ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1067
ตอนที่ ๑๐๖๗
สนทนาธรรม ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อัมพวา จ.สมุทรสงคราม
วันที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ลักษณะของความไม่พอใจ ก็มีตั้งแต่ หยาบ ละเอียดที่สุด จนถึงหยาบที่สุดจน ถึงสามารถเกลียดชัง และพยาบาททำร้ายได้ นี่คือทั้งหมดก็เป็นสภาพธรรม
เพราะฉะนั้น ชาวพุทธ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม จะเคารพนับถืออะไร เพราะที่เคารพสูงสุด มีสามใช่ไหม พระรัตนตรัย พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และพระสังฆรัตนะ ต้องเข้าใจ ๓ คำนี้ด้วยว่า พระพุทธรัตนะ
ทุกคนก็เพียงแต่รู้จักชื่อ กราบไหว้ นอบน้อมมานาน แต่ไม่รู้พระคุณมหาศาลว่า เพียงไม่กี่คำที่ได้ฟัง ก็ทำให้เกิดปัญญาความเห็นที่ถูกต้อง ซึ่งจะนำไปสู่ความเบาใจ ความสบายใจที่คลายการ ที่เราเคยเป็นทุกข์ เดือดร้อนนักหนา ว่ามีสิ่งนั้น สิ่งนี้ แล้วก็ต้องทำสิ่งนั้น สิ่งนี้ ก็เป็นเรื่องของธรรมทั้งหมด คิดก็ใช่ ก็เป็นธรรม คิดดีก็เป็นธรรม คิดไม่ดีก็เป็นธรรม ทั้งหมดเป็นธรรม แต่ว่าแค่นั้นเอง แล้วก็จากโลกนี้ไป
ฝันค้างร่างจมดิน ใช่ไหม เพราะว่าคิดอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดก็คือว่า อยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้ว คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประมาณไม่ได้เลย เมื่อมีความเข้าใจ
เพราะฉะนั้น ยิ่งเข้าใจเท่าไหร่ พระคุณใครจะเปรียบปานได้ เพราะว่าเท่าที่ฟัง ยังเพียงแค่ผิวเผินยังอีกมาก เพราะว่า การแสดงธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเป็นไปตามลำดับของความเข้าใจจนถึง การประจักษ์แจ้งแทงตลอด ที่เราใช้คำว่าอริยสัจจธรรม ก็คือ ธรรม อย่างนี้ แต่ว่าขณะที่เริ่มเข้าใจอย่างนี้ ทำให้คนนั้นยังไม่ถึงความเป็นพระอริยะ
เพราะเหตุว่า สภาพธรรมนั้นยังไม่ปรากฏ ต่อปัญญาที่เพียงเริ่มฟัง แต่ถ้าปัญญานั้นฟังแล้ว ก็ละคลายความติดข้องมากขึ้น สภาพธรรม ทั้งหลายที่เป็นฝ่ายดี ก็เจริญมากขึ้น จนสามารถประจักษ์แจ้งความจริงเดี๋ยวนี้ ที่ถูกปิดบังไว้ นานแสนนานด้วยความไม่รู้
เพราะฉะนั้น ขณะนั้นก็เป็นอภิสมัย สมัยที่ประเสริฐยิ่ง คือ สามารถประจักษ์แจ้งความจริงของคำที่ได้ฟัง และรู้ว่าจริง ถ้าคำที่ได้ฟังเป็นสิ่งที่จริง ก็สามารถประจักษ์แจ้งจริงอย่างนั้น จึงสามารถที่จะละกิเลส ละคลายความเป็นตัวตนได้
ด้วยเหตุนี้ ธรรมรัตนะ คือ ธรรมที่เป็นปัญญา ที่ทำให้เข้าใจสภาพธรรม ธรรมทั้งหมดที่นำไปสู่การรู้แจ้ง อริยสัจจธรรม เป็นธรรมรัตนะ เพราะเหตุว่า อกุศลก็เป็นธรรม มีจริงทุกอย่าง สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ที่มีจริงๆ เป็นธรรมทั้งหมดเลย เพราะเหตุว่า คำว่า ธรรม หมายความถึง สิ่งที่มีจริง
ด้วยเหตุนี้ โกรธก็จริง นำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ไหม ไม่ได้ เป็นธรรม แต่ไม่ใช่ธรรมรัตนะ เพราะฉะนั้น ธรรมรัตนะ ใช้คำว่า โพธิปักขิยะธรรม ธรรมทั้งหลายที่นำไปสู่การรู้แจ้ง อริยสัจจธรรม ซึ่งก็ต้องเป็นธรรมฝ่ายดีทั้งหมด แต่ต้องประกอบด้วยปัญญา เพราะว่าดีเท่าไหร่ แต่ไม่รู้ความจริง ไม่มีปัญญา ก็ไม่สามารถที่จะรู้แจ้ง สิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ได้
ด้วยเหตุนี้ ก็เริ่มรู้จัก พระรัตนตรัย และเห็นคุณของพระรัตนตรัยว่า ผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้สูงสุด ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระองค์ เราจะไม่มีโอกาสได้ฟังคำ ที่เรากำลังเริ่มเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เลย
เพราะฉะนั้น ไม่มีใครเปรียบปานได้ในสากลจักรวาล ที่พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมทรงตรัสรู้ และพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้ นำไปสู่การเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งใครก็ให้ไม่ได้ ซื้อหาได้ไหม คนนั้นเป็นพระอริยะบุคคล เอาเงินไปซื้อหน่อย ขายเท่าไหร่ ก็จะพยายามซื้อ ไปพยายามหามา ไม่มีทาง
เพราะฉะนั้น รัตนะ นี้มีค่าเหนือสิ่งใดทั้งสิ้น เพราะเงินหรืออะไรๆ ก็ไม่สามารถจะซื้อได้ เพราะฉะนั้น คุณค่ามหาศาล พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และผู้ที่ได้รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง ดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น
ตั้งแต่เป็นพระโสดาบัน ซึ่งประจักษ์แจ้งความจริง ตามที่ได้ฟังทุกอย่าง ละความเห็นผิดว่าเป็นเรา ไม่เหลืออีกเลย ไม่มีอีกเลย เพราะต้องรู้ความจริงทั้งหมดทุกอย่างว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง
บุคคลเหล่านั้นต่างหาก ที่เป็นพระสังฆรัตนะ ไม่ใช่ภิกษุที่เราเห็น นั่นไม่ใช่สังฆรัตนะ แต่จะเป็นภิกษุหรือเป็นคฤหัสถ์ก็ตาม ปัญญาที่ได้รู้แจ้งสภาพธรรม นั้น เป็นสังฆรัตนะ เพราะเหตุว่า เป็นผู้ที่ได้ประจักษ์แจ้งความจริง แต่ไม่ถึงความเป็นพุทธรัตนะ
เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งที่เป็นชีวิตประจำวัน ไม่ได้ฟังธรรมเมื่อไหร่ ก็เหมือนนอนหลับในความมืดทุกชาติไป ไม่ได้ตื่นขึ้นมา รู้ความจริงเลย
ด้วยเหตุนี้ อีกคำหนึ่ง ก็หมายความว่า พุทธ คือ ผู้ตื่น เพราะรู้ความจริง เวลาหลับ ฝัน ถ้าไม่ตื่นขึ้นจะรู้ไหมว่า ฝัน ฝันทั้งวัน ทั้งคืน ตลอดไป ไม่รู้เลยว่า ฝัน ใช่ไหม ต่อเมื่อไหร่ตื่น เมื่อนั้นรู้ว่านั่นฝัน นี่ตื่น ฉันใด ขณะนี้ที่อยู่โลก ที่ไม่รู้ความจริง ก็เหมือนฝัน
เพราะเหตุว่า พอตื่นขึ้นมารู้ว่าไม่มีเรา นั่นถึงจะเป็นการถูกต้อง แต่ทั้งหมดก็เป็นธรรมที่เกิดดับสืบต่อ เป็นเหมือนเรื่องราว ที่เราได้ยิน ได้ฟัง แต่ก็เกิดขึ้นจริงๆ กับเราด้วยความไม่รู้ ในความมืดสนิท
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้ธรรม ก็เหมือนกับคนตาบอด มืดสนิท อยู่ในเหวลึก หรือ อะไรก็ทุกอย่างหมดที่จะเปรียบ เพราะว่าไม่มีความเข้าใจ สิ่งที่กำลังมีจริงๆ
เพราะฉะนั้น ความรู้ กับ ความไม่รู้ ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ความไม่รู้ มีไหม เดี๋ยวนี้ ที่ไม่รู้ จะกล่าวว่าไม่มีไม่ได้ ใช่ไหม เมื่อมี สิ่งนั้น คือ อวิชชา หรือ โมหะเจตสิก เป็นเจตสิก ซึ่งหลงไม่รู้ความจริง ถูกปิดบัง เป็นสภาพที่ปกปิดความจริงไว้
ส่วนความรู้ ก็คือ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก จะใช้คำว่าปัญญาก็ได้ เป็นเจตสิกซึ่ง โมหะเจตสิก เป็นอกุศลเจตสิก ปัญญาเจตสิก เป็นโสภณเจตสิก เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีอะไร พูดถึงอะไร ก็คือ จิต เจตสิก รูป เท่านั้นเอง แต่ถ้าไม่มีชื่อจะเรียก ก็ไม่รู้ว่าหมายความถึงไหน ใช่ไหม เพราะว่ามากมายเหลือเกิน
เพราะฉะนั้น จึงต้องมีชื่อ ที่หมายรู้ว่า พอพูดถึงเห็น ก็หมายความถึง ภาวะที่มีสิ่งที่ปรากฏโดยอาศัยตา ที่กระทบกับสิ่งนั้น และธาตุรู้ ก็เกิดขึ้นเห็น เพราะฉะนั้น ใช้คำว่าเห็น ถ้าพูดถึงได้ยิน ก็เป็นอีกความหมายหนึ่ง เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นต้องมีคำ เพื่อให้รู้ความหมายของคำนั้น
ด้วยเหตุนี้ ขณะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ขณะนั้นไม่มีคำ แต่ว่าเวลาที่จะกล่าวถึงความจริง ของสิ่งที่มี ให้คนอื่นได้รู้ตาม ก็ต้องใช้คำ แต่ละคำ ให้รู้ว่า หมายความถึง ความจริงอะไร แต่ละอย่าง
ทั้งหมดนี้ก็คือ รู้จักพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ไม่ใช่เพียงแต่กล่าวว่า มีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง มีพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง แต่ไม่ได้พึ่งอะไรเลย เพราะไม่ได้เข้าใจอะไรเลย เพียงแต่คิดว่าเป็นที่พึ่ง
แต่พึ่งจริงๆ คือ พึ่งเมื่อเข้าใจ ซึ่งรู้ว่า คนอื่นไม่สามารถที่จะทำให้ปัญญาความเห็นอย่างนี้ เกิดขึ้นได้เลย นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ฟัง รัตนะทั้ง ๓ คือ พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ เป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจ แล้วก็ทรัพย์ก็มีสำหรับการใช้สอยอย่างเช่น เงิน ทอง จะพิจารณาว่า รัตนะทั้ง ๓ เป็นทรัพย์ที่ใช้สอยอย่างไร
ท่านอาจารย์ หมายความว่า มีทรัพย์ และปลื้มใจใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ ได้เข้าใจธรรมแล้วปีติ ปลื้มใจไหม นั่น ทรัพย์แล้ว แต่ไม่ใช่ทรัพย์สิน เงิน ทอง ที่จะไปซื้อขาย แต่เพื่อที่จะได้เข้าใจถูกยิ่งขึ้น ซึ่งทรัพย์อื่นไม่สามารถจะทำให้เข้าใจได้ เราเข้าใจธรรมแค่นี้ แต่ธรรมยังมีอีกมาก ที่จะต้องเข้าใจ เอาเงินไปซื้อได้ไหม แต่เมื่อมีปัญญาแล้ว ก็เริ่มที่จะเข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้น ก็เป็นทรัพย์อย่างยิ่ง ซึ่งทำให้ทรัพย์เพิ่มขึ้นจากทรัพย์ที่มีอยู่
อ.คำปั่น ถ้าเป็นอย่างเช่นที่ แสดงไว้ในอรรถกถา ว่า พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ แล้วก็พระสังฆรัตนะ เป็นเครื่องใช้สอยของบุคคลผู้ไม่ต่ำทราม ท่านก็ยกตัวอย่างว่า บุคคลผู้ไม่ต่ำทราม ก็แสดงถึงความเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เห็นคุณประโยชน์ของพระธรรม ที่มีการฟังการศึกษา
แต่ถ้าแสดงถึงบุคคลผู้ต่ำทราม พระองค์ก็ทรงแสดง ยกตัวอย่าง เจ้าลัทธิทั้ง ๖ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเห็นผิด คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ก็แสดงถึงความชัดเจนว่า ใครคือบุคคลผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากการอุบัติขึ้น ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจะมีเป็นเหตุให้ครบรัตนะทั้ง ๓
ท่านอาจารย์ คุณพรทิพย์อยากจะได้อะไร
ผู้ฟัง ถ้ายังไม่ได้ศึกษาธรรม ก็อยากได้ เงิน ทอง แก้ว แหวน เงินทอง
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ไม่อยากได้ แก้ว แหวน เงิน ทองเลยหรือ
ผู้ฟัง เปลี่ยนเป็นปัญญาแล้ว
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นคนตรงที่สุด เพราะไม่มี จึงอยากได้ ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ คุณพรทิพย์อยากได้อะไร แหวนเพชรเอา แหวนเพชรก็ได้ ถามว่า มีทรัพย์ ว่าใช้ทรัพย์นั้น ซื้อสิ่งที่อยากได้ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าใครอยาก ได้แหวนเพชร ไม่มีทรัพย์ซื้อได้ไหม ไม่ได้ อยากได้นิพพานไหม เอาทรัพย์ไปซื้อได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น อะไร ที่เป็นทรัพย์อย่างยิ่ง ที่จะทำให้ถึงการได้รู้แจ้งนิพพาน ก็เป็นปัญญาเท่านั้น เพราะฉะนั้น คนจน คือ คนไม่มีปัญญา คนมีปัญญา จนไหม
ผู้ฟัง ไม่จน
ท่านอาจารย์ เพราะเห็นว่ามีทรัพย์ที่ประเสริฐกว่านั้น ที่เขาสามารถที่จะได้ ถึงได้ ด้วยการมีทรัพย์นั้น เพราะฉะนั้น ถามว่า มีเงิน มีทอง จะใช้ซื้อทรัพย์อะไรใช่ไหม คนละอย่างกัน ใช่ไหม ทรัพย์อย่างนั้นได้มาหายไปเลยก็ได้ ซื้อมาก็หายไปทันทีก็ได้ ตกแตกอะไรหรือก็ได้ทุกอย่าง ทำลายไปได้เลย แต่ทรัพย์ปัญญาเจริญขึ้น เพื่อที่จะได้ทรัพย์ ที่ประเสริฐที่สุด คือ การรู้แจ้งพระนิพพาน เมื่อพูดอย่างนี้ อยากได้ นิพพาน ความอยากได้ไม่สิ้นสุด แต่หารู้ไม่ว่า ประโยชน์อะไรของนิพพาน นิพพานมีประโยชน์อะไร ประเสริฐสุดแล้ว มีประโยชน์อะไร เป็นรัตนะที่สูงสุดเลย โลกุตตรธรรม ธรรมรัตนะ ไม่มีอะไรเหนือสิ่งนี้เลย และก็ได้มาทำไมหรืออะไรใช่ไหม
อ.คำปั่น ความหมายของ รัตนะ หมายถึง สิ่งที่มีค่า สิ่งที่ประเสริฐ ในอรรถกถารัตนสูตร ก็แสดงไว้หลากหลายความหมาย ซึ่งก็เป็นความจริงทั้งหมดเลย
รัตนะ หมายถึง สิ่งที่มีค่า เพราะว่าเป็นสิ่งที่ควรแก่การเคารพ เป็นสิ่งที่ชั่งไม่ได้ คือมีค่าประมาณไม่ได้เลย แล้วก็เป็นสิ่งที่ปรากฏได้ยาก นี้ก็ชัดเจน ใช่ไหม แล้วก็เป็นเหตุนำมาซึ่งความยินดี ซึ่งชัดเจนในความละเอียดที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวไปเมื่อสักครู่
ปัญญา ก็เป็นรัตนะด้วย เพราะว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐ ที่จะสามารถทำให้ ขัดเกลา ละคลายกิเลสจนถึงสามารถดับกิเลสได้ ปัญญา จึงเป็นรัตนะ ปัญญารัตนะ ซึ่งทั้งหมดก็จะเกิดขึ้นเป็นไปได้
เพราะว่า มีการอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริงแล้วก็ทรงแสดงความจริงนี้ให้กับสัตว์โลก ได้ฟัง ได้ศึกษา และก็ได้มีความเข้าใจธรรม ตามที่พระองค์ได้ทรงแสดง
ท่านอาจารย์ คุณพรทิพย์ ได้ของที่มีค่ามากๆ แล้วเป็นทุกข์ไหม มีเพชรหลายกอง มีทรัพย์สมบัติมากมายเป็นทุกข์ไหม
ผู้ฟัง อย่างนั้น ต้องหาที่เก็บด้วย เพื่อให้ปลอดภัย อีกต่างหาก
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นลองคิดดู ไม่ปลอดโปร่งเลย ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ แล้วเมื่อไหร่ ใจที่หนักด้วยกิเลส จะสะอาด จะปลอดโปร่ง จะพ้นจากความทุกข์ ความต้องการทั้งปวงได้ ดับซึ่งความอยาก ซึ่งนำมาซึ่งความทุกข์
ผุู้ฟัง ปัญญานี่ไม่ต้องหาที่เก็บด้วย ปลอดภัย
ท่านอาจารย์ เพราะอยู่ที่ไหน อยู่ที่ไหน
ผู้ฟัง อยู่ที่จิต
ท่านอาจารย์ อยู่ที่จิต แต่ละหนึ่งขณะ ซึ่งเกิดดับสืบต่อ
ท่านอาจารย์ ขโมย ขโมยได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่มีทาง ที่ใครจะเอาไปได้เลย
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต้องรู้ค่าของพระธรรม ซึ่งจะนำไปสู่การดับทุกข์ เพราะปัญญารู้ความจริง ว่าไม่มีอะไร แล้วก็จะหลงติดข้องในสิ่งที่ไม่มี ซึ่งเคยติดข้องมาแล้วมาก เหมือนคนที่มีสมบัติในฝัน ใช่ไหม ตื่นขึ้นมา ไม่เหลือ ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง แต่ในฝันมีทุกอย่างเลย
เพราะฉะนั้น คนที่กำลังมีสมบัติ ก็เหมือนในฝัน ตายแล้วไม่มี แต่ความจริง ก็ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น คือ สิ่งที่ว่ามี ก็คือไม่มี แค่มีปัจจัยทำให้เกิด แล้วก็ดับไปอย่างเร็วสุดที่จะประมาณได้ ไม่เหลือเลย
เพราะฉะนั้น แค่คำว่า ไม่มีอะไร คำเดียว ถ้าตรงใจใครที่จะเข้าใจได้ สะสมมา ก็ละคลาย เบาใจว่า ไม่ว่าทุกข์จะเกิดก็คือ ขณะนั้นไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ทั้งหมดที่เป็นนำความทุกข์มาให้อย่างยิ่ง ก็คือเรา และทุกข์จะค่อยๆ คลาย เมื่อค่อยๆ หมดความเป็นเรา จนกระทั่งถึงหมดกิเลสอื่นทั้งหมด ไม่เหลือเลย
ผู้ฟัง เริ่มฟังอาจารย์ แล้ว ก็คิดว่า ถ้าหากว่า เราเริ่มตระหนักว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่ตัวเรา แต่ว่าเราต้องใช้ชีวิตในโลกนี้ แล้วบางทีมันก็จะมีความคิดกลัวตัวเอง จะคิดไปในทางที่ผิดเอาเองว่าถ้าไม่มีเรา แล้วเราก็ ไม่ต้องพยายาม ทำอะไรสิ ไม่ต้องหาเงินมากก็ได้ งั้นก็หาแค่พอมี แค่นี้ก็พอ ไม่ต้องทำอะไรมากมาย เพื่อใคร พอฟังแล้ว มันจะเกิดความสับสนว่า ระหว่างที่เราพยายามจะตัดความ ไม่ใช่เรา เราจะหลงผิด คิดว่าเหมือนกับปล่อยชีวิตกลายเป็นคนเฉื่อยชา
ท่านอาจารย์ เป็นคำถามที่ดี เพราะเหตุว่า ทุกคนก็คิดอย่างนี้กันทั้งนั้นเลย เพราะลืม ลืมว่าทุกอย่างเป็นธรรม ห้ามไม่ให้คิดอย่างนี้ได้ไหม ขณะที่คิดเป็นธรรมที่คิด ถ้าไม่มีธาตุรู้ ไม่มีจิต ไม่มีคิดแน่นอน เพราะฉะนั้น จิต และเจตสิกต่างหากที่เกิดขึ้น พอเห็นแล้วจำ แล้วรู้ว่าเป็นอะไร มีความติดข้อง ได้ยินแล้วก็จำ ทุกอย่างดำเนินไป โดยไม่มีเราเลยทั้งสิ้น เป็นแต่ละธาตุแต่ละธาตุที่เกิดขึ้นเป็นไป เพราะฉะนั้น ท่านแสดงความละเอียดว่า พอมีการกระทบสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ เพราะความไม่รู้ ใช่ไหม มีความพอใจไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ เห็นไหม ละเอียดมาก แค่มากระทบ ก็มีความพอใจ พอใจ แล้วแสวงหา
ผู้ฟัง แสวงหา
ท่านอาจารย์ แสวงหาอย่างที่พูด เมื่อครู่ใช่ไหม แล้วเราจะทำอย่างไร และได้มาแล้ว ด้วยเป็นลาภ และหาลาภกันตลอดชีวิต สิ่งที่แสวงหากันตลอดชีวิตได้มาแล้วดีใจหรือไม่
ผู้ฟัง ดีใจ
ท่านอาจารย์ ดีใจไม่พ้นไปเลยอย่างละเอียดทุกอย่าง ไม่ว่าจะทั้ง ตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจ เป็นธรรมทั้งหมด แต่ไม่รู้ก็เลยเป็นความกลัว กลัวขณะนั้น ก็เพราะคิด คิดก็เพราะจำ จำว่ามีเรา มีสิ่งนั้น มีสิ่งนี้ มีโลก แต่ถ้าได้รู้ความจริง
ธรรมเกิดใช่ไหม เราหรือ แล้วก็ต่างคนก็ต่างสะสมมา ที่จะเป็นหนึ่งใช่ไหม แม้ขณะนี้ ก็เป็น แต่ละหนึ่ง ฟังธรรมด้วยกันก็จริง ความเข้าใจด้วยความคิด สับสนด้วย จะ สนใจเรื่องอื่น ไม่ได้ฟังธรรม ก็เป็นไปได้ทั้งหมด เป็นแต่ละหนึ่ง อยากเป็นอย่างนั้นหรือไม่ ก็ไม่อยาก แต่ก็เป็น เพราะมีเหตุปัจจัยที่จะเกิดขึ้น
ด้วยเหตุนี้ กว่าจะมีความมั่นคง ทุกอย่างเป็นธรรม ต้องอาศัยความเข้าใจ ที่เพิ่มขึ้น คิดก็เป็นธรรม ยับยั้งความคิด ได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่คิดอย่างนี้ได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ให้คิดอย่างคนอื่นที่เขาคิดได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ก็ไม่ได้ ก็ต่างคนต่างคิด ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า เพราะไม่รู้ว่า เป็นธรรม ขณะที่กำลังคิดว่า เราจะทำงานดีไหม หรือเราจะไม่ได้สิ่งนั้น สิ่งนี้ เพราะเหตุว่าเราไม่มีความเป็นตัวตน นั่นก็ คือ คิดทั้งหมด เป็นจิตแต่ละประเภทที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ทำงานเราทำ หรือ จิต เจตสิกทำ
ผู้ฟัง ถ้าตอนนี้ตอบว่าเราทำงาน
ท่านอาจารย์ เพราะยังไม่รู้จักธรรมเลย กว่าจะรู้จักธรรมจริงๆ ก็ต้องมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น ตามลำดับขั้น ด้วยเหตุนี้ พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมเจ้า ก็คือเริ่มจาก ปริยัติ การได้ฟังคำ และก็ไตร่ตรอง เป็นความรู้ความเข้าใจ รอบรู้ อย่างมั่นคง เมื่อไหร่เป็นสัจจญาณ
เห็นไหม ต่างกับตอนที่เริ่มฟังแล้ว ตอนที่เริ่มฟัง ก็ยังสงสัยแล้ว เราจะอยู่อย่างไร ธรรมต่างหากที่คิด เกิดมาเนี่ย ไม่ได้คิดมาก่อนใช่ไหม ว่าเราจะเกิดอย่างไร
ผู้ฟัง ไม่
ท่านอาจารย์ แต่เกิดแล้ว เกิดแล้วมีชีวิต ตั้งแต่เกิดมา ก็ไม่ได้คิดว่าเราจะอยู่อย่างไรด้วย ซ้ำไป ก็ค่อยๆ โตมาเรื่อยๆ มีสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตทั้งหมดก็คือ ธรรม คือ จิต และเจตสิกทั้งหมด ไม่ต้องตกใจจิต เจตสิกไม่มีวันขาดหายไปเลย ไม่มีทางหมด ใครให้จิตไม่เกิดได้บ้าง
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องห่วง แล้วแต่ว่าประเภทของจิต ประเภทใดเกิด ถ้าเป็นจิตที่ประกอบด้วยความไม่รู้ ก็คิดไปอีกอย่างหนึ่ง แต่ถ้าเป็นจิตที่ประกอบด้วยความรู้ ก็รู้ว่า ไม่มีใครเลือกอะไร เพราะไม่มีใคร แต่เป็นการเกิดดับของธาตุทั้งหมดเลย ไม่ว่าประเทศไหน ชาติไหน โลกไหน คนไหน ชีวิตไหนทั้งหมด เป็นธาตุ แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งต้องเป็นไป ตามความเป็นไปของธาตุนั้นๆ
ธาตุที่ไม่รู้อย่าง แข็งกับเสียง มีจริง สิ่งที่มีจริง มีลักษณะคงไว้ ซึ่งภาวะของตนเปลี่ยนไม่ได้ เสียงต้องเป็นเสียง กลิ่นต้องเป็นกลิ่น ทั้งหมดให้เป็นความรู้ได้ไหม เปลี่ยนธาตุนั้น ให้เป็นธาตุรู้ได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ธาตุรู้ก็ต้องเป็นธาตุรู้ เปลี่ยนจิตให้เป็นเจตสิก ก็ไม่ได้เพราะจิต แค่เป็นธาตุรู้ ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ ไม่ได้โกรธ ไม่ได้รัก ไม่ได้ชัง ปัญญาก็ไม่ใช่จิต ปัญญาเป็นเจตสิก เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งเป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เราเลย ไม่ให้เกิดไม่ได้ ไม่ให้เกิดเป็นอย่างที่จะเป็น ก็ไม่ได้ เพราะเป็นปัจจัย
เพราะฉะนั้น แม้แต่คิด ขณะนั้นใครจะคิดอยางไร เราจะคิดอย่างไรก็คือว่า ธาตุรู้เกิดขึ้นปรุงแต่งให้คิดไปต่างๆ นานา ซึ่งไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น บังคับอะไรไม่ได้เลย บังคับไม่ให้จิต เจตสิกเกิด ก็ไม่มีทาง แต่ว่าจิต เจตสิก ประเภทไหนเกิดเพราะความไม่รู้ จิต เจตสิก ประเภทไหนที่ฟังแล้วเข้าใจแล้ว ก็ค่อยๆ รู้ขึ้นค่อยๆ เข้าใจขึ้น แม้จะคิด ทุกคนต้องทำกิจการงานใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ ต่างๆ กันไป เป็นจิต เจตสิก แต่ละคน
ผู้ฟัง ถ้าในขั้นนี้ ก็คือ เหมือนให้เราค่อยๆ ฟังค่อยๆ ศึกษา เพิ่มความรู้ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องคิดว่าไม่ทำ
ท่านอาจารย์ ไม่ต้องคิดไม่ได้ คิดว่าไม่ต้องทำก็คิดแล้ว ทั้งหมดให้รู้ว่าเป็นธรรมทั้งหมด เมื่อไหร่รู้ว่า เป็นธรรมทั้งหมดนี้ คือ อีกขั้นหนึ่งของความมั่นคงของปริยัติ กว่าจะถึงปฏิบัติ ซึ่งเป็นขณะ ซึ่งประกอบด้วย ธรรมที่เป็นสติสัมปชัญญะ ที่สามารถรู้ขณะที่สภาพธรรมนั้นเกิด ตามที่ได้ฟัง อย่างขณะนี้ กระทบแข็ง ก่อนนั้นกระทบโต๊ะ จับดอกไม้ ช้อน ส้อม เป็นต้น ใช่ไหม แต่รู้ว่าแข็งนี่มีจริงๆ แข็งเป็นช้อนหรือไม่ แข็งเป็นโต๊ะหรือไม่
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1021
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1022
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1023
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1024
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1025
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1026
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1027
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1028
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1029
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1030
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1031
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1032
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1033
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1034
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1035
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1036
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1037
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1038
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1039
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1040
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1041
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1042
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1043
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1044
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1045
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1046
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1047
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1048
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1049
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1050
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1051
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1052
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1053
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1054
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1055
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1056
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1057
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1058
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1059
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1060
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1061
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1062
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1063
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1064
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1065
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1066
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1067
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1068
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1069
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1070
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1071
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1072
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1073
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1074
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1075
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1076
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1077
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1078
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1079
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1080
