ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1077


    ตอนที่ ๑๐๗๗

    สนทนาธรรม ที่ บ้านธัมมะ ลำพูน

    วันที่ ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    อ.คำปั่น โอกาสที่ประเสริฐ โอกาสที่มีค่าก็คือการมีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษาในคำจริงแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าประเสริฐอย่างไร มีคุณค่าอย่างไรจึงควรค่าแก่การฟังแก่การศึกษา

    ท่านอาจารย์ ต้องไม่ลืมว่าธรรมคือธรรมดา แค่คำนี้ ธรรมดา ไม่ใช่ภาษาไทย มาจากภาษาบาลีใช่ไหม

    อ.คำปั่น ธรรมดา ภาษาบาลีคือ ธรรมตา ธรรม ก็คือสิ่งที่มีจริงๆ ตา คือความเป็นไป ความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ธรรมตาก็คือความเป็นไป หรือว่าความเป็นจริงของธรรมที่ใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ เราพูดกันทุกวันใช่ไหม ธรรมดา ฝนตกเป็นธรรมดาไหม ฟ้าร้องเป็นธรรมดาไหม ทุกอย่างเป็นธรรมดา แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม นี่คือความลึกซึ้งอย่างยิ่ง แม้ว่าเราจะพูดคำที่เราได้ยินตั้งแต่เด็กคือ ธรรมดา ทุกอย่างเป็นธรรมดา แต่ก็ไม่เข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งว่า ธรรมดาก็คือความเป็นไปของธรรม ซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ วันนี้ไม่ร้อนใช่ไหม เป็นธรรมดา หรือใครว่าไม่ใช่ธรรมดา ผิดปกติ เป็นธรรมดาของธรรม แล้วแต่มีปัจจัยที่จะร้อนก็เป็นธรรมดาที่จะต้องร้อน มีปัจจัยที่จะเย็นก็เป็นธรรมดา มีปัจจัยที่จะเห็น เห็นก็เป็นธรรมดา

    เพราะฉะนั้น ทุกวันไม่ได้เคยปราศจากธรรมเลยเพราะว่า ธรรมคือธรรมดา แต่ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้เลยว่า ธรรมดาตั้งแต่เกิดจนตายเป็นธรรม คิดว่าเป็นเราเกิด แล้วเราก็มีความสุขสนุกสนาน มีสุขมีทุกข์ไปแต่ละวัน คิดว่าเป็นเราทั้งหมด แต่ความจริงถ้าศึกษาธรรมแต่ละคำ ด้วยความเข้าใจที่ละเอียดมั่นคงและตรงก็คือ ธรรมหมายความถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมดเลย ไม่เว้น แต่ละคำไม่เปลี่ยน สิ่งที่มีจริงต้องมีลักษณะปรากฏว่ามี และความจริงของสิ่งนั้นก็เป็นธรรมดาของสิ่งนั้นที่จะต้องเป็นอย่างนั้น

    ก่อนที่จะได้ฟังธรรมเราพูดคำที่ไม่รู้จัก แต่เมื่อศึกษาธรรมแล้วสิ่งที่เราพูด หรือเห็น หรือประพฤติเป็นไปในแต่ละวัน ไม่ได้รู้เลยว่าเป็นธรรม แม้แต่คำว่าธรรมดา ความเป็นไปของธรรม เราไม่รู้ว่าตั้งแต่เกิดจนตายก็คือ ความเป็นไปของธรรมทั้งหมด ไม่ใช่เรา

    ด้วยเหตุนี้ การฟังธรรมจึงเป็นการที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมี ซึ่งไม่เคยเปิดเผยเลย ถูกปกปิดไว้ตลอดเวลาด้วยความเป็นเรา เพราะไม่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงสิ่งที่ปรากฏเหมือนไม่เปลี่ยนเลย ความจริงแต่ละหนึ่งแยกออกได้ ดอกไม้ดอกหนึ่งก็แยกออกจนละเอียดยิบได้ โต๊ะตัวหนึ่งก็แตกย่อยละเอียดยิบได้ แม้แต่ร่างกายทุกสิ่งทุกอย่าง บ้านทั้งหลังก็ย่อยละเอียดแตกยิบได้ เป็นธรรม เป็นธรรมดา หรือว่าแยกไม่ได้? แตกได้ทำลายได้ละเอียดยิบ เป็นธรรมดาหรือเปล่า เป็นธรรมดา แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรมทุกอย่าง ความสุขเกิดขึ้น ไม่ให้เกิดได้ไหม ความทุกข์เกิดขึ้น ไม่ให้เกิดได้ไหม ได้ยิน กำลังได้ยินเดี๋ยวนี้ ไม่ให้เกิดได้ไหม ก็ไม่ได้

    ทั้งหมดเป็นธรรมดา หมายความว่าเป็นสิ่งที่มีประจำตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ไม่รู้ จนกว่าจะได้มีผู้ที่ทรงตรัสรู้ ตรัสรู้คือไม่ใช่คิด แต่หมายความว่า สามารถจะประจักษ์แจ้งทุกคำที่พระองค์ได้ตรัสไว้ เช่น สิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ได้บอกเลยว่าอะไรก็ต้องทั้งนั้นเลย สิ่งหนึ่งสิ่งใดคือไม่ว่าอะไรก็ตามเกิดปรากฏเดี๋ยวนี้เอง ดับแล้วเป็นธรรมดา

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงอย่างนี้ แต่ว่าอวิชชาความไม่รู้ ไม่สามารถที่จะเห็นการเกิดดับได้ เพราะฉะนั้น การฟังธรรมต้องค่อยๆ พิจารณา เพราะเหตุว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร พระปัญญาแค่ไหน แล้วเรามีปัญญาแค่ไหน แค่คำเดียวของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องฟังไตร่ตรองมั่นคงจนกว่าความเข้าใจนั้นจะเป็นเถระ ไม่เปลี่ยนเลย รู้ว่าขณะนี้เองเป็นความไม่รู้

    ขณะที่ฟังพระธรรมก็ค่อยๆ รู้สิ่งที่กำลังมี จนกระทั่งวันหนึ่งก็สามารถประจักษ์แจ้งความจริง ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดเดี๋ยวนี้เองที่ปรากฏเพราะเกิดขึ้นเป็นธรรมดา แต่ดับไปเป็นธรรมดา ไม่มีใครรู้ เพราะใครก็รู้ไม่ได้นอกจากปัญญา

    ปัญญา คือความเห็นถูกความเข้าใจถูก เพราะได้ฟังคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่กล่าวถึงสิ่งอื่นเลย กล่าวถึงทุกสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ แต่ให้รู้ความละเอียดลึกซึ้งว่า สิ่งที่มีไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น เห็นเกิดแล้ว ถ้าเห็นไม่เกิดไม่มีเห็น ได้ยิน เมื่อสักครู่นี้ไม่มีได้ยิน เมื่อได้ยินเกิดก็มีได้ยิน แล้วได้ยินก็ดับไป เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมดาของสิ่งที่เกิดแล้วต้องดับอย่างเร็วมาก

    ถ้าไม่รู้อย่างนี้ ไม่ค่อยๆ เข้าใจอย่างนี้ ไม่มีทางที่จะประจักษ์พระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าทรงตรัสรู้อย่างไร ทุกคำที่ตรัสไว้ก็เป็นความจริง ซึ่งเริ่มจากการฟังและรู้ว่าความจริงเป็นอย่างนั้น แต่ไม่มีการไปพยายามขวนขวายอยากรู้ให้เป็นอย่างนั้นตามที่ได้ฟัง เพราะว่านั่นคือความเข้าใจผิดคิดว่าสามารถที่จะทำได้ ลืมไปว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดไม่ได้เลย ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น เช่น เห็น ถ้าไม่มีตา เห็นเดี๋ยวนี้ก็เกิดไม่ได้ ไม่มีโสตปสาท รูปที่สามารถกระทบเสียง ถ้าไม่มีรูปนั้นแม้เสียงมีกำลังปรากฏก็ปรากฏไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสิ่งที่เกิดดับสืบต่อ นานแสนนานก็เป็นอย่างนี้แต่ไม่มีใครรู้ จนกว่าจะมีการบำเพ็ญบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นความเปลี่ยนแปลง เกิดแล้วก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย อะไรเป็นเหตุให้สภาพธรรมแต่ละอย่างนั้นเกิดขึ้น โดยที่ใครก็ห้ามไม่ได้ ไม่ให้เป็นไปอย่างนั้นไม่ได้ ต้องอาศัยพระบารมีนานมากถึง ๔ อสงไขยเเสนกัปป์ หลังจากที่ได้รับคำพยากรณ์จากพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว โดยทรงเป็นพระโพธิสัตว์ผู้เลิศด้วยปัญญา

    เราฟัง เริ่มรู้เป็นความจริง แต่ความเป็นเราไม่สามารถที่จะเห็นอย่างนั้นได้ เพราะขณะนั้นก็ผิดแล้วที่เข้าใจว่าเราเห็น เราได้ยิน เราคิด ซึ่งเป็นธรรมซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทั้งหมด เพราะฉะนั้น ปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจความจริงแล้วก็ไม่ลืม ฟังแล้วฟังอีก เข้าใจจนกระทั่งมั่นคง จนสามารถจะทำให้รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏโดยไม่ใช่เรา แต่เป็นการเข้าใจถึงความจริงโดยสติสัมปชัญญะ ซึ่งต้องอาศัยการฟัง

    ทุกคำที่ได้ฟังเป็นความจริงยิ่งขึ้น เมื่อมีปัญญาเจริญขึ้นตามลำดับขั้น ซึ่งต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนาน เป็นบารมีเหมือนพระโพธิสัตว์ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมขณะนี้เกิดดับ แค่ฟังแล้วไตร่ตรองว่าถูกไหม จริงไหม ยังไม่ประจักษ์แจ้ง เพราะว่าต้องเป็นปัญญาที่เข้าใจกว่านี้ และก็ละคลายความไม่รู้ จนกระทั่งปัญญาสามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏตรงตามที่ได้ฟัง เป็นอย่างนี้ตลอดไปเรื่อยไป โดยที่ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชา หรือว่าเปลี่ยนแปลงจากความไม่รู้ซึ่งมาก หนาแน่นเหนียวแน่นราวกับแผ่นดิน

    เพราะฉะนั้น ความที่จะเข้าใจสภาพธรรมให้ถูกต้องเหมือนกับพลิกแผ่นดิน ยากไหม แผ่นดิน คือความหนาอย่างยิ่งของอวิชชาความไม่รู้ ซึ่งมีมานานแสนนาน และก็จะค่อยๆ เป็นความรู้ ค่อยๆ เพิ่มขึ้นจากความที่เคยไม่รู้มาก่อน ก็ต้องเป็นผู้ที่อดทน ขันติบารมี มั่นคงไหม

    ถ้าไม่ฟังธรรมไม่มีโอกาสเข้าใจ เพราะฉะนั้น หนทางเดียวคือไม่ขาดการฟัง เพราะว่าฟังแล้วก็ต้องลืม เพราะขณะที่เห็นสิ่งอื่นก็คิดถึงสิ่งอื่น เวลาได้ยินเสียงอื่นก็คิดถึงเสียงที่ได้ยินเรื่องราวต่างๆ แต่เมื่อได้ยินคำที่กำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริง ขณะนี้ก็เป็นจริงอย่างนั้น ถ้าฟังบ่อยๆ ก็ค่อยๆ ละคลายความเป็นเราในขั้นของการฟัง แต่ว่ายังไม่ได้ประจักษ์การเกิดดับ จนกว่าจะเป็นปัญญาอีกระดับต่อไปซึ่งมาจากการฟัง

    ถ้าไม่มีการฟังเลยแล้วจะไปนั่งปฏิบัติ ดูนั่ง ดูนอน ดูยืน ดูเดิน อย่างไรก็ตามก็เป็นเรา ไม่มีความเข้าใจเลย ไม่รู้ว่าแท้ที่จริงความเข้าใจที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ทีละเล็กทีละน้อย ค่อยๆ เจริญขึ้นทำหน้าที่ละความไม่รู้ แล้วสภาพธรรมกว่าจะปรากฏตามความเป็นจริงได้ การละความไม่รู้ต้องอีกมากสักแค่ไหน ยังไม่ปรากฏก็แสดงว่ายังไม่พอ

    ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏหลายอย่าง เดี๋ยวเสียง เดี๋ยวคิด เดี๋ยวจำ เดี๋ยวได้ยิน แต่ว่าสภาพธรรมที่จะรู้ได้ว่าเกิดดับต้องทีละหนึ่งอย่าง เลือกไม่ได้ด้วยว่าเมื่อไหร่และอะไร เพราะว่าสิ่งที่เกิดแล้วดับไปไม่กลับมาอีกเลย

    เพราะฉะนั้น ก็เตรียมพร้อมสำหรับปัญญาที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม เมื่อสามารถที่จะรู้ความจริงเพราะได้ฟังมาแล้วว่า ความจริงคือเดี๋ยวนี้ทุกขณะ รู้อะไรก็คือ สิ่งที่กำลังปรากฏที่มีจริงเดี๋ยวนี้ โดยที่เดี๋ยวนี้ก็ต้องเป็นผู้ตรง ยังไม่รู้ก็ฟังเรื่องของสิ่งที่มี จนกว่าปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้น เป็นมรดกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า จะรับมรดกไหม ผู้ที่รับต้องมีความอดทน สิ่งนั้นเป็นรัตนะที่ประเสริฐใหญ่ยิ่ง ต้องมีความอดทนสักเท่าไหร่ ที่สามารถจะรองรับความจริงนั้นได้ ที่จะค่อยๆ ละทิ้งสิ่งอื่น เพราะว่าสิ่งอื่นใดก็ไม่มีค่าเท่ากับความเห็นถูก ความเข้าใจถูก เพราะเหตุว่าทุกคนต้องจากโลกนี้ไปแน่นอน อาจจะเป็นเดี๋ยวนี้ก็ได้ เย็นนี้ก็ได้ แต่สิ่งที่มีที่มีความเข้าใจจะค่อยๆ สะสมสืบต่อไป มีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟังอีก เพราะเหตุว่าคนที่ไม่มีโอกาสได้ฟังก็มีอยู่มาก คนที่มีโอกาสได้ฟังก็มีน้อย ตามการสะสม

    เพราะฉะนั้น ชาติก่อนอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ชาติหน้าไม่รู้เลยว่า ครั้งหนึ่ง ณ กาลครั้งหนึ่งอยู่ตรงนี้ กำลังได้ฟังเสียงซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ทรงแสดงความจริง และแต่ละภาษาก็กล่าวในภาษาของตนของตน ตามคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว ให้มีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏ

    เมื่อถึงชาติหน้าไม่รู้เลย จำไม่ได้เลย แต่การสะสมความเข้าใจได้มีแล้วตามควร ที่จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นในแต่ละชาติ ที่จะทำให้สามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งประจักษ์แจ้งความจริงได้ เพราะจริงไหมว่า สภาพธรรมต้องเกิดจึงมี ปรากฏว่ามีแล้วก็ดับไป แต่การดับไปและการเกิดไม่ปรากฏกับอวิชชาความไม่รู้ ซึ่งอาศัยการฟังค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกว่าจะสามารถเป็นปัญญาอีกระดับหนึ่ง โดยอาศัยการฟังนั่นเองจึงสามารถเข้าใจสิ่งที่เคยไม่รู้มาก่อน และก็ค่อยๆ เป็นความรู้ถูก ความเข้าใจถูกในสิ่งนั้นๆ ทีละเล็กทีละน้อยตามลำดับ อีกนานไหม อดทนไหม มั่นคงไหม ไม่ใช่เราทั้งหมดเลย ขันติ ความอดทนเป็นบารมี วิริยะ ความเพียรก็ไม่ใช่เรา

    ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงไว้ว่า จิตและเจตสิกขณะนี้เป็นธาตุรู้ ไม่ใช่เรา กำลังเกิดดับทำหน้าที่สืบต่อ เกิดดับทีละหนึ่งขณะไม่ขาดสายเลย กว่าจะไม่ใช่เรา เช่น เห็นก็เป็นธาตุรู้ เป็นจิตประเภทหนึ่ง ทั้งวันเป็นธาตุรู้ที่ถูกปกปิดไว้ด้วยสิ่งที่จิตรู้ เพราะฉะนั้น เรากำลังเห็นคน กำลังเห็นดอกไม้ กำลังเห็นอาคารบ้านเรือนต่างๆ แต่คือจิตต่างหากที่เห็น จิตต่างหากที่กำลังได้ยิน ไม่ใช่เราเลยทั้งสิ้น

    เวลาโกรธ ใครโกรธ ไม่ใช่เรา เจตสิกที่เกิดพร้อมจิตใดก็ทำให้จิตขณะนั้นเป็นอย่างนั้น เพราะว่าจิตเป็นแต่เพียงธาตุรู้ เป็นใหญ่เป็นประธานเกิดพร้อมกับเจตสิก ซึ่งมีลักษณะหลากหลายต่างกันเป็น ๕๒ ประเภท มีทั้งเจตสิกที่สามารถเกิดได้กับจิตทุกประเภท มีเจตสิกฝ่ายไม่ดี ที่เกิดกับจิตเมื่อไหร่ก็เป็นอกุศลเมื่อนั้น มีเจตสิกฝ่ายดี ธรรมฝ่ายดี เกิดเมื่อไหร่จิตใจก็ดีงามในขณะนั้น

    กำลังฟังธรรมเป็นจิตเจตสิกประเภทไหน เห็นไม่ใช่ฟัง เป็นจิตเจตสิกประเภทไหน เพราะฉะนั้น คิด ถึงแม้ไม่เห็น ไม่ได้ฟัง แต่ก็จำคำที่ได้ฟังไตร่ตรอง ขณะนั้นเป็นจิตเจตสิกประเภทไหน ทั้งหมดค่อยๆ เข้าใจขึ้น ใครอยากจะเร่งรัดให้ประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ไหม ติดกับของอวิชชาและโลภะโดยไม่รู้ตัวเลย เพราะเหตุว่าโลภะเป็นสภาพที่ติดข้อง ไม่ใช่เป็นความเห็นถูกเข้าใจถูก ถ้าเห็นถูกเข้าใจถูกคือ ไม่มีเราที่จะไปทำอะไรได้เลย ปัญญามีแค่นี้ที่กำลังเข้าใจ แล้วจะให้ไปประจักษ์แจ้งการเกิดดับของสภาพธรรมได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้น การฟังเป็นหนทางหนึ่งที่จะทำให้เพิ่มความเข้าใจว่า ไม่ใช่เรา มั่นคงขึ้นในการฟังและรู้ว่า สิ่งใดเป็นสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งใดเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเพราะปัญญารู้ ไม่ใช่เรารู้ ถ้าอวิชชาก็เห็นผิดเป็นถูก ถ้าเป็นปัญญาก็ต้องตรงตามความเป็นจริงคือ ผิดก็ต้องผิด ถูกก็ต้องถูก และก็ไม่ใช่เราด้วย

    คนที่ฟังมาหลายปี ไม่ทราบว่ามีข้อสงสัย หรือมีคำถามอะไรบ้างหรือเปล่า เพราะเหตุว่าเท่าที่ได้ฟังมานี้ก็ยังเป็นส่วนที่น้อยมาก จากพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้แล้ว ๔๕ พรรษา เท่ากับเป็นการเริ่มต้นให้ได้เข้าใจความหมายของคำว่า ธรรม ธรรมคือสิ่งที่มีจริงตามปกติ แล้วก็เป็นอนัตตาด้วย คือไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เพราะว่าเกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย แต่ละหนึ่งหายไป หาอีกไม่ได้ในสังสารวัฏฏ์ แล้วจะเป็นเราได้อย่างไร แต่ความไม่รู้ก็ถือการเกิดดับสืบต่อซึ่งไม่ปรากฏการเกิดดับว่า เที่ยง แล้วก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด จนกว่าปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้น

    มีใครอยากละความเป็นตัวตนไหม อยากรู้แจ้งอริยสัจจธรรมไหม อยากหรือไม่อยาก ก่อนฟังอยาก แต่ฟังแล้วรู้ว่าอยากก็ไม่ถึง จะอยากไปทำไม เห็นไหมว่าความเข้าใจทำให้ละความอยาก ไม่ขวนขวายไปทำสิ่งที่ผิด แต่ถ้าไม่ได้เข้าใจ บางทีก็คิดว่าไปสู่สำนักปฏิบัติ ไปนั่งนอนยืนเดินแล้วก็จะเข้าใจความจริง เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย แม้ก่อนไปก็ไม่รู้อะไร ไปแล้วก็ไม่ได้เข้าใจธรรมอะไรเลยทั้งสิ้น แต่ก็ไปด้วยความหวัง

    เพราะฉะนั้น บางคนก็พอใจในความผิด แต่หวังว่าถูก คิดว่าถูก เข้าใจว่าถูก ก็ไปอยู่เรื่อยๆ แต่ว่าตามความเป็นจริงต้องเป็นผู้ที่ตรง คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงเลย ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ง่าย เพราะเมื่อตรัสรู้ไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดง แค่คำนี้ คิดออกไหมว่าความลึกซึ้งของธรรมระดับไหน ฝืนกระแสของโลกซึ่งด้วยความไม่รู้และความติดข้อง มาสู่การละความติดข้องในสิ่งที่ไม่มี แต่เข้าใจว่ามี เพราะความรู้ไม่ใช่เพราะเรา เราทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากเห็นผิดเข้าใจผิดว่าเป็นเรา

    เพราะฉะนั้น ฟังธรรมก็คือเพิ่มความเข้าใจมั่นคงขึ้นว่า รู้ได้ด้วยตัวเองว่าขณะนี้ปัญญาแค่ไหน ต้องให้คนอื่นบอกไหม ๑๐ ปีปัญญาแค่ไหน ๒๐ ปีปัญญาแค่ไหน ๖๐ ปีปัญญาแค่ไหน เทียบกับความไม่รู้ในแสนโกฏิกัปป์ เเละความติดข้อง

    จะเห็นได้เลยว่าความเข้าใจธรรมซึ่งทรงอุปมาว่า เหมือนการจับด้ามมีด ไม่มีใครรู้เลยว่าด้ามมีดสึกเพราะการจับ จับเมื่อไหร่ก็เห็นว่ายังเหมือนเดิมใช่ไหม ฟังธรรมก็เห็นเหมือนเดิม แต่ปัญญาทำหน้าที่ของปัญญา ไม่มีใครไปเร่งรัดได้เลย ต้องตรงด้วย ปัญญารู้แค่ไหน

    ปัญญาไม่ลวงไม่หลอก ไม่ทำให้เข้าใจผิดว่ารู้มาก เพราะว่าไม่รู้ก็คือไม่รู้ รู้ก็คือรู้ เข้าใจแค่ไหนก็แค่นั้น แต่เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ ผู้ที่เป็นโพธิสัตว์คือผู้ที่ข้องในการรู้ความจริง ตั้งแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ที่เป็นพระมหาสัตว์ พระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ที่เป็นพระปัจเจกโพธิสัตว์ และสาวกทั้งหลาย ท่านพระอานนท์ ท่านพระอนุรุทธะ ท่านพระสารีบุตรก็เป็นสาวกโพธิสัตว์ ตามระดับขั้นของปัญญา

    เพราะฉะนั้น โพธิสัตว์คือผู้ที่ข้อง ไม่สนใจที่จะไปรู้อื่น แต่ว่าฟังแล้วเข้าใจขึ้นๆ ก็เป็นสิ่งซึ่งเราไม่สามารถจะไปชักจูงหรือบอกใครได้เลย นอกจากคนนั้นเห็นประโยชน์ แล้วใครก็ชักชวนไปที่อื่นไม่ได้ แต่ว่าไม่ใช่เป็นการฝืนบังคับ เข้าใจในความเป็นปัจจัยโดยทั่วถึงว่า โลภะเกิด เกิดแล้วจะไปทำอะไร นอกจากรู้ความจริงว่าเป็นธรรม ไม่ใช่ไปทำ แต่ว่าเข้าใจให้ถูกต้องยิ่งขึ้น ต่างกันไหม มีตัวตนไปทำ กับเข้าใจขณะนั้นว่าเกิดแล้ว ไม่มีใครทำ ก็ละการที่คิดจะไปทำ เพราะถ้าจะทำเมื่อไหร่ก็คือความเห็นผิดว่าเป็นเราที่ทำได้

    ผู้ฟัง คำกล่าวที่ว่าทุกข์เท่านั้นเกิด ทุกข์เท่านั้นดับ แล้วสุขกายกับสุขใจ จะอธิบายอย่างไร

    ท่านอาจารย์ การฟังธรรมไม่ใช่คิด แต่ต้องฟังให้เข้าใจ ทุกข์คืออะไร เห็นไหมว่า ถ้าเราไม่เริ่มต้นว่าคืออะไร เราหลงทาง เพราะเรารู้จักแค่ทุกข์กาย ทุกข์ของความเดือดร้อนต่างๆ นานา แต่ทุกข์ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสหมายความถึงอะไร

    ทุกข์ หมายความถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ไม่มีเลย แล้วก็เกิดมีขึ้น แล้วก็หายไปไม่กลับมาอีกเลย เพียงแค่เกิดขึ้นแล้วดับไป ควรไหมที่จะยินดี เพราะฉะนั้น ทุกข์เป็นสิ่งที่ไม่ควรที่จะยินดี แต่สุขเป็นสิ่งที่ยินดีทั้งนั้น เพราะฉะนั้น สุขไหมในการที่มีสิ่งที่ปรากฏอย่างเดี๋ยวนี้เลย แต่รู้ความจริงว่าแค่ชั่วคราว แค่หลับตาก็ไม่เห็นแล้ว ไหนดอกไม้สวย เมื่อลืมตาก็สวยมาก มีตั้งหลายดอก สวยๆ ทั้งหมดเลยใช่ไหม เมื่อลืมตาเป็นสุขที่ได้เห็น แต่ว่าเมื่อหลับตา แค่หลับตาเท่านั้นเอง ไม่มีดอกไม้สักดอกหนึ่ง

    เพราะฉะนั้น แค่มีเมื่อเห็น แล้วก็ไม่เห็นอีกเลย สมควรที่จะเป็นที่ยินดีในสิ่งที่แสนสั้นและชั่วคราวไหม และทั้งหมดเป็นอย่างนี้ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น แค่ปรากฏแล้วหมด

    ผู้ฟัง พวกเราก็ยังไม่ได้มีความเข้าใจตรงนั้นว่าเขาเกิดดับ

    ท่านอาจารย์ ต้องฟัง พิจารณาว่าจริงไหม ถ้าไม่เกิดจะมีไหม

    ผู้ฟัง ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ขณะที่เห็นดอกไม้หนึ่งดอก เกิดหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เกิด เพราะว่าเห็น

    ท่านอาจารย์ จึงมีปรากฏใช่ไหม แล้วเกิดแล้วดับ แต่การเกิดดับไม่ปรากฏกับอวิชชา เพราะเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ อย่างเราดูภาพยนตร์สักเรื่องหนึ่ง เดี๋ยวคนนี้มา เดี๋ยวคนนั้นไป โศกเศร้าร้องไห้ ตีรันฟันแทงกันบ้าง ไม่มีอะไรเลย มีสิ่งที่แค่ปรากฏฉันใด นอกจอก็อย่างนี้ มีสิ่งที่เพียงปรากฏฉันนั้น

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 181
    12 ส.ค. 2568