ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1027


    ตอนที่ ๑๐๒๗

    สนทนาธรรม ที่ ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ จ.นนทบุรี

    วันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ ชีวิตประจำวันคือจิต และเจตสิก และรูป ไม่เคยรู้มาก่อนเลย เป็นเราไปหมดเลย เพราะว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก จนกว่าจะค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจ ไม่ใช่มีเราไปละ หรือไปทำ นั่นผิด แต่ธรรมเดี๋ยวนี้เอง ความเข้าใจเดี๋ยวนี้เอง กำลังทำหน้าที่ ที่จะให้ขณะต่อไปค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะขณะนี้จิตเห็น จิตได้ยิน เจตสิกก็เกิดร่วมด้วย

    ฟังธรรมก็ค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้นๆ เพื่อให้เข้าใจจริงๆ ว่าไม่ใช่เรา แต่ละคำไม่เผิน ศีลคืออะไร ยังกล่าวเดี๋ยวนี้ไม่ได้เลย เพียงแค่ได้ยินชื่อไว้ ได้ยินชื่อไว้ แล้วภายหลังฟังต่อไปก็ละเอียดและต้องตรง

    อ.ธีรพันธ์ สภาพธรรมที่เกิดขึ้นมีทั้งกุศลศีลก็มี อกุศลศีลก็มี แต่ตราบใดที่ยังรักษาศีล ๕ ไม่ได้เด็ดขาด ก็สามารถไปเกิดในอบายภูมิได้ ผู้ที่รักษาศีล ๕ ที่เรียกว่ามั่นคงที่สุดเลย ไม่มีการล่วงเลยคือพระโสดาบัน

    ท่านอาจารย์ ปรมัตถธรรม ๓ จิต๑ เจตสิก๑ รูป๑ จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และเจตสิก ๕๒ ประเภทเกิดกับจิตแต่ไม่ใช่พร้อมกัน แล้วแต่เป็นประเภทไหน ทำให้จิตหลากหลายเป็น ๘๙ ประเภท แต่เฉพาะจิตเองเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง รูป ๒๘ รูป แต่ว่าทีละเล็กทีละน้อย เพราะว่ารูปที่ปรากฏในชีวิตประจำวันจริงๆ รู้กันแล้วใช่ไหม สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นหนึ่ง มีจริง ไม่ใช่สภาพรู้เป็นรูปธรรม เสียงอีกหนึ่ง ตาแล้วก็หู แล้วก็จมูกคือกลิ่น แล้วก็ลิ้นกระทบรสทำให้จิตเกิดขึ้นลิ้มรส วันนี้บ่อยไหม เดี๋ยวนี้เห็นตลอดเวลาเหมือนอย่างนั้น แต่ความจริงเป็นสภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อกัน ตา หู จมูก ลิ้น มีผู้ที่รู้แล้วว่าต่อไปคืออะไร แต่ตาคือมีสิ่งที่ปรากฏเป็นรูปหนึ่งให้เห็นได้ แล้วก็มีเสียง แล้วก็มีกลิ่น แล้วก็มีรส ทางกายรู้ได้ ๓ อย่าง บางครั้งรู้ว่าเย็น บางครั้งร้อน บางครั้งอ่อน บางครั้งแข็ง บางครั้งตึง บางครั้งก็ไหว เป็นปกติ แต่ไม่เคยรู้ในขณะนั้นว่าไม่ใช่เรา และเป็นสภาพที่ไม่รู้อะไร เป็นรูปธรรม

    เพราะฉะนั้นรูปธรรมที่ปรากฏอยู่ตลอด ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ว่าที่ไหนชาติไหนโลกไหน ก็ไม่พ้นจากสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเดี๋ยวนี้ เสียง กลิ่น รสและเย็นร้อน อ่อนแข็ง ตึงไหว ที่รู้ได้ทางกาย รวมเรียกว่าโผฏฐัพพะ แต่ไม่จำเป็นต้องรู้ชื่อ แต่จำไว้ก็ได้ค่อยๆ เข้าใจไปทีละชื่อ แล้วก็มีตา หู จมูก ลิ้น กายทั้งหมดกี่รูปแล้ว เห็นไหม นี่คือความเข้าใจซึ่งเปลี่ยนไม่ได้เลย สิ่งที่ปรากฏทางตา ๑ คือ รูปที่รู้ได้ทางตา๑ ทางหู๑ ทางจมูก๑ ทางลิ้น๑ เป็น ๔ รูป แล้วใช่ไหม ทางกายเท่าไหร่ ๓ รูป บางครั้งเย็นหรือร้อน บางครั้งอ่อนหรือแข็ง บางครั้งตึงหรือไหว

    เพราะฉะนั้นรูปที่ปรากฏตลอดเวลา ในชีวิตเราบางครั้งก็เย็น บางครั้งก็ร้อน บางครั้งก็เห็น บางครั้งก็ได้ยินเสียง ๗ รูป เราเรียนทีละคำใช่ไหม ให้รู้จริงๆ ว่า ถ้ามีเห็นก็ต้องมีตา ถ้ามีได้ยินเสียงก็ต้องมีหู เพราะฉะนั้น ๗ รูปที่ปรากฏแล้วก็ยังมีตาด้วย ๑ หู ๑ จมูก ๑ ลิ้น ๑ กายปสาท ๑ อีก ๕ ถ้าไม่มีกายปสาท คือรูปพิเศษที่สามารถกระทบเย็นหรือร้อน จะรู้ไม่ได้เลย ส่วนใดก็ตาม เช่น ผม ตัดผมไม่รู้สึกเจ็บ ไม่รู้อะไรเลย ทั้งหมดนั่นก็แสดงให้เห็นว่าธรรมดา ๑๒ รูปเป็นรูปหยาบ เพราะเหตุว่าปรากฏในชีวิตประจำวันให้รู้ว่ามี แต่ว่าไม่มีใครไปเห็นตา หู จมูก ลิ้น กาย เห็นได้เฉพาะสิ่งที่กระทบตา

    หู จมูก ลิ้น กาย เห็นตาไหม ตาไม่เห็น ธาตุรู้ต่างหากที่เห็น เห็นไหม แต่ละคำ ฟังแล้วลืมไม่ได้ นี่เป็นการทบทวนให้รู้ว่าลืมบ้างหรือเปล่า หรือว่าความเข้าใจมั่นคงแค่ไหน ส่วนใหญ่ได้ยิน ได้ยินแล้วก็จำๆ เป็นคำๆ แต่ว่าความจริงที่ประเสริฐไม่ใช่จำแต่เข้าใจ ธรรมที่ประเสริฐยิ่งเหนือธรรมทั้งหลาย ในบรรดาธรรมที่เกิดดับคือความเข้าใจถูกความเห็นถูก คือปัญญา เพราะฉะนั้นปัญญามีได้ แต่ไม่ใช่เราไม่คิดอะไรเลย เราไม่ไตร่ตรองอะไรเลย ฟังๆ ไปแล้วเราก็ตามๆ ไปอย่างนั้น ไม่ใช่ ต้องเป็นการไตร่ตรอง และถึงจะไม่ว่าถามอะไร ความเข้าใจที่มั่นคงถูก ตอบถูกได้ แต่ถ้ายังติดๆ ก็แปลว่าที่ฟังมาแล้ว ยังจะต้องไตร่ตรอง และพิจารณาแล้วก็ดูว่าจริงหรือเปล่า

    เพราะฉะนั้นจากคำถามที่ว่าเห็นตาไหม เห็นหรือไม่เห็น ไม่เห็น คนที่เห็นก็มี คนที่ไม่เห็นก็มี เห็นตาคนอื่นใช่ไหม ถ้าส่องกระจกเห็นตาใคร เห็นไหม ความจริงธรรมลึกซึ้งกว่านั้นมาก เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เมื่อสักครู่เราบอกแล้วใช่ไหมว่าสิ่งนั้นไม่รู้อะไร แต่ว่าสามารถที่จะถูกรู้ คือถูกเห็นได้ เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นมากมาย เพราะมีธาตุเห็นเกิดขึ้นเห็น แต่ตัวตาคือจักขุปสาทรูป ไม่ใช่ตาทั้งหมดสีขาวสีดำ ๒ ข้าง แต่หมายความถึงธาตุชนิดหนึ่ง จักขุธาตุหมายความถึงธาตุที่ใครก็มองไม่เห็น เพราะถ้าเห็นเมื่อไหร่ก็เห็นแต่เพียงสีสันวรรณะของสิ่งนั้น แต่ตัวธาตุซึ่งสามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้นตรงนั้น ไม่ใช่เห็นตรงอื่นเลย เห็นไหม ธรรมเป็นเรื่องที่กว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่เผินว่าเราไปจำมาแล้วกี่คำอยู่หน้านั้นเล่มนี้ แต่อยู่ที่ความเข้าใจจริงๆ ว่าที่กาย มีกายทุกคนใช่ไหม กระทบแข็ง เพราะมีกายปสาทรูปที่ไม่ใช่แข็ง แต่ว่าถ้าไม่มีกายปสาทที่จะกระทบแข็ง จิตที่เกิดขึ้นรู้ก็เกิดไม่ได้ เห็นไหมว่าแม้แต่การที่จะรู้แข็งนิดเดียว ก็จะต้องมีสภาพซึ่งมีธาตุที่สามารถกระทบกับแข็งซึ่งเป็นรูปพิเศษ

    เพราะฉะนั้นรูปพิเศษมีจักขุปสาทรูปหนึ่ง กระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาอยู่กลางตา แต่มองไม่เห็น ไม่มีใครสามารถจะเห็นจักขุปสาทรูปเลย โสตปสาทรูปไม่ใช่ใบหูหรือช่องหูทั้งหมดที่เรามองเห็นได้ไม่ใช่ตัวปสาทรูปที่กระทบ แต่เป็นสีสันวรรณะซึ่งมีอยู่ในทุกรูป ธาตุดินน้ำไฟลมอยู่ที่ไหน ต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นสีสันวรรณะต่างๆ แต่ตัวจักขุปสาทรูปเห็นไม่ได้เลย โสตปสาทรูปก็เห็นไม่ได้ แต่มีแน่ๆ

    จมูกก็เป็นรูปพิเศษ สามารถกระทบกับกลิ่น ลิ้นก็เป็นรูปพิเศษที่สามารถกระทบกับรส แต่ไม่ใช่ลิ้นทั้งหมดเลย แต่เป็นตัวลิ้นที่เป็นชิวหาปสาทรูป ภาษาบาลี ชิวหาแปลว่าลิ้น เราก็พูดบ่อยๆ ใช่ไหม คำว่าชิวหา คือลิ้น แต่เป็นปสาทรูป รูปพิเศษที่สามารถกระทบ ซึ่งมองไม่เห็น ไม่ใช่ลิ้นทั้งหมดเลย ตรงไหนที่กระทบรสตรงนั้นแหละเป็นชิวหาปสาทรูป

    ตรงไหนที่กระทบกลิ่น ภาษาบาลีคือฆานปสาทรูป ไม่ต้องจำก็ได้ เพียงแต่ว่ารูปตา รูปหู รูปจมูก รูปลิ้น รูปกาย แต่ใช้คำว่าปสาท ปสาทแปลว่าใส สามารถกระทบ อุปมาเหมือนกระจก อะไรผ่านก็กระทบ เห็นได้ ถ้าเป็นไม้ธรรมดาไปยืนสักเท่าไรก็ไม่เห็นใช่ไหมว่า รูปร่างสัณฐานในนั้นเป็นอย่างไร

    เพราะฉะนั้นปสาทก็เป็นรูปพิเศษ ที่ใช้คำว่าปสาทคือพิเศษที่สามารถกระทบกับรูปเฉพาะทาง จักขุปสาทกระทบได้เฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา โสตปสาทรูปสามารถกระทบได้เฉพาะเสียง ถ้าไม่มีโสตปสาท เสียงไม่ปรากฏเลย หูหนวกที่เราใช้คำว่าหูหนวก เพราะว่าไม่มีปสาทที่กระทบเสียงที่จะทำให้จิตเกิดขึ้นได้ยินตรงนั้น

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมแต่ละคำ ก็ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจ โดยไม่เผิน แม้แต่ชื่อของรูปต่างๆ ก็ต้องชัดเจนว่าแต่ละชื่อเป็นแต่ละธรรม เช่น สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ต้องเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา

    เห็นแข็งไหม ถ้าเข้าใจธรรมแต่ละคำมั่นคง เห็นแข็งไม่ได้เลย สิ่งที่เราบอกว่าก้อนน้ำแข็ง ก้อนอิฐ แต่ลักษณะที่แข็งไม่ได้ปรากฏ เพียงสีสันวรรณะที่มีอยู่ตรงนั้นที่สามารถกระทบตา ทำให้รู้ว่าจำได้ว่าถ้ากระทบแล้วแข็ง เพราะฉะนั้นแต่ละทาง เป็นแต่ละโลก ไม่ใช่เราเลย เพราะฉะนั้นเราคิดว่าโลกกว้างใหญ่ไพศาลมาก มีตั้งหลายโลก โลกพระจันทร์ โลกพระอาทิตย์ ดาวอังคาร พฤหัสอะไรต่างๆ แต่ถ้าไม่มีธรรมคือสิ่งที่มีจริงแต่ละอย่างเกิดขึ้น อะไรๆ ก็ไม่มี เพราะฉะนั้นเมื่อมีรูปธาตุเกิดขึ้น รูปธาตุไม่ใช่นามธาตุ แต่นามธาตุคือจิตและเจตสิก สามารถที่จะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แล้วยังคิดนึก แล้วยังจำ และยังคิดต่อๆ ไป จนปรากฏเป็นโลกที่น่าอัศจรรย์สำหรับชาวโลก จากการที่ไม่เคยมีไฟฟ้าก็มีไฟฟ้า ไม่มีรถก็เริ่มมีรถจักรยาน มีรถยนต์ มีรถไฟมีสิ่งต่างๆ ได้ เพราะแต่ละ ๑ ขณะ สะสมไปที่จะคิดละเอียดขึ้น จนกระทั่งหลายคนบอกว่า เป็นความน่าอัศจรรย์ของวิทยาการสมัยใหม่ เช่น คอมพิวเตอร์ เป็นต้น ใช่ไหม แต่ทั้งหมดเป็นธรรม แต่ไม่รู้ความจริง เพราะนักปราชญ์ใดๆ นักวิทยาศาสตร์ใดๆ ใครที่แสนเก่งโลกไหนก็ตาม ไม่สามารถจะเปรียบกับพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทรงตรัสรู้สิ่งที่ถูกปกปิดไว้มานานมากว่า แท้ที่จริงแล้วมีจิตธาตุรู้ที่กำลังรู้ทุกอย่างตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้าไม่มีธาตุรู้ก็ไม่เป็นคนเป็นสัตว์ และจิตก็ต้องมีเจตสิกอาศัยกันเกิดขึ้นปรุงแต่งหลากหลายมาก เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวรัก เดี๋ยวชัง เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ไปจนกระทั่งตายจากโลกนี้ไป ก็ยังไม่หมด มีเหตุที่จะต้องให้เกิดเหมือนเมื่อสักครู่นี้ดับแล้ว แต่ก็มีเหตุให้เกิดขณะต่อไปสืบต่อไม่มีระหว่างคั่นเลย ที่ใช้คำว่าสังสารวัฏ ก็คือการเกิดดับสืบต่อไม่หยุด ตอนหลับมีจิตไหม แม้หลับก็มีธาตุรู้ แต่ไม่ใช่รู้ทางตาคือเห็น ไม่ใช่รู้ทางหู ไม่ใช่รู้ทางจมูก ไม่ใช่รู้ทางลิ้น ไม่ใช่รู้ทางกาย ไม่ใช่รู้ทางใจ คือไม่คิดนึกด้วย ตอนเกิดฉันใดตอนหลับก็ฉันนั้น หนึ่งขณะจิตแรกที่เกิด ขณะเดียวสั้นแค่ไหน ถ้าจะเปรียบกับขณะนี้ว่าประมาณไม่ได้เลยว่า จิตเกิดดับเร็วมากมายแค่ไหน

    เพราะฉะนั้นเพียงหนึ่งขณะแรกที่เกิด โลกไม่ปรากฏ เพราะว่าโลกจะปรากฏต่อเมื่อมีทาง เช่น มีตา เป็นปัจจัยให้รู้สิ่งที่กระทบตา แล้วเห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วก็คิดถึงสิ่งนั้น โลกก็มีแค่ ๖ แต่ว่าวุ่นวายมากมายมหาศาล เพราะไม่รู้ปะปนกันหมดเลย จนกระทั่งเป็นเราเป็นเขา เป็นอะไรต่างๆ แต่ถ้ารู้ตามความจริงก็คือว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นคนที่ฟังธรรม ต้องเข้าใจให้ถูกต้องตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุดว่า ไม่ใช่เรา เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาด้วย มิฉะนั้นจะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตอนนี้ไม่เห็นตา แล้วเห็นอะไร เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ มั่นคงไม่ว่าในความมืดหรือความสว่างอย่างไรก็ตามแต่ โลกไหนที่ไหน ในน้ำบนบกอย่างไร เห็นก็ต้องเห็นสิ่งที่กระทบตา และปรากฏให้เห็นได้

    สนทนาธรรมที่บ้านคุณสมบูรณ์ ผดุงไทยธรรม จังหวัดชลบุรี

    วันที่ ๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐

    ผู้ฟัง บุคคลเกิดมาก็ได้ยินเสียง แต่บุคคลที่จะได้ยินเสียงพระธรรม ที่จะนำไปสู่หนทางการดับกิเลสก็มีน้อย ถามว่า ทำไมถึงต้องฟังพระธรรม เพราะว่าน้อยคนนักที่จะได้ฟังพระธรรม

    ท่านอาจารย์ คนที่ไม่อยากจะรู้ ไม่อยากจะเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงก็ไม่ฟัง ฟังเรื่องอื่น แต่ว่าคนที่เห็นประโยชน์ของการที่เกิดมาแล้ว และก็ได้อะไรจากการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เพราะว่าทุกอย่างหมดสิ้นไปทุกขณะ นอกจากจะได้มีความค่อยๆ เข้าใจขึ้นในสิ่งที่มี ที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ พูดถึงสิ่งที่กำลังมี น่าสนใจไหม บางคนก็ธรรมดาตื่นขึ้นมาก็เห็น ก็คิดเป็นปกติ อย่างอื่นน่าสนใจกว่า เพราะฉะนั้นคนเหล่านั้นก็ไม่เห็นประโยชน์ของการที่จะได้เข้าใจสิ่งที่มี แต่คนที่มีปัญญาและมีการที่จะพิจารณาในเหตุผลว่า เกิดมาแล้ว ทุกขณะหมดสิ้นไปจริงๆ กลับคืนมาไม่ได้เลยสักขณะเดียว

    เพราะฉะนั้นขณะที่มีค่าก็คือขณะที่กำลังเริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่มี แค่นี้ เป็นประโยชน์หรือเปล่า ไม่ใช่สำหรับทุกคน ถ้าบอกว่ามีชีวิตเพื่อที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มี หลายคนก็ไม่เห็นประโยชน์เลย แต่ว่าถ้าคนที่เห็นประโยชน์ว่าเพราะไม่รู้ และก็อยู่มาแล้วก็ต้องจากไปด้วยความไม่รู้ กับรู้สิ่งที่มี อะไรจะมีประโยชน์กว่า เพราะฉะนั้นผู้ที่ไตร่ตรองเห็นประโยชน์ ก็รู้ว่าสิ่งที่ควรรู้ควรเข้าใจที่มีค่ามากของการเกิดมาแล้วก็คือ ได้รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ นี่คือทำไมต้องฟังธรรมเพราะถ้าไม่ฟังจะรู้ไหม

    ผู้ฟัง ถ้าไม่ฟังก็ไม่รู้ แต่ว่าไม่มีเหตุที่จะได้ฟังสิ่งที่มีจริง

    ท่านอาจารย์ ทุกขณะต้องมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น จะได้ฟังหรือไม่ได้ฟัง ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้ แต่เดี๋ยวนี้กำลังได้ฟัง เพราะฉะนั้นประโยชน์จริงๆ เดี๋ยวนี้ ก็คือว่าได้เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง ซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงซึ่งยากแสนยากที่จะรู้ความจริง ไม่ฟังไม่รู้แน่

    ผู้ฟัง ประโยชน์ของสิ่งที่มีจริงขณะนี้

    ท่านอาจารย์ สิ่งนี้ต้องเกิด ถ้าไม่เกิดไม่มี ซ้ำแล้วซ้ำอีก ฟังอย่างนี้จนกระทั่งมีความมั่นคงว่าเพียงแค่มีเมื่อเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี ถึงใจหรือยัง ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี เพราะฉะนั้นที่มีเดี๋ยวนี้เมื่อมีปัจจัยที่จะเกิดบังคับไม่ให้เกิดได้ไหม ดับแล้วหมดแล้วทุกขณะ แต่ก็ต้องเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ บังคับไม่ให้เกิดเป็นไปได้ไหม ก็เป็นไปไม่ได้ นี่ก็คือเริ่มเข้าใจว่าไม่ใช่มีขณะนี้เพียงขณะเดียว นานแสนนานก็เป็นอย่างนี้ แล้วก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกไม่มีวันจบ ถ้าไม่สามารถที่จะหยุดยั้งการเกิดขึ้นของสิ่งที่กำลังมีปัจจัยแล้วก็เกิด และเกิดแล้วก็หมด ข้อสำคัญรู้สึกว่าจะพอใจสิ่งที่มีเมื่อเกิดขึ้น แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่มีและเกิดขึ้นหมดแล้ว ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ไม่มีค่าอะไรเลย เพียงแค่ไม่มี และก็เกิดขึ้นมี แล้วก็หมดไป แล้วก็หายไปเลย ไม่กลับมาอีกเลย

    เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้จะละเลยไหม หรือว่าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไป และเลือกไม่ได้เลยว่า ที่ทุกวันนี้เกิดขึ้น เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวคิด เดี๋ยวชอบ เดี๋ยวชัง ทั้งหมดไม่มีใครไปทำ ไม่มีใครบังคับ แต่ว่ามีปัจจัยที่จะต้องเป็นอย่างนั้นก็เกิดขึ้นเป็นอย่าง นั้น ให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เห็น ไม่มีใครบังคับให้ไม่เห็น ก็เห็นเกิดแล้วก็ต้องเห็น ได้ยินไม่มีใครไปทำให้ได้ยินเกิดขึ้น แต่ได้ยินก็เกิด แล้วก็ได้ยิน แล้วก็หมดไป แต่ว่าความเข้าใจเล็กน้อยมากไม่พอที่จะละการที่เคยติดข้อง และก็สนใจที่จะรู้เรื่องอื่น แล้วก็จากไป โดยการที่สิ่งที่สนใจไม่ได้ติดตามไปเลย ดอกไม้ที่กำลังเห็นจะติดตามไปได้ไหม ไม่มีทาง แต่ความชอบความพอใจในสิ่งที่มีติดตามไป แล้วดีไหม ไม่มีดอกไม้ หายแล้วหมดแล้ว แต่ยังชอบพอใจในสิ่งที่ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐาน ไปพอใจในรูปร่างสัณฐานอื่น มะม่วงไม่ใช่ดอกไม้ใช่ไหม ก็พอใจในมะม่วง แล้วก็ดับไป แล้วก็พอใจในโต๊ะเก้าอี้อะไรก็ได้ ที่ชอบลักษณะสวยงาม มีแต่ความพอใจที่สะสมไป แต่สิ่งที่พอใจไม่ได้ตามไปเลย มีแต่ความพอใจซึ่งติดตามสืบต่อที่จะพอใจติดข้องอยู่เรื่อยไป โดยไม่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่ปรากฏหมดแล้ว ถ้าไม่มีการเกิดดับสืบต่อสิ่งนั้นจะหายไปเลย แต่เพราะเหตุว่าแม้ดับไปแล้วก็มีสิ่งอื่นซึ่งเกิดสืบต่อตลอดเวลา ก็ปรากฏเหมือนกับว่ากำลังมีทุกอย่างในขณะนี้ ลวงแค่ไหน ไม่รู้แค่ไหน แต่คำทุกคำที่ได้ฟัง ไม่ใช่ว่าให้เชื่อ แต่ว่าเข้าใจว่าเป็นความจริง และก็ผู้ที่ตรัสรู้ความจริงก็ได้ทรงแสดงความจริงนี้ จากการที่ได้บำเพ็ญเพียรที่จะเข้าใจสิ่งที่มี ซึ่งใครๆ ก็ไม่สนใจที่จะเข้าใจ ถึงสนใจอย่างไรก็ไม่สามารถจะรู้ได้ด้วยความเป็นตัวตน แต่ต้องด้วยความที่เป็นคุณความดีที่ค่อยๆ สละ ละความไม่ดี ไม่มีเครื่องขัดขวาง แล้วปัญญาความเข้าใจถูกก็ค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ และปัญญาที่อบรมแล้วเท่านั้น จึงสามารถที่จะรู้ความจริงอย่างนี้ได้

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมทุกครั้ง สบายๆ อย่างที่คุณมลบอกว่าวันนี้ฟังธรรมสบายๆ เพราะใครจะทำอะไรได้ ไม่มีใครไปทำอะไรได้เลย ไม่รู้ก็คือไม่รู้ รู้ก็คือรู้ ไม่เข้าใจก็คือไม่เข้าใจ เข้าใจก็คือเข้าใจ เพราะฉะนั้นสบายๆ แต่ใครที่มีความเป็นตัวตนมากมาย เดือดร้อนเหลือเกิน เมื่อไหร่จะรู้ ทำอย่างไรจะรู้ ก็รู้อยู่แล้วว่ารู้ไม่ได้ เรารู้ไม่ได้ แต่ความเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีขณะนี้ ทีละเล็กทีละน้อย ทีละเล็กทีละน้อย ค่อยๆ ขัดเกลา ละคลายความไม่รู้ จนกระทั่งสามารถที่จะได้ยินคำที่เป็นความจริง จนกระทั่งสามารถประจักษ์ตามความเป็นจริงไว้ได้ว่า ขณะนี้เกิดแน่ๆ แล้วก็ดับแน่ๆ สบายๆ ใครอยากจะรู้ว่าแล้วทำอย่างไรแล้วทำอย่างไร นั่นไม่สบายเลย

    ผู้ฟัง แล้วจะสบายๆ ในชีวิตประจำวัน

    ท่านอาจารย์ ดีกว่าไม่ได้ยินคำนี้เสียเลย ใช่ไหม ไม่เคยเข้าใจมาเลย แต่พอได้ยินแล้วจริงไหม จริง บังคับบัญชาได้ไหม ไม่ได้ จะรู้ทันทีได้ไหม ไม่ได้ แต่สามารถรู้ได้ไหม ได้แต่ไม่ใช่เป็นเรารู้ ก็คือสบายๆ เพราะเหตุว่าทุกสิ่งทุกอย่างขณะนี้ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้นได้เลย เกิดแล้วทั้งนั้น เพราะฉะนั้นก็เข้าใจให้ถูกต้อง ไม่มีเราที่จะไปทำอะไรได้ แต่ก็จะไม่ให้สิ่งนี้เกิดเป็นไปไม่ได้ เกิดแล้วตลอดเวลาเดี๋ยวนี้ ก็เริ่มเข้าใจความจริงไม่เดือดร้อน เพราะความเข้าใจว่าไม่ใช่เรา เพียงคำว่าไม่ใช่เราจริงๆ ถ้าเข้าใจ ไม่เดือดร้อน แต่ทั้งๆ ที่ได้ยินคำว่าไม่ใช่เรา แต่ก็มีเราที่อยากจะไปเข้าใจความจริงที่ว่าไม่ใช่เรา ก็เดือดร้อน จนกว่าความเดือดร้อนไม่มี เพราะเข้าใจขึ้นว่าเป็นธรรมดาที่จะต้องเป็นอย่างนี้ ความไม่รู้ก็เป็นความไม่รู้ ความรู้ก็เป็นความรู้ และจะไปเปลี่ยนสลับเอาความไม่รู้เดี๋ยวนี้ให้กลายเป็นความรู้มากมาย ที่กำลังประจักษ์ลักษณะที่เกิดดับของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ก็เป็นไปไม่ได้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 181
    18 พ.ย. 2568