ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1046


    ตอนที่ ๑๐๔๖

    สนทนาธรรม ที่ บ้านทันตแพทย์หญิงวิภากร พงศ์วรานนท์

    วันที่ ๒๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ คิดดูกิเลสมากแค่ไหน ดับได้ไม่เหลือเลย และยังประกอบด้วยพระญาณต่างๆ พระมหากรุณา ซึ่งใครก็เปรียบไม่ได้ เพราะว่าบำเพ็ญพระบารมี เมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์นานเท่าไหร่ เพื่อให้คนอื่นได้ยิน ได้ฟัง ได้เข้าใจ ได้หมดกิเลสด้วย เพราะรู้ว่าปัญญาของใคร ซึ่งไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ถึงระดับนั้น ไม่สามารถจะเข้าใจสิ่งที่มีจริงด้วยตัวเองได้ ถูกปกปิดทับถมไว้ ยากที่จะเปิดเผยให้รู้ว่า เดี๋ยวนี้ไม่มีอะไร มีแต่สิ่งซึ่งไม่มีแล้วเกิดแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่เหลือเลยทุกอย่าง เมตตาไหมอย่างนี้ โกรธใคร โกรธตา โกรธหู โกรธแขน โกรธขา หรือโกรธอะไร ก็เป็นสิ่งที่เพียงเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเท่านั้นเอง ถ้าเข้าใจอย่างนี้ เมตตาไม่ต้องไปฝืน ไม่ต้องไปอยาก แต่ว่ามีปัจจัยเกิดขึ้นเพราะความเข้าใจ เรื่องฟัง ธรรมเป็นเรื่องฟังเข้าใจ เท่าไหร่ก็ไม่พอ จนกว่าความเข้าใจสามารถจะเข้าใจสิ่งที่ปรากฏอย่างที่ได้ฟัง ไม่ผิดไปเลยสักคำเดียว เพราะฉะนั้นเข้าใจธรรมก่อนตาย ได้ฟังธรรมก่อนตาย ได้เข้าใจ ถูกต้องไม่ผิด เพราะเหตุว่าถ้าเข้าใจผิดนั้นอันตรายมาก จะผิดต่อไปอีกในสังสารวัฏ จนกระทั่งไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้รับมรดก คือพระธรรมที่ทำให้สามารถรู้ความจริงได้

    คนที่ว่าธรรมยากเพราะอะไร คนจำนวนมากที่บอกว่าธรรมยาก เพราะอะไร เพราะไม่ได้ฟังจริงๆ ถ้าฟังแล้วนั้นเข้าใจได้ เข้าใจแล้วบอกว่ายาก แต่ไม่ใช่ฟังแล้วยาก ไม่ศึกษา เพราะยากเกินไป แต่ฟังแล้วเป็นผู้ที่ตรงว่ายากแน่นอน แต่เพราะเข้าใจ เห็นไหมแม้แต่คำพูดที่ว่าธรรมยาก ก็ยังต้องละเอียด ยากจริงหรือไม่ ยากตรงไหน เพียงฟังแล้วบอกว่า ไม่ศึกษาเพราะยากมาก ศึกษาอย่างอื่นดีกว่า ฟังอย่างอื่นดีกว่า แสดงว่าไม่เข้าใจธรรมว่ายาก แต่ว่าคิดว่าสิ่งที่ได้ฟังนั้นยาก

    เพราะว่าบอกว่าเป็นธรรมก็ยากแล้ว แต่ถ้าฟังจริงๆ รู้จริงๆ ว่า เข้าใจว่าเดี๋ยวนี้เห็นเป็นหนึ่ง ไม่ใช่เรา เกิดแล้วดับไป ยากที่วันไหนจะตรงเห็นที่เกิดและดับ อันนี้หมายความว่า ผู้นั้นเป็นผู้ที่ละเอียดที่จะรู้ว่า ความยากอยู่ที่ลักษณะของธรรม ซึ่งเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ ก็เลยรวมกัน รูปร่างสัณฐานปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วใครจะรู้ เพราะว่าเป็นอย่างนี้มานานแสนนาน

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมก็เพื่อเข้าใจ และเข้าใจก็สามารถที่จะเห็นคุณค่าประโยชน์ว่า ถ้าไม่ฟังก็ไม่เข้าใจ จะเข้าใจอย่างนี้ได้อย่างไร แล้วอย่างนี้ถูกไหม ที่พูดทุกคำนี้ถ้าจริงก็ฟังเลย เพื่อที่จะได้เข้าใจมากกว่านี้ขึ้นอีกเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นปัญญาที่เห็นประโยชน์ ทั้งหมดนี้คำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเรื่องของปัญญา ทุกคำที่ต้องละเอียดขึ้น สิ่งที่มีจริงอย่างนี้ทุกวันนี้ ทรงแสดงพระธรรมถึง ๔๕ พรรษา ความจริงของทุกอย่างโดยละเอียดยิ่ง ถ้าเป็นวิชาอื่นจบไปนานแล้วใช่ไหม ๔๕ ปีนี่ได้กี่วิชา แต่ถ้าเป็นการที่จะเข้าใจธรรม ต้องเป็นผู้ที่ตรง ไม่ได้ต้องการอะไร ประกาศนียบัตร ใบอะไรต่ออะไร เอามาทำไม ก็แสดงเห็นแล้วว่าไม่ถูก ถ้าเข้าใจคลาดเคลื่อนอย่างนี้ไปโดยตลอด เห็นผิดเป็นถูก โลกก็เป็นอย่างนี้

    เพราะฉะนั้นพระธรรมอันตรธานเมื่อไม่มีผู้ที่เข้าใจ แต่เพราะความเข้าใจ จึงได้รักษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ถูกต้อง คงไว้ ไม่ผิด ไม่คลาดเคลื่อน คนที่ไม่เข้าใจพระธรรมจะรักษาพระธรรมได้ไหม แต่ก็บอกรักพระพุทธศาสนา ต้องรักษาไว้ ต้องบำรุงไว้ แต่ให้คนอื่นเรียน ช่วยคนอื่น แต่ตัวเองไม่เรียน แล้วอย่างนี้จะเป็นไปได้อย่างไร ก็ทุกคนก็เวียนกันไป จนไม่มีใครเรียนเลย

    ผู้ฟัง กว่าจะเข้าใจคำแล้วเพื่อจะมาเข้าใจความหมายที่อาจารย์พูดว่า พวกนี้เป็นสิ่งที่ไม่ใช่เรา เป็นธรรมเป็นอาการของธาตุต่างๆ ที่รวมๆ ขึ้นมานี่ ที่มีปรากฏขึ้นมาแล้วก็ดับไปด้วย อาจารย์จะกลับมาใช้ว่าเอาคำๆ เดียว แล้วเข้าใจไหมว่า ธรรมคืออะไร

    ท่านอาจารย์ ก็เห็นความยาก ฟังแล้วจะกี่ปีก็ตาม แต่ก็ต้องเป็นผู้ที่ตรง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ สิ่งที่กำลังมีในขณะนั้น ทุกคนก็รู้ว่าขณะนี้มีอะไร เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ แต่ถ้าไม่ใช้คำ จะรู้ไหมว่าหมายความถึงอะไร ไม่ว่าจะในภาษาไหน เพราะฉะนั้นทรงแสดงธรรมกับชาวมคธี ชาวมคธ ในภาษามคธี เป็นคำที่เขาใช้อยู่ทุกวัน แต่ก็ยังกล่าวถึงสิ่งที่มี โดยนัยต่างๆ เหมือนกับที่เราใช้ภาษาไทยที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ เราก็ยังต้องพูดว่าคำนั้นคืออะไร หมายความถึงอะไร ใช่ไหม อย่างเวลานี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ แค่นี้ ภาษาไทยแท้ๆ มีสิ่งที่กำลังปรากฏ คนไทยด้วยที่พูดและคนไทยด้วยที่ฟัง

    แต่คนที่ไม่เคยศึกษาธรรมเลย จะงงไหม ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่พอฟัง ถ้าไม่ปรากฏจะมีหรือ เห็นไหม ถ้ากลับคำถามเสีย แต่ที่ว่ามีนี่เพราะปรากฏใช่ไหม ให้เขาเริ่ม รู้ว่าสิ่งที่มีนี่ยากแสนยากที่จะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นคนที่ฟังแล้วเข้าใจ ก็ยังบอกว่ายาก แต่ว่ายากด้วยความเข้าใจ แต่คนที่ไม่ฟังแล้วบอกว่าเข้าใจ ไม่เข้าใจก็บอกว่ายาก นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งต้องเป็นสิ่งที่ตรงมาก และพระธรรมยากยิ่ง เพราะอะไร ถ้าไม่ยากยิ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่จะได้ตรัสรู้ต้องบำเพ็ญพระบารมีนานอย่างนี้หรือ ใช่ไหม แล้วเราบำเพ็ญพระบารมี ชาติก่อนๆ เป็นใครหรือเปล่า ได้ฟังธรรมหรือไม่ คิดที่จะเข้าใจธรรมหรือไม่ แต่ผู้ที่เป็นโพธิสัตว์คิดที่จะเข้าใจธรรม ธรรมมีจริงๆ สัตต หรือ คนไทยใช้คำว่า สัตตะวะ นี่คือ ข้อง ผู้ที่ข้อง ผู้ที่ข้องอยู่ในโพธิ คือ การที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มี ของเราอยากจะได้ฟังคำ ที่กล่าวถึงสิ่งที่มีเพื่อที่จะได้เข้าใจ ความที่ใคร่ที่จะรู้ มีแค่ไหน คิดดู ต่างกันมาก

    ด้วยเหตุนี้การฟังพระธรรมนี้ ก็ยิ่งเข้าใจเท่าไหร่ ก็ยิ่งยากและลึกซึ้งขึ้นเท่านั้น ที่เราว่ายากตอนต้น ต่อไปจะรู้ว่ายากกว่านั้น ตามความลึกซึ้งของธรรม เพราะคิดดูอวิชชามหาศาล เอาจักรวาลกี่จักรวาลมารวมกัน ก็ไม่สามารถที่จะกล่าวถึงความมากมายที่ได้สะสมมา และปัญญานี้จะค่อยๆ ละความไม่รู้นั้น จนกระทั่งหมดสิ้นตามลำดับขั้น

    เพราะฉะนั้นก็ไม่ประมาท ในการที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ก็ต้องเป็นผู้เคารพต่อความจริงว่า ให้คนอื่นได้มีโอกาสเข้าใจถูก ไม่ใช่เข้าใจกันผิดๆ เผินๆ กันไปหมด แล้วใครจะได้ฟังคำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าทุกคนคิดอย่างนี้ ก็เป็นคำสอนที่ปฏิรูป หมายความว่า ค่อยๆ ลดความถูกต้อง เอาสิ่งอื่นมาแทน อย่างนี้ เป็นต้น

    ด้วยเหตุนี้ แม้ในภาษาไทย พูดกันนี้เราก็ยังต้องใช้ภาษาไทยตลอด เหมือนชาวมคธ เขาก็ใช้ภาษาบาลี ปาละ ภาษามคธีตลอดใช่ไหม ไม่ได้ใช้ภาษาอื่นเลย แต่เขาก็ฟัง นานอย่างเหมือนที่เราฟังในภาษาไทยเท่ากัน เพราะว่าถ้าแปลกลับเป็นภาษาบาลีก็ตรงกับที่ได้กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกและอรรถกถา ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่มีจริงแท้ๆ กำลังมีเดี๋ยวนี้ ใครรู้ เห็นไหม มืดแค่ไหน ถูกปิดบังไว้แค่ไหน จนกว่าแต่ละคำ ค่อยๆ รู้ว่า ขณะนี้ มีธาตุรู้

    คนก็พอที่จะรู้ว่า ธาตุคือสิ่งที่มีจริง และธาตุรู้ เมื่อไหร่ ตรงไหน ลืมคิดว่า กำลังเห็นนี่ ไม่รู้เลยว่า มีสิ่งที่กำลังปรากฏอย่างนี้ ถ้าไม่เห็นจะรู้ไหมว่ามีอย่างนี้ เพราะฉะนั้นรู้ในอาการที่ปรากฏ ของสิ่งที่กำลังปรากฏ นั่นคือธาตุรู้ ซึ่งแต่ละคำก็คือสิ่งที่มีจริง แต่ไม่รู้ ก็ต้องอาศัยคำในภาษานั้นเองอธิบายจนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น จนกว่าจะถึงลักษณะที่มีจริง ที่เป็นอย่างนั้นซึ่งเกิดและดับ เพราะสิ่งที่มีต้องเกิดด้วยและก็ต้องดับไปด้วย

    เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อไม่ใช่เรา อะไรจะเกิดก็คือว่า มั่นคงว่าเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะอะไร ก็เกิดแล้วให้เห็นว่าไม่ได้ไปทำสักนิดเดียวที่จะให้เกิดขึ้น เกิดแล้วทั้งนั้น จะไม่เป็นอย่างนั้นก็ไม่ได้ เปลี่ยนก็ไม่ได้ดับแล้ว เกิดแล้ว ดับแล้ว

    นี้คือการที่จะสะสมเพื่อที่จะเข้าใจสิ่งที่มีที่ปรากฏ ทีละเล็กทีละน้อยไปเรื่อยๆ แล้วจะรู้ว่า ถ้าไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะรู้ความจริงอย่างนี้ไม่ได้ ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงอย่างนี้เลย ก็ชัดเจนว่าเป็นเรื่องที่ละเอียด เป็นเรื่องที่มีจริง เป็นเรื่องที่ยาก และก็ยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่า ตอนต้นยาก ตอนต้นยากสำหรับเรื่อง คำ แต่ความลึกซึ้งยาก เมื่อปรากฎที่จะยากขึ้น แต่คำนี่พอชินเข้า ก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าหมายความถึงอะไร แต่ลักษณะก็ไม่ได้ปรากฏ ถ้าปรากฏแล้วจะรู้ว่ายากไหม ซึ่งขณะนี้ทุกอย่างด้วย ไม่ใช่เพียงอย่างเดียว ไม่ใช่แค่เห็นอย่างเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีนี้ เกิดแล้วดับทั้งนั้น อย่างรวดเร็ว แล้วไม่เหลือด้วย ชาติก่อนไม่เหลือสักนิด แต่ละวันก็ไม่เหลือเลย สักหน่อยหนึ่งก็ไม่มี หมดจริงๆ แต่ละหนึ่งขณะด้วย ฟังเพื่อเข้าใจถูก แต่ไม่ใช่เพื่อจะไปทำอะไรให้กิเลสหมด ซึ่งเป็นไปไม่ได้

    เพราะฉะนั้นศึกษาธรรม ต้องมีคำที่กล่าวถึงความเป็นจริงของธรรม เป็นไปตามความหมายของคำนั้นว่า กำลังกล่าวถึงคำอะไร ก็ต้องเข้าใจตัวจริงของธรรม เพียงแค่รู้ว่ามีจริงแค่นี้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ปัญญาก็ทำหน้าที่ของปัญญา เพราะว่าสภาพธรรมอื่นมีมาก ก็ต้องเกิดมาก ปัญญาเข้าใจนิดเดียว ความไม่รู้มีมาก ก็เกิดขึ้นมามากมาย เพราะฉะนั้นก็รู้ความจริงว่า อะไรเป็นอะไร แต่ทั้งหมดก็คือว่า ไม่ใช่เรา ต้องมั่นคง ไม่เช่นนั้นก็จะไขว้เขว แล้วก็ทำให้พระธรรมเสื่อมสูญ

    ผู้ฟัง แม้ขั้นความรู้ที่ได้ยินได้ฟังก็ยากแล้ว แต่ส่วนมากในชีวิตประจำวัน ก็เข้าใจผิดว่ารู้แล้ว และก็พูดตามได้ แต่ยังไม่เห็นตัวจริงของสิ่งที่ทรงแสดง

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีอะไร

    ผู้ฟัง มีเห็น

    ท่านอาจารย์ มีเห็น เพราะฉะนั้นขณะนี้ฟังเรื่องเห็น เข้าใจว่าเห็นมีจริงๆ เข้าใจว่า เห็นเกิดขึ้นและเห็นดับไป แล้วเห็นไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่คิด เพราะฉะนั้นเห็นเป็นเพียงสิ่งที่รู้ เกิดขึ้นรู้สิ่งที่ปรากฏต่างๆ เป็นอย่างนี้หรือยัง

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เป็นแล้วหรือ

    ผู้ฟัง เป็นว่าท่านอาจารย์บอกว่าเห็น

    ท่านอาจารย์ แต่ที่นี้ ต้องฟังว่าขณะนี้ ทุกคนเข้าใจถูกต้องว่ามีเห็น แล้วเห็นเกิดทุกคนก็รู้ ฟังแล้วถ้าเห็นไม่เกิด จะมีเห็นได้อย่างไร แล้วเห็นก็ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย แค่เห็น นี่กำลังเห็น หน้าที่ของเห็น คือกำลังเห็น แล้วเห็นแค่เห็นแล้วดับไป รู้อย่างนี้ตรงลักษณะที่กำลังเห็นแล้วหรือยัง

    ผู้ฟัง ยัง

    ท่านอาจารย์ นี่ก็คือ เข้าใจความจริง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเลือกไม่ได้ ใช่ไหม จะรู้อะไรเมื่อไหร่จะพยายามให้รู้อย่างนี้ได้ไหม เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นที่คู่กับคำว่าธรรมก็คือ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เปลี่ยนไม่ได้ใช่ไหม เป็นอนัตตาแล้วจะมาเป็นอัตตาได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ ทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด ที่สุด แล้วจะเปลี่ยนได้อย่างไร เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรก็ตามที่ปรากฏ สิ่งนั้นเกิด แสดงอาการความเป็นอย่างนั้น ตามเหตุตามปัจจัย จะเปลี่ยนจากปัจจัยที่ทำให้เกิดก็ไม่ได้ เช่น มีตา เราใช้คำตา แต่ความจริงหมายความถึง ธรรมที่ไม่รู้อะไร แต่สามารถที่จะกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นปัจจัยให้ธาตุรู้เกิดขึ้นเห็นแล้วดับ เข้าใจอย่างนี้ จนกว่าจะประจักษ์แจ้งอย่างนี้โดยไม่ต้องใช้คำ

    เพราะเข้าใจแล้ว เหมือนกับเดี๋ยวนี้ ถ้าเข้าใจแล้วก็ไม่ต้องใช้คำ ไม่อย่างนั้นเราคงต้องพูดทั้งวันใช่ไหม แต่นี้เรารู้เราก็ไม่ต้องพูด อย่างดอกกุหลาบ เราเห็นแล้วก็ไม่ต้องเรียกว่าดอกกุหลาบ ก็รู้ว่าเป็นดอกกุหลาบ รู้ว่าเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นอะไรทุกอย่างไม่ต้องพูดทุกคำ

    เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจแล้ว ก็คือไม่ต้องพูด แต่ความรู้ความเข้าใจ เข้าใจสิ่งนั้น รู้สิ่งนั้นตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นการฟังธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมให้ได้ฟัง ได้เข้าใจ ให้รอบรู้ ให้มั่นคง เป็นปริยัติ ซึ่งจะนำไปสู่ปฏิปัตติ การที่สามารถถึงเฉพาะลักษณะหนึ่งโดยไม่เลือก โดยความเป็นอนัตตาโดยทันที ไม่มีการเตรียมตัวใดๆ เลย เพราะที่เตรียมคือการฟังเข้าใจ นับชาติไม่ถ้วนที่เข้าใจขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะถึงเฉพาะลักษณะนั้น ด้วยสติสัมปชัญญะ

    เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจ ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงก็เข้าใจ เพราะรู้ว่าคำนั้นคืออย่างนั้น แต่เมื่อยังเป็นเพียงขั้นความคิด ยังไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจจริงๆ ก็ฟังไตร่ตรองว่าถูกต้องเป็นความจริงและก็มั่นคง ที่จะไม่ไปฝืนพยายามไปทำอะไร ให้รู้อย่างนั้น เพราะเป็นไปไม่ได้ ขณะนั้นก็ยิ่งเพิ่มความเป็นตัวตน ต้องรู้ละเอียด เพราะธรรมละเอียด กิเลสละเอียด ปัญญาก็ต้องละเอียด

    ผู้ฟัง มีหลายคนที่มาพูด แล้วอยากรู้คำปฏิจจสมุทปาท เหมือนๆ รู้พูดตามได้ แต่ว่ามันมีบางอย่างที่ปิดกั้น แล้วเมื่อไหร่จะถึงสักที เมื่อไหร่จะเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เมื่อไหร่จะเข้าใจสักที เป็นปฏิจจสมุทปาทหรือไม่ เห็นไหมไม่ใช่ให้เราไปจำชื่อปฏิจจสมุทปาท แต่ให้เข้าใจ เมื่อไหร่จะถึงเสียที ไม่รู้ใช่ไหม เพราะไม่รู้จึงต้องการรู้ใช่ไหม เราพูดภาษาไทยเพื่อที่จะให้เข้าใจและเมื่อเข้าใจแล้ว ปฏิจจสมุทปาทไม่มีปัญหา แต่ผู้ที่มีปัญหาคือไม่ได้มีพื้นฐานความเข้าใจ แล้วก็ใช้คำซึ่งอยากรู้ และเมื่อไหร่จะถึงสักที ก็มาจากความไม่รู้ ซึ่งขณะนั้นก็เป็นปฏิจจสมุทปาท

    เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม คือสิ่งที่มีจริงในภาษามคธี เราต้องมานั่งแปลทีละคำ แต่ถ้าเราเข้าใจว่า ไม่รู้ใช่ไหม ถึงได้บอกว่าเมื่อไหร่จะรู้สักที ชัดเจนออกอย่างนั้น ไม่รู้นั่นทำให้เกิดความต้องการใช่ไหม มาแล้วอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร

    เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องไปเอาชื่อมาตั้งต้น แล้วก็มานั่งหา แล้วก็มานั่งจำ ท่านตรัสไว้ว่าอวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร สังขารอะไร ก็นั่งท่องไปนั้น ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร ชื่อจำไม่ได้ เดี๋ยวฟังอีกที เอาให้แม่นๆ หรืออะไรอย่างนั้น ไม่ใช่

    แต่ว่าเดี๋ยวนี้เอง อวิชชามีแล้วในขณะที่พูดว่าเมื่อไหร่จะรู้ แต่คนนั้นก็ไม่รู้ เพราะอยากจะรู้ เพราะฉะนั้นเครื่องกั้นก็คือว่า เพราะไม่ได้เข้าใจว่าไม่มีเรา สิ่งนั้นเกิดตามเหตุตามปัจจัย เห็นไหมเราใช้คำว่าตามเหตุตามปัจจัย ปัจจัยมาจากภาษาบาลีเป็นภาษาบาลีก็จริง แต่ภาษาไทยเราก็ใช้ ปัจจัยสิ่งที่จะทำให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดอาศัยกันและกันเกิดขึ้น

    ถ้าไม่มีจะเป็นอยู่ได้อย่างไร อย่างคำว่าปัจจัยของพระเณรทั้งหลาย ท่านก็ต้องมีที่อยู่ที่อาศัย ไม่อย่างนั้นชีวิตจะดำเนินไปได้อย่างไรในเพศบรรพชิต ต้องมีอาหาร ต้องมียารักษาโรค เป็นต้น ที่เหมาะที่ควรที่พอดีสำหรับการสละ ไม่ใช่ยังกลับไปสู่ความติดข้องต่างๆ จะมีมือถือ จะมีอะไรต่างๆ เหล่านี้ มีไปทำไม อยากใช่ไหม อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขารอยู่ไหน ใช่ไหม อยู่ทุกวัน แต่ก็ไม่รู้เลย ได้แต่จำชื่อเอาไว้ เพราะฉะนั้นจะมีประโยชน์อะไรกับการที่เราจะไปจำชื่อ แต่ไม่รู้ว่าจริงๆ คือเดี๋ยวนี้ทุกขณะที่มีอวิชชา แล้วพอเกิดโลภะความติดข้องขึ้น

    ความอยากความต้องการ เรื่องราวต่างๆ มากมายของธรรม ก็มาจากความไม่รู้ทั้งหมด เราก็สามารถที่จะเข้าใจได้ว่า ทำให้เกิดทั้งกุศลบ้าง อกุศลบ้าง แล้วแต่จะมีอะไรๆ มากมายทั้งหมด จะได้ฌานไม่ได้ฌานอย่างไร ก็เป็นเพราะไม่รู้ความจริงทั้งหมด นี้ก็เป็นสิ่งซึ่งเข้าใจธรรม และก็ไม่ต้องกังวลถึงคำ เพราะว่าพอเข้าใจแล้ว ได้ยินคำนี้ชัดเจน

    ถ้าเข้าใจว่าอวิชาเป็นปัจจัยให้มีทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่ากุศลธรรมอกุศลธรรม ระดับไหนก็ตาม ระดับรูปพรหม อรูปพรหม ซึ่งเป็นไปในสังสารวัฏทั้งหมดมาจากอวิชชา ก็สามารถที่จะรู้ว่าทุกวันนี้เป็นอยู่ด้วยอวิชชา ซึ่งเป็นปัจจัยให้เกิดความคิด ความต้องการต่างๆ แค่นี้หมดความสงสัยในอวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขารแล้วใช่ไหม ถ้าเราเข้าใจว่าสังขารหมายความถึงอะไร

    ชีวิตจริงๆ พอได้ฟังธรรมก็ไม่เห็นสงสัย อวิชชาก็เป็นปัจจัยอยู่ทุกวันนี้ สังขารก็มีอยู่ทุกขณะนี้เพราะอวิชชา นี่คือการศึกษาธรรม เพื่อให้เข้าใจธรรม ไม่ใช่ไปสนใจ ชื่อ เรื่อง บางคนว่าเมื่อไหร่จะพูดเรื่องนั้นสักที ต่อไปหน่อยได้ไหม อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร สังขารเป็นปัจจัยแก่วิญญาณ ต่อให้หน่อยสิ หรืออะไรอย่างนี้ใช่ไหมจะได้เข้าใจ นั้นเป็นเรื่องความอวิชชานั้นเองกำลังเป็นสังขารแท้ๆ ก็ไม่รู้

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมต้องเข้าใจจุดประสงค์ ไม่ใช่เพื่อเราต้องการจะรู้คำ รู้ชื่อ แต่ไม่เข้าใจว่าขณะนั้นอวิชชามีเต็มที่เลย สังขารก็มีในขณะนั้นมีอยู่แล้วก็ไม่รู้ ไปนั่งเรียกชื่อ ไปนั่งหา ไปนั่งรอว่าเมื่อไหร่จะพูดถึงสังขารเป็นปัจจัยแก่วิญญาณ ศึกษาแบบไหน ศึกษาแบบตัวตนที่ต้องการคำ ที่ต้องการที่จะรู้ความหมาย แล้วก็ลืมหมด

    เพราะว่าไม่รู้ว่า ธรรมคือเดี๋ยวนี้ ทุกอย่างที่ตรัสไว้ดีแล้ว คือเดี๋ยวนี้ทั้งหมด ปฏิจจสมุทปาทก็เดี๋ยวนี้เอง แต่ไม่ใช่ไปจำชื่อมา แล้วก็รอว่าเมื่อไหร่จะไปที่ข้อความอื่น แม้แต่สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ อวิชชานี้เอง แล้วขณะที่เข้าใจ เข้าใจไม่ใช่ไม่เข้าใจ ใช่ไหม

    วิชชาไม่ใช่อวิชชา ใช่ไหม เข้าใจแล้ว ยังอยากมีสติ คิดดู เป็นไปได้อย่างไร ขณะที่เข้าใจก็มีสติอยู่แล้ว ถ้าไม่มีสติก็ไม่เข้าใจ แต่ก็ยังอยากมีสติ คิดดู เรียนแบบไหน ศึกษาแบบไหน ศึกษาแบบไม่รู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรมทั้งๆ ที่ทุกอย่างเป็นธรรม เพราะฉะนั้นไม่เว้นเลยสักอย่างเดียว แต่เพราะไม่รู้ต่างหากจึงฟัง เพื่อที่จะให้รู้ว่าสิ่งที่มีคืออะไร แต่ว่าเพราะความไม่รู้ ก็นำไปสู่การต้องการ เห็นไหมทั้งหมดด้วยความเป็นเรา

    เพราะฉะนั้นกว่าจะเข้าใจธรรม ก็คือว่าฟังเพื่อให้รู้จริงๆ ว่าไม่ใช่เรา แม้แต่การได้ยินได้ฟังและได้เข้าใจ ดับแล้ว เห็นเกิดไม่ใช่เข้าใจ ได้ยินเกิดไม่ใช่เข้าใจ ทุกอย่าง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง คือให้รู้ว่าไม่ใช่เรา แต่ละชาติ แต่ละชาติ แต่ละชาติ จนกว่าจะมั่นคง เหมือนอย่างพระโพธิสัตว์ เพราะผู้ที่ฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสาวกโพธิสัตว์ วันหนึ่งก็สามารถที่จะเข้าใจจนประจักษ์แจ้งความจริงได้ ยังหาอวิชชาไหม เป็นปัจจัยแก่สังขารด้วย

    ผู้ฟัง ขอความกรุณาท่านอาจารย์ ขยายในข้อความที่ว่า ชาวพุทธควรศึกษาพระธรรม

    ท่านอาจารย์ พุทธะ คือ รู้หรือไม่รู้ รู้ เพราะฉะนั้นผู้ที่จะได้ชื่อว่าผู้รู้ รู้จากใคร ก็ต้องรู้จากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นชาวพุทธ ก็คือผู้ที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเคารพอย่างสูงสุด ถ้าไม่ได้ฟังเราจะไม่มีโอกาสเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น ได้แต่คิดกันเอง

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำ แต่ละคำนี้ เข้าใจเมื่อไหร่ ระลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเป็นชาวพุทธที่เพราะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเข้าใจได้ถูกต้อง เพราะฉะนั้นชาวพุทธไม่ใช่คนไม่รู้ ไม่เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น แล้วก็ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แล้วก็บอกว่าเป็นชาวพุทธ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 181
    1 พ.ค. 2568