ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1022
ตอนที่ ๑๐๒๒
สนทนาธรรม ที่ นิกันติ กอล์ฟคลับ จ.นครปฐม
วันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ เพราะเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว ถ้าเพียงแค่นิดเดียวเกิดแล้วดับไปจะไม่มีอะไรเลยใช่ไหม แต่เกิดซ้ำบ่อยจนกระทั่งรูปร่างสัณฐาน ทำให้มีสภาพธรรมที่จำ พูดถึงอะไรก็คือธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้นจำเคยเป็นเราจำ แต่พอฟังธรรมเริ่มมีความเห็นถูกต้องว่าจำไม่ใช่เรา จำมีจริง จำเป็นธรรมเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป ถ้าเห็นทางตาก็จำสิ่งที่ปรากฏทางตา ถ้าเป็นทางหู จำเสียงที่ปรากฏใช่ไหม ภาษาอะไรยังรู้เลย ใช่ไหม ใครพูดภาษาอังกฤษ ใครพูดภาษาจีน ใครพูดภาษาญี่ปุ่น แต่ละภาษาเพราะสัณฐาน ถ้าจะใช้ ไม่ใช่รูปร่างที่ปรากฏทางตา แต่เป็นความสูงต่ำหลากหลายของที่เราใช้คำว่าสุ้มเสียงไม่เหมือนกันเลย คล้ายกันมากเลย บางทีบางคำคล้ายกัน แต่ออกเสียงยากมาก ถ้าเราไม่ใช่คนชาตินั้นจริงๆ เราอาจจะพูดเสียงที่เขาออก แต่พูดอย่างเขาไม่ได้ อย่างบางภาษาจะมีลมหายใจ ภาษาฮอลแลนด์ ภาษาดัตช์ อะไรพวกนี้ เขาก็จะมีลมหายใจหรือภาษาอื่นอีกก็แล้วแต่ นี่ก็เป็นความวิจิตรที่หลากหลายมาก แต่ข้อสำคัญคือสิ่งนั้นเกิดแล้วดับแล้ว ไม่กลับมาอีกสักอย่างเดียว นี่คือความที่เป็นไปต้องเป็นต้องไปทุกขณะ โดยที่ใครก็ยับยั้งไม่ได้ เพราะว่ามีเหตุที่จะให้เกิดขึ้นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นฟังอย่างนี้ก็ไม่เหมือนฟังอย่างอื่นใช่ไหม แต่ว่าฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงตั้งแต่เกิดจนตาย ซึ่งถูกปกปิดไว้ จนกว่าจะเปิดเผยให้เข้าใจถูกต้อง เมื่อได้ฟังแต่ละคำด้วยการพิจารณาไตร่ตรอง เกิดมาครั้งแรก ไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน แต่มีธาตุรู้เกิด ขณะนั้นโลกไม่ปรากฏ แต่คำว่าโลกหมายความถึงสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นและดับไป เพราะฉะนั้นขณะแรกของชาตินี้มีไหม ลองคิดดู ขณะแรกของการเกิดมาเป็นคนนี้ชาตินี้มีไหม คำตอบไม่ยากใช่ไหม ต้องมีแน่นอน ถ้าไม่มีแล้วจะมีเดี๋ยวนี้ได้อย่างไรใช่ไหม แต่การฟังธรรม ทำให้เราไม่ประมาท เราเลยต้องคิด ไม่เช่นนั้นเราจะตอบก็ผิดผิดถูกถูก แต่ว่าถ้าเราคิดไตร่ตรอง เราก็ตอบได้ เพราะความจริงไม่เปลี่ยน เกิดมาหนึ่งขณะแรก เห็นหรือเปล่า ได้ยินหรือเปล่า ได้กลิ่นหรือเปล่า ลิ้มรสหรือเปล่า รู้สิ่งที่กระทบเย็นร้อนอ่อนแข็งหรือเปล่า คิดนึกหรือเปล่า ใครจะตอบได้ แต่ค่อยๆ คิดตอบได้ แต่ต้องเพราะมีการได้ฟังด้วย
ถ้าไม่ได้ฟังอย่างไรก็คิดไม่ออก เพราะ ๖ โลก แต่ขณะแรกที่เกิด การเกิดของจิตนั้นเป็นโลก ตัวสภาพธรรมที่เกิดดับเป็นโลก ต้องมีจิตธาตุรู้ ถ้าไม่มีธาตุรู้จะไม่มีการมีชีวิตต่อมาได้เลยสักขณะเดียว แต่ว่าทำไมมีคำว่าทางหรือมีคำว่าทวาร เพราะเหตุว่าขณะแรกที่เกิด ไม่ให้เกิดได้ไหม ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา มีเหตุจึงทำให้เกิดใช่ไหม เกิดมาขณะแรกยังไม่มีอะไรที่จะแสดงความหลากหลายว่า เป็นคนหรือเป็นสัตว์ แต่ว่าเพราะสภาพธรรมทุกอย่างไม่เว้นเลยสักอย่างเดียวที่เกิด มีความละเอียดอย่างยิ่งของปัจจัยที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้นเป็นไป สะสมมาแต่ละหนึ่งขณะ ขณะต่อไปไม่ใช่ขณะนั้นแล้ว ขณะต่อไปก็ไม่ใช่ขณะที่สืบๆ ต่อกันมาแล้ว แต่ละหนึ่งขณะก็เพิ่มความวิจิตรขึ้นเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นขณะแรกที่สุด ไม่เห็นหนึ่งทางแล้ว ไม่ได้ยินหนึ่งทางแล้ว ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก ๖ ทาง ยังไม่มีปรากฏ เพราะฉะนั้นโลกจึงไม่ปรากฏ แต่มีธาตุรู้แล้ว ธาตุรู้นั้นมาจากไหน สืบต่อมาไม่ต้องไปคิด นานเท่าใด แล้วก็เลือกไม่ได้ด้วย แต่ให้ทราบไว้ ผลของกรรมที่ได้กระทำแล้วให้ผลในขณะแรกที่เกิดขึ้นตามผลของกรรมว่า จะเกิดเป็นคนหรือจะเกิดเป็นสัตว์ รูปร่างต่างๆ กัน ตั้งแต่ไม่มีขาเลยจนกระทั่งมีขามากมายก็ได้ ไม่มีใครทำเลย ทั้งหมดเป็นเรื่องของเหตุและผล คือเรื่องของกรรมและผลของกรรม
เพราะฉะนั้นเราเคยพูดเรื่องกรรมใช่ไหม แล้วก็พูดเรื่องวิบากกันด้วย แต่ก็ไม่รู้เมื่อไหร่ บางคนก็อาจจะบอกเดี๋ยวนี้ไม่ได้รับผลของกรรม เพราะไม่รู้ แต่ผลของกรรมตั้งแต่ขณะแรกที่เกิด ต้องไม่ลืมสักคำเดียวที่ได้ฟัง สภาพธรรมเกิดขึ้นแล้วดับไป ใครเปลี่ยนได้ไหม ไม่ได้ แต่ไม่รู้ แต่เริ่มเข้าใจ เพราะฉะนั้นขณะแรกคือธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้น เราใช้คำว่าจิต ใช้คำว่าวิญญาณก็ได้ ใช้คำว่ามโนก็ได้ ใช้คำว่ามนัสก็ได้ ใช้คำภาษาอื่นก็ได้ แต่ก็หมายความถึงธาตุรู้ มีธาตุรู้เกิดขึ้น แล้วแต่ว่าธาตุรู้นั้นจะทำให้เป็นผลของกรรมที่จะทำให้รูปร่างเป็นอย่างไร ทำให้เป็นรูปร่างเป็นคนก็ได้ ผลของกรรมทำให้เป็นคนรูปร่างต่างๆ กัน เมื่อเติบโตขึ้นรูปร่างก็ค่อยๆ ปรากฏในความหลากหลายของกรรมที่ได้ทำแล้ว ทำให้เกิดเป็นสัตว์ก็ได้ สัตว์ในน้ำก็มี สัตว์บนบกก็มี ใครทำให้เป็นอย่างนั้น กรรมที่ได้ทำแล้วทั้งหมด
เพราะฉะนั้นพอพูดถึงว่ากรรมและผลของกรรม ต้องละเอียดตั้งแต่คืออะไรและเมื่อใด อย่างขณะนี้ยังไม่ละเอียดพอเลย เพียงแค่พูดคร่าวๆ ให้รู้ว่าความจริง เริ่มอย่างนี้เป็นอย่างนี้ แต่ถ้าละเอียดอย่างยิ่งต้องเป็นอภิธรรม แต่ขณะนี้ก็เป็นธรรม แล้วก็เป็นอภิธรรมด้วย แต่เรายังไม่ได้กล่าวถึงอภิจริงๆ คือต้องละเอียดอย่างยิ่งทีละหนึ่ง เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ทุกคำเราจะเข้าใจชัดเจนขึ้น คำที่เราเคยพูดแล้วเช่นกรรม คำที่เราเคยได้ยินบ่อยๆ คือผลของกรรม เมื่อกรรมซึ่งเป็นเหตุมี ก็ต้องเป็นปัจจัยที่จะทำให้ผลเกิดขึ้น ผลของกรรมคือวิปากะเป็นธาตุรู้ ซึ่งต้องรู้เกิดขึ้นเป็นผลของกรรมตั้งแต่ขณะแรก ถ้าผลของกรรมให้ผลเพียงแค่เกิดมาแล้วไม่เห็นอะไรไม่ได้ยินอะไรเลย จะเป็นผลของกรรมไหม ไม่รู้สึกตัวเลยขณะแรกที่เกิด แต่ธาตุรู้เกิดแล้วเพราะผลของกรรม ผลของกรรมสามารถทำให้เกิดธาตุรู้ ซึ่งขณะนั้นไม่ปรากฏว่ารู้อะไร จริงหรือเปล่า เห็นไหม ผลของกรรมสามารถที่จะทำให้ธาตุรู้เกิดขึ้นขณะแรก โดยขณะนั้นยังไม่รู้ว่ารู้อะไร ไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่ได้กลิ่น ต่อมาเมื่อถึงกาลที่สมควร ที่รูปใดจะเกิด ตาหูจมูกลิ้นกาย เราคงไม่ไปพูดให้ละเอียดในตอนต้นว่าอะไรเกิดก่อนเกิดหลังอย่างไร แต่ให้ทราบว่าทรงแสดงไว้ทั้งหมดตามความเป็นจริง แต่ว่าเกิดก็ไม่รู้ใช่ไหม นอนหลับรู้ไหม ใครหลับบ้าง เดี๋ยวนี้หล้บหรือเปล่า แต่ว่าเมื่อคืนนี้หลับหรือเปล่าใช่ไหม ตอนหลับรู้อะไรบ้าง ไฟไหม้ ของตกแตก ขโมยเข้าบ้านหรืออะไรก็แล้วแต่ ใครรู้ กำลังหลับสนิท
ผู้ฟัง ไม่มีใครรู้
ท่านอาจารย์ แต่หลับมีไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ เห็นไหม เพราะฉะนั้นมีธาตุรู้ซึ่งไม่ปรากฏว่ารู้อะไร นั่นคือผลของกรรมที่ทำให้มีธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้น แต่สิ่งที่ถูกรู้ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นมี ๓ ขณะ ในชาติหนึ่งชาติหนึ่ง ซึ่งโลกทางตาหูจมูกลิ้นกายใจไม่ได้ปรากฏ แม้ว่ามีธาตุรู้ซึ่งเป็นจิตเกิดแล้ว ก็คือขณะแรกขณะปฏิสนธิ ดับไปสั้นมาก และกรรมก็ไม่ได้ให้ผลเพียงแค่ขณะเดียว คือทำให้แค่เกิดมาเป็นธาตุรู้ ไม่พอ เพราะฉะนั้นกรรมก็ทำให้ธาตุรู้นั่นแหละเกิดสืบต่อ ดำรงภพชาติว่าต้องเกิดดับสืบต่อ ไม่ใช่ตาย จนกว่าจะรับผลของกรรมจริงๆ ทางตาเห็น เลือกไม่ได้ เพราะฉะนั้นเห็นเมื่อไหร่ที่ไหน กลางวันหรือกลางคืนอย่างไรในถ้ำบนภูเขาบนอากาศท้องฟ้าอย่างไรก็ตามแต่ เห็นเกิดเมื่อไหร่ เห็นเป็นผลของกรรม บังคับไม่ให้เห็นไม่ได้ เห็นเกิดแล้ว เลือกสิ่งที่เห็นก็ไม่ได้ เพราะกรรมเป็นปัจจัยว่าเห็นจะเกิดเมื่อไหร่ ถัาสิ่งที่กระทบตาเป็นสิ่งที่น่าพอใจ กุศลกรรมที่ได้ทำแล้วเป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่น่าพอใจ ไม่ใช่เราเลย เลือกไม่ได้ มีเงินทองมากมาย ทรัพย์สมบัติมหาศาล เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจได้ไหม
ผู้ฟัง ได้
ท่านอาจารย์ ต้องได้เพราะเป็นผลของกรรม ใครจะปฏิเสธว่าไม่ให้เห็น ไม่มีทางเลย เอาเงินไปซื้อได้ไหม มหาศาลเลย ขออย่าให้เห็นอย่างนี้ก็ไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เพราะฉะนั้นกว่าเราจะเข้าใจแต่ละคำโดยละเอียด แม้แต่ ๖ ทาง ๖ ทวารพวกนี้ เราก็ต้องเริ่มตั้งแต่ขณะแรกยังไม่ใช่ทางหนึ่งทางใดทั้งสิ้น จริงไหม และทางที่จะรับผลของกรรม ไม่ใช่แค่เห็นอย่างเดียว ยังต้องกรรมทำให้มีหู ซึ่งเป็นรูปพิเศษ สามารถกระทบกับเสียง ในขณะที่ตาก็ไม่ใช่แข็งอ่อนเย็นร้อน แต่เป็นรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่กระทบจะมีธาตุรู้เกิดขึ้นไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ไม่มีใช่ไหม จะเห็นไม่ได้เลย ถ้าไม่มีตา ถ้าไม่มีสิ่งที่กระทบตาก็เห็นไม่ได้อีกเหมือนกัน และแม้เห็นจะเกิดขึ้น เห็นเป็นธาตุรู้ต้องอาศัยผัสสเจตสิก สภาพที่กระทบอารมณ์ อารมณ์คือสิ่งที่จิตรู้ เพราะฉะนั้นจิตเป็นธาตุรู้ต้องรู้เฉพาะสิ่งที่ผัสสะกระทบ เลือกรู้ตามพอใจได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ แล้วแต่ธรรมคือผัสสเจตสิก เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมก็เพื่อขยายความจริงให้ปรากฏให้เข้าใจอย่างมั่นคงว่า ไม่มีเรา ไม่ใช่เรา ประโยชน์คือเมื่อไม่ใช่เราแล้ว จะเกิดสุขเกิดทุกข์อย่างที่เป็นทุกวันนี้ไหม เพราะเมื่อไม่มีเรา ของเราก็ต้องไม่มี ของของคนอื่น เขาแตกทำลายไป เราเดือดร้อนไหม
ผู้ฟัง ไม่
ท่านอาจารย์ ไฟไหม้ตั้งกี่หลัง บ้านช่องเดือดร้อนไหม
ผู้ฟัง ไม่
ท่านอาจารย์ ไม่เดือดร้อน แต่ไฟไหม้ในครัวของเราเท่านั้น เดือดร้อนไหม
ผู้ฟัง เดือดร้อน
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นนี่ก็แสดงให้เห็นว่า ความทุกข์ทั้งหมดมาจากความไม่รู้ ความจริงว่านี่คือโลก ซึ่งต้องเป็นอย่างนี้ ใครก็เปลี่ยนโลกไม่ได้เลย ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้จะโกรธอะไร
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ เห็นไหม แต่โกรธเพราะไม่รู้ ทั้งหมดมาจากความไม่รู้ ถ้ารู้ขึ้นก็จะมีความสงบจากความเดือดร้อน และแม้แต่ความเดือดร้อน เราก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม เพราะกลายเป็นเราเดือดร้อน เพราะฉะนั้นทุกข์ทั้งหมดมาจากการไม่รู้ที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา ตั้ง ๖ ทาง แล้วก็ผัสสะด้วย แต่ก็ยังพูดไม่พอที่จะให้เข้าใจจริงๆ แต่ให้รู้ว่าเป็นธรรมที่มีจริงซึ่งควรรู้
อ.คำปั่น สำหรับคุณประโยชน์ของพระธรรม ชัดเจนว่าได้เข้าใจ เพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาต่อสัตว์โลก มีข้ออุปมาเปรียบเทียบไว้ชัดเจน ในสังยุตตนิกาย สคาถวรรคว่า มีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยผลมากมาย ต้นไม้ต้นนี้ก็จะเป็นที่หมายปองของสัตว์ทั้งหลาย ที่จะมาจิกกินผลไม้จากต้นไม้ต้นนี้ อุปมาก็เหมือนกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ก็ทรงเป็นที่อันบุคคลทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเทวดาหรือว่ามนุษย์ทั้งหลาย เข้ามาเฝ้าพระองค์เพื่อประโยชน์คือได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง แล้วก็จะได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงตามกำลังปัญญาของแต่ละคน และประเด็นหนึ่งที่ผู้สนทนาได้ถามท่านอาจารย์ถึงกรรม และการได้รับผลของกรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมตามความเป็นจริงตามเหตุตามผล แต่จะบังคับใครให้ทำแต่กรรมดีให้ละเว้นกรรมชั่วได้ไหม เพราะว่าทุกอย่างเป็นอนัตตา เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่ว่าพระองค์จะทรงแสดงคุณของกุศลกรรมไว้มากมาย ทรงแสดงโทษของอกุศลกรรมไว้มากมาย แต่ก็ยังมีทั้งคนที่ทำดีและทำไม่ดี เพราะอะไร เพราะว่าเป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย
ยกตัวอย่าง ๕ ข้อ การฆ่าสัตว์ เป็นอกุศลกรรมเป็นบาป ผลอย่างหนักของการฆ่าสัตว์ก็คือทำให้เกิดในอบายภูมิ ถ้าเป็นผลอย่างเบา แม้ว่าจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ทำให้เป็นคนมีอายุสั้น ถ้าเป็นการลักทรัพย์ ผลอย่างหนักก็เกิดในอบายภูมิ ถ้าผลอย่างเบาเกิดมาเป็นมนุษย์ก็ทำให้เสียทรัพย์ เกิดความพินาศต่างๆ ข้อ ๓ การประพฤติผิดในกาม ผลอย่างหนักก็ทำให้เกิดในอบายภูมิ แต่ถ้าผลอย่างเบาเกิดมาเป็นมนุษย์ทำให้เป็นบุคคลผู้มีศัตรูมาก ถ้าเป็นการกล่าวเท็จ กล่าวคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง หักล้างผลประโยชน์ของผู้อื่น ผลอย่างหนักก็ทำให้เกิดในอบายภูมิ ถ้าเป็นผล
อย่างเบา แม้ว่าจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์บุคคลนั้นก็ได้รับแต่เรื่องที่ไม่จริง เพราะว่าเคยกล่าวสิ่งที่ไม่จริงให้กับคนอื่น ผลก็ต้องเป็นอย่างนั้น ก็คือได้รับสิ่งที่ไม่จริง ข้อ ๕ การดื่มสุราเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ถ้าเป็นการมัวเมาถึงขั้นล่วงเป็นอกุศลกรรม ก็ทำให้เกิดในอบายภูมิ ถ้าผลอย่างเบาแม้ว่าจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่ผู้นั้นก็ถึงความเป็นบ้า แต่ใครจะน้อมที่จะศึกษาและก็เข้าใจตามความเป็นจริงอย่างนี้ ก็ขึ้นอยู่กับผู้นั้นว่า จะเห็นประโยชน์มากน้อยแค่ไหน แต่ว่าความละเอียดของพระธรรมพระองค์ก็ทรงแสดงไว้ทั้งหมด ลึกลงมาถึงความเป็นจริงของธรรม ก็คือเป็นสิ่งที่มีจริงที่ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน เป็นธรรมแต่ละขณะเท่านั้น
ผู้ฟัง อันไหนเป็นสิ่งที่สมควรสอนให้เขาเข้าใจก่อน ระหว่างบทสวดมนต์หรือว่าคาถาต่างๆ ในตำรากับสิ่งที่ท่านอาจารย์ให้เราเข้าใจในวันนี้
ท่านอาจารย์ สวดมนต์คืออะไร
ผู้ฟัง สวดมนต์ในสิ่งที่ได้รับการปลูกฝังมา ก็คือคาถาบทสวดที่นำมาสวดเพื่อสรรเสริญพระพุทธเจ้า
ท่านอาจารย์ สรรเสริญอะไร
ผู้ฟัง เพื่อส่งเสริมบุญ เพื่อส่งเสริมการถ่ายทอดศาสนา
ท่านอาจารย์ ศาสนาคืออะไร
ผู้ฟัง ศาสนาตามตำราที่เรียนมา ก็คือเป็นชาวพุทธนับถือศาสนาพุทธได้รับการกระทำ
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวชาวพุทธคือใคร
ผู้ฟัง ชาวพุทธก็คือประชาชนที่นับถือในคำสอนของพระพุทธเจ้า
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่ลืม นับถือคำสอนถูกต้องไหม สอนว่าอะไร
ผู้ฟัง สอนว่าทำแบบนี้เป็นสิ่งไม่ดี มีบาป มีบาปบุญคุณโทษอะไรอย่างนี้
ท่านอาจารย์ ใครๆ ก็สอนไม่ใช่หรือ แล้วทำไมพระพุทธเจ้าสอนว่าอะไร จะเหมือนคนอื่นไหม
ผู้ฟัง ก็ไม่ทราบว่าพระพุทธเจ้าจะสอนเหมือนคนอื่น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเป็นชาวพุทธหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ ชาวพุทธไม่รู้จักพระพุทธเจ้า ไม่ได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่เข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นชาวพุทธหรือ พุทธะคืออะไร คำว่าพุทธะ คุณคำปั่น
อ.คำปั่น พุทธะคือผู้รู้ ผู้มีปัญญา ผู้เข้าใจความจริง
ท่านอาจารย์ แล้วจะเข้าใจเองได้ไหม ไม่ได้ จึงเคารพผู้ที่ได้ตรัสรู้ และทรงแสดงความจริงให้เข้าใจ ไม่ใช่ให้พูดตาม ไม่ใช่ให้สวดมนต์ เพราะไม่รู้ว่ามนต์คืออะไร
ผู้ฟัง แสดงว่าสิ่งที่หนูสมควรนำกลับไปสอนน้องหรือลูก ก็คือสอนให้น้องหรือลูกเข้าใจก่อนว่าธรรมคืออะไร พุทธะคืออะไร ไม่ใช่พร่ำสอนให้เขาสวดแต่มนต์หรือคาถาตามตำราใช่ไหม
ท่านอาจารย์ นั่นคือการแสดงความเคารพบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แท้จริง ไม่ใช่ด้วยดอกไม้ธูปเทียน หรือพูดคำที่ไม่รู้จัก ไม่ใช่พระพุทธประสงค์ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีให้คนอื่นพูดคำที่ไม่รู้จัก หรือว่าบูชาเพียงแค่ดอกไม้ธูปเทียน พระองค์จะประสงค์ดอกไม้ธูปเทียนไปทำไม ถ้าคนอื่นไม่ได้ฟังคำของพระองค์ มีค่าไหม กับการที่ให้คนอื่นได้เข้าใจคำซึ่งเป็นประโยชน์ตลอด ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ ยังสืบต่อไปถึงชาติต่อๆ ไปด้วย เหมือนการทรงบำเพ็ญพระบารมีของพระองค์เมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์
เพราะฉะนั้นโพธิสัตว์ สัตว์ คือผู้ที่ข้องอยู่ในความรู้ คำว่าสัตว์แปลว่าผู้ที่ข้องอยู่ เพราะฉะนั้นสัตว์โลก ผู้ที่ข้องอยู่ในโลกใช่ไหม คือสัตว์โลก แต่โพธิสัตว์ โพธิคือปัญญาความจริงการรู้ความจริง เพราะฉะนั้นโพธิสัตว์คือผู้ที่ข้องอยู่ในการที่จะเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นโพธิสัตว์ก็มีหลายระดับ พระมหาสัตว์หรือพระมหาโพธิสัตว์ก็คือ ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกโพธิสัตว์ แม้ว่าไม่ได้มีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครศึกษา อันตรธานแล้ว แต่การที่ได้สะสมความเข้าใจสืบต่อมา จนแม้ในกาลที่ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญญาที่ได้สะสมมาแล้วนั้น ทำให้สามารถเข้าใจธรรมด้วยตนเอง แต่ไม่ได้บำเพ็ญพระบารมีถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นก็ไม่สามารถที่จะประกอบด้วยพระญาณต่างๆ พระทศพลญาณ เป็นต้น ที่จะกล่าวคำซึ่งทำให้คนที่ไม่รู้เลย ได้มีความเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อยจนสามารถที่จะรู้ความจริงได้
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าประเสริฐสุด ต่อจากนั้นก็คือพระปัจเจกพุทธเจ้าคือผู้ที่เคยได้ฟังคำนั้นมาแล้ว แต่ในสมัยที่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอันตรธานไปแล้ว ปัญญาที่ได้สะสมมาก็ทำให้เขาสามารถที่จะเพียงเห็นสิ่งต่างๆ ปัญญาที่สะสมมาก็นำไปสู่การประจักษ์แจ้งสิ่งนั้น เช่น เห็นใบไม้ร่วง เราเห็นกันทุกวัน ใช่ไหม ไม่เกิดอะไรเลย แต่ผู้ที่จะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่ได้แสดงไว้แล้วในพระไตรปิฎกแต่ละพระองค์ ก็แสดงให้เห็นว่า อะไรทำให้พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นระลึกถึงปัญญาที่ได้ฟังแล้ว จนกระทั่งประจักษ์แจ้งความจริงในขณะนั้นตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นที่เราฟังอยู่ แล้วมีความเข้าใจ คงไม่มีใครปรารถนาถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าพระบารมีเกินบุคคลใดทั้งสิ้น มั่นคงอย่างยิ่งที่จะยอมสละทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเลือดเนื้อหรือแม้แต่ว่าจะมีผู้กล่าวว่าแม้จักรวาลจะไหม้ไฟพระองค์ก็จะลุยข้ามไป เพื่อที่จะรู้ความจริงที่จะให้คนอื่นได้รู้ตาม
เพราะฉะนั้นยากมาก ที่มีบุคคลใดที่จะมีพระอัธยาศัยถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ยากใช่ไหม รองจากนั้นก็คือสาวก ซึ่งไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้า แต่เป็นสาวกที่ได้ฟังธรรมแล้ว กว่าจะรู้ความจริง เพราะฉะนั้นพระธรรมทั้งหมดกี่คัมภีร์ก็ตามแต่ ไม่ใช่สำหรับให้ท่อง แต่แม้คำเดียวก็ขอให้เข้าใจถูกต้อง เช่นธรรมคืออะไร
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1021
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1022
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1023
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1024
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1025
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1026
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1027
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1028
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1029
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1030
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1031
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1032
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1033
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1034
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1035
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1036
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1037
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1038
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1039
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1040
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1041
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1042
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1043
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1044
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1045
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1046
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1047
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1048
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1049
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1050
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1051
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1052
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1053
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1054
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1055
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1056
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1057
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1058
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1059
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1060
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1061
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1062
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1063
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1064
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1065
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1066
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1067
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1068
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1069
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1070
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1071
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1072
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1073
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1074
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1075
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1076
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1077
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1078
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1079
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1080
