ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1023
ตอนที่ ๑๐๒๓
สนทนาธรรม ที่ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ จ.ปทุมธานี
วันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๐
อ.คำปั่น สาระสำคัญของความเป็นชาวพุทธที่แท้จริงคืออย่างไร เพราะว่าแต่ละคนแต่ละท่านก็กล่าวอยู่เสมอว่า เป็นชาวพุทธ เป็นพุทธศาสนิกชน แต่ความจริงแล้วชาวพุทธที่แท้จริงคือใคร มีกิจหน้าที่ที่สำคัญอย่างไร
ท่านอาจารย์ ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เรื่องของธรรมกับการมีความสุขในการทำงาน จริงๆ แล้วทุกอย่างเป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ตลอด โดยที่เราไม่ทราบเลยสักอย่าง ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรม ด้วยเหตุนี้การศึกษาพระธรรมเป็นสิ่งซึ่งเป็นที่เคารพสูงสุด ถ้าศึกษาวิชาอื่นก็ไม่เหมือนกับการที่จะได้ศึกษาวิชาความรู้ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีทรงตรัสรู้แล้ว ทรงแสดงให้คนอื่นที่เห็นประโยชน์ได้รับฟังได้เข้าใจด้วย เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะฟังอะไรทั้งหมด ก็เพื่อความเข้าใจ ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ประมาท พระปัจฉิมวาจาสุดท้ายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่จะปรินิพพาน จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมหมายความว่าไม่ประมาทในทุกอย่าง ทุกคนก็เห็นได้ว่า ทุกอย่างดูเหมือนราบรื่น แต่เพียงความประมาทเล็กน้อยนิดเดียวก็ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างหมด
เพราะฉะนั้นจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมในทุกกรณี แม้แต่ในเรื่องของการฟังพระธรรมต้องไม่ประมาท บางคนอาจจะคิดว่าเคยได้ฟังมาแล้วมาก แต่ว่าฟังแล้วเท่าไหร่ตลอดชีวิตก็ยังไม่พอ เพราะเหตุว่าแต่ละคำมาจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นผู้ฟังตัองฟังเพื่อเข้าใจคำแต่ละคำซึ่งมีค่ามาก เพราะเหตุว่ากว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้ทรงตรัสรู้ก็ได้ทรงบำเพ็ญเพียร ด้วยพระบารมีนานมากกว่าจะได้ตรัสรู้แต่ละคำที่เราจะได้ฟัง แม้แต่คำว่าธรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ก็เห็นได้ว่ามีคำว่าธรรม แต่เข้าใจคำนี้ลึกซึ้งแค่ไหน คำว่าธรรม เราได้ยินคำว่าพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ รัตนะเป็นสิ่งที่ประเสริฐ เพราะสิ่งที่ประเสริฐ มีถึง ๓ คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นพระพุทธรัตนะไม่มีใครเปรียบได้เลย มีใครคิดจะเปรียบกับพระองค์ได้ไหม ถ้าคนนั้นคิด ก็เป็นคนที่ไม่รู้จักคำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวดาและพรหมกี่สากลจักรวาลก็ตามแต่ ก็ต้องนับถือบูชาในพระคุณของพระองค์ คือพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ ทั้งหมดเป็นธรรม
เพราะฉะนั้นธรรมคือสิ่งที่มีจริง พระพุทธรัตนะมีจริงโดยความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ เป็นหนึ่งไม่มีใครเปรียบได้เลย ทรงแสดงพระธรรม เพราะฉะนั้นพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงก็เป็นรัตนะด้วย เพราะฉะนั้นธรรมที่เราเคยได้ยินได้ฟังบ่อยๆ เป็นรัตนะหรือยัง เป็นสิ่งที่มีค่ามากไหม เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีการฟังเราไม่สามารถจะประมาณได้ว่า เรารู้จักธรรมแค่ไหน หรือว่าเราเห็นคุณของธรรมแค่ไหนแค่ธรรมคำเดียว เมื่อมีธรรมมีการตรัสรู้มีการทรงแสดงพระธรรม ก็มีผู้ฟังซึ่งผู้ฟังเข้าใจ เหมือนเราเดี๋ยวนี้กำลังจะได้ฟังพระธรรมจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อที่จะได้เข้าใจในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อจะได้อบรมประพฤติปฏิบัติ จนกระทั่งสามารถที่จะเป็นสาวกผู้ถึงความเป็นพระอริยสงฆ์เป็นสังฆรัตนะ
เพราะฉะนั้นทุกอย่างไม่ใช่เพียงเผินๆ แต่ว่าเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งละเอียด และก็ต้องเข้าใจจริงๆ ด้วยความเคารพ เช่นคำว่าธรรม มีใครจะตอบได้ไหมว่าขณะนี้อะไรเป็นธรรม เห็นไหม แค่คำว่าธรรม แล้วอยู่ไหน มีหรือเปล่า นี่คือเผิน เผินคือคิดว่าเข้าใจธรรมแล้ว ได้ฟังธรรมแล้ว แต่ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ สิ่งที่กำลังมีทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม
"เห็น"ขณะนี้เป็นธรรม "คิด"ขณะนี้เป็นธรรม "ได้ยิน"ขณะนี้เป็นธรรม เพราะฉะนั้นอะไรบ้างที่ไม่ใช่ธรรม "แข็ง"เป็นธรรม ทุกอย่างที่มีจริง นี่คือการเริ่มต้นที่จะรู้ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงทุกอย่าง ความจริงเป็นสิ่งที่มีจริงๆ มีลักษณะที่สามารถจะทำให้รู้ได้ว่าสิ่งนั้นมีจริง การศึกษาธรรมไม่ใช่ศึกษาเรื่องอื่นเลย ศึกษาเรื่องที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย แม้แต่การทำงานก็เป็นธรรม ไม่ทำงานก็เป็นธรรม สนุกก็เป็นธรรม โกรธก็เป็นธรรม ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมทั้งหมด แต่อะไรเป็นธรรมรัตนะ ต้องเป็นคุณความดีที่สามารถที่จะขัดเกลากิเลสจนกระทั่งรู้แจ้งอริยสัจธรรมหมดกิเลสได้ คุณความดีนั้นๆ จึงเป็นธรรมรัตนะ
การศึกษาธรรมหรือการฟังพระธรรม เริ่มจากการที่เราไม่รู้ เวลาที่ดิฉันเริ่มศึกษาธรรมก็เพราะว่าดิฉันไม่รู้ แต่ว่าเวลาที่ศึกษาธรรมแล้วก็รู้ว่าธรรมคืออะไร และก็ค่อยๆ เข้าใจ เพราะฉะนั้นในภาษาบาลีไม่มีคำว่าสวดมนต์ แต่มีคำว่าสาธยายหมายความว่าคำที่ได้ฟังแล้วเข้าใจแล้ว ถ้าเราลืมก็หายไป แต่ถ้าจำไว้แล้วคิดบ่อยๆ แล้วก็ไตร่ตรองแล้วนึกถึง ขณะนั้นก็จะทำให้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าได้ฟังคำว่าธรรม ได้ยินแล้วว่าธรรมคือทุกสิ่งที่มีจริง เห็นนึกได้แล้วว่านี่แหละคือสิ่งที่มีจริง ไม่ต้องใช้คำภาษาบาลีก็ได้ ได้ยิน ได้ยินนี่ก็ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ไม่ต้องใช้คำภาษาบาลีก็ได้
เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีความเข้าใจแล้ว แล้วเราก็ไตร่ตรองเป็นความเข้าใจขึ้นในภาษาไทยก็ได้ แต่ว่าชาวมคธใช้ภาษามคธี และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสธรรมกับชาวมคธในภาษามคธี ซึ่งเป็นภาษาที่ดำรงพระศาสนาสืบต่อมา จึงใช้คำว่าปาละหรือบาลีที่เราเรียกว่าภาษาบาลี เราก็เลยคิดว่า เราไปพูดคำสวดมนต์ แต่จริงๆ แล้วไม่ได้มีความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น
นโม ตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมา สัมพุทธัสสะ แต่ละคำ อิติปิโส ภควา อรหังสัมมา สัมพุทโธ และมนต์นี่อีกมากมายเลยใช่ไหม ที่สวดๆ กัน พูดคำที่ไม่รู้จักใช่ไหม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ประสงค์ให้ใครพูดคำที่ไม่รู้จักเลย ทุกคำที่ตรัสเพื่อให้คนได้เข้าใจไตร่ตรอง เพื่อปัญญาความเข้าใจจะได้เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เพราะเหตุว่าสิ่งที่ปรากฏนี่มากมายหลากหลายที่ทรงแสดง กว่าเราจะรู้ได้ว่าทั้งหมดนำไปสู่ปัญญา การที่จะรู้ความจริงจนถึงการประจักษ์แจ้งเป็นวิปัสสนาได้
ด้วยเหตุนี้ขอให้เข้าใจว่า ถ้าไม่รู้คำที่สวด พูดคำที่ไม่รู้จักถูกต้องไหม แต่ว่าเมื่อใดก็ตามที่เราเข้าใจคำนั้นแล้ว เราระลึกถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างน้อยที่สุด พระอรหันต์ทุกคนทราบว่า เป็นผู้ที่ดับกิเลสหมดสิ้น แต่ว่าไม่ใช่อรหันต์สาวกทั่วๆ ไป แต่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ความจริงด้วยพระองค์เองตามความเป็นจริง ถ้าเราจะคิดถึงความหมายมากกว่าคำแปล แต่ก็ตรงกันไม่ว่าจะพูดในภาษาไหน
ด้วยเหตุนี้สวดมนต์ก็คือว่าพูดคำที่ไม่รู้จัก ใครรู้จักคำที่สวดบ้าง เดี๋ยวนี้มีสวดมนต์แปล แต่ว่าเหมือนคนไทย เราอ่านภาษาไทยได้ แต่เราเข้าใจความหมายไหม พระไตรปิฎกแปลออกมาแล้วเป็นภาษาไทย ต้องศึกษาไม่ใช่ว่าเพียงอ่านแล้วจะเข้าใจได้
เพราะฉะนั้นเห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งว่า แม้คนไทยฟังภาษาไทยก็ยังจะต้องมีความเข้าใจในความหมาย โดยเฉพาะคำนั้นเป็นเรื่องของธรรม เช่นที่กล่าวถึงคำว่าธรรม ก็ต้องรู้ว่าหมายความถึงอะไร ด้วยเหตุนี้รู้แล้วใช่ไหม สวดมนต์คืออะไร จะสวดไหม หรือว่าคิดว่าเป็นบุญ พูดคำที่ไม่รู้จักกับฟังธรรมแล้วเข้าใจ อะไรเป็นบุญ บุญคือความดี การขัดเกลาการละความไม่ดี เพราะฉะนั้นเราจะไม่รู้เลยว่าเราไม่ดีแค่ไหน เพราะเราไม่รู้ แต่ว่าการขัดเกลาความไม่รู้เป็นบุญ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมเป็นบุญ และทุกคำที่ได้ฟัง ถ้ากลับจากภาษาไทยไปเป็นภาษาบาลีหรือภาษามคธี เหมือนเลยใช่ไหม ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาก็มี คุณคำปั่นพูดเป็นภาษาบาลี
อ.คำปั่น สัพเพ ธัมมา อนัตตา
ท่านอาจารย์ เห็นไหม สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เราไม่ต้องพูดคำนั้นก็ได้ แต่เราสวดใช่ไหม สัพเพ ธัมมา อนัตตา แต่รู้ไหมว่าหมายความถึงเดี๋ยวนี้ เห็นเป็นอนัตตา ได้ยินเป็นอนัตตา คิดนึกเป็นอนัตตา เป็นธรรมซึ่งเกิดด้บชั่วคราวแล้วก็หมดไปจากโลกนี้ จะมีปัจจัยที่ทำให้อยู่เป็นไปในโลกนี้เพียงเท่าที่มีปัจจัยที่จะทำให้ยังคงอยู่ในโลกนี้ได้ ธรรมเป็นเรื่องละเอียดมาก แม้แต่การเห็น ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเรา ใครก็ทำให้เห็นเกิดไม่ได้ ลองไปหาใครที่จะทำให้เห็นเกิด ถ้าไม่มีตา ไม่มีทางที่จะเห็นได้เลย ใครทำตาได้บ้าง นักวิทยาศาสตร์เก่งสักเท่าไหร่ แล้วทำตาได้ไหม เพราะเขาไม่รู้ว่าตาเกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย รูปที่ตัวทั้งหมด รูปที่เกิดจากกรรมก็มี รูปที่เกิดจากจิตก็มี รูปที่เกิดจากอาหารก็มี รูปที่เกิดจากอุตุก็มี ได้ยินคำว่ารูปก็เป็นคำใหม่อีกใช่ไหม ไม่ใช่รูปอย่างที่เราคิด แต่รูปหรือธรรมที่เป็นรูป หมายความถึง สิ่งที่มีจริงแต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย แข็ง แข็งมีจริงๆ แข็งไม่รู้ว่าใครจับ แข็งไม่คิด แข็งไม่หิว แข็งเกิดเป็นแข็ง แล้วก็ดับ
เพราะฉะนั้นละเอียดอย่างยิ่งคือธรรมทั้งหมด แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ถ้าศึกษาแล้ว ค่อยๆ รู้ว่าไม่มีเรา ไม่ใช่ของเรา เป็นเจ้าของเพียงแค่มีชีวิตอยู่ในชาตินี้เท่านั้นแล้วก็จากไป แต่ว่าไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลยจริงๆ เพราะฉะนั้นถ้ารู้อย่างนี้จะเป็นคนดีมีความสุขในการทำงานไหม ไม่ว่าจะงานในครัวหรืองานในโรงพยาบาลหรืองานที่ไหนก็ตามแต่ เพราะฉะนั้นทุกอย่างอยู่ที่ความเข้าใจถูก ถ้ามีความไม่รู้และการเข้าใจผิด ยึดถือว่า มีเราตัวเรา เราสำคัญ จะทุกข์มากเลย ด้วยเหตุนี้เรื่องธรรมเป็นเรื่องที่มากเท่าไหร่ก็ไม่จบ ไม่ว่าจะเช้าสายบ่ายค่ำ ฟังไปเข้าใจไปสะสมความเห็นถูกไปเรื่อยๆ ก็ยังไม่พอ จนกว่าจะถึงการประจักษ์แจ้งการเกิดดับของสภาพธรรม แต่อย่างไรก็ตาม ต้องเป็นผู้ตรงในขณะที่ได้ฟัง เพื่อที่จะได้ประโยชน์ในการที่จะได้เข้าใจธรรม และได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าพระองค์ตรัสไว้ว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ถ้าฟังคำของคนอื่นไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ แต่ว่าเมื่อมีความเข้าใจแต่ละคำ เริ่มรู้ว่า ทั้งหมดมาจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและทรงแสดง เพราะฉะนั้นตอบเองได้แล้วใช่ไหม การนั่งวิปัสสนากรรมฐานกับการสวดมนต์ คำถามว่าอะไรดีกว่ากันใช่ไหม คำตอบว่าอย่างไร ทุกคนมีโอกาสที่จะตอบ
อ.ธิดารัตน์ ก็ถ้าหากว่าเข้าใจว่าวิปัสสนาต้องนั่ง แล้วก็มีตัวเราที่ไปนั่ง นั่นก็ยังไม่ใช่วิปัสสนา เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับว่า ความเข้าใจถ้ามีความเข้าใจแล้ว อย่างที่ท่านอาจารย์ได้อธิบายแล้วว่าวิปัสสนาหมายถึงปัญญาที่รู้ทั่วถึงธรรม ถ้าไม่ได้มีการศึกษาธรรมเลย จะอบรมเจริญวิปัสสนาได้ไหม แล้วก็กล่าวถึงการสวดมนต์ ถ้าไม่ได้มีกุศลจิตเกิดในขณะที่เข้าใจในคำที่กล่าว จะเป็นประโยชน์หรือเปล่า เพราะฉะนั้นแต่ละท่านก็พิจารณาได้ด้วยตัวเอง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นลองพิจารณา การนั่งกรรมฐาน ผิด พูดคำที่ไม่รู้จักอย่างไรดี ทั้ง ๒ อย่าง ไม่ดีทั้งสองใช่ไหม ควรรู้จักคำที่พูด เพราะฉะนั้นไม่ได้ห้ามเลย ที่จะไม่ให้ฟังธรรมเข้าใจธรรม แต่ว่าให้ตรงและก็ให้ถูกต้องว่า ฟังธรรมก็คือฟังเพื่อความเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่ว่าพูดตาม แต่ไม่เข้าใจไม่มีประโยชน์เลย
ผู้ฟัง แล้วอย่างนั้น ถ้าความไม่รู้ของเราหรือรู้ไม่จริง จะทำลายพุทธศาสนาอย่างไร
ท่านอาจารย์ นั่งวิปัสสนากรรมฐานทำลายหรือเปล่า ไม่มีคำสอนให้นั่งทำวิปัสสนา เพราะวิปัสสนาเป็นความรู้ความเข้าใจที่เกิดจากการฟัง หนทางที่จะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมทรงแสดงไว้ครบถ้วน เริ่มจากสัมมาทิฏฐิ ต้องมีความเห็นถูกคือความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงๆ เพื่อปัญญาจะได้ประจักษ์แจ้งการเกิดขึ้นและดับไปที่มีจริงในขณะนี้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีสัมมาทิฏฐิไม่มีปัญญาความเห็นที่ถูกต้อง มีประโยชน์อะไร
อ.คำปั่น จากคำถามที่ผู้ฟังได้ถามท่านอาจารย์ที่กล่าวถึงว่า ความไม่รู้ทำลายพระพุทธศาสนาอย่างไร ซึ่งท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวเป็นเบื้องต้นว่าการนั่งวิปัสสนากรรมฐานทำลายพระศาสนาหรือเปล่า ซึ่งในความเข้าใจเบื้องต้นที่ท่านผู้ฟังได้ฟังมา ก็พอที่จะเข้าใจว่าวิปัสสนาคือปัญญาที่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในความเป็นจริงของธรรม ไม่ใช่การที่จะไปนั่งทำอะไรด้วยความไม่รู้ แต่ว่าทุกขณะก็คือมีธรรมเกิดขึ้นปรากฏ ปัญญาก็สามารถที่จะเข้าใจตามความเป็นจริงได้
ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้คนเข้าใจใช่ไหม ๔๕ พรรษาเสด็จไปสู่ที่ต่างๆ แว่นแคว้นต่างๆ ทรงแสดงพระธรรมมากมาย เพื่อให้คนมีความเข้าใจที่ถูกต้องแต่นั่งวิปัสสนากรรมฐานไม่ได้มีความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นการไปนั่งวิปัสสนากรรมฐาน ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า เพราะไม่ทำให้คนได้เข้าใจความจริง แต่ทุกคำของพระองค์ให้คนได้เกิดปัญญาของตนเอง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า วิปัสสนาคือปัญญาที่ประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ที่กำลังเกิดดับ แต่การไปนั่งทำ ทำลายปัญญาที่เกิดจากการค่อยๆ อบรมค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ ซึ่งเป็นการอบรมเจริญหนทางที่จะทำให้ประจักษ์แจ้ง ไม่ใช่เป็นการมีตัวตนที่ไปนั่งทำวิปัสสนา เพราะฉะนั้นคำสอนนั้นเป็นอัตตา ไม่ใช่ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ก็ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อ.ธิดารัตน์ แล้วก็อีกอย่างหนึ่งคือเขาไม่ได้มีการสอนตามพระธรรมที่จะให้เข้าใจธรรม เพราะว่าวิปัสสนาเป็นปัญญาที่รู้ธรรมแต่ละอย่าง ถ้าหากว่าผู้ที่ไปนั่งทำโดยไม่เข้าใจเลยว่าขณะนี้เป็นธรรมอย่างไร ก็ไม่มีทางที่จะเจริญวิปัสสนาได้ ก็เท่ากับทำลายคำสอนที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงไว้ว่า ต้องมีการศึกษาปริยัติก่อนแล้วถึงจะเป็นไปเพื่อการปฏิบัติ ปฏิบัติในที่นี้ก็คือปัญญาที่ทำกิจหน้าที่ ที่จะรู้ธรรมที่จากที่ศึกษามาแล้ว เพราะฉะนั้นทำลายทั้งปริยัติแล้วก็ทำลายทั้งปฏิบัติด้วย
ท่านอาจารย์ แล้วคนที่ไปนั่งทำวิปัสสนากรรมฐานรู้อะไร เห็นไหม ทำลายความหมายของคำว่าวิปัสสนา ทำลายความจริงของปัญญาระดับนั้น กลายเป็นไม่มีปัญญาอะไรเลย ไม่รู้อะไรเลย แต่ชวนกันไปนั่งวิปัสสนากรรมฐาน ทำลายคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงความจริงคือวิปัสสนา
อ.คำปั่น จากที่ได้ฟังตั้งแต่ตอนต้น ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงว่าสิ่งใดก็ตามที่ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วกล่าวว่านั่นเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือเป็นการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าอย่างที่ได้กล่าวในตอนนี้ ก็คือ นั่งวิปัสสนาไม่มีในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่มีการบอกการสอนว่าต้องนั่งวิปัสสนา วิปัสสนาต้องนั่ง นี่คือขัดแย้งกับคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยประการทั้งปวง เพราะว่าพระองค์ทรงแสดงว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น แม้ธรรมขณะนี้ก็เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ปัญญาก็สามารถรู้ตามความเป็นจริงได้ ถ้าผู้นั้นสะสมอบรมจากการได้ยินได้ฟังในเรื่องของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้จนปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้น เพราะฉะนั้นการที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรมในขณะนี้ ก็จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยนำไปสู่วิปัสสนาคือ ปัญญาที่เข้าใจธรรมอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง
ผู้ฟัง มีคำถามจากผู้เข้าร่วมอบรมถามว่า หลักธรรมใดที่ควรนำมาเป็นหลักเพื่อให้การทำงานแล้วมีความสุขไม่เบื่อหน่าย แม้จะประสบปัญหาหรือแม้แต่จะประสบความสำเร็จแล้วก็ตาม ซึ่งควบคุมไม่ได้และก็ไม่ยั่งยืน
ท่านอาจารย์ จะสำเร็จไหม ถามอย่างนี้แล้วตอบกันไปมากมายสักเท่าใดก็ตาม แต่จะสำเร็จไหมตราบใดที่ไม่รู้เหตุ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นได้ต้องมีเหตุ ความสุขก็ต้องมีเหตุที่จะให้เกิดความสุข ความทุกข์ก็ต้องมีเหตุที่จะให้เกิดความทุกข์ ใครไม่สามารถที่จะดลบันดาลได้เลย เพราะฉะนั้นการรู้ความจริงความเข้าใจที่ถูกต้องต่างหาก ที่จะทำให้มีความสุข ไม่ว่าที่ไหนกาลไหนเวลาไหน ไม่ใช่ว่าเวลาทำงานมีความสุข แต่เวลาอยู่บ้านมีความทุกข์ อย่างนั้นก็ไม่ใช่ประโยชน์ ประโยชน์จริงๆ ก็คือว่าสามารถที่จะมีความสุขได้ทุกกาล แต่ว่าจะเป็นอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าขาดปัญญาความเห็นที่ถูกต้อง ทฤษฎีของใคร จะสามารถเป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการประเทศไทย คนไทยหรือชาวต่างประเทศ หรือใครก็ตาม สารพัดนักจิตวิทยาหรืออะไรก็ตาม ใครรู้เท่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นทางตรงที่สุดก็คือว่าได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจะรู้ว่ามีความสุขกว่าการที่ไม่ได้ฟัง เพราะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เช่นรู้ว่านั่งวิปัสสนากรรมฐานไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่ไปนั่งใช่ไหม ไม่ทุกข์ใช่ไหม ไปนั่งนั่นทุกข์หรือสุข ใครไปนั่งแล้วเป็นสุขบ้าง สุขตรงไหน เพราะฉะนั้นทุกอย่างไม่ใช่ว่าจะได้อย่างใจหรือใครจะทำอะไรได้
เพราะฉะนั้นก็ต้องกลับไปสู่คำจริงตลอดกาลสมัยไม่ว่าอดีต อนาคต ปัจจุบันคือทุกสิ่งทุกอย่างธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา สุขก็ชั่วคราว หมดแล้ว มีเหตุปัจจัยก็เกิดทุกข์ มีเหตุปัจจัยก็เกิดสุข ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย ทุกอย่างต้องเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ถ้ารู้อย่างนี้จะเป็นสุขกว่าไหม และก็ไม่จำกัดด้วยว่าที่ไหนเฉพาะที่ทำงานก็สามารถจะมีความสุข แม้นอกที่ทำงานก็ได้ ถ้าคิดง่ายๆ สั้นๆ ธรรมดาธรรมดา ก็คือว่าคนดีอยู่ที่ไหนก็มีความสุขใช่ไหม แต่ว่าเป็นคนดียากหรือง่าย เห็นไหม แต่ว่าเราก็ต้องค่อยๆ พิจารณา ค่อยๆ ไตร่ตรอง คนดีอยู่ที่ไหนก็มีความสุขไม่เดือดร้อน แต่การเป็นคนดียาก
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1021
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1022
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1023
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1024
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1025
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1026
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1027
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1028
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1029
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1030
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1031
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1032
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1033
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1034
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1035
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1036
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1037
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1038
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1039
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1040
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1041
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1042
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1043
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1044
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1045
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1046
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1047
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1048
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1049
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1050
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1051
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1052
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1053
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1054
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1055
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1056
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1057
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1058
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1059
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1060
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1061
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1062
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1063
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1064
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1065
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1066
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1067
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1068
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1069
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1070
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1071
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1072
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1073
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1074
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1075
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1076
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1077
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1078
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1079
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1080
