ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1068


    ตอนที่ ๑๐๖๘

    สนทนาธรรม ที่ กนกรัตน์รีสอร์ท อัมพวา จ.สมุทรสงคราม

    วันที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ ขณะนี้กระทบแข็ง ก่อนนั้นกระทบโต๊ะ จับดอกไม้ ช้อนส้อม เป็นต้น ใช่ไหม แต่รู้ว่าแข็งมีจริงๆ แข็งเป็นช้อนหรือเปล่า แข็งเป็นโต๊ะหรือเปล่า แข็งเป็นเก้าอี้หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ แข็งเป็นแข็ง เห็นไหมว่ากว่าจะมีความมั่นคงว่า แข็งเป็นแข็ง อยู่ตรงไหนก็แข็ง เราเรียกรูปร่างสัณฐานนั้นว่า โต๊ะบ้าง เก้าอี้บ้าง ดอกไม้บ้าง คนบ้าง หรืออะไรก็ตามแต่ แต่เปลี่ยนแข็งไม่ได้ นี่คือก่อนฟังธรรมไม่ได้รู้อย่างนี้เลย แต่เมื่อฟังธรรมแล้วก็ยังกระทบแข็งต่อไป ถูกต้องไหม แล้วกระทบแข็งด้วยความเข้าใจหรือเปล่าว่า เป็นเพียงธาตุที่เกิดขึ้นแล้วดับไป ตามที่ได้ฟังก็ยังไม่เกิด บังคับให้เกิดก็ไม่ได้ แต่ถึงเวลาพร้อมที่จะรู้ ขณะนั้นก็รู้ได้ทันทีเลย

    เพราะฉะนั้น ขณะนั้นไม่ใช่เราตอนที่ไม่รู้ ที่เข้าใจว่าเป็นเราที่ไม่รู้ แล้วไม่ใช่เราที่กำลังเข้าใจ เป็นธรรมทั้งหมดเลยแม้แต่ขณะนั้น ได้ยินคำว่าสติบ่อยๆ แต่ไม่รู้จักตัวสติ อาจจะได้ยินคำอธิบายว่า สติ คืออะไร แต่ลักษณะของสติมีหลายขั้น

    ขณะที่ฟังนี้ ต้องมีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วยกับขณะที่เข้าใจ จิตหนึ่งขณะจะประกอบด้วยเจตสิกหลายประเภท อย่างน้อยที่สุด ๗ อย่างมากเท่าไหร่ คุณธิดารัตน์

    อ.ธิดารัตน์ ถ้าเป็นกุศลมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย โดยพื้นเลยก็ ๑๙ ประเภท โสภณสาธารณะ แล้วยังมีเจตสิกที่เป็นอัญญสมานาเจตสิกอีก ๑๓ มากไหม ซึ่งยังไม่ได้ประกอบด้วยปัญญา ถ้าประกอบด้วยปัญญาก็เพิ่มอีก หรือขณะที่เป็นไปในกรุณา ก็เพิ่มกรุณาเจตสิก

    กุศลจะมีเจตสิกเกิดมากกว่าอกุศล ถ้าอกุศล ขณะที่มีความติดข้องอย่างเดียว พอใจในรูปเสียงกลิ่นรส แต่ในขณะที่มีความยึดถือว่าสิ่งนั้นเที่ยง เป็นคน เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ต้องเพิ่มเจตสิกที่เป็นความเห็นผิดเข้าไป

    เพราะฉะนั้น ลักษณะของกิเลสที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันจึงมีหลากหลาย เพราะว่าต้องมีธรรมที่เป็นเจตสิกซึ่งเกิดพร้อมกับจิต ทำให้จิตนั้นเป็นไปตามฝ่ายไม่ดีเพราะมีกิเลส หรือว่า มีเจตสิกฝ่ายไม่ดีไปเกิด ถ้ามีเจตสิกที่เป็นฝ่ายดี หรือว่าโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย จิตนั้นก็เป็นจิตที่ดีงาม

    ท่านอาจารย์ ที่พูดมา ที่ฟังมา เดี๋ยวนี้หรือเปล่า ธรรม คือ เดี๋ยวนี้ทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะพูดอะไรก็คือเดี๋ยวนี้เอง แต่ไม่เคยรู้มาก่อน ต่อเมื่อสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็รู้ความจริงของสิ่งที่มี ไม่ใช่ไม่มี เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีทั้งหมดก็เป็นธรรมที่เราได้ยินได้ฟังเมื่อครู่นี้ เมื่อไหร่ๆ ก็เป็นธรรมทั้งนั้น ไม่ต้องเดือดร้อน คิด ไม่รู้ต่างหากว่าเป็นธรรม จึงวุ่นวายว่าจะคิดอย่างไรดี จะทำอย่างไรดี แต่ขณะนั้นก็คือธรรมทั้งหมดเลย

    เพราะฉะนั้น กว่าจะเป็นธรรมทั้งหมดด้วยความเข้าใจที่มั่นคง เป็นสัจจญาณก่อน ปัญญาอีกขั้นหนึ่งคือ ปฏิปัตติ สามารถที่จะรู้ตรงลักษณะที่ปรากฏตามที่ได้ฟัง และเข้าใจแล้วจึงจะเกิดขึ้นได้ ไม่ใช่ให้ไปทำอะไร ปฏิบัติไม่ใช่ไปทำอะไร แต่ว่าปัญญาที่อบรมแล้วถึงระดับขั้นที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ตรงทีละหนึ่ง ตามความเป็นจริง

    ผู้ฟัง ที่บอกว่า ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา บังคับไม่ได้ คือตอนฟังครั้งแรกๆ ก็จะสับสนว่า คำว่าบังคับไม่ได้คืออะไร อย่างบางทีเราบังคับให้จะหยิบ จะจับอะไรได้ แล้วเมื่อฟังไป เหมือนกับถ้าเราพิจารณาว่า ไม่ใช่ตัวเราบังคับให้เราหยิบนั่น หยิบนี่ แต่ว่าสิ่งที่จะต้องมองว่าบังคับไม่ได้ นี่คือ มองให้ละเอียดลงไปถึงว่าเป็นธาตุ ที่เราบังคับให้เกิดแบบนั้นแบบนี้ไม่ได้ หรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ คือ ธรรม ไม่ใช่ให้ใครไปทำ แต่ให้เข้าใจถูกต้อง เพราะส่วนใหญ่เมื่อเริ่มฟังธรรมเเล้วก็จะทำอย่างไร เรา มาแล้ว เราจะทำอย่างไร ใช่ไหม แต่ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ทั้งหมดเป็นธรรม คือ แต่ละคำต้องลึกซึ้งจริงๆ ว่า ไม่เว้นเลยสักอย่างเดียว ถ้าไม่มีจิต มือยกขึ้นได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แล้วไหนที่เราบังคับ ค่อยๆ พิจารณา ก็จะเห็นความจริงทั้งหมดว่าบังคับอะไรไม่ได้ บังคับให้จิตไม่เกิด ได้ไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ บังคับให้จิตเกิด ได้ไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ จิตเกิดตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้น ก็มีความเข้าใจมั่นคงในความเป็นอนัตตา เพราะไม่มีใคร แต่เป็นความเป็นไปของธรรม ธรรมดา มาจากคำว่า ธรรม กับ ตา ความเป็นไปของธรรมก็ต้องเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าใครจะไปบังคับ หรือว่าจะไปเปลี่ยนแปลง

    ผู้ฟัง ก็ต้องมองละเอียดมาก

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ต้องมอง ไม่ใช่เราต้องไปมอง เข้าใจคำที่ได้ฟัง เข้าใจเป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เข้าใจไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ ต้องอย่างนั้นเลย หมายความว่าทุกอย่าง เข้าใจก็ไม่ใช่เรา ไม่เข้าใจก็ไม่ใช่เรา แล้วความจริงเป็นอย่างนั้น วันหนึ่งจะรู้จริงๆ อย่างนั้นเมื่อมีความมั่นคง แต่ถ้ายังคงเป็นเราอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่มีทางเลย

    เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจแม้แต่คำที่ว่า สิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ใครเลย แต่เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งเป็นธาตุ ซึ่งทรงไว้ซึ่งภาวะของตนๆ ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ความจริงต้องเริ่มตั้งแต่ต้นจึงจะมั่นคงขึ้น

    ผู้ฟัง ขอบคุณ

    ท่านอาจารย์ จะคิดอะไรก็ไม่ห่วงแล้วใช่ไหม

    ผู้ฟัง ก็ยังต้องมีห่วงอยู่

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อน ห่วงเป็นธรรมหรือไม่

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้ ทั้งหมดเพราะไม่รู้ เพราะห้ามไม่ให้คิดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะคิดแล้ว ถ้ามีความเข้าใจธรรมแล้ว ทุกอย่างเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วทั้งนั้น เพราะฉะนั้นก็คือว่า เป็นอย่างที่เคยเป็น แต่ว่ามีความเข้าใจที่ถูกต้องเพิ่มขึ้นจากการที่ไม่เคยรู้เลยว่า ขณะนั้นเป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ

    เพราะฉะนั้น ชีวิตก็เป็นปกติ ตามเหตุตามปัจจัยเหมือนเดิม แล้วแต่ว่าใครสะสมมาที่จะคิดอย่างไร ที่จะทำอย่างไร ก็ไม่มีการที่จะไปกั้น ไปห้าม ไปเปลี่ยนแปลง เพราะทุกอย่างที่เกิดเป็นเพราะเหตุปัจจัยทั้งหมด ละเอียดขึ้นว่าเป็นธรรม

    ผู้ฟัง ตอนที่มีคนพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับขันธ์ ๕ มีอุปาทานเกี่ยวกับขันธ์อะไรบ้าง อาจารย์ก็ตอบว่าทุกขันธ์ แล้วช่วงหลังก็มาสรุปว่าเป็นขันธ์ ๕

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นเรื่องที่ต้องฟังละเอียด พิจารณาไตร่ตรองละเอียด ถ้าเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นคำอะไร เราก็สามารถที่จะเข้าใจได้ ณ บัดนี้เรารู้แล้วใช่ไหมว่า ธรรม มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ทั้งหมดเลยที่เกิดขึ้นต้องดับ สิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งนั้น เป็นจิตประเภทต่างๆ เป็นเจตสิกประเภทต่างๆ เป็นรูป อะไรก็ตาม เกิดขึ้น มีภาวะของตนแล้วก็ดับไป ทั้งหมดนี้คือ ขันธ์

    เพราะฉะนั้น แทนที่จะกล่าวถึงธรรมเท่านั้น หรือธาตุเท่านั้น เราก็เพิ่มความเข้าใจว่า สิ่งนั้นๆ ไม่เที่ยงเลย เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป พอที่จะปลงใจตามไหมว่าไม่มีสาระ แต่ว่าเพราะยึดมั่น ไม่รู้ เราก็มีความติดข้องในทุกขันธ์ ถูกต้องไหม ในทุกขันธ์ แต่เมื่อเป็นในทุกขันธ์แล้ว เพื่อที่จะให้รู้ว่าขันธ์ไหนที่สำคัญ ที่เรายึดมั่นโดยเราไม่รู้เลย เกิดมาก็มีจิต มีเจตสิก มีรูป รูปก็เป็นรูปขันธ์ จิตก็เป็นขันธ์ เจตสิกก็เป็นขันธ์ ต่างกันไหม ๓ ขันธ์ นี่คือการที่เราสนทนากัน เราก็จะมีการสอบถามเพื่อจะดูว่า ความเข้าใจนั้นมั่นคงไหม

    อย่างคนที่ได้ยินมาว่า ขันธ์ ๕ อุปาทานขันธ์ ๕ แล้วก็พูดชื่อได้ใช่ไหม รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ทุกคนรู้ว่าติดข้องในขันธ์ ๕

    เพราะฉะนั้น คำถามที่ถามเพื่อจะให้คิดก็คือว่า ติดข้องในขันธ์อะไร คือ ได้ยินแล้วว่าติดข้องในขันธ์ ๕ แต่ก็ยังถามว่าติดข้องในขันธ์อะไร แต่ละหนึ่งคนติดข้องในขันธ์อะไร ถ้าตอบว่ารวมๆ ก็บอกว่าในขันธ์ ๕ อย่างที่เคยได้ฟัง แต่ถ้าจะตอบก็ตอบได้หลายอย่าง ติดข้องในทุกขันธ์ ใช่ไหม

    แต่ทำไมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงจำแนกขันธ์ เป็นอุปาทานขันธ์ ๕ ตามความยึดมั่นอย่างมั่นคง เพราะว่าโลกนี้เต็มไปด้วยรูป เกิดมาก็มีเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เป็นรูป สิ่งที่ปรากฏไม่รู้อะไร ไม่ใช่สภาพรู้แต่มีจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีความติดข้องในรูป

    ถ้าทุกคนรู้อย่างนี้แล้ว ถามว่า ความติดข้องเป็นขันธ์อะไร ก็มีโอกาสจะถามได้ใช่ไหม แทนที่จะพูดเรื่องขันธ์ตามลำดับไป ก็เปลี่ยนเป็น ติดข้องในขันธ์อะไร ความติดข้องเป็นขันธ์อะไร เพราะว่าส่วนใหญ่เราจำแค่ชื่อ ขันธ์ ๕ ไม่มีใครตอบไม่ได้ ทุกคนตอบได้ รูปขันธ์หนึ่ง เวทนาขันธ์หนึ่ง สัญญาขันธ์หนึ่ง สังขารขันธ์หนึ่ง วิญญาณขันธ์หนึ่ง แต่ถ้าถามว่า ความติดข้องเป็นขันธ์อะไร

    ผู้ฟัง อุปาทานขันธ์

    ท่านอาจารย์ อุปาทานขันธ์ หมายความว่า อุปาทานเป็นความยึดมั่นในขันธ์ทั้งหมด ตัวอุปาทานก็เป็นธรรม ขันธ์ก็เป็นธรรม อุปาทาน คือ ความยึดมั่น เป็นโลภะที่ติดข้องในขันธ์ทุกขันธ์ เพราะฉะนั้น ถามว่าขณะที่กำลังติดข้อง ความติดข้องเป็นขันธ์อะไร สภาพที่ติดข้องนั้นเป็นขันธ์อะไร จะได้ไม่จำเพียงแค่ชื่อ เพราะว่าถ้าถามชื่อใครๆ ก็ตอบได้

    แต่ถ้าถามเพื่อจะให้รู้ว่าเข้าใจมากน้อยแค่ไหน ก็เปลี่ยนคำถามสำหรับให้คิดได้ ถ้าเข้าใจอย่างมั่นคงก็ตอบได้ทันทีเลย เพราะเข้าใจแล้วว่ารูปทุกรูป ไม่ว่ารูปอะไรทั้งหมดเป็นรูปขันธ์ ติดข้องในรูปขันธ์แน่นอน แสวงหารูปขันธ์แน่นอน เพื่อความสุขใช่ไหม เวทนาขันธ์ ถ้าแสวงหาได้มาแล้วไม่สุขคงไม่ต้องการ ไม่ต้องแสวงหา

    ดังนั้น ความรู้สึกเป็นขันธ์ที่สำคัญที่ทุกคนแสวงหา และติดข้องอย่างยิ่ง เพราะเป็นที่ติดข้องอย่างยิ่งจึงเป็นขันธ์หนึ่งในขันธ์ ๕ เป็นเวทนาขันธ์ แล้วก็สภาพที่จำได้ว่า ความรู้สึกที่เป็นสุขเป็นอย่างนี้ แล้วสิ่งที่จะนำมาซึ่งความรู้สึกที่เป็นสุข ได้แก่อะไรบ้าง

    เพราะฉะนั้น สัญญาเจตสิก สภาพจำ ก็เป็นขันธ์ที่ยึดมั่นอย่างยิ่งว่าเป็นเรา ที่มีความต้องการสิ่งต่างๆ ด้วยความจำ เพราะรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้นก็ต้องการอย่างนั้น ก็เป็นสัญญาขันธ์ เจตสิกทั้งหมดมี ๕๒ ประเภท

    เมื่อเวทนาเจตสิกหนึ่ง เป็นเวทนาขันธ์ สำคัญใช่ไหม สัญญาเจตสิกหนึ่ง ก็เป็นสัญญาขันธ์ สำคัญมากใช่ไหม เพราะอะไร เดี๋ยวนี้กำลังจำ ไม่มีใครรู้เลยว่ายึดถือความจำว่า เป็นเรา จึงยึดถือขันธ์ทั้ง ๕ ว่าเป็นเรา เป็นอุปาทานขันธ์ ซึ่งเจตสิกที่เหลืออีก ๕๐ แล้วแต่ว่าจะเกิดปรากฏ เมื่อไหร่ที่เป็นความยึดมั่นอย่างสำคัญก็รวมเป็นสังขารขันธ์ ให้เห็นชัดๆ ว่ากำลังติดข้องยึดมั่นในสิ่งนั้น และธาตุรู้ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธาน เดี๋ยวนี้เกิดดับอยู่ตลอดเวลา กำลังเห็นก็คือจิต กำลังคิดก็คือจิต ไม่ใช่เจตสิก ก็เป็นวิญญาณขันธ์

    เพราะฉะนั้น จำแนกขันธ์ ๕ โดยความเป็นปรมัตถธรรม ได้แก่ รูปขันธ์ เป็นรูปปรมัตถ์ แล้วก็เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ เป็นนามปรมัตถก็เป็นเจตสิก และจิตก็เป็นวิญญาณขันธ์ ก็เป็นจิต เจตสิกรูป เท่านั้นเอง

    แต่ถ้าเราจะสนทนากันเรื่องขันธ์ ๕ ให้มีความเข้าใจ แล้วอาจจะซักถามกันไป เพื่อที่จะสอบทานดูว่ามีความเข้าใจมั่นคงแค่ไหน เช่น ขณะที่กำลังติดข้อง สภาพที่ติดข้องเป็นขันธ์อะไร เมื่อครู่ขันธ์ ๕ ครบไปหมดเลย ตอนนี้กำลังติดข้อง สภาพที่ติดข้องเป็นขันธ์อะไร

    ผู้ฟัง อยู่ในกลุ่มของสังขารขันธ์

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่กลุ่มเลย หนึ่งคือเป็นขันธ์เเล้ว ที่โดยมากคนจะแปลว่าขันธ์ คือ กอง ใช่ไหม เขาก็เป็นนับว่ามีเท่าไหร่ๆ แต่ความจริงแต่ละหนึ่งนั้นเป็นแต่ละขันธ์ มารวมกันก็เป็นขันธ์เพราะรวมกันแล้ว แต่ถ้าไม่มีแต่ละหนึ่งก็ไม่มี แต่เวลาที่รวมหมายความว่าเป็นประเภทนั้นๆ เช่น เจตสิกนี้เป็นประเภทไหนในขันธ์ ๕

    เวลาที่ถามว่ากำลังติดข้องเป็นขันธ์อะไร เป็นสังขารขันธ์ แต่ไม่ได้หมายความว่าเพื่อเราจะไปจำ แต่เพื่อรู้ว่า แม้ความติดข้องขณะนั้นก็ปรุงแต่ง ให้มีการรู้สึกที่จะแสวงหาสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ก็เป็นหน้าที่ของเจตสิก ๕๐ คือ ให้เข้าใจคร่าวๆ แต่มั่นคงว่า ทั้งหมดเป็นขันธ์ คนหนึ่งๆ มีกี่ขันธ์ ครบเลยทั้ง ๕ ขันธ์

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่คนใช่ไหม ขันธ์ ๕ ต่างหาก ที่เข้าใจว่าเป็นเราก็คือ ขันธ์ ๕ พวกนี้ ก็คือพูดถึงสิ่งที่มีให้ไม่ลืมเท่านั้นเอง เพราะส่วนใหญ่ก็จำว่าเป็นเราแน่นหนา มั่นคงมาก ก็ค่อยๆ สนทนาไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง สมมติว่าเราให้ความสำคัญกับเจตสิกเวทนา กับ สัญญา มากกว่าเจตสิกที่เหลือ ตรงนี้หมายความว่าที่มาอยู่ในขันธ์ ๕ แล้วเรา..

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เราให้ความสำคัญ แต่ความรู้สึกสำคัญไหม ไม่ต้องไปให้ความสำคัญ เวทนาความรู้สึกสำคัญไหม

    ผู้ฟัง สำคัญ

    ท่านอาจารย์ เพราะทุกคนแสวงหาความสุขใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็แสวงหาสุขเวทนา สำคัญไหม

    ผู้ฟัง สำคัญ ส่วนสัญญา คืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่จำไว้ก็ไม่มีความหมายเลย ไม่ต้องไปแสวงหาอะไร แต่เพราะจำ ใช่ไหม จำว่าสุขอย่างนี้เกิดจากอะไร แม้แต่อาหารรสต่างๆ สัญญาก็จำแล้ว รสไหนนำความสุขมาให้ เพราะจำ ถ้าไม่จำก็ไม่เดือดร้อนเลย

    แต่ที่สำคัญก็คือว่า ตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริงของขันธ์ทั้ง ๕ ตราบนั้นไม่สามารถที่จะละความเป็นเราได้ ง่ายๆ เผินๆ ไปสำนักปฏิบัติ ไปนั่งทำอะไรแล้วก็จะไปรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นไปไม่ได้ หรือแม้แต่จะเข้าใจธรรมก็เป็นไปไม่ได้

    ผู้ฟัง สำหรับชีวิตของคนทำงาน การที่จะเริ่มเข้าใจพระธรรม แต่เมื่อมาฟังเรื่องจิต เจตสิก แล้วเขาไม่เข้าใจ อย่างมีเพื่อนเคยบอกว่าเขาไม่สนใจพระธรรม เพราะว่าเขาทำดีทุกวัน แล้วก็ไม่เคยทำความเดือดร้อนให้ใคร

    ท่านอาจารย์ เขาอยากได้อะไร

    ผู้ฟัง เขาไม่อยากได้ ไม่อยากฟังพระธรรม เพราะว่าเขาบอกว่าอย่างที่เธอฟังคือสูงเเละยาก

    ท่านอาจารย์ ธรรมต้องคิด ต้องไตร่ตรอง ทุกคำละเอียดมาก อยากได้อะไร อยากได้อย่างอื่นทั้งหมดนอกจากเข้าใจธรรม เพราะถ้าจะเข้าใจธรรมต้องรู้ว่าธรรมไม่ง่าย คนที่มาเพราะคิดว่าธรรมง่ายก็ฟังไม่รู้เรื่อง ใช่ไหม เพราะคิดว่าธรรมง่าย ให้ทำดี ละชั่ว อย่าทำอย่างนั้นอย่างนี้ เข้าใจว่าเป็นธรรม แต่ความจริงเขาไม่รู้จักธรรม อย่างคำถามแรกเราต้องไตร่ตรอง ไม่ใช่ว่าเราต้องการอย่างอื่น แล้วเราก็ไม่รู้ว่าคำถามนี้ถามว่าอะไร

    ถ้าถามว่า เขารู้จักธรรมไหม ต้องตรงที่จะตอบว่า รู้จักหรือไม่รู้จัก จึงจะเป็นการเริ่มด้วยความจริงใจที่จะรู้ว่าต้องการอะไร ต้องการเข้าใจธรรม หรือว่าต้องการอย่างอื่น ความสุขชั่วคราว หรือว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เป็นคนดี เกิดมาแล้วก็มีทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็จากโลกนี้ไป

    เพราะฉะนั้น คนที่จะเข้าใจธรรมไม่ใช่ว่ามีมาก เพราะเหตุว่า ทั้งโลกคิดว่าอย่างอื่นมีประโยชน์ และสำคัญกว่าธรรม จึงไม่รู้ค่าของธรรมเลย เพราะไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร แล้วมีประโยชน์อย่างไร ดังนั้นจะชักชวนใครให้ฟังธรรมจึงยาก แม้แต่ตัวคนที่ไม่สนใจธรรม เพราะไม่ได้สะสมมาที่จะเห็นประโยชน์ ก็ยากที่จะชักชวนตัวเอง หรือพยายามตั้งใจฟังธรรมก็ไม่ได้ เขาไปฟังธรรมกัน แต่ว่าเราไม่ได้สะสมมาที่จะเข้าใจธรรม ตามเขาไปแล้วเราเข้าใจไหม ในเมื่อเราไม่ได้สะสมมาที่จะเข้าใจธรรม หรือเห็นประโยชน์ของธรรม

    ก่อนอื่น ไม่ใช่ว่าเราจะให้ทุกคนได้เข้าใจธรรม เพราะเขาอาจจะไม่ต้องการก็ได้ เขาต้องการอย่างอื่น ชวนไปเที่ยว ไปไหม

    ผู้ฟัง ชวนง่าย หรือชวนไปปฏิบัติธรรมก็ง่าย เพราะเขาคิดว่าเขาไปแล้วเขาได้ประโยชน์ ได้บุญ

    ท่านอาจารย์ ต้องเป็นคนที่ตรงที่ต้องรู้จักทุกคำ เข้าใจทุกคำเพื่อไม่ถูกลวงให้คิดว่ารู้แล้ว ไม่มีใครรู้ธรรมแล้วได้เลย นอกจากคนที่เริ่มเข้าใจว่า ธรรมคืออะไร แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม ก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นธรรม เป็นได้อย่างไร ดอกไม้เป็นธรรมหรือ โต๊ะเก้าอี้เป็นธรรมหรือ เหมือนกับว่าธรรมไม่ใช่สิ่งเหล่านี้เลย เเต่ธรรม คือทุกสิ่งที่มีจริง แค่นี้รู้เรื่องไหม ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม แค่นี้ ไม่ได้พูดคำอื่นเลย

    พูดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีที่ปรากฏ เป็นธรรมทั้งหมดเลย ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเป็นธรรม คิดว่าเป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่เมื่อบอกว่าเป็นธรรมเพราะมีจริง มีคำอธิบายด้วยว่าทำไมเป็นธรรม เพราะมีจริงๆ ภาษาบาลีไม่มีคำว่า มีจริงๆ แต่มีคำว่า ธรรม หมายความถึงสิ่งที่มีจริง อะไรก็ได้ ขณะนี้มีเห็นไหม เห็นจริงหรือเปล่า

    เพราะฉะนั้น แทนที่จะบอกเพียงแค่ในภาษาไทยว่า เห็นมีจริง อีกภาษาหนึ่งก็คือ เห็นเป็นธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ถ้าธรรมไม่ใช่สิ่งที่มีจริงแล้วจะมีธรรมไหม ก็ไม่มี แต่ว่าสิ่งที่มีจริงนั่นเองเป็นธรรม แค่นี้ ค่อยๆ ไปทีละคำ แล้วจะรู้ตัวเองว่าเขาฟังธรรม เขาฟังอะไร เข้าใจอะไร

    แต่คนที่บอกว่าไม่ฟังธรรมก็จะไม่รู้จักธรรมเลย หรือฟังแล้วถ้าไม่ไตร่ตรอง ไม่เริ่มเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยให้ตรงว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ลองถามคนอื่นว่าธรรมคืออะไร ถ้ารู้ เขาจะต้องตอบว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง แต่ถ้าคนไม่รู้จะตอบไปหลายอย่างว่า ธรรมคืออะไร คือโน่น คือนี่ คือนั่น แต่ไม่ได้พูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ว่าเป็นสิ่งซึ่งใครก็ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง รู้แต่เพียงว่ามี แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร

    แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง สำหรับเขาอาจจะไม่มีความหมายเลย จะต้องรู้ทำไม เห็นก็เห็นไป ได้ยินก็ได้ยินไป อยู่ก็อยู่ไป ตายก็ตายไป ไม่มีความหมายอะไรเลย แต่ว่าถ้าคนที่ได้ฟังคำแล้วก็คิดว่าระหว่าง ไม่รู้ กับ รู้ อะไรดี แค่นี้ คำตอบก็สำหรับคนที่บอกว่ารู้ดีกว่า ใช่ไหม

    แต่ถ้าถามใครว่า รู้ กับ ไม่รู้ อะไรดี ต้องเป็นคนตรง ถ้าตรงแล้วจะตอบว่าอย่างไร ธรรมต้องเป็นไปตามความละเอียดอย่างยิ่งทีละเล็กทีละน้อย ตั้งแต่เริ่มว่า รู้ ดีหรือไม่ดี

    ผู้ฟัง รู้ย่อมดีกว่า

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น รู้อะไร

    ผู้ฟัง รู้ความจริง

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้อะไรจริง

    ผู้ฟัง เห็นมีจริง ได้ยินมีจริง

    ท่านอาจารย์ รู้เรื่องเห็นหรือยัง รู้ความจริงของเห็นหรือยัง

    ผู้ฟัง ก็ต้องค่อยๆ ศึกษา และค่อยๆ ฟังไป

    ท่านอาจารย์ บางคนก็ไม่สนใจเลย พอเท่านี้ก็ไม่สนใจแล้ว เห็นธรรมดา ได้ยินธรรมดา จะต้องรู้อะไร แต่คนที่เฉลียวใจ รู้ กับ ไม่รู้ อะไรดีกว่ากัน แล้วเห็นก็มี ไม่ใช่ว่าไม่มีเห็น มีเห็นแต่ไม่รู้ว่าเห็นคืออะไร กับมีเห็น แล้วรู้จริงๆ ว่าเห็นคืออะไร อะไรจะดีกว่ากัน

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 181
    1 ส.ค. 2568