ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1078


    ตอนที่ ๑๐๗๘

    สนทนาธรรม ที่ บ้านธัมมะ ลำพูน

    วันที่ ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ มีสิ่งที่แค่ปรากฏฉันใด นอกจอก็อย่างนี้ มีสิ่งที่เพียงปรากฏฉันนั้น แต่สืบต่อเหมือนไม่เปลี่ยนเลย เมื่อไหร่ที่เรายกดอกไม้ออกไปจากโต๊ะ เราบอกว่าไม่มีแล้ว แต่ความจริงดอกไม้ไปอยู่ตรงไหน สภาพธรรมที่เกิดขึ้นปรากฏเป็นสีสันวัณณะต่างๆ เป็นกลีบดอกไม้ เหมือนไม่ได้ดับไปเลย ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงให้เห็นว่า ถ้าไม่มีการเกิดดับจะเปลี่ยนแปลงไหม ต้องคงที่ แต่เพราะเหตุว่าเกิดดับจึงมีการเปลี่ยนแปลง แต่การเกิดดับไม่ปรากฏ

    ผู้ฟัง ถ้าพูดถึงเกิดดับ อะไรเกิดดับ ทำไมเขาถึงเกิดดับ

    ท่านอาจารย์ ใครก็ไม่รู้ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ปัจจัย สภาพธรรมที่อาศัยกันและกันปรุงแต่งเกิดขึ้นหลากหลายมาก เช่น เห็นก็ไม่ใช่ได้ยิน เห็นอาศัยอะไร ได้ยินอาศัยอะไร ถ้าไม่มีจะเกิดขึ้นได้ไหม คิดอาศัยอะไร เพราะฉะนั้น แม้สิ่งที่ปรากฏเรายังไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร เเล้วเราจะไปรู้เหตุที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้ไหม ก็ไม่ได้

    การศึกษาธรรมต้องค่อยๆ พิจารณา และเข้าใจตามลำดับว่า ความจริงเป็นอย่างนี้ขั้นต้น เเล้วต่อไปที่จะเข้าใจว่าจริงอย่างนี้ก็ต้องอีกมาก นั่นคือปัญญาที่ค่อยๆ ละความไม่รู้ในขั้นฟัง

    ผู้ฟัง ถ้าคำกล่าวว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ธรรมคือสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงที่ปรากฏต้องเกิด เกิดแล้วต้องดับ หมายถึงว่า เราติดข้องในสิ่งที่เกิดดับโดยที่เราไม่รู้ว่าเขาเกิดดับ

    ท่านอาจารย์ ไม่เหลือ ดับแล้วคือไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น หลงติดข้องในสิ่งที่ไม่มี ดับแล้วทั้งหมดเลย

    ผู้ฟัง ก็เรายังมีรถ มีบ้าน มีอะไรอยู่

    ท่านอาจารย์ เมื่อไหร่

    ผู้ฟัง เมื่อเราไปเห็นสิ่งนั้น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้ว มีเมื่อเห็น มีเมื่อได้ยิน มีเมื่อได้กลิ่น ตายทันทีมีไหม ก่อนตายมีมากเลย แต่เมื่อตายทันทีไม่มีอะไรเหลือ เพราะไม่เห็นอีก ไม่ได้ยินอีก ไม่ได้คิดอีก จะมีได้อย่างไร

    ผู้ฟัง ขณะคุยโทรศัพท์มีเสียงคุยกับเขา อย่างอื่นไม่มี

    ท่านอาจารย์ เสียงไม่ใช่บ้านใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งขณะผ่านไปเร็ว จนเหมือนเป็นเรื่องราวซึ่งไม่มีอะไรหายไปเลย จำไว้ตลอดเวลาโดยอัตตสัญญา

    เริ่มเข้าใจว่า สัญญาคือเจตสิกซึ่งจำ จึงมีคำว่า อัตตสัญญา จำว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    ผู้ฟัง สรุปแล้วที่เราว่าเรามีนั่น มีนี่ มีอะไร คือเราจำไว้ว่าเรามี

    ท่านอาจารย์ ถ้าเราตายไปเดี๋ยวนี้เลย มีอะไร ถ้าจิตไม่เกิด เจตสิกไม่เกิด ไม่มีธาตุรู้เกิด จะมีอะไรปรากฏไหม แต่เมื่อปรากฏแล้วไม่รู้ก็เป็นของเราไปหมดเลย

    ผู้ฟัง ทั้งๆ ที่เราก็ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นก็เกิดดับเหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ แน่นอน เพราะฉะนั้น จึงเริ่มเข้าใจพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่คิดอย่างที่กำลังฟัง พระองค์ประจักษ์แจ้งการเกิดดับ จึงได้ทรงแสดงความจริงว่าสภาพธรรมเกิดดับ มิฉะนั้นไม่สามารถที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน

    ผู้ฟัง แต่เบื้องต้นกว่าจะไปถึงตรงจุดที่เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ประจักษ์เเจ้ง เราก็ต้องมีพื้นฐานการฟัง

    ท่านอาจารย์ ปัญญาต้องเกิด ไม่ใช่เรา ต้องมีความเข้าใจอย่างมั่นคงว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่งซึ่งไม่ใช่ของใคร แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครด้วย เพราะมีปัจจัยจึงเกิด ถ้าไม่มีก็เกิดไม่ได้ เมื่อเกิดแล้วก็ต้องดับไป ดับไปคือไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น จะมีเราไม่ได้เลย จะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงก็ไม่ได้

    ผู้ฟัง แต่ละขณะที่เกิดขึ้นแล้วจะไม่มีการซ้ำสองเลยหรือ ผ่านไปหมด

    ท่านอาจารย์ ดับไป ไม่กลับมาอีกเลย

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น เราก็จะมีแต่ข้างหน้าร่ำไป

    ท่านอาจารย์ มีปัจจัยที่ทำให้เกิดอยู่ร่ำไป โลกจึงปรากฏว่า ไม่ว่าง ไม่ขาดจากสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏ เห็นไหมว่าเสียงเกิดแล้ว

    ผู้ฟัง ก็ดับไป

    ท่านอาจารย์ แล้วเสียงเกิดอีก ก็มีปัจจัยให้เกิดอีก สิ่งที่ปรากฏทางตาดับไปแล้วก็มีปัจจัยให้เกิดอีก เร็วมากสนิทแน่นจนไม่ปรากฏการเกิดดับ

    ผู้ฟัง เพราะว่าบางครั้งฟังว่าเกิดแล้วดับไป สมมติเสียงเกิดแล้วเสียงดับไป นี่คือเสียงหายไปหมดเลย ไม่มีเสียงมาอีก แต่ไม่ใช่อย่างนั้นคือเสียงนี้คือเสียงใหม่

    ท่านอาจารย์ แน่นอน มีปัจจัยเกิด ไม่มีอะไรที่เก่าเลย

    ผู้ฟัง อย่างคำกล่าวเมื่อสักครู่ท่านอาจารย์บอกว่า ไม่มีอะไรเกิด คำว่า ไม่มีอะไรเกิด คือดับไปแล้วไม่กลับ

    ท่านอาจารย์ ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย

    ผู้ฟัง แต่ละขณะในสังสารวัฏฏ์จะไม่กลับมาอีก

    ท่านอาจารย์ หลงคิดว่ายังมี

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นทั้งเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส ทุกอย่าง

    ท่านอาจารย์ คำว่าทุกอย่าง คือทุกอย่าง

    ผู้ฟัง ไม่เว้น เกิดขึ้น

    ท่านอาจารย์ เพราะปัจจัย ใครก็ทำให้เกิดไม่ได้ ใครทำเห็นให้เกิดไม่ได้เลย แต่เห็นเกิดโดยไม่ต้องทำ เพราะมีปัจจัยให้เห็นเกิด เห็นก็เกิดเห็น อย่างได้ยินเดี๋ยวนี้ไม่มีใครไปทำให้ได้ยินเกิด แต่มีปัจจัยที่ได้ยินจะเกิด ได้ยินก็เกิด เห็นอยู่แล้วว่าเกิดขึ้นโดยไม่มีใครไปทำเลย

    ผู้ฟัง เพราะว่าเราไม่ทราบความจริงแบบนี้ เวลามีความทุกข์เราถึงจะขวนขวายไปที่หนึ่งที่ใด หรือไปกระทำอะไรให้เราพ้นทุกข์

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างเพราะความไม่รู้ มิฉะนั้น จะไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อรู้ แล้วให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้องด้วย จากการที่พระองค์ได้ทรงแสดงความจริง ให้เราได้ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ไตร่ตรองว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ตามความเป็นจริง แต่เท่าที่ได้ฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงๆ มาแล้ว และถามว่า อะไรเป็นทุกข์ สิ่งที่มีจริงใช่ไหม

    ถ้าไม่มีจริงจะเป็นทุกข์ได้ไหม แค่นี้ สิ่งที่มีจริงเป็นทุกข์เพราะอะไร เพราะเกิดขึ้นแล้วดับไป ความติดข้องเป็นทุกข์ไหม ทุกข์อย่างไร ทุกข์ตอนที่อยากได้ ต้องลำบากคิดแล้วคิดอีกจะให้ได้มา อย่างนั้นหรือ หรือว่าเป็นทุกข์อย่างไร

    เพราะฉะนั้น อริยสัจจธรรม ทุกข์เพราะเกิดขึ้นและดับไป เราบอกว่าเสียใจ พลัดพรากจากสิ่งที่ต้องการ ป่วยไข้ได้เจ็บเป็นทุกข์บ้าง แต่ว่านั่นไม่ใช่ทุกข์จริงๆ ทุกข์จริงๆ ต้องหมายความถึงว่า ไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งหมดที่เกิด สิ่งนั้นดับ นี่คือการที่จะเข้าใจความหมายของอะไรเป็นทุกข์ เพราะมิฉะนั้น เราก็เหมือนทุกข์ซึ่งเราไม่เคยฟังธรรม แค่เขาร้องไห้เสียใจเราก็บอกว่าเขาเป็นทุกข์ แค่นี้เองใช่ไหม เขามีปัญหาเกิดขึ้นเราก็บอกว่าเขาเป็นทุกข์ นี่คือชาวโลก แต่ว่าทุกข์จริงๆ หมายความถึงไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ธรรมที่เกิดดับนั่นเองเป็นทุกข์

    จึงกล่าวว่า สัพเพ สังขารา อนิจจา สัพเพ สังขารา ทุกขา ทุกข์ที่นี้คือเกิดดับ เพราะการเกิดดับนั่นเองเป็นทุกข์ ยิ่งกว่าทุกข์ใดทั้งสิ้น เพราะเหตุว่าสุขก็เกิดและดับไป เป็นทุกข์ไหม ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น ทุกข์จริงๆ ก็คือการเกิดดับเพราะว่าเกิดมาทำไม มีประโยชน์อะไรในสังสารวัฏฏ์ ไม่สิ้นสุดด้วย เกิดและก็ดับไป แล้วก็เกิดอีกแล้วก็ดับไป แล้วก็เกิดอีกแล้วก็ดับไป เมื่อไม่ใช่เราก็มีแต่ธรรมซึ่งเกิดดับ แล้วเป็นประโยชน์อะไร

    ดังนั้น คำถามก็จะส่องถึงคำตอบว่าเรามีความเข้าใจอะไร ถ้าเราบอกว่าสิ่งที่เกิดนั่นเองเป็นทุกข์ เข้าใจถูกต้อง แต่ถ้าบอกว่าความพลัดพรากเป็นทุกข์ โลภะเป็นทุกข์ โทสะเป็นทุกข์ใช่ไหม ก็คิดว่าทุกข์หลากหลายตามลักษณะของสิ่งนั้นๆ แต่ทุกข์ของทุกอย่างทั้งมวลต้องเป็นอย่างนั้น คือ การเกิดขึ้นและดับไปเป็นทุกข์จริงๆ ทุกข์ที่แท้จริง

    เพราะฉะนั้น แม้แต่คำถาม หรือว่าการสนทนาของเรา ก็ต้องมีการซักถามสืบต่อเพื่อให้รู้ว่า ความเข้าใจของเรามีหลายระดับใช่ไหม ระดับที่เห็นว่าทุกข์เป็นทุกข์ ทุกขะทุกขะ เห็นไหมว่ามีความทุกข์หลายอย่าง

    ทุกขะทุกขะ คือทุกข์กาย และทุกข์ใจ มีใครบ้างที่ไม่รู้ ปวดฟันเป็นทุกข์ไหม ทุกข์กายใช่ไหม เดือดร้อนมีปัญหากู้หนี้ยืมสินมาเป็นทุกข์ไหม ทุกข์ใจ เพราะฉะนั้นก็มีทุกข์กาย ทุกข์ใจ แต่ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นและดับไป

    ถ้าไม่รู้อย่างนี้ก็ไม่ถึงความเป็นอริยสัจจธรรม เป็นธรรมที่ผู้ที่ได้อบรมเจริญปัญญาแล้วสามารถที่จะรู้ความจริงว่าไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น ทุกข์แท้ๆ ก็คือการเกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีก แล้วมีทำไม เกิดมาทำไม ลองคิดดู จากไม่มีก็เกิด และก็ไม่มีเลย หมดเลย และเกิดมาทำไม นี่คือทุกข์ที่แท้จริง คือสภาพธรรมทั้งหมดทุกอย่างที่ว่าที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เป็นทุกข์ มิฉะนั้นเราก็จะรู้จักแต่ทุกขะทุกขะ

    เพราะฉะนั้นทุกข์มี ๓ อย่าง ทุกข์กาย ทุกข์ใจที่ทุกคนรู้ เป็นทุกข์แน่ๆ มีใครจะบอกว่าเป็นสุขไหม กำลังนอนเจ็บปวดฟัน มีใครบอกว่าเป็นสุขไหม ก็ไม่ได้ใช่ไหม

    ทุกข์กาย ทุกข์ใจ คือ ทุกขะทุกขะ เป็นทุกข์ที่เห็นได้ว่าเป็นทุกข์

    วิปริณามทุกข์ สุขก็ไม่เที่ยง เกิดขึ้นและดับไป แล้วก็แสวงหาไม่มีวันจบสิ้น ถ้าสุขจริงๆ ต้องแสวงหาสุขอื่นไหม ไม่ต้อง แต่สุขนั้นเองแค่เปลี่ยนแปลงก็เป็นความทุกข์แล้วว่า ต้องการสุขอื่น ด้วยเหตุนี้ แม้สุขเวทนาก็ไม่เที่ยง โดยความเป็นวิปริณามทุกข์ ความเปลี่ยนแปลงไป เดี๋ยวก็สุขอย่างนี้ เดี๋ยวก็สุขอย่างนั้น ต้องการสุขนี้ ต้องการสุขนั้น ไม่มีวันจบ

    และประการสุดท้าย สังขารทุกข์ สังขารหมายความถึง สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดมีปัจจัยเกิดขึ้น ทั้งหมดนั้นเลยเป็นสังขารทุกข์ ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้นหนีไม่พ้นความจริงนี้เลย สุขก็ชั่วคราวแสนสั้น เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    การศึกษาธรรมก็คือ เข้าใจความจริงที่ละเอียดขึ้น ทุกข์กาย ทุกข์ใจ รู้กันทั่วไป แต่ไม่รู้ว่าเป็นสังขารทุกข์ และความสุขก็ไม่รู้ว่าเป็นทุกข์ คือแค่สุขที่ยังไม่ดับ แต่เมื่อดับแล้วก็เปลี่ยนไปแล้ว เพราะฉะนั้น แม้สุขก็ไม่เที่ยงด้วย แสวงหาต่างๆ นานาไม่จบสิ้นก็เป็นทุกข์ และทั้งหมดก็คือสังขารทุกข์ หมายความถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะเกิดได้ต้องมีปัจจัยที่จะทำให้เกิดขึ้น สุขก็ต้องมีปัจจัยทำให้เกิดขึ้น ทุกข์ก็ต้องมีปัจจัยให้เกิดขึ้น เกิดแล้วก็ดับ ไม่พ้นไปเลยสักอย่าง นี่ก็เป็นทุกข์ของสังขารธรรม

    สังขารธรรม หมายความถึง ธรรมที่อาศัยกันเป็นปัจจัยซึ่งกันและกันเกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้น ทุกข์ทั้งวันหรือเปล่า รู้ทุกข์ไหนบ้าง รู้ทุกขะทุกขะเท่านั้นเองใช่ไหม ทุกข์อื่นไม่รู้

    ผู้ฟัง ในส่วนที่ว่าความทุกข์เกิดขึ้น แต่ว่าการวาง วางไม่ได้เนื่องจากว่าดับไปแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อจิตเกิดดับเร็ว จะหลุดพ้นได้อย่างไร ปัญญาจะเกิดทันได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ขณะที่ฟังรู้ไหมว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง รู้

    ท่านอาจารย์ ถูกไหม

    ผู้ฟัง ถูก

    ท่านอาจารย์ แต่ก็ยังคงเป็นเราใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น ก็ค่อยๆ ละคลายความเป็นเรา

    ผู้ฟัง ที่ว่าสติปัฏฐาน ๔

    ท่านอาจารย์ เกิดหรือยัง

    ผู้ฟัง ยังไม่เกิดตอนนี้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น สติปัฏฐานคืออะไร

    ผู้ฟัง ความระลึกถึงสภาวธรรม

    ท่านอาจารย์ พอได้ยินทุกคนก็มุ่งตรงไปที่สติปัฏฐานเลย เหมือนกับเป็นทางเดียวที่จะทำให้เข้าใจสภาพธรรม ก็เลยหวังว่าจะมีสติปัฏฐานเกิด แต่ความจริงต้องเข้าใจก่อนว่า สติปัฏฐานคืออะไร แล้วจะรู้ได้ว่า ไม่ได้มีใครสามารถจะไปทำให้เกิดขึ้นได้เลย เพราะต้องมั่นคงว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ทุกอย่างต้องสอดคล้องกันหมดกับคำว่า ธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่เรา แล้วก็เป็นอนัตตาด้วย เกิดแล้วดับไป แล้วไม่เหลือเลย แต่เกิดดับสืบต่อ

    ผู้ฟัง สติต้องเกิดพร้อมกับปัญญาใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ สติคืออะไรก่อน

    ผู้ฟัง ความระลึกได้

    ท่านอาจารย์ ระลึกอะไร

    ผู้ฟัง ระลึกถึงสภาวธรรมที่เกิดแล้วก็ดับ

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ระลึกอย่างไร ระลึกถึงสภาวธรรม

    ผู้ฟัง เสียงหรือว่า สิ่งที่มองเห็น

    ท่านอาจารย์ แล้วสติระลึกได้หรือ

    ผู้ฟัง ไม่ทัน

    ท่านอาจารย์ ทัน หมายความว่าอะไร

    ผู้ฟัง คือ เห็นถึงสภาวะเกิดดับของทุกขณะ

    ท่านอาจารย์ ไม่เร็วอย่างนั้น ไม่ง่ายอย่างนั้นเลย ทำไมจะแค่นี้แล้วไปเห็นการเกิดดับของสภาพธรรม

    ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้นจะดับทุกข์ได้อย่างไร ปัญญาจะเกิดขึ้นได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ เริ่มเข้าใจธรรมก่อน มั่นคงในคำว่า ธรรม ไม่ใช่เรา ถ้ายังมีตัวเราจะปล่อยจะวาง ก็คือว่าไม่เข้าใจธรรม เวลาที่ฟังธรรมไม่มีใครไปทำอะไรเลย ถูกต้องไหม แล้วก็ไม่มีใครบอกให้ใครทำอะไรด้วย

    ผู้ฟัง ถูก

    ท่านอาจารย์ ฟังขณะนั้นเข้าใจไหม

    ผู้ฟัง เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เข้าใจเป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ เกิดแล้วดับไหม

    ผู้ฟัง เกิดแล้วดับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้สิ่งที่เกิดดับ เข้าใจไหมว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เข้าใจหมดไหม

    ผู้ฟัง เข้าใจแล้วก็ลืม

    ท่านอาจารย์ คิดเป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง คิดไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ รู้เมื่อไหร่ว่าไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง จากเหตุผลที่ฟังธรรม

    ท่านอาจารย์ ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ และปัญญาค่อยๆ คลายความเป็นเรา เพราะว่าอวิชชาปกปิดไว้แน่นมาก จะมีตัวเราไปแทงตลอดลักษณะของสภาพธรรมไม่ได้ นอกจากค่อยๆ ละความไม่รู้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น โดยไม่หวังด้วยว่าจะประจักษ์การเกิดดับเมื่อไหร่ แต่เมื่อเป็นความจริงปัญญามีหลายระดับขั้น ขั้นฟังดับอะไรไม่ได้เลย เพราะเหตุว่ายังไม่ได้ประจักษ์การเกิดดับ ต้องอีกหลายขั้น จึงมีชื่อของปัญญาต่างๆ กันจนกระทั่งถึงวิปัสสนาญาณ ซึ่งก็ต้องต่างกับขั้นฟัง ฟังแล้วก็เข้าใจขึ้นเรื่อยๆ

    ผู้ฟัง แต่ฟังแล้วก็จะลืม

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมดาหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นธรรมดา

    ท่านอาจารย์ ลืมมีจริงไหม

    ผู้ฟัง มีจริง

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ลืมก็เป็นธรรม เมื่อไหร่ ไม่ใช่ลืมไปตั้งนานแล้ว หลังจากนั้นมาบอกว่าลืมเป็นธรรม

    ผู้ฟัง แต่การที่จะจำถึงความเกิดดับ สภาวะเจตสิกต่างๆ ที่เราเชื่อว่าเกิดแล้วดับ

    ท่านอาจารย์ ถ้าลักษณะของธรรมไม่ปรากฏว่าเป็นธรรม จะมีอนัตตสัญญาได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นอัตตสัญญา กำลังฟังอยู่นี่ใครฟัง

    ผู้ฟัง มีตัวเราฟัง

    ท่านอาจารย์ กำลังเข้าใจ ใครเข้าใจ

    ผู้ฟัง เราเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ทั้งๆ ที่สภาพธรรมไม่ใช่เรา กำลังเกิดดับสืบต่อทำหน้าที่ก็ไม่เปิดเผย เพราะว่ายังไม่สามารถที่จะเข้าถึงลักษณะนั้นด้วยสติสัมปชัญญะ ซึ่งเกิดจากความเข้าใจที่มั่นคง มั่นคงคือเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น แล้วแต่ ใครก็ไปบังคับบัญชาไม่ได้ แต่เมื่อเกิดเมื่อไหร่ปัญญารู้เมื่อนั้น เพราะได้ฟังมาแล้วทั้งหมด ไม่ใช่ไม่รู้อะไรเลยแล้วเมื่อเกิดขึ้นก็จะรู้ เป็นไปไม่ได้

    ผู้ฟัง แต่ว่าบางครั้งที่เราเห็นอารมณ์ทันที เราปล่อยวางได้ไหม

    ท่านอาจารย์ เราเห็นแล้วปล่อยวางก็คือ ไม่เข้าใจธรรม

    ผู้ฟัง ยังไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ไม่เข้าใจธรรมสักอย่าง

    ผู้ฟัง คือ เห็นสภาวธรรมแล้วจิตก็วาง

    ท่านอาจารย์ เห็นสภาวะอะไร

    ผู้ฟัง อย่างเช่น ความโกรธ

    ท่านอาจารย์ เมื่อโกรธเกิดขึ้น สภาวะอะไร

    ผู้ฟัง เป็นเจตสิก

    ท่านอาจารย์ เรียกชื่อหรือว่าอย่างไร

    ผู้ฟัง เป็นความไม่สบายใจ

    ท่านอาจารย์ ความไม่สบายใจ และเห็นอย่างไร

    ผู้ฟัง ก็เห็นความรุ่มร้อน

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องฟังธรรมก็เห็นไม่ใช่หรือ

    ผู้ฟัง เห็น แต่ว่าไม่เห็นถึงความดับ

    ท่านอาจารย์ ไม่เห็นถึงความดับแน่นอน กว่าจะถึงอย่างนั้นก็อุทยัพพยญาณ วิปัสสนาญาณซึ่งไม่ใช่ขั้นปริยัติ ไม่ใช่ขั้นปฏิบัติ

    ผู้ฟัง การฟังธรรมไปเรื่อยๆ จะไปถึงขั้นวิปัสสนาได้ไหม หรือว่าต้องมีวิธีการอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ปัญญาคือปัญญาใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ปัญญาคือความเข้าใจใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เข้าใจจะเป็นปัญญาไหม

    ผู้ฟัง ไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ ไม่เป็น เพราะฉะนั้น ปัญญาคือความเข้าใจถูก

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ จะสามารถเข้าใจได้ยิ่งขึ้นไหม

    ผู้ฟัง เข้าใจได้ยิ่งขึ้น

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เพียงเข้าใจแค่นี้

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แล้วความเข้าใจที่ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ มาจากไหน

    ผู้ฟัง มาจากการฟังบ่อยๆ

    ท่านอาจารย์ การฟังแล้วเข้าใจแล้วละการที่จะไปทำอะไร หรือว่าเมื่อไหร่จะประจักษ์ได้ ไม่มีความสงสัย เพราะเหตุว่าปัญญาขั้นฟังไม่ได้ประจักษ์อะไรเลย เพียงแค่รู้ว่ามี แต่อยู่ไหนก็ไม่รู้ ถามคนธรรมดาทั่วๆ ไปว่ามีจิตไหม เขาจะตอบว่าอย่างไร

    ผู้ฟัง เขาก็ตอบว่ามี

    ท่านอาจารย์ แล้วอยู่ไหนเขาก็ไม่รู้ใช่ไหม

    ผู้ฟัง แต่ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ได้ยินชื่อของธรรมทั้งหมดเลย แต่เดี๋ยวนี้อยู่ไหน

    ผู้ฟัง หมายถึงคนทั่วๆ ไป

    ท่านอาจารย์ อยู่ไหน เดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง เขาจะไม่รู้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น อะไรรู้

    ผู้ฟัง จิตรู้

    ท่านอาจารย์ ปัญญา ความเห็นถูก ค่อยๆ เจริญขึ้นทีละเล็กทีละน้อยตามลำดับขั้น เพราะฉะนั้น ผู้นั้นรู้เลยว่านี่ขั้นฟัง ยังไม่ใช่การถึงเฉพาะลักษณะหนึ่งด้วยความเข้าใจ ด้วยความเป็นอนัตตาว่า ไม่สามารถจะรู้ว่าเมื่อไหร่สติจะเกิด และสติจะรู้อะไร ต่อเมื่อใดสติเกิดก็รู้ว่า นั่นคือสภาพธรรมที่มีลักษณะต่างกับที่เพียงฟังเรื่องราวของธรรม ใครรู้ว่าสติเกิด

    ผู้ฟัง ก็เป็นสภาวธรรมที่รู้

    ท่านอาจารย์ ใครรู้ ไม่ใช่คนอื่นใช่ไหม ต้องเป็นบุคคลนั้นเอง ถ้าไม่เคยฟังมาก่อนจะรู้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่มีทางเลย

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้สภาพธรรมกำลังเกิดดับ ฟังแล้ว ตัวตนรู้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ยังมีตัวตนอยู่ รู้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ต้องเป็นปัญญาที่เข้าใจขึ้น จนถึงอีกระดับหนึ่งคือสติสัมปชัญญะ เมื่อนั้นก็หมดสงสัยในความเป็นสติสัมปชัญญะ

    ผู้ฟัง เป็นสิ่งที่ยากมากเลย

    ท่านอาจารย์ กำลังสรรเสริญพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าง่ายต้องบำเพ็ญพระบารมีไหม นานไหมกว่าจะได้รู้ความจริง และคนฟังจะรู้วันนี้เลย บางคนฟังแล้วรู้แล้ว บารมีอยู่ไหน

    ผู้ฟัง แม้กระทั่งเวลาฟังซ้ำแล้วซ้ำอีกก็ยังลืม เหมือนกับว่าเราเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมดาหรือเปล่า เป็นธรรมดาก็คือไม่ใช่เรา เป็นธรรมทั้งหมด

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น จะเป็นแค่ความเชื่อใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เชื่อหรือเข้าใจ

    ผู้ฟัง เข้าใจ แต่ว่าลืม

    ท่านอาจารย์ ลืมเป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ จนกว่าจะรู้ว่าขณะนั้นเป็นธรรม ลืมก็เป็นธรรม ไม่ใช่เราลืม

    ผู้ฟัง แต่ว่าต้องเข้าใจถึงเจตสิก ๕๒ ด้วยใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องไปเรียกชื่อเลย แต่อะไรที่ปรากฏไม่ใช่เรา เพราะเป็นสภาพธรรมอย่างไหน เป็นธาตุรู้ หรือไม่ใช่สภาพรู้

    ผู้ฟัง ถึงเราเรียกชื่อไม่ถูก แต่ว่าเราเข้าใจว่าเป็นสภาพธรรมก็ได้

    ท่านอาจารย์ จะเรียกทำไม เข้าใจลักษณะนั้นโดยไม่ต้องเรียก ลักษณะนั้นมีปรากฏให้เข้าใจได้ ขณะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ มีคำเรียกธรรมไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ แต่สภาพธรรมประจักษ์แจ้งเพราะกำลังปรากฏ แต่เมื่อจะทรงแสดงความจริงของธรรมต้องใช้คำ เพื่อให้รู้ว่าหมายความถึงธรรมอะไร เช่น ขณะนี้มีเห็น ไม่ต้องเรียกก็เห็น จะเรียกอะไรก็เรียกไป แต่เห็นก็เห็น แต่เมื่อใช้คำว่าได้ยิน ก็รู้ว่าไม่ใช่เห็น

    เพราะฉะนั้น การสนทนาธรรม การกล่าวถึงธรรมจำเป็นต้องอาศัยคำ ซึ่งแต่ละเสียงเป็นไปตามความหมายของธรรม ถ้าใช้คำว่าเสียง คำนี้หมายความถึงเสียง เป็นไปตามความหมายที่เข้าใจกันว่าหมายความถึงเสียง ถ้าบอกว่าเห็นก็เป็นอีกธรรมหนึ่งแล้ว ไม่ใช่เสียง เพราะฉะนั้นคำที่ว่าเห็น เป็นคำที่กล่าวถึงธรรม เสียงนั้นก็ให้รู้ความหมายว่าหมายความถึงธรรมอะไร แต่เห็นเป็นเห็น ไม่ต้องเรียกอะไรก็ได้ แต่ไม่เรียกแล้วจะรู้ได้อย่างไร

    ดังนั้น การกล่าวถึงธรรมจึงจำเป็นต้องมีเสียงที่จะแสดงความหมายของธรรมนั้นว่า หมายความถึงธรรมสิ่งที่มีจริงอะไร

    ผู้ฟัง อย่างเราไปแนะนำคนใหม่ๆ เราจะอธิบายให้เขาเข้าใจง่ายที่สุดว่าอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็ให้เขารู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร ถ้าไม่ทรงแสดงธรรม ไม่ตรัสเลยสักคำ ใครสามารถจะรู้ในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม

    ผู้ฟัง ไม่สามารถรู้ได้

    ท่านอาจารย์ แต่เมื่อฟังแล้วรู้ได้เลยในความลึกซึ้งว่า ผู้นี้ ตรัสถึงสิ่งที่ใครก็รู้ไม่ได้ จนกว่าจะได้ฟังแต่ละคำมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ละคลายความไม่รู้ สภาพธรรมจึงปรากฏตามความเป็นจริงได้ ไม่ใช่จะปรากฏไม่ได้ แต่ปรากฏกับปัญญาที่อบรมแล้ว ละคลายความไม่รู้ไป จนสามารถที่สภาพธรรมนั้นจะปรากฏ

    ผู้ฟัง ตอนนี้ผมก็คิดว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา

    ท่านอาจารย์ ก็ถูกต้อง นึกออกใช่ไหมว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา

    ผู้ฟัง ผู้แต่งหนังสือจะเขียนว่า พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ทางนี้เป็นทางสายเอก ผู้ใดปฏิบัติแล้ว จะพ้นทุกข์ และจะบรรลุมรรคผลนิพพานได้ภายใน ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปีเป็นอย่างช้า มีความสงสัยว่าเป็นคำพูดของพระพุทธเจ้าจริงหรือเปล่า เพราะฟังจากที่ท่านอาจารย์มักจะพูดบ่อยๆ ว่าเป็นจิรกาลภาวนา ซึ่งฟังแล้วขัดแย้งกัน

    ท่านอาจารย์ ก่อนอื่น ต้องรู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีจริงไหม

    ผู้ฟัง จริง

    ท่านอาจารย์ จริง พระองค์ทรงแสดงธรรมให้คนอื่นได้เกิดความเข้าใจถูกใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่สะสมมาที่จะเข้าใจธรรมทันทีที่ได้ฟังเทศนาจบ ก็มีใช่ไหม

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 181
    12 ส.ค. 2568