ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1079
ตอนที่ ๑๐๗๙
สนทนาธรรม ที่ บ้านธัมมะ ลำพูน
วันที่ ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ ใครก็ตามที่สะสมมาที่จะเข้าใจธรรมทันทีที่ได้ฟังเทศนาจบ ไม่ต้องถึง ๗ วันก็มีใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ แล้วคนที่ฟัง ๗ วันแล้วไม่บรรลุก็มีใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ทุกอย่างต้องตรงว่าตามเหตุตามปัจจัย ซึ่งจะมีได้ตั้งแต่ยังไม่ทันถึงหนึ่งวันเลย จนกระทั่งถึง ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี หรือว่านานกว่านั้นก็ได้ตามเหตุตามปัจจัย ไม่ใช่ว่ากำหนดไว้ตายตัวเพราะว่าเป็นอนัตตา ฟังธรรมต้องละเอียด แม้แต่ว่าข้อความนั้นมาจากไหน พูดไว้อย่างไร ขาดตกบกพร่องหรือเปล่า หมายความว่าอย่างไร อย่างที่มีข้อความว่าพระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ ๕,๐๐๐ปี เราก็มานั่งนับนั่งคิดว่าตอนนี้ยังมีอยู่ แต่ถ้าไม่มีใครที่เข้าใจธรรมเลยทั้งสิ้นจะถึง ๕,๐๐๐ ปีไหม
เมื่อมีผู้ที่เข้าใจถูกต้อง และอบรมเจริญปัญญารู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงตราบใด พระศาสนาก็ดำรงอยู่ตราบนั้น ต้องเข้าใจในความหมายของเหตุปัจจัยด้วย ตรัสไว้ในที่ต่างๆ ต้องประมวลมาซึ่งเหตุและผล ไม่ใช่เมื่อได้ยินแล้วก็สงสัยว่าจริงหรือเปล่า แต่ก็ต้องรู้ว่าเหตุมาจากอะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่ ๗ วันหรือเปล่า
ผู้ฟัง ๔ อสงไขยแสนกัปป์
ท่านอาจารย์ เห็นไหมว่า กว่าจะมีปัจจัยที่จะทำให้ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านพระสารีบุตรบำเพ็ญบารมีนานเท่าไหร่ ไม่ถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์ เพราะไม่ใช่การที่จะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เลิศ หาผู้อื่นเปรียบไม่ได้เลยในทุกทาง พระบารมีต้องมากกว่า ทั้งเทวดาและพรหมในสากลจักรวาล
เพราะฉะนั้น คนที่เป็นสาวกอย่างท่านพระสารีบุตร ชาติก่อนๆ ท่านก็สะสมบารมี ได้ฟังอย่างนี้ แต่ความเข้าใจของท่านระดับไหน แล้วจะไปบอกว่าอีก ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปีได้ไหม หมายความว่า สามารถที่จะเป็นไปได้เมื่อเหตุปัจจัยถึงพร้อม ขาดเหตุปัจจัยไม่ได้เลย ไม่อย่างนั้นก็ไม่เป็นเหตุเป็นผล ต้องสอดคล้องกันด้วย ผลจะเกิดขึ้นตามควรแก่เหตุ บางคนที่ไปนั่งปฏิบัติ ๗ วัน รู้หรือยัง ยัง ถึงจะ ๗ เดือน ก็ไม่ไปไหน นั่งปฏิบัติอยู่อย่างนั้นจะรู้ได้ไหม ถ้าเหตุปัจจัยไม่พอไม่สามารถที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมได้
เพราะฉะนั้น ความเข้าใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ความเข้าใจมีจริงไหม
ผู้ฟัง มีจริง
ท่านอาจารย์ ความไม่รู้มีจริงไหม
ผู้ฟัง มีจริง
ท่านอาจารย์ ที่เป็นไปแล้วจนถึงวันนี้ อะไรมากกว่ากัน ความไม่รู้หรือปัญญา
ผู้ฟัง ความไม่รู้
ท่านอาจารย์ มากกว่ากันมาก ประมาณไม่ได้เลยใช่ไหม เพราะว่าเพิ่งได้ยินได้ฟังคำจริงสองสามคำใน ๔๕ พรรษาที่ทรงแสดง สำหรับผู้ที่ได้บำเพ็ญบารมีมาแล้วเข้าใจได้เลย มากบ้างน้อยบ้างต่างกัน เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมต้องรู้ว่าคำนั้นจริงหรือเปล่า และคนที่จะกล่าวความจริงอย่างนั้นได้ต้องรู้จริงอย่างนั้นหรือเปล่า เช่น ที่จะบอกว่า สภาพธรรมเดี๋ยวนี้ที่ปรากฏต้องเกิดแล้วก็ดับด้วย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งความจริงอย่างนี้หรือเปล่า พระองค์ตรัสอย่างนี้ตามที่ได้ทรงตรัสรู้ ไม่ใช่คิดพิจารณาไตร่ตรอง แต่ประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรม เพราะทรงบำเพ็ญพระบารมี ตอนที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ พระองค์คิดหรือเปล่าว่าจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ฟัง ไม่คิด
ท่านอาจารย์ ไม่คิด แต่มีเหตุปัจจัยใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ ถ้ายังไม่ถึงกาลที่สมบูรณ์ที่จะถึงการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเป็นได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ แต่เมื่อถึงเวลาแล้ว จะไม่เป็นได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็ต้องให้รู้ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่จะเกิดขึ้น ต้องเป็นไปตามปัจจัยที่ได้สะสมมา ซึ่งควรแก่สภาพธรรมนั้นๆ จะเกิดขึ้น สภาพธรรมนั้นๆ จึงเกิดขึ้นได้ ถ้ามีความมั่นคงอย่างนี้ก็จะรู้ได้ เพียงขั้นฟังจะไปประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมได้ไหม ผู้ที่ตรัสรู้แล้วตรัสรู้ขณะที่สภาพธรรมนั้นเกิดหลายอย่างหรือหนึ่งอย่าง ที่จะประจักษ์การเกิดดับต้องทีละหนึ่ง ถ้าพร้อมกันไม่มีทาง
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เราจะไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมนั้นถ้าสภาพธรรมนั้นรวมกัน แต่ถ้าทีละหนึ่งสามารถที่จะเข้าใจได้ อย่างขณะนี้แค่คำว่า เดี๋ยวนี้ ขณะเห็นมีสิ่งที่มีจริง คือสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงธรรมว่า ถ้าไม่มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม สีสันวัณณะต่างๆ ที่จะกระทบตาที่เกิดพร้อมกับรูปนั้น ถ้าไม่มีก็ไม่มีอะไรจะปรากฏ เหมือนกลิ่น กลิ่นอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่ากลิ่นอยู่ที่มหาภูตรูป ที่ใช้คำว่ารูปที่เป็นใหญ่เป็นประธาน ก่อนอื่นต้องรู้ว่า สิ่งที่มีจริงแต่ไม่รู้อะไรเลยเป็นรูปธรรม ถูกต้องไหม
ผู้ฟัง ถูกต้อง
ท่านอาจารย์ แข็งไม่รู้เลยว่าใครกำลังจับ ใครกำลังทุบ ใครกำลังตี อย่างไรแข็งก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น ไม่หิว ไม่โกรธ เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่เกิดเป็นอย่างนั้นไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เป็นรูปธรรมแต่ละหนึ่งๆ กลิ่นมีจริงไหม
ผู้ฟัง กลิ่นมีจริง
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ รูปธรรมไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น ทั้งรูปที่มองเห็นหรือมองไม่เห็น สภาพนั้นไม่รู้ ไม่สามารถจะรู้อะไรเลย เป็นรูปธรรม แต่ถ้าไม่มีธาตุอีกชนิดหนึ่งซึ่งต่างกับรูป เพราะไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น รูปอย่างละเอียดสักหนึ่งก็ไม่มี เป็นธาตุรู้ เกิดขึ้นแล้วรู้ คิดดูว่ายากไหมที่จะรู้ธาตุรู้ เช่น เห็นเดี๋ยวนี้ไม่ใช่ตาเห็น ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่เป็นธาตุที่เกิดขึ้นเห็นแล้วดับไป ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่คิด แต่ละหนึ่งๆ ๆ ปะปนกันไม่ได้ มีปัจจัยให้เกิดต่างกัน เกิดแล้วก็ดับไป ซึ่งการประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมไม่ใช่ด้วยเรา แต่เป็นปัญญาที่ละความไม่รู้ และความติดข้อง โดยเข้าใจถูกต้องตั้งแต่ขั้นฟังว่า สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีใครสามารถจะทำได้เลยทั้งสิ้น เห็นเกิดแล้ว ได้ยินเกิดแล้ว คิดเกิดแล้ว อะไรที่ปรากฏเกิดแล้วทั้งนั้น
เพราะฉะนั้น จะไปทำได้ไหม จะไปทำสติทำได้อย่างไร จะไปทำปัญญาได้อย่างไร เพราะเขาไม่รู้เหตุปัจจัยที่จะทำให้สติเกิด ไม่รู้ว่าอะไรเป็นปัจจัยให้ปัญญาแต่ละขั้นเกิดขึ้นเจริญขึ้น จนกระทั่งสามารถถึงวาระที่เป็นอภิสมัย สมัยที่ไม่เคยมีในสังสารวัฏฏ์ คือการที่ประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมด้วยปัญญาที่อบรมแล้ว ไม่ใช่แค่ฟังก็จะไปประจักษ์การเกิดดับ จะไปละ จะไปปล่อยวาง ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ต้องมีความมั่นคงในความเป็นธรรมซึ่งไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร เพียงแค่มีปัจจัยเกิดแล้วดับ และไม่กลับมาอีกเลย จะมีความเป็นเราได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น แค่คำว่าติดข้องในสิ่งที่ไม่มี เพราะเกิดแล้วดับ กว่าจะถึงการที่น้อมไปสู่ความเข้าใจอย่างนี้ได้ เพื่อความละคลายความติดข้องจะมีได้ ไม่ใช่ขั้นคิด แต่ต้องเป็นการฟังที่ปัญญาค่อยๆ ละเอียดขึ้นเข้าใจขึ้น และรู้ว่าขณะไหนไม่ใช่ปัญญา ขณะไหนเป็นความไม่รู้ ซึ่งทั้งหมดไม่ใช่เรา เห็นก็ไม่ใช่เรา ได้ยินก็ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นแล้วก็ดับไป
ธรรมตา ความเป็นไปของธรรมนั้นซึ่งเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับ ความเป็นไปของธรรมนั้นซึ่งเกิดขึ้นได้ยินแล้วก็ดับ ค่อยๆ เข้าใจให้ถูกต้องว่าไม่มีเราเลยทั้งสิ้น แต่ไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา จนกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสสิ่งที่พระองค์ได้ทรงรู้แจ้งแล้วว่า นี่คือจิต มีกี่ประเภท นั่นคือเจตสิก ไม่ใช่เรา คิดเกิดขึ้นขณะหนึ่ง มีสภาพธรรมอะไรอาศัยกันและกันปรุงแต่งให้เกิดคิดอย่างนั้น เพราะไม่รู้ใช่ไหมจึงเป็นเราคิด และชอบหรือไม่ชอบในสิ่งที่คิด เป็นคนนั้นคนนี้ เป็นสิ่งต่างๆ เหมือนเที่ยง เหมือนยั่งยืน เพราะฉะนั้น ก็ละคลายกิเลสไม่ได้
ตราบใดที่คิดและเข้าใจผิดว่ายั่งยืนก็เป็นที่ตั้งของความติดข้อง ความอาลัยเยื่อใย แต่เมื่อมีความเข้าใจจากการประจักษ์แจ้งในการเกิดดับ ค่อยๆ ละคลายความเป็นเรา จนกว่าจะรู้แจ้งอริยสัจจ์ทั้ง ๔ เมื่อไหร่ก็เป็นผู้ที่ประเสริฐ เป็นสังฆรัตนะ เพราะรู้ตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นพุทธรัตนะ
ผู้ฟัง คือผมติดคำ ๗ ปีเป็นอย่างช้า หมายความว่าทำไมถึงง่ายอย่างนั้น ผมคิดว่าไม่น่าจะจริง
ท่านอาจารย์ แค่ฟังก็รู้แล้วใช่ไหมว่า ๗ วันสำหรับใคร ๗ เดือนสำหรับใคร ๗ ปีสำหรับใคร สำหรับคนไม่รู้เลยอย่างนั้นหรือ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เกณฑ์ที่ว่าทุกคนจะต้องเป็นอย่างนี้ แต่หมายความว่าเมื่อเหตุสมควรแก่ผล สภาพธรรมจะปรากฏตามความเป็นจริง รู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ทั้งนั้นไม่ว่าเมื่อไหร่ จะ ๗ วัน หรือ ๗ เดือน หรือ ๗ ปีก็ได้ มากกว่านั้นก็ได้ นานเท่าไหร่ก็ได้ตามเหตุตามปัจจัย
การศึกษาธรรม ฟังคำแล้วต้องพิจารณาไตร่ตรองในความหมายด้วยว่า หมายความถึงอะไร ไม่ไช่ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนี้ เพราะฉะนั้นทุกคนต้องเป็นอย่างนี้ แต่ก็ต้องรู้ว่าสำหรับใคร การฟังธรรมต้องละเอียด
เรื่องของกรรม ประโยคแรกพูดว่าอย่างไร
ผู้ฟัง กรรมก็คือการกระทำ ซึ่งมีทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว
อ.คำปั่น ที่คุณสุทธิชัยกล่าวถึงก็คือ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ท่านอาจารย์ เราต้องพิจารณาให้เกิดความเข้าใจ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม หมายความว่า มีใครไปบังคับบัญชาให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ แต่ว่ากรรมคืออะไร เพราะฉะนั้น มีธรรมที่เป็นเหตุ และธรรมที่เป็นผล กรรมคือกุศลและอกุศลเป็นเหตุที่จะทำให้เกิดผล ถ้าอกุศลกรรมได้กระทำแล้วเป็นปัจจัยที่จะทำให้เกิดจิตที่เป็นผลของกรรมนั้น ถ้าเป็นกุศล ก็เป็นกุศลวิบากเป็นผลของกุศลกรรม ถ้าเป็นอกุศล ก็เป็นอกุศลวิบากซึ่งเป็นผลของอกุศลกรรม อย่างนี้ตรงไหม
ผู้ฟัง ตรง
ท่านอาจารย์ กรรมดีก็ให้ผลที่ดี กรรมที่ไม่ดีก็ให้ผลที่ไม่ดี แต่เรารู้ละเอียดกว่านั้นไหมว่า ผลคืออะไร เมื่อไหร่ เดี๋ยวนี้มีผลของกรรมไหม
ผู้ฟัง ไม่รู้ว่าจะให้ผลเมื่อไหร่
ท่านอาจารย์ จึงต้องฟังว่า เห็นเป็นผลของกรรม เพราะเราเลือกเห็นไม่ได้ บางครั้งเราเห็นสิ่งที่น่าพอใจ บางครั้งเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ เสียงก็เช่นเดียวกัน บางครั้งได้ยินเสียงที่น่าพอใจ บางครั้งได้ยินเสียงที่ไม่พอใจ เกิดแล้ว เพราะเป็นผลของกรรมที่ทำให้จิตนั้นต้องเกิดขึ้นรู้สิ่งนั้น
เพราะฉะนั้น ผลของกรรมขณะแรกของชาตินี้ก็คือ ขณะที่เกิด ใช้คำว่าปฏิสนธิ สืบต่อจากจุติจิต จิตขณะสุดท้ายของชาติก่อนที่เราใช้ว่าตาย ทันทีที่จิตขณะสุดท้ายทำให้สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดทันที โดยเป็นผลของกรรมหนึ่ง ซึ่งเราไม่รู้ว่ากรรมไหนจะให้ผล แต่สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ถ้าไม่มีกรรมที่ได้กระทำแล้วที่จะให้ผลเกิด ผลก็เกิดไม่ได้ เช่น เป็นพระอรหันต์แล้ว กุศลที่เคยเป็นที่จะให้ผลก็เป็นกิริยา เหมือนดอกไม้ที่ไม่ทำให้เกิดผล ก็เป็นแค่เพียงดอกไม้ คือการกระทำ แต่ผลไม่มี
การศึกษาธรรมต้องศึกษาแต่ละคำให้เข้าใจ แม้แต่คำที่ว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม เราก็ต้องรู้ว่ากรรมจำแนกออกเป็นกี่ประเภท มีกรรมหนัก มีกรรมเบา คือทุกอย่างต้องละเอียดที่จะต้องรู้ว่า ไม่ใช่ว่าเพียงเราได้ยินแค่นี้แล้วเราจะเข้าใจ แล้วก็มานั่งสงสัยว่าจริงหรือเปล่า แต่ถ้าเราศึกษาธรรมต่อไปโดยละเอียดก็สามารถที่จะเข้าใจได้ว่า คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำเป็นคำจริงซึ่งถึงที่สุด ไม่มีการที่จะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ ทรงแสดงไว้ว่ากรรมเป็นสภาพธรรมที่ปกปิด เดี๋ยวนี้เป็นกรรมหรือเปล่าที่กำลังฟังธรรม เป็นกรรม เป็นกุศลกรรม หรืออกุศลกรรม
ผู้ฟัง กุศลกรรม
ท่านอาจารย์ เป็นกุศลกรรมเมื่อไหร่
ผู้ฟัง เมื่อขณะฟังธรรม
ท่านอาจารย์ ฟังธรรมแล้วไม่เข้าใจ เป็นกุศลไหม
ผู้ฟัง ไม่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต้องละเอียดไปอีกใช่ไหม ขณะใดที่เข้าใจธรรม ขณะนั้นเป็นกุศลกรรม เกิดแล้วจะให้ผลไหม
ผู้ฟัง จะให้ผลเมื่อไหร่ไม่รู้
ท่านอาจารย์ ไม่รู้ใช่ไหม แต่ว่าเหตุมีแล้ว เพราะฉะนั้น แม้แต่ผลที่เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ อย่างเห็นเดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นผลของกรรมใด ด้วยเหตุนี้กรรมจึงเป็นสภาพที่ปกปิดทั้งในขณะที่ทำกรรม และในขณะที่ผลของกรรมเกิดขึ้น ก็ไม่รู้ว่าผลของกรรมนั้นมาจากกรรมไหน มาจากทาน หรือมาจากศีล หรือมาจากการฟังธรรมเข้าใจธรรม ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้
ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ทรงแสดงความจริง ๔๕ พรรษา ทุกเรื่องที่เราสงสัยข้องใจก็ค่อยๆ พิจารณา แต่ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ ที่จะต้องมั่นคงว่า กรรมเป็นเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่มีเรา
ท่านอาจารย์ เป็นอะไร กรรมมีใช่ไหม แต่ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น กรรมเป็นอะไร
ถ้าเราเข้าใจว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริงในภาษาของเรา สิ่งใดก็ตามที่มีจริงจะบอกว่าไม่จริงไม่ได้ เช่น เห็นเดี๋ยวนี้ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นมีจริงๆ จะบอกว่าไม่มีไม่ได้ แล้วเห็นก็มีจริง จะบอกว่าไม่เห็นก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรมในภาษาบาลี
เราศึกษาธรรมหมายความว่าอะไร เราศึกษาให้เข้าใจสิ่งที่มี แต่ไม่เคยรู้ความจริงของสิ่งนั้นมาก่อนเลย และไม่มีทางที่จะรู้ได้ด้วยถ้าไม่มีการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติ รู้แจ้งสภาพธรรม แล้วทรงแสดงธรรมให้เรามีโอกาสได้เข้าใจแม้แต่ว่าธรรมคืออะไร ซึ่งเป็นเบื้องต้นของการที่จะเข้าใจสิ่งที่มีว่า สิ่งที่มีทั้งหมดมีจริงๆ แต่ว่าเพราะมีเหตุปัจจัยทำให้เกิดขึ้น ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะเกิดก็เกิดไม่ได้ ถูกต้องไหม
ผู้ฟัง ถูกต้อง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น อะไรทำให้เกิดตา จักขุปสาท รูปพิเศษที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ กระทบเสียงไม่ได้ กระทบกลิ่นไม่ได้ กระทบเฉพาะสิ่งที่สามารถปรากฏเดี๋ยวนี้ ให้รู้ว่ามีทางตา ซึ่งมีจริงๆ ขณะนั้นตามีไหม ในขณะที่กำลังเห็นมีตาไหม เดี๋ยวนี้เห็น ไม่เคยรู้มาก่อน ไม่เคยฟังมาก่อน เป็นเรามาตั้งนานแสนนาน
แต่ฟังพระธรรมแล้วก็จะรู้ได้ว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง ทรงสภาพสภาวะความเป็นสิ่งนั้น ซึ่งเปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย ใครก็เปลี่ยนไม่ได้ สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ตาเป็นตา เสียงเป็นเสียง กลิ่นเป็นกลิ่น แข็งเป็นแข็ง จำเป็นจำ สุขเป็นสุข แต่ละหนึ่งๆ มีจริงๆ ใช่ไหม เป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริง
เพราะฉะนั้น ธรรมก็คือสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ไม่ใช่เรา เพราะมีปัจจัยเกิดแล้วดับ ถ้าเป็นเราก็ไม่มีเราแล้วใช่ไหม เพราะดับไปแล้ว หมดไปแล้ว แต่เมื่อไม่รู้ความจริงก็เข้าใจว่ามีเรา ซึ่งมีตา มีหู มีเรื่องราวต่างๆ ในชีวิต แต่ความจริงก็คือแต่ละหนึ่งก็เป็นธรรม ซึ่งเกิดดับสืบต่อตามเหตุตามปัจจัย
คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเริ่มฟังด้วยความเข้าใจมั่นคงตั้งแต่ต้นว่า เราฟังคำที่กล่าวถึงความจริงซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มี มีตลอดเวลาแต่ไม่เคยมีใครรู้เลย จนกว่าพระองค์จะตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีที่กำลังปรากฏให้เข้าใจถูกต้อง ไม่ใช่ให้ไปทำให้อะไรเกิดขึ้นเพราะทำไม่ได้ ไม่ว่าอะไรก็ตามเกิดแล้วทั้งนั้น คิดอย่างนั้นก็เกิดแล้ว เข้าใจผิดอย่างนั้นก็เกิดแล้ว ตามเหตุตามปัจจัย
เพราะฉะนั้น ก็มีความมั่นคงยิ่งขึ้นว่าไม่มีเรา ทุกอย่างที่มีเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ไม่มี แต่มีจริงตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปแต่ละหนึ่ง ซึ่งละเอียดมาก ดังนั้นไม่ว่าจะพูดถึงเรื่องอะไรไม่ผ่านไป แต่ต้องเข้าใจแต่ละคำให้ชัดเจนก่อนว่าคืออะไร
เมื่อพูดถึงกรรม ต้องรู้ว่าคืออะไร เป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ ธรรมมี ๒ อย่างใช่ไหม สภาพธรรมอย่างหนึ่งเกิดจริงๆ แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เช่น แข็งไม่รู้อะไร เสียงก็เกิดเป็นเสียง แล้วก็ดับไปไม่รู้อะไร แต่ถ้าไม่มีธรรมอีกอย่างหนึ่งซึ่งเป็นธาตุรู้ ธรรมกับธาตุความหมายเดียวกัน เพราะเหตุว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง
ธาตุ หมายความว่าสิ่งที่มีจริงนั่นเอง ใครไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพนั้นให้เป็นอื่นได้ เป็นสภาพที่ทรงไว้ซึ่งความเป็นอย่างนั้น สภาวะ ความเป็น ที่แข็งต้องเป็นแข็ง กลิ่นต้องเป็นกลิ่น เสียงต้องเป็นเสียง
เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่เกิดมาไม่ใช่สภาพรู้มีตั้งหลายอย่าง ทั้งหมดไม่รู้อะไรจึงเป็นรูปธรรม แต่ว่าถ้าไม่มีธาตุรู้ซึ่งเป็นนามธรรมเกิดขึ้น รูปธรรมปรากฏได้ไหมว่ามี รูปไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น เต็มโลกไปหมดเลยแต่ไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้น สิ่งนั้นจะปรากฏไหมว่ามี
ผู้ฟัง ไม่
ท่านอาจารย์ ไม่ปรากฏ ต่อเมื่อใดมีธาตุรู้เกิดขึ้นและมีสิ่งที่ปรากฏให้รู้ เพราะทั้งสองต้องเกิด สิ่งที่ปรากฏให้รู้ก็เกิด ธาตุรู้ก็เกิด เพราะฉะนั้น ได้ยินคำว่าโลกะ หรือโลก หมายความว่า โลกว่างเปล่าคือไม่มีอะไร แล้วก็มีปัจจัยทำให้เกิดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปทั้งหมดเป็นโลก เป็นโลกียะ เริ่มเข้าใจความหมายแล้วว่า อยู่ทุกวันนี้ก็คือธรรมทั้งหมดเลย ที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยหลากหลายมาก นานแสนนานมาแล้ว แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงว่าสิ่งที่มีแต่ไม่ใช่เรา แล้วเป็นอะไร เป็นรูปธรรมต่างๆ เป็นนามธรรมต่างๆ
นามธรรม ธาตุรู้ มี๒ อย่างคือ จิตกับเจตสิก จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ เช่น กำลังเห็น เป็นจิตที่กำลังรู้ว่าขณะนี้สิ่งที่ปรากฏให้เห็นมีจริงๆ อย่างนี้ เมื่อธาตุรู้อีกชนิดหนึ่งเกิดขึ้นได้ยินเสียง ก็รู้ว่าเสียงแต่ละเสียงหลากหลายมาก เพราะธาตุรู้สามารถจะรู้แต่ละเสียง จึงปรากฏว่าเสียงหลากหลายเพราะรู้แจ้งในแต่ละเสียง
เพราะฉะนั้น ธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งคือจิต แล้วก็มีสภาพนามธรรมซึ่งเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน รู้สิ่งเดียวกัน ต้องเกิดกับจิตเเต่ไม่ใช่จิต เป็นเจตสิกอีก ๕๒ ประเภทหลากหลายมาก ความติดข้องก็เป็นเจตสิกชนิดหนึ่ง ความขุ่นเคืองใจก็เป็นเจตสิกอีกชนิดหนึ่ง ความขยันก็เป็นเจตสิกชนิดหนึ่ง ความเข้าใจถูกก็เป็นเจตสิกชนิดหนึ่ง หลากหลายมากมีจริงในชีวิตประจำวันก็คือจิต เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งพร้อมกับเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย ทำให้จิตหลากหลายเป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง เป็นเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ เป็นธรรม เริ่มเข้าใจว่าไม่มีเรา แต่เป็นธรรมที่หลากหลายมาก รูปธรรมก็มีตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เข้าใจว่าเป็นร่างกายของเราแต่ก็เป็นแต่ละรูป ตา จักขุปสาท ไม่ใช่แข็งอ่อน เย็นร้อน แต่เป็นรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นปัจจัยให้ธาตุรู้เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยงเลย แสนสั้น ซึ่งถ้าไม่รู้ความจริงอย่างนี้ก็ติดข้อง ยังไม่ทันรู้อะไรเลยจะไปทำปฏิบัติธรรมให้ประจักษ์การเกิดดับ เป็นไปได้ไหม
เพราะฉะนั้น แต่ละคำที่ได้ฟังก็รู้ว่ามาจากผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ เพราะได้ทรงบำเพ็ญบารมี แล้วเรามีบารมีอะไรพอหรือยัง ที่ว่าบารมีทั้งหมดเป็นธรรมฝ่ายดี อกุศลทั้งหลายไม่สามารถจะทำให้รู้ความจริงนี้ได้เลยทั้งสิ้นเพราะไม่รู้ สภาพที่ไม่รู้มีจริง กำลังไม่รู้นั่นเองคือสภาพนั้นที่มีจริงๆ ที่ไม่สามารถจะรู้ได้ แต่ตรงกันข้ามกับสภาพรู้ ฟังแล้วมีความเข้าใจถูกต้องเมื่อไหร่ ความเข้าใจถูกค่อยๆ ละความไม่รู้ เพราะฉะนั้น เป็นเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ เป็นธรรม จิตเป็นใหญ่เป็นประธาน เจตสิกเป็นนามธรรมซึ่งเกิดกับจิต เป็นสภาพรู้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่เป็นใหญ่เป็นประธาน เพราะเหตุว่าเจตสิกจำ เจตสิกรู้สึก ไม่ใช่จิตแต่เกิดพร้อมกัน โดยทุกครั้งที่จิตเกิด ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยอย่างน้อยที่สุด ๗ ประเภท นี่จากการตรัสรู้ เพื่อให้เราค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ พิจารณาว่า ยิ่งเข้าใจยิ่งเห็นว่าไม่มีใครไปทำให้จิตแต่ละหนึ่งขณะเกิดได้เลย
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1021
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1022
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1023
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1024
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1025
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1026
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1027
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1028
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1029
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1030
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1031
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1032
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1033
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1034
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1035
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1036
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1037
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1038
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1039
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1040
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1041
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1042
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1043
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1044
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1045
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1046
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1047
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1048
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1049
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1050
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1051
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1052
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1053
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1054
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1055
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1056
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1057
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1058
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1059
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1060
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1061
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1062
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1063
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1064
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1065
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1066
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1067
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1068
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1069
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1070
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1071
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1072
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1073
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1074
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1075
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1076
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1077
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1078
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1079
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1080
