ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1074
ตอนที่ ๑๐๗๔
สนทนาธรรม ที่ บริษัทเชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด
วันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ ลืม ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เป็นเหตุเป็นผล เพราะฉะนั้น ไม่สามารถที่จะแก้ไขอะไรด้วยความไม่รู้ ไม่ว่าปัญหาใดๆ ทั้งสิ้นแก้ได้ด้วยความรู้ แต่ถ้าความไม่รู้ แก้ไปเท่าไหร่ก็ไม่มีวันจบ ไม่มีวันสิ้นสุดและไม่สำเร็จด้วย ดังนั้น จะเผินๆ เหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นคนหนึ่งธรรมดาที่เหมือนกับพูดไปแล้วก็จดจำไว้ จารึกเป็นพระไตรปิฎก อย่างนั้นได้อย่างไร
เมื่อพบคำว่าสมาธิ เหมือนรู้ เหมือนรู้แต่ไม่รู้ เพราะว่าสมาธิเป็นธรรมหรือเปล่า เป็น เป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม เป็นนามธรรม เป็นธาตุรู้ เป็นจิต หรือเป็นเจตสิก ที่ฟังแล้วต้องตอบได้ถ้าไตร่ตรองและไม่ลืม แล้วใครก็ช่วยไม่ได้ เขาจะมาบอกเรา นั่นคือเขารู้ไม่ใช่หรือ แต่เราบอกเองได้เวลาเรารู้ ถึงคนอื่นบอกเราก็รู้ว่าเขาพูดผิดหรือพูดถูก เพราะความรู้ที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ความรู้เป็นความรู้ เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง
ดังนั้น สมาธิเป็นธรรม เป็นนามธรรม เป็นจิต หรือเป็นเจตสิก แค่นี้เราก็รู้แล้ว เจตสิกใช่ไหม จิตแค่เป็นใหญ่เป็นประธานรู้คือ มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา เห็นเป็นจิต เสียงมีตั้งหลายเสียง ถ้าจะมีคนพูดภาษาอื่นในห้องนี้ เสียงเป็นเสียง ไม่ว่าชาติไหนภาษาไหนได้ยินเสียงนั้น เสียงนั้นเปลี่ยนไม่ได้ ถึงเราไม่รู้ความหมายของคำที่เป็นภาษาอื่น แต่เสียง ได้ยินแล้วต้องเหมือนกันหมด และถ้ามีนกสักตัวหนึ่งอยู่ในห้องนี้และได้ยิน นกก็ได้ยินเสียงที่เราได้ยินนี้ นกไม่รู้ว่าเสียงนั้นหมายความว่าอะไร แต่คนที่รู้ภาษานั้นสำเนียงนั้นก็สามารถที่จะรู้ว่าความหมายนั้นคืออะไร
เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ธรรมเป็นธรรม ซึ่งใครก็เปลี่ยนไม่ได้ ได้ยินต้องเป็นได้ยิน ได้ยินแล้วคิดไหม ถ้าไม่คิดก็ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร ถ้าไม่จำจะรู้ไหมว่าเสียงนั้นหมายความว่าอะไร
จำ มีจริงไหม เป็นธรรมหรือเปล่า เป็นรูปธรรม หรือนามธรรม นี่คือการย้อนไปให้เรามีความมั่นคงว่าไม่มีเรา เพราะกว่าจะไม่มีเราได้ ความรู้ในสิ่งที่มีว่าไม่ใช่เราต้องมากพอ แม้ในขั้นการฟังก็ยังทิ้งละความเป็นเราไม่ได้เลย เห็นความลึกไหมว่า ต้องอาศัยความเข้าใจระดับไหนตามลำดับขั้น จะไปนั่งปฏิบัติตามสำนักปฏิบัติ ไม่มีทาง ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย เพราะแต่ละคำของพระองค์ให้เกิดปัญญา เป็นมรดกที่ได้รับจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่าสมาธิมีไหม มี รู้ไหม ตอนนี้รู้หรือเปล่า ถ้ารู้ ก็คือว่าสมาธิคืออะไร ต้องตอบได้ว่าสมาธิคืออะไร จึงจะชื่อว่ารู้
สมาธิมีจริงเป็นธรรม เป็นนามธรรม เป็นเจตสิก แต่คือเจตสิกอะไร ความละเอียดของธรรม จะไปทำสมาธิคือคนนั้นไม่ได้ฟังธรรม ถ้าฟังธรรม ทำได้หรือ รู้หรือเปล่าว่า สมาธิ ได้แก่เจตสิกหนึ่ง ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เอกัคคตาเจตสิก เป็นสภาพธรรมที่ตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่ง เอกะ
ขณะที่เห็นไม่ใช่ขณะที่ได้ยิน เอกัคคตาเจตสิกตั้งมั่นที่สิ่งที่ปรากฏ ถ้าเป็นเสียงในขณะที่ได้ยิน ขณะนั้นจิตรู้เสียง แต่เอกัคคตาเจตสิกตั้งมั่นที่เสียง เพราะฉะนั้นจิตได้ยินอื่นไม่ได้เลย เฉพาะเสียงนั้นเสียงเดียวที่กำลังปรากฏ เพราะเอกัคคตาเจตสิกตั้งมั่นที่เสียงนั้น จิตจึงได้ยินเสียงนั้น และเจตสิกอื่นก็รู้เสียงนั้น แต่ไม่ใช่จิต แต่ว่าตามฐานะของเจตสิกแต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่มีเพียงหนึ่ง
เจตสิกทั้งหมด มี ๕๒ ประเภท ใครรู้ ทั้งวันใต้มหาสมุทร จนกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแสดง แต่ว่าสิ่งนั้นยังไม่ปรากฏกับปัญญาขั้นฟัง แค่รู้ว่ามี เดี๋ยวนี้เอกัคคตาเจตสิกอยู่ไหน มี ดับแล้วด้วย เกิดแล้วด้วยก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ความรู้ไม่ใช่รู้อื่น รู้สิ่งที่มีตามปกติ ต้องใช้คำว่าตามปกติด้วย เพราะเป็นปัญญา ปัญญาเป็นสภาพที่สามารถเข้าใจถูก ในสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ได้ที่ปรากฏ เมื่อมีสิ่งที่ปรากฏแต่ยังไม่เข้าใจก็ไม่ใช่ปัญญาเจตสิก
ผู้ฟัง ผมขอความรู้จากท่านอาจารย์ที่สอนเรื่องสติ การใช้สติในการดำเนินชีวิต สติในการศึกษาพุทธศาสนา อยากจะให้ท่านอาจารย์ให้ความรู้เรื่องสติด้วย
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ว่าเราจะใช้สติ หรือว่าเมื่อฟังธรรมแล้วก็จะไปประพฤติปฏิบัติตามนั้น ใช่ไหม นั่นยังมีความเป็นเรา เพราะฉะนั้น จะหมดความเป็นเราแสนยาก หมดไม่ได้เลยถ้าไม่มีความเข้าใจในแต่ละคำที่เราพูด ถ้ามีคนพูดว่าใช้สติ ถ้าฟังธรรมแล้วเพียงขั้นต้นรู้เลยว่าผิด เพราะสติเป็นอนัตตา
ต้องมั่นคงว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้เกิดขึ้นได้เลย เพราะเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้น การที่จะเข้าใจธรรม คือเข้าใจสิ่งที่มีแล้วที่กำลังปรากฏ เพราะเกิดในขณะนั้น ถ้าเราจะไปใช้สติ เราไม่รู้สิ่งที่เกิดแล้วมีแล้วเดี๋ยวนี้ ซึ่งคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดแล้วไปทำด้วยความเป็นเรา แต่ว่าสิ่งที่มีแล้ว เราลืม เราเผลอไปทุกที จะ ทั้งนั้นเลย จะอย่างนั้น จะอย่างนี้
เมื่อสักครู่นี้ก็จะออกไปข้างนอก อยู่ข้างนอกก็จะเข้ามาในห้อง ถึงเวลานี้ก็จะถามอย่างนั้น จะถามอย่างนี้ หรือจะคิดอย่างนั้นอย่างนี้ แต่นั่นคือยังมีความเป็นเรา แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ใครมาคิดความไม่ใช่เราด้วยตัวเอง เพราะว่าไม่มีทางที่จะรู้ได้ว่าไม่ใช่เรา เพราะไม่คุ้นเคยแม้แต่จะรู้ตรงที่มี เช่น กำลังเห็น ไม่ได้รู้ตรงเห็นว่ามีเห็น กำลังได้ยินปัญญาก็รู้ได้ยินในขณะที่ได้ยินปรากฏ ไม่มีการไปใช้สติ
ด้วยเหตุนี้ แต่ละคำจึงต้องมั่นคงจริงๆ ว่าทำไม ก็เกิดแล้วใครใช้ได้ ใครใช้ได้หมายความว่ามีสติหรือ ถึงจะเอาสติมาใช้ แล้วจะมีได้อย่างไรถ้าสติไม่เกิด แล้วถ้าสติเกิด สติก็เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครไปใช้เลย
ถึงได้บอกว่าตั้งแต่เกิดจนตาย พูดคำที่ไม่รู้จัก จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม ถ้ามีความเข้าใจแล้วเราจะไปบอกคนอื่นไหมว่า ใช้สติ ให้เขาพลอยผิดไปด้วยคิดว่าเขาใช้ได้ เพราะฉะนั้น เวลาที่มีความเข้าใจจะค่อยๆ พูดคำที่ถูกต้อง แต่ถ้าใครพูดคำที่ไม่ถูกต้อง เราก็รู้เลยว่าความเข้าใจยังไม่พอ หรือว่าเข้าใจผิด อย่างใช้สติ ถามคำเดียวว่า สติคืออะไร คนที่บอกให้คนอื่นใช้สติ รู้ไหมว่าสติคืออะไร ถึงได้ไปบอกให้คนอื่นใช้สติ ธรรมต้องตรง
เพราะฉะนั้น เลิกคิดที่จะใช้สติ แต่รู้ว่ายังไม่เข้าใจสติว่า สติไม่ใช่เรา ไม่มีเรา หรือไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้นที่จะไปใช้สติ เพราะสติเกิดแล้วดับ ใครใช้ให้สติเกิด มีไหม ใครใช้ให้สติดับ ดังนั้นจึงใช้สติไม่ได้ แต่ควรเข้าใจให้ถูกต้องว่าสติคืออะไร ตามลำดับว่าสติมีจริงไหม ถ้ามีจริงเป็นธรรมหรือเปล่า ต้องไล่เรียงตั้งแต่คำนี้ตลอดทุกครั้งเพื่อที่จะเข้าใจให้ถูกต้อง เป็นธรรมประเภทไหน นามธรรมหรือรูปธรรม ต้องตามลำดับอย่างนี้จริงๆ นามธรรมเป็นจิต หรือเป็นเจตสิก เป็นเจตสิก นี่เริ่มรู้แล้ว
สติเป็นเจตสิก เป็นสภาพรู้ ซึ่งเกิดกับจิต เป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้น เป็นอนัตตา ไม่มีใครสามารถที่จะไปทำให้สติเกิด ถ้าใครทำให้สติเกิดได้ ทุกคนก็มีสติหมด ใช่ไหม แต่ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้สติเกิดได้ แม้แต่จะให้เขาเข้าใจว่าสติคืออะไรก็ไม่ได้ ถ้าเราไม่รู้ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงไว้ใครจะรู้
ด้วยเหตุนี้ จากการที่ได้ฟังพระธรรมแล้วยังไม่พอ ต้องไตร่ตรองละเอียดด้วย ลึกซึ้งด้วย มั่นคงด้วย จึงสามารถที่จะรู้จักความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการ "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" ถ้าไม่มีการเข้าใจธรรม ไม่มีทางที่จะเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เพราะฉะนั้น ด้วยความเคารพอย่างยิ่งทุกคำที่ใช้ต้องเข้าใจ
ดังนั้น ต่อไปนี้คงจะไม่มีการใช้สติ แต่ถ้ารู้จักสติ คือปัญญารู้ ไม่ใช่เราที่รู้ ใช่ไหม เราจะรู้จักสติหรือปัญญารู้ เพราะไม่มีเราใช่ไหม เพราะฉะนั้น เมื่อปัญญารู้จักสติ ปัญญาก็รู้ว่าขณะไหนสติเกิด ขณะไหนสติไม่เกิด แทนที่จะทำสติ เห็นความต่างกันของผู้ที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับผู้ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บอกว่า ไปทำสติ ไปใช้สติ
แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้รู้ว่าสติคืออะไร ไม่ใช่เรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แสดงอยู่แล้วว่าใครก็ทำให้สติเกิดไม่ได้ และคำไหนเป็นคำจริง เริ่มเป็นผู้ที่รู้จักคำจริง และความจริงของสิ่งที่มีทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งถ้ารู้ว่าสติคืออะไร ปัญญาใช่ไหมที่รู้ เพราะฉะนั้น ปัญญาก็รู้ว่าขณะไหนมีสติ ขณะไหนไม่มีสติ
สติ คือสภาพธรรมที่มีจริง เป็นเจตสิก เป็นสภาพที่ไม่ใช่ปัญญา มีสองคำต้องเเยกเเล้ว สติ กับ ปัญญา สติเป็นสติ ปัญญาเป็นปัญญา เพราะฉะนั้น สติที่ไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยมีไหม มี กุศลที่ทำที่เขารักษาศีลกัน เขามีปัญญาหรือเปล่า เห็นไหมว่าก็มีสติ เพราะสติเป็นสภาพที่ระลึกเป็นไปในทางที่ดี ต้องจำกัดด้วย
ถ้าเราระลึกว่าเมื่อวานนี้ไปทำอะไรที่ไหน เป็นสติหรือเปล่า ไม่ใช่ แต่ว่าของในบ้านก็มี อาหารก็มี สติเกิดไหมที่จะให้คนอื่น เพราะว่าสามารถที่จะให้ได้เพื่อเป็นประโยชน์กับคนอื่น ที่เราไม่ให้เพราะสติไม่เกิด แต่ขณะให้ไม่ใช่เรา แต่เพราะสติเกิดระลึกเป็นไปในกุศล
เพราะฉะนั้น กุศลทุกประเภท เพราะสติเกิดขึ้นระลึกเป็นไปในกุศลนั้นๆ เห็นกระดาษตกอยู่เเล้วเดินผ่านไปเลย สติเกิดหรือเปล่า แต่ถ้าทำสิ่งที่ดีที่เป็นประโยชน์ ไม่ว่าขณะไหนเมื่อไหร่ทั้งสิ้นคือ ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมที่ระลึกเป็นไปในกุศล รู้ว่าคนนี้ทำแต่ไม่เก็บ ไม่ต้องไปบอกเขาหรอก เราเก็บเองเลยทันทีได้ไหม ต่างกันแล้วใช่ไหม สละหรือเปล่า สละอะไร สละความไม่ดี กิเลสต่างๆ ซึ่งคิดว่าไปเก็บทำไม เขาทำ เราไม่ได้ทำ เป็นต้น
ชีวิตประจำวันทั้งหมดให้ทราบว่า เป็นธรรมซึ่งถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้ จึงยึดถือมั่นคงว่าเป็นเรา และกว่าจะไม่เป็นเราได้ ไม่ใช่รีบร้อน ความไม่รู้มีตั้งเท่าไหร่ ความยึดมั่นในสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ที่ใช้คำว่าอุปาทานขันธ์ มีหลายชื่อเลย ขันธ์เราก็ได้ยิน อายตนะเราก็ได้ยิน ปฏิจจสมุปบาทเราก็ได้ยิน อริยสัจจะเราก็ได้ยิน แล้วคืออะไร เหมือนรู้ไปหมดเลย พูดตามไปหมดแต่ไม่รู้อะไรเลย
เพราะฉะนั้น ได้ยินคำว่าขันธ์หรือเปล่า ขันธะ หรือขันดะในภาษาบาลีคืออะไร ทุกอย่างทุกคำต้องตั้งต้นด้วยคืออะไร มิฉะนั้นไม่ใช่ปัญญา ขันธ์คืออะไร ได้ยินคำว่าธรรม รู้จักธรรมแล้วใช่ไหม ได้ยินคำว่าขันธ์ยังไม่รู้จักขันธ์ แต่ได้ยินคำว่าขันธ์ ขันธ์มีจริงไหม เป็นธรรมหรือเปล่า เป็น
ขันธ์ หมายความถึง สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นธรรม ทั้งหลายเลย สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เพราะฉะนั้น สิ่งที่ไม่เที่ยงอีกนัยหนึ่งที่ทรงแสดงก็คือว่า ทรงแสดงสิ่งที่มีทั้งหมดอีกประเภทหนึ่ง โดยความเป็นที่ยึดถืออย่างยิ่ง จึงใช้คำว่าอุปาทานขันธ์
เรารู้ว่าขันธ์ ๕ มีอะไรบ้างที่เคยจำได้ รูปขันธ์ รู้จักแล้วใช่ไหม รูป ตอนนี้อะไรเป็นรูปบ้าง เห็นไหมว่าต้องทบทวนอยู่เรื่อยๆ เพื่อความเข้าใจที่มั่นคง อะไรเป็นรูปบ้าง สิ่งใดๆ ก็ตามที่เกิดแล้วไม่รู้อะไร ทั้งหมดคือรูปทั้งนั้นเลย เสียงเป็นรูป กลิ่นเป็นรูป รสเป็นรูป แข็งเป็นรูป อะไรๆ ที่ไม่ใช่สภาพรู้แต่เกิดขึ้นมีจริงๆ แล้วไม่รู้นั่นคือ รูปธรรม ยึดมั่นในรูปไหม
วันนี้แสวงหารูปหรือเปล่า ทั้งวัน ลืมตาขึ้นมาก็แสวงหาแล้ว ลืมตาทำไม จะเห็นอะไร เห็นไหมว่าติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ ด้วยเหตุนี้จึงมีอีกนัยหนึ่งคืออุปาทานขันธ์ ถ้าพูดถึงขันธ์ ๕ ก็คือธรรมดา พระอรหันต์มีขันธ์ ๕ ไหม มี แต่สำหรับพระอรหันต์ไม่มีกิเลส ไม่มีอุปาทานในขันธ์ แต่ขันธ์ของพระอรหันต์เป็นที่ตั้งของอุปาทานของคนอื่น โดยสองนัย
อุปาทานขันธ์ คือขันธ์ซึ่งเป็นที่ตั้งของความยึดถือ คือตัวความยึดถือ ยึดถือในขันธ์ เพราะสิ่งต่างๆ ที่มีทั้งหมดต้องเป็นขันธ์หนึ่งขันธ์ใดใน ๕ ขันธ์ เพราะทรงจำแนกอีกนัยหนึ่งคือ โดยนัยของการติดยึดมั่น ธรรมละเอียดขึ้นๆ สิ่งที่มีแสดงให้เห็นว่าโดยประการใดๆ โดยประการของความยึดถือ ที่เห็นชัดๆ คือยึดถือในรูป
สิ่งที่ปรากฏทางตาหลากหลายมาก เพราะยึดถือทั้งนั้นเลย ชอบอย่างไหนก็ซื้ออย่างนั้น หาอย่างนั้นมีอย่างนั้นใช่ไหม พอไหม คิดดูตามความเป็นจริงว่าพอไหม ไม่มีวันพอ ได้แล้วก็ยังหาใหม่ ถึงได้มีของเต็มบ้านไปหมดเลยใช่ไหม ที่มีอยู่ได้มาแล้วพอใจ แล้วก็ยังต้องการอีกในรูป สิ่งที่ปรากฏทางตา แจกันสวยๆ หรืออะไรทั้งหมด เสื้อผ้า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏให้เห็นทางตา เก้าอี้ก็มีรูปร่างหลายอย่างใช่ไหม ประดิษฐ์กันขึ้นไปต่างๆ นานา ไม่สิ้นสุดของความพอใจในรูปขันธ์
แสวงหาจนกระทั่งปรากฏเป็นเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ เป็นคอมพิวเตอร์ เป็นอะไรต่างๆ พวกนี้ ก็แสดงให้เห็นว่าทั้งหมดเป็นรูป ที่ตั้งของความยึดมั่น ซึ่งไม่มีวันพอตั้งแต่เกิดจนตาย
วันนี้ลองไม่ติดในรูป เป็นไปได้ไหม ไม่มีทาง เพราะเป็นธรรมไม่ใช่เรา ไม่มีเรา แต่เป็นธรรมยินดีติดข้องในรูป ให้รู้ตามความเป็นจริงว่า ความยินดีติดข้องในรูปซึ่งเกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีก ไม่มี จากไม่มีเลยก็เกิดมี เมื่อสักครู่นี้ไม่มีเสียง เงียบ แล้วเสียงก็เกิด แล้วเสียงก็ดับไป ทุกอย่างเหมือนอย่างนี้เลย เพราะฉะนั้น ไม่มีอะไรแล้วจะติดข้องไหม ไม่ติดข้อง แต่พอมีอะไร ติดข้องไหม ติดข้องในสิ่งที่มี
ด้วยเหตุนี้ จึงมีความเข้าใจว่าใครก็ตาม พระโสดาบันก็ติดข้องในรูปขันธ์ เห็นไหมว่าความติดข้องมากมายมหาศาล แล้วแต่ว่าจะแสดงโดยนัยใด ถ้าไปเจอในพระสูตรเรื่องสังโยชน์ เรื่องอะไรก็ตาม ก็คือเรื่องธรรมของความติดข้องนี่เอง นอกจากโดยนัยของขันธ์ ยังแสดงโดยนัยอื่นๆ อีกที่ละเอียดขึ้น ให้เรารู้ความต่างกันว่าสิ่งที่มีหลากหลายมาก แม้แต่ความพอใจก็หลายระดับที่ทรงแสดงไว้ เมื่อมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งปรากฏก็มีฉันทะความพอใจแล้ว ลืมตาขึ้นมาก็พอใจเเล้ว พอใจที่จะลืมตาเพื่ออะไร เพื่อจะได้พอใจในสิ่งที่เห็น ถ้าไม่พอใจจะลืมตาทำไม ใช่ไหม นี่ก็แสดงละเอียดยิบเลยถึงชีวิตประจำวัน
เมื่อมีความพอใจ คือฉันทะ มีความติดข้องในทุกสิ่งทุกอย่าง ปริฬาหในภาษาบาลี เบาๆ ปริฬาห จนกระทั่งปริเยสนา ไม่อยู่แค่นั้นเเล้วต้องแสวงหาเลย ไปตลาดไปทำไม ไปห้างสรรพสินค้าไปทำไม เพราะพอใจที่จะไป พอใจที่จะไปตรงที่ที่เราต้องการ และในที่ที่มีสิ่งที่เราต้องการหลากหลายมาก ยังเฉพาะสิ่งที่ต้องการอย่างยิ่ง นี่คือลำดับของการที่ว่ากิเลส มีก็ไม่รู้เลยตามลำดับขั้น เป็นเราไปหมด ซื้อไหม ซื้อ ได้มาแล้วพอใจไหมในสิ่งที่ได้ ก็ตลอดทางตั้งแต่เห็น จนกระทั่งแสวงหาได้มาเป็นลาภะสิ่งที่ได้มา และก็ชื่นชมยินดีในสิ่งที่ได้ นี่คือชีวิตประจำวันซึ่งไม่รู้อะไรเลยว่า แท้ที่จริงทุกสิ่งทุกอย่างมีเมื่อปรากฏ
ลองคิดคำนี้ว่าถูกต้องไหม เพราะเกิดดับอยู่ตลอดเวลา จากมีแล้วก็ไม่มี จากมีแล้วก็ไม่มี ไม่มีแล้วก็มี แล้วก็หามีไม่ แต่ว่าปรากฏเมื่อไหร่เป็นที่ติดข้องเมื่อนั้น สิ่งที่มีอยู่ที่บ้านเราชอบหมดเลย แต่เวลานี้ไม่ได้ปรากฏ เราก็ชอบสิ่งที่ปรากฏใช่ไหม ไม่มีทางเว้นเลย
นี่คือธรรมไม่ใช่เรา เป็นที่ติดข้องอย่างยิ่งในรูป ในเสียงด้วยหรือเปล่า เพราะเสียงก็เป็นรูปธรรม ในสิ่งที่ปรากฏทางตาให้เห็น สีสันวัณณะต่างๆ ซึ่งมีอยู่ที่มหาภูตรูป ธาตุดินน้ำไฟลม แข็งกระทบตาไม่ได้ กลิ่นกระทบตาได้ไหม รสกระทบตาได้ไหม ทั้งๆ ที่ที่อ่อนแข็ง เย็นร้อน ตึงไหวซึ่งเป็นมหาภูตรูป ๔ มีทั้งสิ่งที่เป็นกลิ่น เป็นรสรวมอยู่ด้วย แต่สิ่งเหล่านั้นกระทบตาไม่ได้ เฉพาะสิ่งเดียวที่มีอยู่ที่นั่นที่ใช้คำว่า วรรณรูป หมายความถึงที่กระทบตาได้เท่านั้นที่กำลังปรากฏเมื่อกระทบตา เพียงแค่หลับตาก็ไม่ปรากฏแล้ว นี่คือธรรมทั้งหลายกว่าจะไม่ใช่เรา เป็นธรรมทั้งหลาย
เพราะฉะนั้น ธรรมคำเดียวสามารถที่จะถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะธรรมทั้งหลายรวมอยู่หมดในทุกสิ่งทุกอย่างที่มี ที่ปัญญาสามารถที่จะเข้าใจถูกต้องตามลำดับ ติดข้องมากไหมในรูปขันธ์ ไปสำนักปฏิบัติ เห็นชอบไหมก็ไม่รู้ จะเดิน แล้วจะเดินไปทำไมก็ไม่รู้ใช่ไหม ทั้งๆ ที่ขณะนั้นก็มีทั้งเห็น มีทั้งคิดซึ่งไม่ใช่เรา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ แล้วเราไม่ตามคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ เราไปทำอะไร ไม่มีสำนักปฏิบัติในครั้งพุทธกาลแน่นอน ผู้ที่เป็นคฤหัสถ์ ชีวิตเป็นปกติอยู่ในครัวเป็นพระอนาคามี เมื่อปัญญาถึงเวลาที่จะเกิดขึ้น ซึ่งใครก็ไม่รู้ว่าฟังธรรมขณะนี้ ความรู้ของเราเท่าไหร่เพราะไม่ใช่เรา แต่เป็นจิต เจตสิก สังขารขันธ์ได้แก่เจตสิก ๕๐ แต่ธรรมทุกอย่างที่เกิดเป็นสังขารธรรม เห็นไหมว่าต้องละเอียด ในบรรดาธรรมทั้งหลายธรรมที่เป็นสังขารธรรมก็มี คือสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย นิพพานเท่านั้นที่เป็นวิสังขารธรรม ไม่มีอะไรจะไปปรุงแต่งทำให้เกิดเป็นนิพพานขึ้นมาได้เลย
เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา รวมนิพพานด้วย จึงมีคำว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา รวมหมดทั้งนิพพานด้วย แต่ถ้าพูดถึงสังขารธรรมไม่รวมนิพพาน
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1021
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1022
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1023
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1024
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1025
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1026
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1027
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1028
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1029
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1030
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1031
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1032
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1033
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1034
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1035
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1036
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1037
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1038
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1039
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1040
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1041
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1042
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1043
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1044
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1045
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1046
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1047
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1048
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1049
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1050
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1051
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1052
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1053
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1054
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1055
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1056
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1057
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1058
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1059
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1060
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1061
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1062
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1063
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1064
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1065
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1066
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1067
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1068
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1069
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1070
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1071
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1072
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1073
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1074
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1075
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1076
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1077
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1078
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1079
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1080
