราหรือเปล่า หรือว่าเป็นธรรม

    ต้องมั่นคงทุกคำคือ เถรวาทะ ที่เราใช้คำว่าเถรวาท (เถ-ระ-วาด) หมายความว่า ผู้ที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วไม่เปลี่ยนแปลง มั่นคงในคำที่ได้ฟัง จึงเข้าใจความจริงถูกต้องว่าอะไรถูกอะไรผิด อย่างสำนักปฏิบัติ ไม่มีในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เพราะเหตุว่าปฏิปัตติคืออะไร ต้องรู้

    ปฏิปัตติไม่ใช่ปริยัติ ไม่ใช่ปฏิเวธ เราไม่ได้ฟังคำอะไรเลยทั้งสิ้น เราไปฟังใครก็ไม่รู้ที่ไม่ทำให้เกิดความรู้ ไม่ทำให้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย มีแต่คำของคนอื่น พอถามไปถามมาก็ไม่รู้ ตรงกันข้ามกับคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำ เพียงคำเดียวมีความลึกซึ้งแค่ไหน เพราะว่าคำนี้คือ ธรรมหมายความถึงทุกสิ่งทุกอย่าง

    เพราะฉะนั้น นิพพานเป็นธรรมหรือเปล่า เป็น เป็นสังขารธรรมหรือเปล่า ไม่เป็น เพราะเหตุว่า สังขารธรรมหมายความถึง สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่ปรากฏเกิดขึ้น จึงได้มีการปรากฏได้ ถ้าไม่เกิดก็ไม่ปรากฏ โดยจะปรากฎได้ จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อมีเหตุปัจจัย ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏเป็นสังขารธรรม แล้วเดี๋ยวนี้มีนิพพานปรากฏไหม เพราะอะไร เห็นไหมว่าต้องเป็นปัญญา ไม่ใช่ว่าเราไม่คิดเลย ฟังไป แต่ว่าทุกคำที่ได้ฟังมาประกอบกับแต่ละคำๆ ๆ ทำให้มีความเข้าใจคำที่เคยได้ยินลึกซึ้งขึ้นอีก

    ขณะนี้นิพพานไม่มี ไม่ปรากฏ แต่นิพพานมีไหม ก็รู้แค่ว่านิพพานมี แต่ไม่รู้ลักษณะของนิพพาน เพราะว่านิพพานไม่ได้ปรากฏเดี๋ยวนี้ แต่มี เพราะมีผู้ที่ตรัสรู้ ถ้ารู้แต่เพียงสิ่งที่กำลังปรากฏดับกิเลสไม่ได้ เพราะอะไร ทุกคำแสดงความจริงที่ลึกซึ้งขึ้นๆ ๆ เท่ากับว่าได้เข้าไปใกล้ ความหมายของอุบาสก อุบาสิกา คือผู้ที่นั่งใกล้ เพื่อที่จะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็เข้าใจ ไม่ต้องเรียกว่าอุบาสก ไม่ต้องเรียกว่าอุบาสิกา ไม่ต้องเรียกอะไรก็ตามสิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่น แข็ง ไม่ต้องเรียกว่าแข็ง เรียกคำอื่นก็ได้ แต่ใครเปลี่ยนลักษณะของแข็งไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ปัญญาก็คือปัญญา จะเป็นภิกษุ หรืออุบาสกอุบาสิกา ก็คือปัญญา ซึ่งไม่ใช่ของใครทั้งสิ้น แต่ว่าแต่ละสิ่งเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น และไม่กลับมาอีก ความไม่รู้มีไหม มี กำลังไม่รู้จะบอกว่าไม่มีได้อย่างไรใช่ไหม ดังนั้น ความไม่รู้มีแน่ แต่ไม่รู้ว่าไม่รู้ด้วย ไม่รู้คือไม่รู้อย่างสนิทเลย ไม่มีทางที่จะรู้ได้เลยทั้งสิ้น ตรงกันข้ามกับความรู้ ความรู้รู้ จะมากหรือจะน้อยก็ตาม แต่รู้ คือสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนได้

    ด้วยเหตุนี้ ความไม่รู้เป็นธรรมหรือเปล่า เห็นไหมว่าฟังแล้วไม่ใช่ทิ้งไปเลย มีมรดกแล้วก็ทิ้งไปแล้วจะได้รับอย่างไร แต่นิดหนึ่งก็เก็บไว้ๆ จนกระทั่งได้รับมรดกนั้นเพิ่มมากขึ้นๆ จนสามารถที่จะเห็นค่าของแต่ละคำ จากเล็กน้อยที่สุดจนถึงสามารถที่จะดับกิเลสได้

    มีใครรู้จักกิเลสบ้าง รู้จักชื่อ แต่ลองบอกว่ากิเลสคืออะไร สภาพที่ทำให้เศร้าหมอง เศร้าหมองในที่นี้ไม่ใช่โศกเศร้า หมายความว่าไม่บริสุทธิ์ ทองเงินเศร้าหมองได้ใช่ไหม มัวหมองไปได้เพราะสิ่งที่จรมา ฝุ่นละอองแม้อย่างเล็กน้อยที่สุด บางที่สุด มองไม่เห็นที่สุด ก็สามารถทำให้สิ่งนั้นเศร้าหมองได้ ฉันใด กิเลสแม้อย่างอ่อนที่สุดจางที่สุดก็ทำให้จิตเศร้าหมองได้ ยิ่งมากยิ่งชัดเจน แต่ว่าทั้งหมดนี้เราไม่รู้เลยว่าอยู่ไหนเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย เป็นธรรมทั้งหมดแต่ความไม่รู้ปิดบัง ไม่ใช่ปิดบังเฉพาะชาตินี้ชาติเดียว เกิดมาแล้วนานเท่าไหร่ แสนโกฏิกัปป์ก็ยังน้อย

    เพราะฉะนั้น ความไม่รู้มากเท่าไหร่ ความไม่รู้ทำให้ยึดถือสิ่งที่เกิดดับสืบต่อโดยไม่ปรากฏการเกิดดับว่า เป็นสิ่งที่เที่ยง เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แม้แต่ดอกไม้ที่ก่อนจะบาน เราก็ยึดถือว่ามีดอกไม้แล้ว จากใบจากกิ่งจากก้าน ก็มีสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นดอกไม้ แต่ยังไม่โตพอที่จะบานได้ ฉันใด แต่ละอย่างก็คือสิ่งที่มีตลอดชีวิต กิเลสก็มีอย่างบางที่สุด จนกระทั่งสามารถที่จะปรากฏให้เห็นว่าคนนี้กิเลสมาก คนนี้โกรธบ่อย คนนี้อะไรๆ ก็แล้วแต่จะพรรณาไป ว่าไป ทั้งหมดเป็นธรรม เป็นเราเป็นเขาหรือเปล่า เป็นเพียงสิ่งที่เกิดมาแสนสั้นสุดที่จะประมาณได้ แต่สืบต่อเร็วมาก

    เดี๋ยวนี้เห็นอะไรตั้งหลายอย่าง กว่าจะเป็นแต่ละหนึ่งได้ต้องมีหลายๆ อย่างที่มารวมกันใช่ไหม เพราะว่าแตกย่อยออกไปละเอียดยิบนั่นคือ สิ่งที่เล็กที่สุด และนั่นเป็นรูป แข็งบ้างอ่อนบ้างใช่ไหม แต่ว่าธาตุรู้ ไม่มีใครรู้ได้เลยแม้กำลังมี เพราะไม่มีรูปร่าง ไม่มีอะไรเป็นเครื่องหมายเลย แต่เห็นเมื่อไหร่นั่นคือธาตุรู้ ไม่ใช่เรา ได้ยินเมื่อไหร่ ก็ธาตุรู้นั่นเองเกิดขึ้นได้ยิน ไม่ใช่เรา คิดเมื่อไหร่ ก็ธาตุรู้นั่นเองเกิดขึ้นคิด ไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้น ก็สามารถเข้าใจธรรมโดยประเภทใหญ่ๆ ว่าต่างกันเป็น ๒ อย่าง ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เกิดแต่ไม่รู้อะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า รูปธรรม รูปะกับธรรม ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมทั้งหมด

    ดังนั้น สิ่งที่มีจริงแต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ก็เป็นรูปธรรม ต่อให้แตกย่อยละเอียดอย่างไรก็ยังเป็นรูป เพราะมีสิ่งที่ปรากฏให้รู้ว่าเป็นรูป แต่ธาตุรู้ไม่มีรูปร่าง ไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น แต่มี โกรธมีไหม รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร แต่มีใช่ไหม อาการโกรธเป็นอย่างไร กระด้าง ผิดปกติ ธรรมดาๆ ไม่โกรธก็ดูดี ไม่เป็นอะไร แต่พอขุ่นขึ้นมานิดเดียวความกระด้างปรากฏ แต่นั่นไม่ใช่จิต นั่นเป็นเจตสิก

    เพราะเหตุว่า จิต เป็นธาตุรู้ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ แต่ต้องอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น ซึ่งเป็นนามธรรมด้วยกัน อาศัยกันและกันเกิดขึ้น สภาพที่ไม่ใช่จิต แต่เกิดกับจิต เเยกขาดจากกันไม่ได้เลย จะใช้คำว่าอยู่ในจิตก็ได้ นั่นคือ เจตสิก

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 181
    6 ส.ค. 2568