ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1057


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๑๐๕๗

    สนทนาธรรม ที่ บริษัทสยามแฮนด์ส จ.นครปฐม

    วันที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ ทำให้มีความเร่าร้อน ภาษาบาลีจะใช้คำว่า รูปฬาหะไม่รู้สึกร้อนเลยหรืออย่างไร แต่ว่าความจริง ถ้าไม่มี ไม่ต้องติด ไม่ต้องหา ไม่ต้องเดือดร้อน มองไม่เห็นเพราะเหตุว่าความไม่รู้ มากมายมหาศาลปิดบังไว้ ต้องอาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจขึ้น ไม่ใช่ครั้งเดียวด้วย บ่อยๆ จนกระทั่งสามารถที่จะคล้อยตามความจริง เพราะหนักแน่นเหลือเกินที่จะมั่นคงในการที่พอใจกับไม่รู้ จนกว่าจะค่อยๆ คลาย ค่อยๆ น้อมไปสู่ความจริง เพราะฉะนั้นถ้ามีการน้อมไปสู่ความจริง จะแสวงหาอะไร ก็ความจริงเพราะน้อมไปสู่การที่จะเข้าใจความจริง ถ้าตราบใดยังไม่น้อมไปสู่ความจริง แสวงหาอะไร สิ่งที่พอใจ

    เพราะฉะนั้นจะรู้ได้เลยว่าชีวิตประจำวันแท้ๆ ก็คือว่าเป็นธรรมะทั้งหมด หลากหลาย แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง กว่าจะทรงแสดงโดยละเอียดยิ่ง ให้เราสามารถที่จะรู้ความจริงได้ว่า นี่แหละที่เคยว่าเป็นเรา เป็นเขา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แท้ที่จริงก็เป็นเพียงสิ่งที่มีปัจจัยเกิด แล้วก็ดับ ถ้ายังไม่ประจักษ์อย่างนี้ด้วยปัญญาซึ่งไม่ใช่เราเลย เพราะฉะนั้นวิปัสสนาญาณ จึงมีตามลำดับขั้น ข้ามขั้นไม่ได้เลย เหมือนกับเราฟังธรรมะ เรามาพูดเรื่องอริยสัจจ์ ๔ ปฏิจสมุทปาทะ โดยเราไม่เข้าใจอย่างนี้ ได้ไหม คิดดู ไม่เข้าใจเรื่องอย่างนี้เลย แล้วไปพูดเรื่องอริยสัจจ์ ทุกขอริยสัจจ์ สมุทยอริยสัจจ์ และอะไรก็ไม่รู้ แต่ถ้าเราพูดอย่างนี้ให้เข้าใจ ไม่ว่าจะพูดเรื่องอายตนะ ภาษาบาลีก็คือสภาพธรรมะที่ประชุมรวมกัน ในขณะที่สภาพธรรมะเกิดขึ้น ไม่ได้เกิดตามลำพังเลย แม้แต่เห็น ก็ต้องมีสิ่งที่กระทบตา แล้วก็มีจิต เจตสิกเกิดขึ้นเป็นอายตนะ เป็นบ่อเกิด เป็นที่เกิด ให้จิตเห็นเกิดขึ้น สิ่งนี้ปรากฏเท่านี้เอง แล้วเท่าไหร่ นับไม่ถ้วนมากมายด้วยความไม่รู้

    เพราะฉะนั้นการฟังจึงต้องเพื่อให้มีความมั่นคง ไม่คล้อยตามคำของคนอื่น ซึ่งไม่ได้ทำให้ปัญญาเกิด แต่ว่าบอกให้ทำอย่างนั้น ให้ทำอย่างนี้ แล้วก็บอกว่ารู้แล้ว รู้อะไร ใช่ไหม เดี๋ยวนี้บอกสิว่าอะไร ให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น นั่นจึงจะเป็นหนทาง คือจากปริยัติ สู่ปฏิปัตติ สู่ปฏิเวธ ด้วยปัญญาตามลำดับขั้น ซึ่งบุคคลนั้นเป็นผู้รู้เอง ไม่ใช่ไปฟังคำของใคร คำของใครก็คำของเขา คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือพระปัญญาของพระองค์ แต่คำของพระองค์ ผู้ฟังแล้วมีความเข้าใจ ก็มีปัญญาของตนเองเกิดขึ้น อย่าลืม ฟังธรรมเป็นมงคล สนทนาธรรมก็เป็นมงคล สำหรับผู้ที่สนทนา เพราะเขาจะเข้าใจจากการสนทนา ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง เมื่อเช้านี้ได้ยินอย่างนี้หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร

    ผู้ฟัง สิ่งที่มีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้มีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งที่มีจริงหรือเปล่าเดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง ตรัสรู้จริง

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีจริงแน่นอน เดี๋ยวนี้ด้วย นี่คือความมั่นใจว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีจริง ก็ต้องเป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ถ้าไม่ทรงตรัสรู้ จะสอนไหมว่าสิ่งที่มีจริงคืออะไร ซึ่งคนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้ เพราะฉะนั้นลืมไหมว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมะ ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง มีลักษณะเฉพาะของตน ไม่ใช่ว่าเราไปคิดว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ผิดหมด เพราะว่าธรรมะเปลี่ยนไม่ได้เลย ธรรมะมีลักษณะเป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น ใครก็เปลี่ยนไม่ได้ พระองค์ตรัสรู้ความจริงพระองค์เปลี่ยนความจริงได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ ใครก็เปลี่ยนไม่ได้ จึงทรงแสดงว่าธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา หายสงสัยหรือยังตรงนี้

    ผู้ฟัง หายสงสัย

    ท่านอาจารย์ แน่ใจนะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่กำลังมี ซึ่งคนอื่นไม่รู้เลย จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ ว่าเป็นอย่างนี้ๆ ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ พิจารณา ค่อยๆ เข้าใจ พอเข้าใจแล้วก็ไม่ลืม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ทุกอย่างในโลกใน อดีต อนาคตปัจจุบัน โลกไหนก็โลกนั้นแหละ ทุกโลกเหมือนกันหมด ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเป็นผู้เลิศที่คนอื่นเปรียบไม่ได้เลย ไม่ว่าใครทั้งสิ้น จึงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เลิศกว่าคนแต่งตำราไหม

    ผู้ฟัง เลิศกว่า ท่านค้นพบเอง

    ท่านอาจารย์ เลิศกว่าคนคิดเองพูดเองไหม โดยไม่ได้กล่าวถึงคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ ต้องเลิศกว่าแน่นอน ใช่ไหม เพราะฉะนั้นฟังคำของใคร เดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ไม่ใช่คำของใครเลยทั้งสิ้น เพราะพระองค์ตรัสไว้อย่างนี้ว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นดับไป เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่มีการเกิด ก็ไม่มีอะไรปรากฏ แต่เมื่อปรากฏแล้วดับไป อันนี้ต้องประจักษ์แจ้งเมื่อใด เมื่อนั้นจึงจะไม่มีเรา แต่ต้องเป็นปัญญา เริ่มตั้งแต่การฟัง ว่าต้องเป็นปกติโดยเป็นอนัตตา ไม่ได้เลือกไม่ได้ทำ ไม่ได้คิด ไม่ได้หวัง แต่ว่าปัญญาความเข้าใจค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงได้ เมื่อไหร่ เช่นท่านพระสารีบุตรท่านก็ไม่รู้ล่วงหน้าว่าท่านจะตรัสรู้เป็นพระโสดาบัน เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ ในชาติของท่านที่เกิดขึ้น กล้า อาจหาญ ความจริงความถูกต้องเป็นสิ่งที่สมควรอย่างยิ่ง ถ้าเป็นสิ่งที่ผิด จะได้ไม่กล้า แต่นี่พูดความจริง กล้าที่จะรับความจริง อาจหาญที่จะรู้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ เปลี่ยนได้ไหม ไม่ได้ ก็ต้องรู้ สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้น เป็นโลภะ เป็นโทสะ เป็นอกุศล ก็ต้องรู้ว่าบังคับไม่ได้ แล้วไม่ใช่เรา ที่สำคัญที่สุดคือไม่ใช่เรา จนกว่าจะหมดความเป็นเรา

    ผู้ฟัง แล้วที่มีคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า สติเป็นทางสายเอกในการบรรลุธรรม นี้จะเชื่อมโยงไปถึงการปฏิบัติธรรม อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ความคิดของเรามาอีกแล้ว จะเชื่อมโยงแล้ว ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ความคิดของเรา

    ท่านอาจารย์ ความคิดของเรา เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมะให้คนฟังเข้าใจหรือว่าให้ทำ

    ผู้ฟัง ให้เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ แน่นอนนะ ไม่ทำนะ

    ผู้ฟัง ไม่ทำ

    ท่านอาจารย์ แต่ว่าเข้าใจ เข้าใจเป็นธรรมะหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เข้าใจก็เป็นธรรมะ

    ท่านอาจารย์ เป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ เป็นนามธรรม หรือรูปธรรม

    ผู้ฟัง เป็นนามธรรม

    ท่านอาจารย์ เป็นจิตหรือเป็นเจตสิก

    ผู้ฟัง เป็นเจตสิก

    ท่านอาจารย์ เป็นอนัตตาหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นอนัตตา

    ท่านอาจารย์ บังคับให้เกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ อยากให้เกิดเดี่ยวนี้ ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ อยากให้มีมากๆ ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแล้วแต่ปัจจัย ใช่ไหม

    ผู้ฟัง แล้วแต่ปัจจัย

    ท่านอาจารย์ นี่คือความค่อยๆ มั่นคง ในความเป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมะ เพื่ออะไร

    ผู้ฟัง เพื่อให้เราเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เพื่อพระองค์เอง ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แต่ด้วยพระมหากรุณา ที่รู้ว่าสิ่งนี้ยากที่สุดที่จะเข้าใจได้ เมื่อตรัสรู้ไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดงธรรม เพราะความลึกซึ้งของธรรมะ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่แสดงธรรม เพราะฉะนั้นลึกซึ้งมาก เราเคารพอย่างยิ่ง ก็คือว่าต้องฟังด้วยความเคารพในความลึกซึ้งของธรรมะด้วย ด้วยเหตุนี้ต้องไม่ลืม ประโยชน์ของการฟังคืออะไร

    ผู้ฟัง คือความรู้

    ท่านอาจารย์ ของใคร

    ผู้ฟัง ของเรา

    ท่านอาจารย์ ของผู้ฟัง ถ้าผู้ฟังไม่เข้าใจ ไม่รู้ มีประโยชน์ไหมที่จะพูด

    ผู้ฟัง ไม่มีประโยชน์

    ท่านอาจารย์ เสียเวลา คนฟังก็เสียเวลา คนพูดก็เสียเวลา พูดไปพูดมาก็ไม่รู้ ใช่ไหม แต่ว่าตามความเป็นจริงก็คือว่าประโยชน์จริงๆ ต้องไม่ลืมเลย เพื่อเข้าใจ ซึ่งไม่ใช่เราด้วย เพราะฉะนั้นเพื่อให้เราทำอะไรหรือเปล่า หรือว่าเพื่อเข้าใจถูกต้อง ซึ่งไม่ใช่เราทำ

    ผู้ฟัง ให้เข้าใจถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ขณะนี้กำลังฟัง เป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่เราฟัง

    ท่านอาจารย์ เข้าใจเมื่อไหร่เป็นธรรมะอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ความไม่รู้ อันนี้ชัดเจนหรือยัง ไม่ใช่ให้ทำ เพราะทำโดยไม่รู้ มีประโยชน์อะไร ทำโดยไม่เข้าใจก็คือทำไปผิดหมดเลย เพราะไม่เข้าใจ เห็นโทษหรือยัง ของความไม่รู้แล้วทำ เพราะฉะนั้นคนอื่นจะรู้หรือเราเข้าใจ ไม่ว่าจะฟังหรือจะทำอะไรทั้งหมด คนอื่นจะรู้ว่าเราทำอย่างนั้นอย่างนี้ หรือว่าตัวเราเองเข้าใจ

    ผู้ฟัง เราเองเป็นผู้เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะฉะนั้นคนอื่นจะรู้เราไหมว่า เดี๋ยวนี้จิตเป็นอะไร

    ผู้ฟัง ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ไม่มีทางเลย ได้แต่เดา เห็นเขาร้องไห้ก็รู้ว่าเขาเสียใจ เห็นเขาหัวเราะก็รู้ว่าเขากำลังดีใจ เท่านั้นเอง แต่จะไปรู้ขณะจิต ซึ่งเกิดดับของแต่ล่ะคนไม่ได้ เพราะเร็วแสนเร็วสุดที่จะประมาณได้ เพราะฉะนั้นถ้ามีคนบอกว่าเขารู้จิตเรา เชื่อไหม

    ผู้ฟัง ไม่เชื่อ

    ท่านอาจารย์ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะหนทางแต่ละอย่าง ซึ่งเป็นอิทธิปาฏิหารย์ยากมาก แล้วต้องตามลำดับด้วย และต้องเป็นกุศลจิต และไม่ใช่ความอยาก ถ้าเป็นความอยากไม่ใช่กุศลเลย แล้วก็คิดว่าทำสำเร็จ ทำอิทธิปาฏิหารย์ต่างๆ ได้ แต่ไม่ใช่ หลงคิด หลงเรียก หลงทำแต่ว่าความจริงไม่ใช่เลย เพราะว่าต้องเป็นจิตที่เป็นกุศล ไม่ใช่ขั้นทานขั้นศีล และไม่ใช่ขั้นที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา ถ้าไม่ประกอบด้วยปัญญา จะไปทำอะไรได้ คิดให้ลึก ไม่รู้ ไม่มีปัญญา แล้วจะไปทำอะไรได้ ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นทั้งหมด ขึ้นกับการไตร่ตรอง และปัญญา เพราะประโยชน์อยู่ที่ตัวเอง ใครก็ตายแทนเราไม่ได้ ใครก็ทุกข์แทนเราไม่ได้ ใช่ไหม พึ่งพาอาศัยเขาก็ไม่ได้ คนอื่นจะมาทุกข์แทนเราก็ไม่ได้ แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงอนุเคราะห์ด้วยการ ทรงแสดงธรรม แต่ไม่ได้ทรงแสดงปาฏิหาริย์ ว่ามาหาฉัน แล้วฉันจะให้เธอหมดทุกข์ หรืออะไร นี่ไม่ใช่เลย แต่ต้องเป็นเรื่องของการที่เป็นบุคคลนั้นเอง ที่จะรู้ว่าความรู้ความเข้าใจของเขา เกิดได้จากใคร ฟังอะไร คำใคร ผู้นั้นก็เป็นผู้ที่รู้เอง

    เพราะฉะนั้นความนอบน้อม ความเคารพในพระรัตนตรัย ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่างกันมาก คนที่ไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ได้ยินคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาให้ไหว้ให้กราบ ก็ไหว้กราบ ถามว่าไหว้อะไร กราบอะไร ตอบว่ายังไง สอนอะไรก็ไม่รู้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นทำไปด้วยความไม่รู้ จะเป็นผลดีหรือจะเป็นกุศล ดีได้อย่างไร ก็ไม่ได้เลย ขึ้นชื่อว่าด้วยความไม่รู้ แล้วก็คือว่าเป็นอกุศล ไม่สามารถที่จะนำไปสู่ความเข้าใจได้ ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะฟังใคร ต้องไตร่ตรองถึงเหตุผล เชื่อผ้ายันต์ไหม

    ผู้ฟัง ไม่เชื่อ

    ท่านอาจารย์ ไม่เชื่อนะ เชื่อพระราหู

    ผู้ฟัง ไม่เชื่อ

    ท่านอาจารย์ เพราะไม่ได้รู้ เรียกชื่อกันขึ้นมาเท่านั้นเอง แต่ลองบอกมาสิว่าเป็นใคร รู้อะไร ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่สมควรที่จะไปคิดว่ามีอิทธิมีปาฏิหาริย์มีอะไรต่ออะไร กลัวอะไรบ้าง กลัวอะไรบ้าง

    ผู้ฟัง กลัวความเกิด เพราะทุกข์มาก อาจารย์

    ท่านอาจารย์ ไม่จริงหรอก

    ผู้ฟัง ไม่อยากเกิดแล้ว จริงๆ อาจารย์

    ท่านอาจารย์ ไม่จริง เพราะเดี๋ยวนี้ยังไม่รู้เลยว่าธรรมะเกิด ไม่ใช่เรา ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แล้วก็ไม่อยากเกิด แต่ธรรมะเกิด ไม่อยากเห็น ไม่อยากดูละครโทรทัศน์ ไม่อยากหมด

    ผู้ฟัง ไม่เคยดูเลยเดี๋ยวนี้

    ท่านอาจารย์ แล้วอยากทำอะไรบ้าง

    ผู้ฟัง เดี๋ยวนี้ก็ปฏิบัติธรรม เมื่อคืนยังเดินจงกรมอยู่เลย

    ท่านอาจารย์ นั่นแหละ อยากอะไรนี่ อยากอะไร อยากด้วยความเห็นผิด อย่างเราดูหนังดูละคร เราไม่ได้เห็นผิดใช่ไหม แต่นี่อยากเห็นผิด ในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เพราะไม่ใช่ปัญญา ยังอยากไหม ความเข้าใจห่างไกลจากเราทำ มากมายเลย เพราะฉะนั้นก็เป็นเส้นทาง ๒ เส้น เส้นหนึ่งคือเส้นไม่รู้ แต่มีเราไปทำ ด้วยความเข้าใจคิดว่าจะสำเร็จ แต่ความสำเร็จ สำเร็จอะไร แม้แต่สภาพธรรมะเดี๋ยวนี่ยังไม่รู้เลย แล้วจะไปรู้อะไร

    เพราะฉะนั้นยิ่งลึกซึ้งกว่า ยากกว่า เพราะเราต้องมั่นคงต่อคำว่า สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้ามีการนับถือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งเดียวที่พระองค์ทรงแสดงต่างกับคนอื่นก็คือ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ว่าจะเป็นคำสอนใดๆ ทั้งสิ้น จากใครทั้งหมด เป็นอัตตาทั้งหมด แต่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวที่ทรงแสดงให้เข้าใจความเป็นจริง ว่าไม่มีเรา แต่เป็นธรรมะทั้งนั้นทั้งหมด และเป็นอนัตตาด้วย เชื่อไหม เข้าใจไหม ไม่ใช่ให้เชื่อหรือเปล่า ไม่ใช่บอกให้เชื่อ บอกให้ทำ แต่ว่าเข้าใจอย่างนี้หรือเปล่า ต้องเป็นความมั่นคง แค่นี้ยังไม่มั่นคง ยังไม่ถึงสัจจญาณ

    เพราะฉะนั้นไม่มีปัจจัยที่จะทำให้ปฏิปัตติ ปัญญาอีกระดับหนึ่งเกิดได้ตามปกติ ตามเหตุตามปัจจัย คือปัญญาที่ได้เข้าใจแล้ว ละความต้องการแล้ว แล้วก็รู้ว่าแล้วแต่ธรรมะอะไรจะเกิดขึ้น ก็เกิดขึ้นเพราะปัจจัย เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีความเข้าใจมาก่อน ปัญญาใดๆ ก็เกิดไม่ได้ ระดับต่อไปก็เกิดไม่ได้ แม้การที่จะได้เข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ก็ไม่ได้ ถ้าไม่มีการได้ฟังคำของพระองค์ จะไปเข้าใจได้อย่างไร ได้แต่คิดเอง เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่กล่าวคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เปิดเผยให้เห็นความจริงที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว นั่นคือการดำรงรักษาพระศาสนาไว้ ยังอยากอะไรอีกไหม

    ผู้ฟัง ไม่อยากเท่าไหร่แล้ว

    ท่านอาจารย์ เปลี่ยนใจหรือยัง อยากไม่เกิด พูดตามๆ กันหรือเปล่า ไม่จริงใจ เพราะฉะนั้นเราจะไม่ทำสิ่งที่ไม่จริงใจ เราหลอกตัวเอง เหมือนอยากเป็นคนดี อยากจะรู้ว่าเขาไม่เกิดนะพระอรหันต์ เราก็ต้องไม่เกิดสิ ใช่ไหม อยากเป็นถึงอย่างนั้นคืออยากเป็นถึงพระอรหันต์ โดยไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น เป็นไปได้ไหม ไม่มีทาง เพราะฉะนั้นก็เลิกหวังได้ ถ้ารู้ความจริง ปัญญาที่เข้าใจความจริง จะค่อยๆ ละคลายความต้องการ และความเห็นผิด อย่างอื่นไม่มีทาง ก็ยังเห็นผิดต่อไป ยังหวังต่อไป หวังโดยไม่รู้ว่าหวังด้วยซ้ำไป แต่ความจริงหวังทั้งนั้นเลย ที่ไปทำ ถ้าไม่หวังจะทำหรือ เพราะไม่รู้จึงหวัง แต่ถ้ารู้แล้วจะหวังได้อย่างไร ไม่ต้องหวังก็มีแล้วนี่ เดี๋ยวนี้เห็นก็เห็นแล้ว ได้ยินก็ได้ยินแล้ว คิดก็คิดแล้ว ไม่เห็นต้องหวังอะไร ธรรมะก็เป็นธรรมะ ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ต้องมั่นคงในคำนี้ พื้นฐานที่จะทำให้เข้าใจพระธรรมต่อไปได้ ก็ด้วยคำว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา คือเข้าใจทั้งคำว่าธรรมะ และเข้าใจทั้งอนัตตา ไม่เช่นนั้นผิดทันที หลงทางทันที ที่สงสัยแล้ว ก็หมดสงสัยจริงๆ ไม่ใช่เหลือไว้เล็กๆ น้อยๆ ต้องชัดเจน เพราะหนทางยังอีกไกลมาก ที่จะสามารถค่อยๆ รู้จริงในสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ไปรู้ปลอม ในสิ่งที่เดี๋ยวนี้มีก็ไม่รู้

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ ถ้าทุกคนอ้างถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีมาตั้งแต่ ๒๕๐๐ ปีมาแล้ว แล้วเราจะเชื่อได้อย่างไร พอดีท่านอาจารย์พูดเรื่องนี้ ก็ยังติดอยู่ในใจว่าเราจะเชื่อได้อย่างไร ที่เขากล่าว

    ท่านอาจารย์ น่าคิดนะ เพราะเลือกเชื่อ จะเชื่อได้อย่างไร ใช่ไหม แต่ว่าคำใดก็ตามที่ฟังแล้ว เป็นความจริงหรือเปล่า เช่นเห็นมีจริงๆ จริงไหม

    ผู้ฟัง ก็ ...

    ท่านอาจารย์ ต้องคิดนานเลยหรือ

    ผู้ฟัง ก็บางเรื่องถ้าเราศึกษา

    ท่านอาจารย์ อันนี้เรากำลังจะเป็นคนตรง แล้วจะรู้ว่าเราจะเชื่อใคร คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชื่อได้ไหม

    ผู้ฟัง เชื่อได้

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ต้องไปเชื่อ ไม่เชื่อทันที แต่ว่าฟังให้เข้าใจว่าคำของใครจริง คำของใครไม่จริง ถ้าคำนั้นไม่ทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมี คำนั้นไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน ให้ทำโน่น ให้ทำนี่ แต่ไม่มีความรู้อะไรเลย แล้วจะไปรู้อะไร ใช่ไหน แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ พูดถึงสิ่งที่มีแต่ไม่เคยรู้มาก่อน เพื่อให้รู้อย่างนั้น โดยไม่ใช่ทำ ไม่มีตัวตนไปทำ แต่ว่าความเข้าใจต่างหากที่ค่อยๆ เกิดขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น และเริ่มรู้ว่าไม่ใช่เรา แต่ต้องเป็นความเข้าใจของเรา แต่ละหนึ่งของธรรมะที่มีจริงๆ ไม่ใช่รวมกัน แล้วก็ไม่ใช่เราไปหมด อันนั้นคือไม่สามารถที่จะประจักษ์ความจริงได้ ในสิ่งที่รวมกันยังไม่แตกย่อยออกไปเป็นแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นจะรู้ว่าคำใดเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือว่าพูดเรื่องสิ่งที่มีจริงหรือเปล่า และพูดความจริงของสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง อย่างนั้นหรือเปล่า เช่นหลับตา เห็นอะไร

    ผู้ฟัง ไม่เห็น

    ท่านอาจารย์ ไม่เห็น พอลืมตาเห็นอะไร เยอะเลยใช่ไหม เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏขณะที่เห็นมีใช่ไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ นั่นแหละ ไม่ต้องเรียกอะไรก็มี ใช่ไหม เพราะกำลังเห็น สิ่งนั้นกำลังถูกเห็น มีจริงๆ ทั้ง ๒ อย่าง ทั้งเห็น และสิ่งที่ถูกเห็นเราทำให้เกิดขึ้น หรือว่าเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย

    ผู้ฟัง เหตุ ปัจจัย

    ท่านอาจารย์ เหตุ ปัจจัย ถ้าไม่มีตา ไม่มีสิ่งที่มากระทบ ไม่มีธาตุรู้สิ่งนี้ก็ปรากฏไม่ได้ คำของใคร

    ผู้ฟัง คำที่พระพุทธเจ้าบัญญัติ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าพระองค์ตรัสให้เข้าใจความจริง ให้สิ่งที่ล้ำค่า คือความเข้าใจถูกต้องของคนซึ่งไม่เคยได้ฟังคำของพระองค์เลย แล้วรู้ว่าคำนี้ขั้นฟัง สามารถจะประจักษ์ความจริงได้ เป็นพระอริยบุคคล เป็นสาวกจากปัญญา ที่เกิดขึ้นตามลำดับ เพราะไม่ใช่เราประจักษ์แจ้งลักษณะของอริยสัจจธรรม แต่ปัญญาระดับที่ได้อบรมแล้ว มีความเข้าใจที่มั่นคงในธรรมะที่กำลังปรากฏ จากขั้นฟังก่อน เหมือนกำลังฟังเรื่องราวของคนที่เรายังไม่คุ้น ยังไม่รู้จักเลย ยังไม่เห็นตัว แต่พอเขาเดินมาแล้วเราเข้าใจลักษณะของเขา จากการฟังมั่นคงรู้เลยว่าใคร แต่ถ้าเราไม่ได้ศึกษา ไม่เข้าใจว่าเขามีลักษณะอย่างไร ต่อให้เขาเดินมาเราก็ไม่รู้

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเรื่องธรรมะก็เช่นเดียวกัน ขณะนี้เป็นธรรมะทั้งหมดเลย ไม่รู้เลยว่าเป็นธรรมะ เป็นดอกกุหลาบ เป็นเรา เป็นโต๊ะ เป็นอะไร เพราะไม่รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมีตรัสรู้ความจริงว่า สิ่งนี้ต้องเกิดขึ้น แต่สิ่งนี้คือหนึ่งไม่ใช่รวมกันเกิด แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง หลากหลายมากแต่ว่าอาศัยการที่มีปัจจัยเกิดพร้อมกัน ก็ทำให้ปรากฏเหมือนมีทุกสิ่งทุกอย่างมากมาย แต่ว่าจิตจะเกิดขึ้น ๑ ขณะ รู้อารมณ์คือสิ่งที่จิตรู้ ทีละหนึ่ง เพราะเจตสิกที่เป็นเอกัคคตาเจตสิก เกิดขึ้นตั้งมั่นในอารมณ์นั้น เพราะฉะนั้นจิตจะรู้อารมณ์อื่นด้วยไม่ได้ ทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผลเป็นความชัดเจนของธรรมะ ซึ่งจะรู้ได้เลยว่า คนที่เราคิดว่าเป็นครูอาจารย์ ที่เราคิดว่าเขาเข้าใจดีมาก เขียนตำหรับตำราเยอะแยะหนังสือมากมาย ไม่ได้รู้เลย แต่เราจะรู้ต่อเมื่อเราได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างหาก เพราะฉะนั้นรู้ไหมว่าใครเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อได้เข้าใจคำที่เราได้ฟัง หายสงสัยไหมหรือยังสงสัย

    ผู้ฟัง หายสงสัยแล้ว อีกเรื่องท่านาอาจารย์คือเมื่อครู่นี้ ท่านอาจารย์พูดถึงว่าเราอาจจะมีชาติหน้า ใช่ไหม แต่ว่าพระบางรูปท่านก็ไม่ให้ยึดถือไปชาติหน้า ท่านให้ยึดแค่ว่าปัจจุบัน ก็เลยสับสนว่า แล้ว เราจะรู้อย่างไรว่าชาติหน้าจะมีจริงไหม

    ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า จิตขณะนี้ธาตตุรู้ เกิดพร้อมเจตสิกใช่ไหม แล้วก็ดับด้วย จริงหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ผมไม่ค่อยแน่ใจอันนี้

    ท่านอาจารย์ เพราะยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นจิต

    ผู้ฟัง ความหมายของเจตสิกที่แท้จริง

    ท่านอาจารย์ เจตสิกก็คือสภาพนามธรรมซึ่งเกิดกับจิต เพราะว่าสภาพธรรมะจะเกิดตามลำพังไม่ได้ ต้องอาศัยกันเกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่อย่างเดียว ถ้าไม่มีปัจจัยเกิดไม่ได้แน่ อย่างเราจะไปทำให้ดอกไม้เกิด ทำอย่างไร ไม่มีปัจจัย เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่เกิดเพราะเราไม่รู้ปัจจัยต่างหาก และเราก็ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเกิดเพราะปัจจัยอะไร ก็เลยคิดว่าสิ่งนั้นไม่ดับ แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิด เราก็ยังไม่เห็นการเกิดเลย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 181
    14 ก.ค. 2567