ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1059


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๑๐๕๙

    สนทนาธรรม ที่ บริษัทสยามแฮนด์ส จ.นครปฐม

    วันที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ แต่ว่าไม่มีใครมาบอกเลย ว่าสิ่งที่เกิด แล้วดับไปหมดไป ตลอดเวลารวดเร็วมาก แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คนไทยได้ยินคำนี้ จะมากหรือน้อยก็ตามแต่แต่ว่าผ่านไปโดยการไม่รู้ อนิจจังคือไม่เที่ยง ไม่เที่ยงคืออะไร เกิดขึ้นมีแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยงจากการที่ไม่เคย มีแล้วก็เกิดมี แล้วก็ดับไป จากการที่ยังไม่เกิดเป็นคนนี้ ก็เกิดเป็นคนนี้แล้วก็จากโลกนี้ไป จากการที่ยังไม่เห็น แล้วก็เห็น แล้วเห็นก็ดับไป ทุกอย่างละเอียดมากจนกระทั่งสามารถที่จะละคลายความไม่รู้ ซึ่งเข้าใจว่ามีเรา มีธรรมที่เที่ยง แต่ใครก็ค้านคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ เพราะตรัสไว้ว่าธรรมีทั้งหลายคือสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ที่เกิดขึ้น มีการดับไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งที่เกิดแล้วดับ เป็นที่ควรพอใจไหม จริงๆ แล้วไม่น่าพอใจ แต่ก็พอใจ เพราะไม่รู้ เหมือนว่าสิ่งนั้นมีอยู่ตลอดเวลา แต่ความจริงสิ่งนั้นหามีไม่ อย่างรวดเร็วที่สุด

    ด้วยเหตุนี้การที่จะละความติดข้อง และความไม่รู้ ต้องถึงการประจักษ์แจ้งความจริง จึงสามารถที่จะละความไม่รู้ และการยึดถือสิ่งต่างๆ ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมต้องเริ่มจาก ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ไม่ทราบเห็นด้วยไหม ธรรมีคือสิ่งที่มีจริงทั้งหลายทั้งหมดทั้งปวงไม่เว้นเลย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แค่นี้ จะค้านกับการที่เราเคยคิดว่าเราทำได้ กับการที่รู้ว่าไม่มีอะไรเลย ซึ่งอยู่ที่เป็นเราที่สามารถจะทำอะไรได้ นอกจากเป็นธรรมีทั้งหมด เพราะฉะนั้นต้องมีความเข้าใจที่มั่นคงตั้งแต่ต้น ทุกอย่างเป็นธรรมีถ้าเป็นธรรมีแล้วจะเป็นเราได้ไหม เป็นคนโน้นคนนี้ได้ไหม ทุกคำค้านกันไม่ได้ ถึงจะแสดงว่าเราได้เริ่มเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เช่นนั้นตลอดชีวิตเหมือนได้ฟังคำคือพระธรรม แต่ไม่รู้ความจริง ไม่เข้าใจความจริง ก็คือว่ายังไม่ได้เริ่มต้นที่จะรู้จักแม้สักคำเดียวว่า ธรรมคืออะไร

    เพราะฉะนั้นวันนี้ก็เป็นโอกาสที่จะได้ยินคำหนึ่งคือธรรม ซึ่งได้ยินบ่อยๆ แต่ว่าแท้ที่จริงแล้ว ธรรมก็หมายความถึงสิ่งที่มีจริง ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ความไม่เที่ยงไม่น่าพอใจ เพราะว่าไม่มี แล้วเกิดมี แล้วก็ไม่มี น่าพอใจไหม ใครจะไปหยุดยั้งให้มีต่อไปก็ไม่ได้ เพราะว่าเกิดแล้ว จากไม่มีก็มี แล้วก็หามีไม่ ทุกขณะ เพราะฉะนั้นถ้ารู้จริงๆ ว่าเราหลงพอใจสิ่งซึ่งความจริงไม่มี เดี๋ยวนี้บอกได้เลยว่าไม่มี อะไรไม่มี เสียงเมื่อครู่นี้ไม่มีแล้ว แค่นี้ก็ไม่รู้ เพราะไม่เคยมีใครบอก คิดเมื่อครู่นี้ เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว เพราะเป็นเมื่อครู่นี้ ทุกอย่างหมดไม่เว้นเลย เพราะฉะนั้นค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ คิด ค่อยๆ เข้าใจ ทีละคำ

    อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ถ้ากล่าวถึงธรรม ก็เริ่มที่จะเข้าใจว่า ก็คือความจริงขณะนี้นี่เอง แต่ถ้ากล่าวถึงการที่จะต้องมีชีวิตเป็นไป ในการที่จะทำงาน ความเข้าใจธรรมจะเป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างไรต่อการทำงาน และชีวิตที่ต้องดำเนินไป

    ท่านอาจารย์ จะมีประโยชน์อะไรกับการที่เกิดแล้วตาย ถ้าไม่ตายก็ยังอยู่ต่อไป ตลอดไปเลย ๑๐๐๐ ปี ๒๐๐๐ ปี แต่นี่ประโยชน์อะไรที่จะเกิดมาแล้วตายด้วยความไม่รู้อะไร เพราะเหตุว่าไม่ได้เข้าใจ ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แค่นี้ ประโยชน์มีไหม ต้องเป็นคนที่ตรงจริงๆ ใครจะให้ประโยชน์นี้ได้ คือความเห็นถูกความเข้าใจถูก ในสิ่งที่มีแต่ไม่เคยรู้เลยว่าเป็นอะไร แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงสิ่งที่มีละเอียด ถึงที่สุดที่จะให้เข้าใจถูกต้องว่า คำของพระองค์เป็นคำจริงจากการที่ได้ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นเราหวังประโยชน์เพียงแค่เราจะมีความสุข จะทำงานเก่ง จะมีครอบครัวดี จะมีชื่อเสียง อะไรก็ตามแต่แล้วอยู่ไหน ไม่ว่าใครก็ตาม ดีสักเท่าไหร่ก็จากโลกนี้ไปแล้วใช่ไหม แล้วอยู่ไหน ไม่มีใครตอบได้นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงว่าสิ่งที่มีเกิดแล้วดับ สืบต่อกันไม่ขาดสาย

    เพราะฉะนั้นเมื่อครู่นี้ เห็น ดับแล้ว เดี๋ยวนี้ก็เห็น เมื่อครู่นี้ได้ยินเดี๋ยวนี้ก็ได้ยิน เกิดสืบต่อกันไม่ขาดสาย เพราะฉะนั้นกล่าวได้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดแล้วดับไป ก็เป็นปัจจัย หรือว่ามีปัจจัยที่จะทำให้สิ่งอื่นเกิดต่อ เร็วสุดที่จะประมาณได้ แล้วก็ไม่ได้มีใครไปทำเลย แต่ว่ามีปัจจัยที่จะทำให้เกิดขึ้น ถ้าไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะมีโลกไหม จะมีคน จะมีต้นไม้จะมีดอกไม้ จะมีบ้านเรือนไหม ถ้าไม่มีอะไรเลย ก็ไม่มีใช่ไหม แต่เมื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นต่างหาก จึงมี เพราะสิ่งต่างๆ ให้เกิดขึ้นมากมายตามเหตุตามปัจจัย ไม่รู้เลยก็กลายเป็นโลก ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คน และสิ่งต่างๆ ภูเขา ต้นไม้ ดอกไม้ เป็นต้น แล้วใครจะรู้ความจริงถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมีว่า แล้วอะไรเป็นความจริงของสิ่งที่เกิด เราไม่ไปง่ายๆ ว่าทำอย่างไรถึงจะเรียนเก่ง ทำอาถึงจะทำงานดี ทำอย่างไรถึงจะไม่ง่วงเหงา ทำอย่างไรถึงจะขยัน ทำไมไปถึงจุดนั้น เพราะเขาไม่รู้ว่าคืออะไร แล้วไม่รู้สาเหตุด้วยเพราะอะไร

    ซึ่งความจริงเหตุการณ์ของโลกทุกขณะทุกเวลา ก็แสดงความจริงว่าไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ไม่อยากเป็นคนเลวก็เป็นไม่อยากทำทุจริตก็ทำ ไม่ยากอะไรตั้งหลายอย่าง แต่ก็เกิดแล้ว บังคับบัญชาไม่ได้เลย แต่ว่าผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ ทรงแสดงเหตุคือความเห็นถูกต้องว่า สิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งใดไม่เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นคนนั้นมีความเข้าใจของตนเอง ซึ่งความเข้าใจถูกเป็นปัญญา มีปัญญาที่จะรู้ว่าอะไรคืออะไร เมื่อนั้นชีวิตก็จะดำเนินไปด้วยปัญญาคือสามารถที่จะรู้ว่าทางที่ถูกทางที่ดีเป็นอย่างไร

    อ.วิชัย ดังนั้นก็เริ่มเห็นคุณของปัญญาที่จะสามารถเข้าใจถูกต้องว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ดีงาม และเมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ความดีงามที่เกิดขึ้นเพราะความเข้าใจนั้น ก็จะค่อยๆ เกิดขึ้น ท่านอาจารย์แต่ละคนก็มีทั้งความสุข และความทุกข์ แต่ว่าก่อนที่จะฟังธรรม ก็ไม่รู้จักว่า ความสุขความทุกข์คืออะไร แต่ถ้าเข้าใจแล้ว การที่จะมีความสุขที่เป็นไปในชีวิตจะเป็นอย่างไร ท่านอาจารย์ ความเข้าใจธรรม

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างต้องมีเหตุใช่ไหม สุขเกิดแล้ว ไม่รู้ว่าเกิดเพราะอะไร ทุกข์เกิดแล้ว ก็ไม่รู้ว่าทุกข์เพราะอะไร เพราะฉะนั้นก็ไม่สามารถที่จะรู้เหตุที่จะให้เกิดสุข ได้แต่หวังว่าอยากจะมีความสุข มากๆ ไม่อยากจะมีความทุกข์เลย แต่ทุกอย่างเป็นอนัตตาหมายความว่าไม่ได้เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เป็นสิ่งที่ยั่งยืน มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป สุขก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ทุกข์เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ขอให้มีความมั่นคงในการที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลง และก็การเปลี่ยนแปลงนั้น จะวันไหน เมื่อไหร่ เราอาจจะคิดว่าอีกนาน แต่ความจริงยิ่งเข้าใจก็ยิ่งแสนสั้น สั้นจริงๆ แค่เห็นแล้วก็เป็นได้ยินแล้ว แล้วก็เป็นคิดนึกแล้ว แล้วก็เป็นโกรธ แล้วก็เป็นไม่ชอบใจ ทั้งหมดเร็วมากเลย โดยมากคนก็อยากจะให้หาวิธีให้สั้นกว่านี้ ให้ลัดกว่านี้ ที่จะได้ฟังแล้ว ๒ ชั่วโมงเป็นคนดี เป็นได้หรือ เป็นไปไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจถูกต้องว่า ความไม่รู้ไม่นำมาซึ่งหนทางที่ดีเพราะไม่รู้ ทุกอย่างที่ทุกคนทำไป ทำไปด้วยความไม่รู้ แต่ถ้ารู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว การทำความดีเพิ่มขึ้น เพราะว่าปัญญาสามารถที่จะเห็นโทษของความไม่ดี แต่ตราบใดที่ยังไม่เห็นโทษ ตราบนั้นก็ยังต้องมีปัจจัยที่จะทำให้ไม่ดีอยู่ เช่นบางคนก็รีบร้อน อยากจะได้ความสุขแต่ไม่รู้ว่าความสุขนั้นเกิดจากอะไร ถ้าไม่มีตาจะเห็นสิ่งต่างๆ ที่นำความสุขมาให้ได้ไหม ดอกไม้สวยๆ แม่น้ำลำคลอง ถ้าไม่มีตาจะเห็นไหม ไม่เห็นใช่ไหม เห็นแล้ว สุขไหม ถ้าไม่เห็นจะสุขไหม อยากเห็นใช่ไหมจึงได้มาดู แสดงให้ไม่รู้เลยว่าสุข และทุกข์มูลเหตุมาจากไหน และเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะฉะนั้นก็เป็นแต่เพียงผู้ที่มีความต้องการจนกระทั่งต้องการถึงนิพพานโดยไม่รู้อะไรเลย ก็เป็นสิ่งซึ่งเหตุกับผลไม่ตรงกัน

    เพราะฉะนั้นพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครที่จะค้านถ้าได้ฟังความจริง แต่ว่าถ้าคำที่ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้านได้ จะถึงนิพพานได้อย่างไร โดยความไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลย และไม่รู้ว่านิพพานคืออะไรด้วย เดี๋ยวนี้ยังไม่รู้เลย แล้วจะไปรู้จักนิพพานได้อย่างไร เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องเป็นไปตามลำดับ ด้วยความหวังดีที่จะให้ทุกคนได้สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดในชีวิต แม้แต่ความเห็นถูก ก็ต้องเพิ่มขึ้น ทีละเล็กทีละน้อย แต่ต้องมีเบื้องต้น คือต้องมีความเข้าใจถูกต้องว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีทั้งหมด ไม่ว่าขณะไหนเวลาไหน เพราะฉะนั้นพึ่งพระธรรมได้โดยการฟังพระธรรมเพิ่มขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วก็จะค่อยๆ พ้นจากทุกข์

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์ก็เป็นเรื่องที่ละเอียด ที่จะเข้าใจว่าการเห็นสิ่งที่น่ายินดีพอใจ ก็เป็นเหตุให้เกิดความติดข้องพอใจ แล้วก็เกิดความสุขสบายในการที่จะเห็น แต่ถ้าไม่เห็น ความสุขสบายที่เกิดจากการเห็นก็ไม่มี อย่างเช่นคนตาบอด ก็ไม่สามารถที่จะเห็นสิ่งที่น่าพอใจได้นี่คือความเป็นธรรมอย่างยิ่ง ที่พระองค์ตรัสรู้อย่างนี้

    ท่านอาจารย์ เพราะหารู้ไม่ว่าเห็นชั่วคราว ชั่วคราว จริงๆ พูดอย่างไรใครก็ไม่สามารถจะเชื่อได้ ฟังมีเหตุผลแต่ยังไม่ถึงการประจักษ์แจ้ง ว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ ถ้ามีความเข้าใจเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ก็สามารถที่จะถึงวันหนึ่ง ซึ่งเข้าใจสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่มีจริงแล้วจะถึงนิพพานได้ไหม คงมีหลายคนที่อยากถึงนิพพาน ใช่ไหม โดยไม่รู้นิพพาน ไม่รู้ว่านิพพานคืออะไร เพราะเดี๋ยวนี้ยังไม่รู้เลยว่าคืออะไร แล้ว จะไปรู้นิพพานได้อย่างไร เพราะฉะนั้นก่อนอื่นต้องเข้าใจธรรมทีละคำ พอไหม หรือน้อยไป แค่คำเดียวนี่ก็ยากแสนยากที่จะเข้าใจได้แล้ว

    อ.ธิดารัตน์ ถ้าพูดถึงความทุกข์เ ส่วนใหญ่ก็จะรู้จักกันแต่ทุกข์กายกับทุกข์ใจ แล้วทุกข์ที่เป็นทุกข์จริงๆ ท่านอาจารย์ เพราะว่าถ้าไม่รู้จักทั้ง ทุกข์ที่มีในปัจจุบันซึ่งเป็นทุกข์กายทุกข์ใจ แล้ว ก็ไม่รู้จักทุกข์อย่างละเอียดๆ ก็ถึงนิพพานไม่ได้ แล้วก็ควรจะเริ่มต้นเข้าใจทุกข์ว่าเป็นธรรมอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ไม่มีใครไม่รู้จักทุกข์กาย ใช่ไหม ทุกข์คือสภาพธรรมีที่ไม่น่าพอใจ ไม่ควรยินดี เวลามีกายจึงมีทุกข์กาย ถ้าไม่มีกายจะมีทุกข์กายไหม แค่นี้ก็รู้แล้ว ถ้าไม่มีกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ทุกข์กายก็ไม่มี แต่เมื่อมีกายแล้ว ตาก็เจ็บ ฟันก็เจ็บ ทุกสิ่งทุกอย่าง เดี๋ยวป่วยไข้ อย่างนั้นอย่างนี้เป็นต้น มาจากไหน ต้องมีเหตุทั้งนั้นเลย แต่เหตุจริงๆ ก็คือว่า เพราะยังมีกาย ถ้าไม่มีกายเมื่อไหร่ ไม่ต้องหิวใช่ไหม ไม่ต้องทำมาหากิน ไม่ต้องทำอะไรตั้งหลายอย่าง ถ้าเพียงแต่ไม่มีกายก็ไม่หิวแล้ว แต่ยังมีตาอีก มีหูอีก มีจมูกอีก มีลิ้น อีก แล้วก็เหนือสิ่งอื่นใดคือมีใจ

    เพราะฉะนั้นทุกคนรู้จักใจไหม ถ้าไม่ถามก็คิดว่า เราไปฟังธรรมแล้วก็เราฟังเรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่องเป็นผู้ที่มีทาน มีศีล แต่อะไรก็ไม่รู้ ถ้าถามจริงๆ แม้แต่คำเดียวว่ารู้จักใจไหม ทุกคนกำลังมีใจ รู้จักใจไหม ตั้งแต่เกิดจนตายถ้าไม่ได้ฟังธรรม ไม่รู้จัก ใจคืออะไร รู้แต่ว่าใจเศร้าหมอง ใจเป็นทุกข์ ใจเดือดร้อน ใจกระวนกระวาย รู้จักแต่ใจอย่างนี้ แต่ใจคือะไร ถ้าเป็นผู้ที่ฟังธรรมแล้วไม่ลืม ไม่ลืมหมายความว่าเข้าใจคำที่ได้ฟัง ตอบได้ ใจเป็นธรรม เริ่มรู้แล้วมีจริงๆ เพราะฉะนั้นธรรมคือสิ่งที่มีจริงไม่ว่าอะไรทั้งหมด เมื่อใจมีจริง ถามแค่ไหน รู้แค่ไหน ก็ตอบได้แค่นั้น ก่อนที่จะได้ฟังธรรมตอบไม่ได้ ใช่ไหม ว่าใจเป็นธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงความละเอียดอย่างยิ่ง แต่พอฟังแล้ว แม้คำเดียว สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้นถามว่าเดี๋ยวนี้มีใจไหม ก็ตอบว่ามี ถามว่าใจคืออะไร ก็ตอบได้เท่าที่รู้ คือใจเป็นธรรม คือสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่มีใจก็เป็นคนที่ตายใช่ไหม เพราะฉะนั้นถามว่าขณะที่หลับ รู้อะไรหรือเปล่า เห็นอะไรหรือเปล่า คิดอะไรหรือเปล่า ฝันหรือเปล่า ถึงแม้ไม่ฝัน ไม่เห็น ถามว่ามีใจไหม นี่ต้องเป็นผู้ที่เริ่มตรงตั้งแต่ต้น ข้อความในพระไตรปิฎกมีว่าถ้าไม่เป็นผู้ตรง ไม่ได้สาระจากพระธรรม จะชื่อว่าชาวพุทธหรือไม่ใช่ชาวพุทธ อะไรก็ตามแต่ จะเห็นค่าของคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งจารึกไว้เป็นพระไตรปิฏก หรือไม่ก็ตาม แต่ว่าถ้าเป็นผู้ที่ไม่ละเอียด และไม่เป็นผู้ตรงไม่ได้สาระ

    เพราะฉะนั้นต้องคิดไม่ใช่เขาบอก เพราะว่าความคิดต้องสืบต่อมาจากการรู้ความจริงตั้งแต่ต้นว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นใจมีจริง แน่ๆ แล้วก็ถ้าไม่ลืม ใจเป็นเราหรือเป็นของเราหรือเปล่า ทุกคำต้องตรง ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น แต่มีปัจจัยเกิดขึ้น เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้ายต่างๆ เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวชอบ เดี๋ยวชัง พวกนี้ก็เป็นสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แต่ว่าต้องมีความเข้าใจละเอียด จึงสามารถที่จะรู้ว่าพระสัมมาสัมเจ้าทรงตรัสรู้ว่าธรรมเท่านั้นที่มีจริง แต่เพราะไม่รู้จึงยึดถือว่าธรรมนั้น เป็นดอกไม้เป็นโต๊ะ เป็นคน เป็นสัตว์ แต่ถ้าไม่มีสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่มีเลย และเรายังไม่สามารถที่จะรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริง แท้จริงคืออะไร แต่ใจทุกคนก็บอกว่ามี ความไม่รู้มาแล้ว เดี๋ยวนี้จะอยู่ไหน หลับสนิทหมายความว่าอะไร หลับสนิทไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้ว่ามีอะไรกระทบกาย ไม่คิดนึก ไม่ฝัน มีไหมหลับสนิท ทุกคนต้องตรง มีก็มีใช่ไหม แต่ไม่รู้ใช่ไหม ก็ถามต่อไปว่าในขณะที่หลับสนิทมีใจไหม เริ่มเป็นความเข้าใจถูกต้องแล้ว ทีละเล็กทีละน้อย ขณะที่หลับสนิทมีใจไหม

    ผู้ฟัง มีใจ อาจจะเป็นเพราะว่าจิตใจเราสงบ แล้วก็ไม่ได้ฝันหรืออะไรอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ ตอนหลับสนิท ไม่ใช่ฝันไม่อะไรทั้งสิ้นเลย ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่มีอะไรปรากฏเลย ขณะนั้นไม่ใช่ขณะที่กำลังฝันถูกต้องไหม ทีละเล็กทีละน้อย และขณะที่กำลังฝันก็ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ ซึ่งไม่ใช่ฝัน เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เห็นเป็นจิต เพราะว่าที่เราพูดว่าใจหรือจิต หมายความถึงสภาพที่รู้ ต้องเกิดขึ้นโดยอาศัยตา ถ้าเห็นเดี๋ยวนี้กำลังเห็นแท้ๆ ก็ยังไม่รู้เลยว่า เห็นเกิดขึ้นเห็น ถ้าไม่เกิดไม่มีเห็น แต่ใครก็ทำให้เห็นเกิดไม่ได้ แต่ต้องมีตา เป็นปัจจัย สิ่งที่สนับสนุนทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น เกื้อกูลอาศัยกัน และกัน มีเรื่องเยอะมากที่เกี่ยวกับธรรมที่เกิดตามลำพังไม่ได้ ซึ่งแสดงให้เห็นความจริงว่าบังคับบัญชาไม่ได้ เพราะฉะนั้นขณะที่เห็นก็ต้องอาศัยหลายอย่างเกิดขึ้น อาศัยตา อาศัยสิ่งที่กระทบตาด้วย แล้วจึงเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ขณะนั้นเป็นใจหรือเปล่าที่เห็น นั่นแหละขณะนั้นคือจิต หรือใจ เราใช้ภาษาไทยว่าใจ จิตเราก็ใช้ด้วย หมายความถึงสภาพรู้ จะเมื่อไหร่ ทางไหนก็ตามแต่ กำลังนอนหลับสนิทรู้ไหมว่าชื่ออะไรตัวเอง ตัวเองชื่ออะไรรู้ไหม กำลังหลับสนิท ต้องตรง และต้องจริง ธรรมไม่ใช่เรื่องที่จะเปลี่ยนความจริง แต่ความจริงที่ไม่เคยเปิดเผยให้รู้ว่าเป็นอะไร

    เพราะฉะนั้นกำลังหลับสนิทหมายความว่า ไม่มีอะไรปรากฏเลยว่างเปล่าไปหมดเลย ใช่ไหม ชื่ออะไรก็ไม่รู้ อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มีลูก มีพี่น้อง อย่างไร้ก็ไม่รู้ เพื่อนสนิท ทรัพย์สมบัติ บ้านช่อง ไม่รู้หมดเลยขณะนั้นชื่อว่าหลับสนิทใช่ไหม แล้วมีตื่น เพราะฉะนั้นถ้าตายไม่ตื่น แต่หลับสนิทตื่น เพราะเหตุว่าแม้ขณะนั้นก็เป็นจิตประเภทหนึ่ง แสดงให้เห็นว่ามีจิตหลากหลายมากเดี๋ยวนี้ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง ไม่มีทางที่จะเข้าใจความหมายของคำว่า อนัตตาไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะยึดถือว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นของเรา เพราะว่าเพียงเกิดขึ้นเลือกให้เกิดก็ไม่ได้ แล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้นตอนเกิดมาเป็นคนในชาตินี้ไม่มีใครเลือกเลย เลือกไม่ได้เลยใช่ไหม เกิดแล้วเป็นอย่างนี้เป็นอย่างอื่นได้ไหม ก็ไม่ได้ เกิดแล้วจะต้องเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ที่อยากจะเห็นได้ไหม หรือว่าแล้วแต่เหตุปัจจัยโดยเราไม่รู้ว่าทำไมเราต้องเห็นสิ่งนี้ บางคนก็พูดว่าทำไมถึงต้องเป็นเรา พอฟังธรรมแล้ว คำตอบก็คือเพราะต้องเป็นเรา จะเป็นคนอื่นได้อย่างไร ในเมื่อเป็นแล้ว เกิดแล้ว เป็นอย่างนี้แล้ว จะเป็นคนอื่นไม่ได้ด้วยเหตุนี้ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ตอนเกิดก็ไม่รู้ใช่ไหม ขณะแรกที่เกิดในโลกนี้ ใครรู้บ้าง ไม่รู้ เหมือนขณะที่หลับสนิท และถ้าจะต่อให้เข้าใจอีกนิดหนึ่ง เหมือนขณะที่จากโลกนี้ไป จิตขณะสุดท้ายที่ทำให้พ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้โดยสิ้นเชิง จะเป็นคนในอีกต่อไปไม่ได้เลยสักหนึ่งขณะจิต

    เพราะฉะนั้นเราเริ่มเข้าใจจิต ซึ่งมีอยู่ที่ตัวเองตลอดเวลา แต่ถ้าไม่อาศัยการฟังพระธรรม ไม่เห็นความเป็นอนิจจัง ไม่เห็นความเป็นอนัตตา ว่าไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้ ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แม้แต่เกิด เกิดมาบางคนตาบอด เลือกได้ไหม ไม่อยากตาบอด ใครๆ ก็ไม่อยากตาบอด แต่เพราะต้องตาบอดตามเหตุตามปัจจัย ทุกอย่างในชีวิต เริ่มเห็นความจริงว่าเป็นธรรม ซึ่งอาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น โดยที่ว่ามีเหตุ ซึ่งเราไม่รู้เลย เราพูดว่ากรรมเป็นปัจจัย แล้วแต่กรรม เวลาตายแล้วก็บอกว่าถึงแก่กรรม หมายความว่าถึงที่สุดของกรรมที่จะให้เป็นบุคคลนี้เป็นบุคคลนี้ต่อไปไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่เราได้ยินเผินๆ เราเริ่มค่อยๆ เข้าใจว่าคืออะไร ก็คือธรรม ซึ่งทุกอย่างหมดเลยเป็นธรรม เกิดแล้วดับไป เพราะฉะนั้นจะนับกันยังไงไหว นับไม่ได้เลย ที่ดับไปแล้ว ก็มีที่เกิดใหม่ แล้วก็ดับไปอีก แล้วก็เกิดมาอีก จึงนับไม่ได้เลยว่ามากมายสักแค่ไหน เพราะฉะนั้นก็ทรงจำแนกสิ่งที่มีจริง เป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ ตามความเป็นจริง สภาพธรรมอย่างหนึ่งเกิดขึ้นไม่รู้อะไรเลย เป็นดอกไม้ เป็นอาหาร เป็นหวาน เป็นเปรี้ยว เป็นเค็ม เกิดดทั้งนั้น ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี แต่สิ่งต่างๆ เหล่านั้น เป็นธรรมซึ่งไม่สามารถจะรู้ ไม่ใช่สภาพรู้ พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติเรียกสภาพที่เกิดมีจริงแต่ไม่รู้อะไรว่า รูปธรรมไม่พ้นจากธรรม แต่ทรงแสดงความละเอียดของธรรม และเพิ่มขึ้นทีละคำ ทีละคำ ทีละคำ ให้เข้าใจว่าสิ่งที่มีที่เกิดเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ก็กำลังมี เพราะฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ พิสูจน์ได้ทุกขณะ เดี๋ยวนี้มีรูปธรรม คือสภาพที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ที่ตัวมีแข็งไหม ไม่ยากที่จะสัมผัสกระทบเลย มีอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่มีอยู่แต่ไม่รู้ ให้รู้ว่าแข็งมี ไม่ใช่เรา แข็งต้องเกิดจึงมีแข็ง ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเกิดทั้งนั้น เกิดดับ เกิดดับเ กิดดับ อยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่เกิดดับจะมีโรคภัยต่างๆ ไหม ก็ไม่มี จะมีอ้วนมีผอม มีอะไรไหม ก็มีไม่ได้ ใช่ไหมแต่เพราะเกิดดับสืบต่อตาม เหตุตามปัจจัย ก็แปรเปลี่ยนไปตั้งแต่เกิดทุกขณะ ไม่มีอะไรที่ยั่งยืน ตั้งแต่เกิดจนตาย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 181
    18 ก.ค. 2567