ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1071


    ตอนที่ ๑๐๗๑

    สนทนาธรรม ที่ กนกรัตน์รีสอร์ท อัมพวา จ.สมุทรสงคราม

    วันที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ วิปัสสนาคืออะไร สมถะคืออะไร ก่อนที่จะสนทนาเรื่องอะไรทั้งหมด ต้องรู้ทีละคำให้ชัดเจน ไม่ใช่ว่าเราคิดว่าเราเข้าใจแล้ว แต่เราเข้าใจอย่างไรก็ต้องสนทนากันให้เป็นที่เข้าใจว่าถูกหรือผิด เพราะฉะนั้น วิปัสสนาคืออะไร

    อ.ธิดารัตน์ วิปัสสนา หมายถึงปัญญาที่รู้แจ้ง

    ท่านอาจารย์ แล้วสมถะ

    อ.ธิดารัตน์ หมายถึงความสงบ

    ท่านอาจารย์ แล้วการอบรมเจริญสมถภาวนา ต้องแต่ละคำ

    อ.ธิดารัตน์ ก็หมายถึงว่า อบรมความสงบให้เจริญขึ้นจนถึงระดับฌาณต่างๆ

    ท่านอาจารย์ แล้วสติปัฏฐาน

    อ.ธิดารัตน์ สติปัฏฐาน คือการรู้ลักษณะของธรรม

    ท่านอาจารย์ แต่ละคำต้องเข้าใจกันถึงจะสืบต่อไปได้ ถ้าไม่มีสติระดับที่ประกอบด้วยปัญญาที่มีความเข้าใจธรรม สามารถที่จะเป็นสติปัฏฐานได้ไหม

    อ.ธิดารัตน์ ก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เราไม่รีบร้อนที่จะคิดหรือจำคำ แลัวก็ไม่เข้าใจชัดเจน แต่ต้องเข้าใจว่า สมถะได้แก่อะไร แล้วก็วิปัสสนาคืออะไร ความเข้าใจขณะนี้เป็นวิปัสสนาหรือเปล่า

    อ.ธิดารัตน์ ยังไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ เป็นสมถะหรือเปล่า

    อ.คำปั่น ถ้าพูดถึงความสงบก็คือกล่าวถึงว่า กุศลก็สงบ ถ้ากล่าวถึงความหมาย

    ท่านอาจารย์ กุศลอะไรสงบ โสภณเจตสิกทั้งหมดสงบ แต่ที่เป็นสมถะ คือสภาพที่สงบระงับ ได้แก่เจตสิกอะไร ทุกคนเพ่งไปที่สมาธิ

    อ.ธิดารัตน์ ถ้าพูดถึงเจตสิกก็เป็น กายปัสสัทธิ จิตปัสสัทธิเจตสิก

    ท่านอาจารย์ สมาธิไม่ใช่ความสงบ เป็นเอกัคคตาเจตสิก ตั้งมั่น เพราะฉะนั้น สงบต้องเป็นเจตสิกอื่นคือ ปัสสัทธิ ได้แก่ กายปัสสัทธิเจตสิก จิตปัสสัทธิเจตสิก เห็นไหมว่าถ้าจะศึกษาธรรมให้เข้าใจถึงกับที่จะคลายความเป็นเราเพราะรู้ขึ้น เข้าใจขึ้น ละเอียดขึ้น ค่อยๆ ชำระความที่ไม่เคยฟังมาก่อน แล้วก็ยึดมั่นในความเป็นตัวตน เมื่อฟังแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะหมดความเป็นตัวตน แต่คลายความที่เคยไม่รู้ในสิ่งที่เป็นจริงว่าไม่ใช่เรา จนกระทั่งรู้ขึ้นเข้าใจขึ้น ละเอียดขึ้นเมื่อไหร่ ขณะนั้นก็รู้ความประสงค์ว่าเราฟังเดี๋ยวนี้ เป็นเราหรือเปล่า เป็นปัญญาในขณะที่เข้าใจ ค่อยๆ สะสมไปใช่ไหม

    นี่คือวิปัสสนาภาวนา แต่ยังไม่ถึงวิปัสสนา ต้องเข้าใจแต่ละคำให้ชัดเจนว่า ภาวนา คือการอบรมเพื่อการรู้แจ้งสภาพธรรม ซึ่งก็ต้องมาจากการฟังปริยัติก่อน

    เพราะฉะนั้น ปริยัติก็เป็นธรรมรัตนะด้วย ต้องค่อยๆ เข้าใจว่าอะไรที่ประเสริฐ ประเสริฐอย่างไร มากน้อยแค่ไหน ค่อยๆ เป็นไปอย่างไร ขณะใดที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นสงบชั่วคราวเล็กน้อยสั้นมาก ผู้ที่มีปัญญาเห็นประโยชน์ของความสงบจากอกุศล แต่ไม่สามารถที่จะรู้ว่าขณะนี้ไม่ใช่เรา ก่อนการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาก็สามารถที่จะอบรมความสงบซึ่งเป็นสมถภาวนา จนกระทั่งจิตสงบขึ้นๆ ๆ จนถึงระดับขั้นที่เป็นฌานจิต เพราะอะไร ทุกอย่างก็มีกำกับไว้หมด

    ถ้าเราไม่ศึกษาธรรม เราได้ยินชื่อ เขาได้ฌาน เรารู้ไหมว่าเขาได้อะไร ไม่มีทางรู้เลย เขาก็บอกเขาได้ฌาน บางคนยังคิดว่าเขาเหาะได้ด้วยซ้ำไป อวดอ้างอย่างนั้นก็ได้ใช่ไหม หรือบางคนก็บอกเป็นพระอรหันต์แล้ว เราก็ไม่รู้ว่าอรหันต์เป็นอย่างไร แต่ถ้ารู้ ก็จะรู้ได้เลยว่าเป็นหรือไม่เป็น พระอรหันต์จะบอกใครไหม แล้วบอกทำไม

    อ.คำปั่น เพราะฉะนั้น ต้องศึกษาจริงๆ จึงจะมีความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความจริง เพราะว่าผู้ที่เป็นชาวพุทธก็คือ ผู้ที่นับถือ เคารพในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องเป็นผู้ที่ได้ฟังคำสอนที่พระองค์ทรงแสดง ถ้าหากว่าไม่ได้ฟังคำสอนของพระองค์ก็คือ ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง และมีใครเป็นที่พึ่งก็คือ มีคนอื่นเป็นที่พึ่ง มีเจ้าสำนักต่างๆ เป็นที่พึ่ง สอนให้ไม่รู้ สอนให้มีความเห็นผิด สอนให้ติดข้องมากขึ้น ซึ่งก็เป็นโทษเท่านั้นจริงๆ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็ต้องพิจารณาคำพูดของท่านผู้หนึ่งที่ท่านกล่าวว่า สมัยนี้คนนับถือพระ แต่ไม่นับถือพระธรรม


    สนทนาธรรม ที่ บริษัทเชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด

    วันที่ ๑๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐


    ผู้ฟัง จะขอเริ่มการสนทนาภายใต้หัวข้อ มรดกอันล้ำค่าของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (The Bequeathed Gift from Buddha) เพื่อให้พวกเราได้เข้าใจว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือใคร และท่านสอนอะไร

    ท่านอาจารย์ มีเวลาน้อย เพราะฉะนั้น ก็คงจะเป็นการสนทนาธรรมเพื่อที่จะได้มีความเข้าใจจริงๆ แม้แต่คำว่า มรดก ได้ยินคำว่า มรดกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยากรับไหม หรือลังเล จะรับดีหรือไม่ดี เพราะว่าไม่ใช่มรดกของใครเลย หามรดกใดเปรียบไม่ได้ เพราะเหตุว่าเป็นมรดกของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คนรับต้องสามารถรับได้ บางท่านไม่สามารถที่จะรับได้ ก็แสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่ว่าทุกคนจะรับได้ เพราะมรดกนี้เป็นรัตนะที่ประเสริฐยิ่งกว่ารัตนะใดๆ ทั้งสิ้น มีค่ามหาศาลแต่ว่ามองไม่เห็น ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า มรดกนั้นจะเป็นเพชรนิลจินดา หรือเป็นอะไรสักอย่างที่ดูล้ำค่ามาก แต่ว่าจะรู้ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรม

    เพราะฉะนั้น แต่ละคำมีความหมายลึกซึ้งอย่างยิ่ง พร้อมจะรับไหม

    มรดกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ง่าย แต่ว่าถ้าได้รับแล้วจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง สำหรับในชาตินี้และในชาติต่อๆ ไปในสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้น ล้ำค่าจริงๆ เพราะเหตุว่าบางคนไม่มีโอกาสที่จะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ฟังคำของคนอื่นมามาก ตั้งแต่เด็กก็ฟังคำของครู แล้วก็โตขึ้นเข้ามหาวิทยาลัยฟังคำครูบาอาจารย์ หลังจากนั้นก็ยังแสวงหาคำอื่นๆ จากหนังสืออื่นๆ และคนอื่นๆ ทั้งหมด ซึ่งไม่ใช่คำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าเป็นคำที่เมื่อได้ฟังก็เข้าใจได้ ในภาษาของเรา เราได้ยินคำอะไร เราก็เข้าใจได้

    เพราะฉะนั้น ทุกคนต้องคิดไตร่ตรอง พร้อมที่จะรับมรดกไหม ถ้ารับ ต้องเป็นคนที่อดทน เพราะว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ง่ายสักคำเดียว คำเดียวก็ไม่ง่าย และเราก็พูดคำที่เราไม่รู้จักตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติ ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหมว่ามรดกนี้ล้ำค่า แต่ยากและลึกซึ้ง แต่ว่ารับได้

    จากการที่ไม่เคยคิดว่า จะมีใครที่สามารถที่จะทำให้สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในโลกนี้เกิดได้ นั่นคือปัญญา ความเห็นที่ถูกต้องในสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย ในครั้งโน้นผู้ที่เกิดมีชีวิตอยู่ในพระนครสาวัตถี หรือที่ไหนก็ตาม คนที่ไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มี คนที่ไม่ไปก็มี ก็แสดงให้เห็นความหลากหลายว่า ไม่ใช่ทุกคนจะไปที่จะได้รับมรดกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้น เมื่อคนเหล่านั้นได้ทราบว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับที่ไหน เขาไปหา ไม่ได้เมินเฉยเลย ไปหาเพื่ออะไร ได้ฟังคำ โดยการเข้าไปใกล้ไม่ใช่เพียงแต่ไปเห็น เพราะเหตุว่า คนที่พระนครสาวัตถีเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อเสด็จบิณฑบาต แต่ไม่เข้าใจ เพียงผ่านเพียงพบ แต่เข้าไปใกล้เพื่อได้ยินได้ฟังคำซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิต

    เพราะฉะนั้น แต่ละคำเป็นคำที่ลึกซึ้ง ถ้าไม่เข้าใจ ไม่ไตร่ตรอง จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย พิสูจน์ได้เลย เคยได้ยินได้ฟังคำว่าธรรมใช่ไหม พระรัตนตรัยมี ๓ คือ พระพุทธรัตนะหนึ่ง พระธรรมรัตนะหนึ่ง พระสังฆรัตนะหนึ่ง

    สำหรับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงได้ฟังว่าเป็นผู้ที่ประเสริฐที่สุดเหนือบุคคลใด ไม่มีใครเปรียบได้เลยในสากลจักรวาล ฟังแล้วเหมือนเหลือเชื่อ แม้เทวดาและพรหมก็ยังต้องมาเฝ้านมัสการ กราบทูลถามปัญหา แสดงให้เห็นว่า ใครจะมีปัญญามากมายสักเท่าไหร่ก็ตาม แต่เมื่อรู้ว่ามีผู้ที่ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่คิดว่าตนเองรู้ก็ยังรู้สึกตัวว่าไม่รู้ จึงได้มาเฝ้า และก็ทูลถามปัญหาต่างๆ

    เราได้ยินเพียงแค่นี้ ยังไม่รู้เลยว่าตรัสรู้อะไร สอนว่าอะไร แต่ก็กราบไหว้บูชา ชาวพุทธทุกคนก็คงจะเคยได้กราบไหว้พระพุทธรูป แต่ว่ายังไม่ได้ฟังคำของพระองค์ เพียงแต่คิดว่าคือ ผู้นี้ที่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งความจริงรูปใดๆ ไม่ว่าพระพุทธรูปจะกี่รูปก็ตามในสากลจักรวาล ไม่ใช่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ เพราะเหตุว่า พระพุทธรูปไหนจะมีพระปุริสลักษณะ ซึ่งเสมอเหมือนกับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่พระเนตรของพระองค์ก็ไม่มีใครที่จะเปรียบได้เลย ทุกอย่างหมดเลย นี่แสดงให้เห็นถึงแม้แต่ในรูปร่างกายก็ต่างกับบุคคลอื่นทั่วไป แล้วคำของพระองค์ซึ่งเกิดจากการที่ได้ตรัสรู้จะประเสริฐกว่านั้นสักแค่ไหน

    เพราะฉะนั้น สำหรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่รู้ แล้วก็ทรงแสดงพระธรรมที่ได้ทรงตรัสรู้แล้ว เพื่อที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย เป็นพระมหากรุณาอย่างยิ่ง มิฉะนั้นแล้วโลกมืดไปตลอด เพราะเหตุว่าไม่มีแสงสว่างที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีได้เลย ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เคารพในการศึกษาเพราะรู้ว่าเราเป็นใคร พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร ห่างกันเปรียบไม่ได้เลย ถ้าเราอยู่ที่พื้นเป็นฝุ่นละออง พระองค์ก็เหนือฟ้าสุดที่จะประมาณได้ เพราะฉะนั้น คำแต่ละคำคิดว่าจะเข้าใจได้ง่ายๆ หรือ

    ถ้าเป็นคำธรรมดาที่เราเคยได้ฟังแล้วก็เข้าใจได้ ถึงแม้ชาวโลกจะศึกษาวิชาการสักเท่าไหร่ก็ตาม คนอื่นก็ยังศึกษาตามได้ มีความเข้าใจเพียงเท่านั้น แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละคำต้องไตร่ตรอง และเป็นผู้ตรงต่อความจริง เป็นผู้ที่มีเหตุผล เพราะเหตุว่าสิ่งที่มีจริง เราคิดว่าเรารู้ เราเข้าใจวิชาการใดๆ ทั้งสิ้นสักเท่าไหร่ ความรู้นั้นเปรียบไม่ได้กับความเข้าใจทุกสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้น แต่ละคำเป็นคำที่ควรเคารพในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะต้องศึกษา และไม่ใช่เชื่อเเต่ต้องไตร่ตรอง จากการไม่รู้เป็นความรู้ของตัวเองขึ้น นี่คือมรดก จะรับไหม

    ถ้ารับก็คือ เริ่มฟังพระธรรม ไม่ใช่คำของคนอื่น เพราะคำของคนอื่นตอบอะไรไม่ได้ ตอบไปได้ไม่กี่ประโยคก็ไม่รู้แล้ว แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำจะลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งผู้นั้นสามารถที่จะค่อยๆ เห็นความลึกซึ้งของพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งไม่สามารถที่จะประมาณได้หรือคิดได้เลย

    แม้แต่คำแรกที่ได้ฟังคือธรรม พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม แล้วธรรมคืออะไร เผินไหม ตอบได้ไหม ธรรมคืออะไร ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ก็เริ่มมีปัญญาเกิดขึ้นแล้วว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่มีธรรม หรือธรรมไม่มีจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้อะไร ก็ไม่มีที่จะตรัสรู้ แต่สิ่งที่มีจริงนี้เอง ทุกอย่างที่จริงเป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ โดยที่คนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้เลย ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระองค์

    เพราะฉะนั้น ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้มีไหม เริ่มรับมรดก ๔๕ พรรษา นี่เพียงคำเดียว สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้มีไหม ต้องมี สิ่งที่มีจริงก็ต้องมีจริงๆ ตลอด ถ้าอะไรที่มีเดี๋ยวนี้ จะบอกว่าไม่จริงได้ไหม ก็ไม่ได้ ก็มี แต่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มี

    ด้วยเหตุนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงทุกอย่าง เพราะฉะนั้น ธรรม ก็เป็นภาษามคธี ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงแสดงกับชาวมคธ เหมือนกับเราคนไทยก็พูดภาษาไทยกัน เราไม่พูดภาษาอื่นเพื่อที่จะได้เข้าใจแต่ละคำ

    ชาวมคธไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรม คนไทยฟังคำเดิมคือภาษาไทย แต่ต้องฟังให้เข้าใจด้วยว่า แต่ละคำหมายความว่าอะไร เพราะฉะนั้น คำว่าธรรมไม่ใช่ภาษาไทย แต่เป็นภาษามคธีซึ่งดำรงพระศาสนามาตลอด จึงใช้คำว่าปาละ หรือคนไทยก็เรียกสั้นๆ ว่าบาลี เปลี่ยน ป เป็น บ แล้วก็ตัดคำสุดท้ายออกเป็นภาษาไทย อย่างสุขขะ คนไทยก็บอกว่าสุข ทุกขะ คนไทยก็บอกว่าทุกข์ จิตตะ คนไทยบอกว่าจิต ตัดหมดเลย แต่ก็ให้ทราบด้วยว่า แท้ที่จริงก็มาจากภาษาที่พระองค์ตรัสกับผู้ที่ได้ไปเฝ้าฟังธรรมในครั้งนั้น

    เพราะฉะนั้น ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้ก็มี แต่ว่าต้องค่อยๆ เริ่มคิด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ทุกสิ่ง ไม่เว้น คำว่า ทุกสิ่ง คือไม่เว้นอะไรเลยทั้งสิ้น ซึ่งสิ่งที่มีจริงทุกกาลสมัยก็เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้แล้ว และเป็นสิ่งที่มีจริง ที่ผู้ฟังสามารถที่จะไตร่ตรอง ฟังและก็เริ่มเข้าใจให้ถูกต้องโดยไม่ประมาทตั้งแต่ต้นว่า สิ่งที่มีจริงทั้งหมด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้ความจริงของสิ่งนั้น เเล้วใครสามารถจะพรรณาสิ่งที่มีจริงได้จบสิ้นไหม ในห้องนี้อะไรมีจริง มากมายเลยใช่ไหม ข้างนอกอีก ทั้งประเทศอีก ทั้งโลกอีก นอกโลกอีก สิ่งที่มีจริงต้องเป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งเกิด ถ้าไม่เกิดจะปรากฏไหม ไม่ปรากฏ

    ดังนั้นสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ เกิดแน่นอนจึงมีจริง ใครรู้ ในขณะที่สิ่งนั้นจากไม่มีเลย แล้วก็เกิดมี เห็นการเกิดหรือเปล่า ไม่เห็นใช่ไหม แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงจึงได้ตรัสว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นล้วนดับไปเป็นธรรมดา ใครรู้ ขณะนี้ สิ่งใดสิ่งหนึ่งในห้องนี้มีตั้งหลายอย่าง แม้แต่สิ่งเดียวคือ ดอกไม้หนึ่งดอก นี่มีหลายดอกแล้วใช่ไหม แต่เฉพาะหนึ่งดอกต้องเกิดไหม ต้องเกิด เกิดแล้วดับไหม ดับ แต่ไม่เห็นการเกิดดับ

    เริ่มฟัง เริ่มรับมรดก ค่อยๆ ไตร่ตรองว่า เป็นไปได้หรือ ที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ขณะนี้ปรากฏเหมือนไม่ดับเลย แต่ผู้ที่ทรงตรัสรู้ ตรัสรู้ความละเอียดอย่างยิ่ง แม้แต่ดอกไม้ดอกหนึ่ง ถ้าไปย่อยแตกละเอียดยิบ ยังเหลือความเป็นดอกไม้ทั้งดอกไหม ไม่มีดอกไม้แล้ว แต่ก็ยังมีสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ ซึ่งรวมกันแล้วเป็นดอกไม้ ฉันใด แต่ละคนที่นั่งอยู่ที่นี่แตกย่อยทำลายได้ไหม ละเอียดยิบ แต่ว่าเมื่อมารวมกันก็สำคัญว่าเป็นคนหนึ่ง เหมือนกับดอกไม้ดอกหนึ่ง โต๊ะตัวหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแต่ละหนึ่ง

    แต่หารู้ไม่ว่า กว่าจะเป็นแต่ละหนึ่ง สิ่งที่ละเอียดอย่างยิ่งที่มารวมกัน ทำให้เห็นรูปร่างสัณฐานเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แท้ที่จริงเป็นแต่ละหนึ่งซึ่งต่างกัน ใครจะรู้ นี่คือพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแค่คำเดียว ยังไม่ถึงไหนเลย ๔๕ พรรษา แต่ใครจะให้คนอื่นได้สามารถรู้ความจริง จนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจถูกต้องว่าไม่ว่าอะไรก็ตาม แม้แต่ร่างกายของเรา คิดดู จากไม่มี ยังไม่ได้เกิดขึ้น ก็ต้องเกิดใช่ไหม ไม่เกิดจะมีหรือ

    ตั้งแต่เกิด ที่ว่าเราเกิดก็คือ มีสิ่งที่มีจริงซึ่งหลากหลายอย่างไรก็ตาม รวมเรียกว่าธรรม คือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงมากมายประมาณไม่ได้เลย แต่ก็สามารถจำแนกตามประเภทของความจริงของสิ่งนั้นว่า สิ่งที่มีจริง เกิดจริง มีจริง แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ไม่รู้สึก ไม่ทุกข์ ไม่สุข ไม่หิว ไม่โกรธ มีไหม แข็งเป็นแข็ง แข็งหิวไหม แข็งโกรธใครหรือเปล่า ใครไปทุบ ไปตี ไปจับแข็ง แข็งก็ไม่รู้สึกอะไรเลย

    ดังนั้นต่อไปนี้ใช้คำว่า ธรรม สำหรับทุกอย่างได้ เพราะเหตุว่าทุกอย่างที่มีจริงๆ เป็นธรรม ซึ่งธรรมแต่ละหนึ่งมีสภาวะ ภาวะคือความเป็น ซึ่งแสดงความเป็นจริงของสิ่งนั้น เช่น แข็งเป็นแข็ง เป็นอื่นไม่ได้เลย สภาวะของความแข็งดำรงความแข็งไว้ เพราะฉะนั้น จะใช้คำว่าธรรม คือสิ่งที่มีจริง หรือ ธา-ตุ ธาตุ ความหมายเหมือนกัน แต่แสดงความละเอียดยิ่ง

    เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหมด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความละเอียดยิ่งของธรรมนั้นๆ แต่ละหนึ่ง โดยประการทั้งปวง เพื่อให้รู้ความจริงว่าใครรู้บ้างว่า แท้ที่จริงไม่มีอะไร แล้วก็มีเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป ไม่เหลือเลยแม้แต่เดี๋ยวนี้ โดยสิ่งที่ปกปิดไว้ก็คือ การเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วสุดที่จะประมาณได้ของทุกอย่าง ซึ่งกำลังปรากฏเหมือนว่าไม่ได้มีอะไรดับหายไปเลยสักอย่างเดียว นี่คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เริ่มรู้ เริ่มรับมรดก มรดกนี้มีมาก แต่ว่าเพิ่งได้นิดเดียว ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ แต่จะรับได้มากกว่านี้อีก เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ แล้วก็จะเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ว่าพระองค์ปรินิพพานแล้ว ไม่มีพระรูปกายที่ใครจะเห็นได้อีกต่อไป แต่ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา คือผู้หนึ่งผู้ใดก็ตามที่เข้าใจธรรม ผู้นั้นรู้เลย มีบุคคลหนึ่ง ซึ่งไม่มีบุคคลใดจะเปรียบปานได้เลยคือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ขณะนี้ พระพุทธรัตนะประเสริฐสุดคือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมรัตนะ ธรรมคือสิ่งที่มีจริงจากการที่ได้ทรงตรัสรู้ ก็ทรงแสดงความจริงของธรรมนั้นให้คนอื่นได้มีโอกาสได้รู้ด้วย จนกระทั่งจากไม่รู้เลย เป็นรู้ขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ตรงตามที่ได้ฟัง น่าอัศจรรย์ไหม ที่สามารถจะประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมขณะนี้ว่า หนึ่งไม่ใช่รวมกันอย่างนี้ เกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้น ก็ละความติดข้องยึดถือว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ด้วยเหตุนี้ก็เริ่มเข้าใจคำต่อไป ธรรมทั้งหลาย สัพเพ ธัมมา เป็นอนัตตา ภาษาไทยเราได้ยินไหม ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่ไม่มีใครบอกเลยว่า ธรรมคืออะไร และก็เป็นอนัตตาอย่างไร

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 181
    6 ส.ค. 2568