ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1041
ตอนที่ ๑๐๔๑
สนทนาธรรม ที่ บ้านคุณขจีรัตน์ แก้วทานัง
วันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ ถ้ารู้จักได้ยินหมายความว่า ขณะนั้นเข้าใจในความเป็นธาตุรู้ ได้ยิน ได้ฟังว่า ธรรมมีสองอย่าง นามธรรม กับ รูปธรรม รูปธรรมไม่รู้อะไรเลย แต่นามธรรมเป็นธาตุรู้ ต้องรู้ แต่กำลังได้ยิน แต่ว่าได้ยินเป็นอะไร ได้ยินเป็นธาตุรู้ เป็นนามธรรม แต่ยังไม่รู้ ในความเป็นธาตุรู้ ซึ่งไม่ใช่เรา นี่ค่ะ คือสิ่งที่ได้ยิน ได้ฟังตั้งแต่ต้นนะคะ ปัญญาค่อยๆ เข้าใจขึ้นค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ จนสามารถที่อวิชชาเบาบาง ประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมตรงตามที่ได้ยิน ได้ฟัง ได้เข้าใจ โดยไม่ต้องเรียกชื่อเลย เดี๋ยวนี้ธรรมทั้งหมด นะคะ ฟังไป เข้าใจไป ละความหวัง ละความติดข้อง ความหวังมีไหมคะ
ผู้ฟัง มีค่ะ จูงไปทุกวัน เลยคะ
ท่านอาจารย์ ดีไหม
ผู้ฟัง ไม่ดีค่ะ
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นธรรมที่ดีก็มี ธรรมที่ไม่ดีก็มี และยังมีธรรมที่ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ไม่ใช่ทั้งดี และไม่ดี ก็มี นี่คือการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนกว่าคนฟังจะมีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง มั่นคง รอบรู้ ไม่ว่าจะเอ่ยถึงคำว่าธรรมเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะเอ่ยถึงคำว่าธาตุเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะเอ่ยถึงคำไหนนะคะ ก็รอบรู้ในความเป็นสิ่งนั้น มั่นคงเป็นสัจจญาณ กว่าจะถึงปฎิปัตติ ซึ่งคนไทยใช้คำว่า ปฏิบัติ เพราะฉะนั้นขณะนี้นะคะ ถ้าใครจะปฏิบัติธรรมถูกหรือผิด
ผู้ฟัง ผิดค่ะ
ท่านอาจารย์ ค่ะ ชัดเจนดีไหมคะ นี่คือสิ่งที่เราจะต้องเข้าใจอย่างมั่นคงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่ใช่ของใครด้วย ไม่มีเรา ไม่ใช่ของเรา แต่เป็นธรรม ต้องเข้าใจอย่างนี้ก่อนนะคะ ตามลำดับขั้น โดยการพิจารณาเพื่อที่จะเป็นความเข้าใจว่า จริงไหม ธรรมมีจริงๆ สิ่งที่มีจริงนะคะ เรากำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริง เราไม่ต้องใช้คำว่าธรรมก็ได้ แต่ว่าเรากำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริง
เพราะฉะนั้นทุกคนต้องเข้าใจว่า สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ มีไหม และอะไรมีจริง ต้องมีความรู้ความเข้าใจ ต้องเป็นการคิด การไตร่ตรอง และเป็นการยอมรับในสิ่งที่ถูก ถูกก็คือถูก สิ่งที่ผิดก็ต้องผิด ไม่รู้กับรู้ ก็ต้องต่างกัน รู้ คือสามารถที่จะกล่าวถึงสิ่งนั้น โดยละเอียดยิ่ง ลึกซึ้งอย่างยิ่ง โดยประการทั้งปวงถึงที่สุด นั่นคือความรู้ความเข้าใจตัวธาตุจริงๆ ซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ถ้าไม่รู้ก็คือ เราก็รู้ว่า ไม่รู้ใช่ไหมคะ ไม่รู้มีจริง ไม่ใช่เราด้วย
ภาษาธรรมใช้คำว่า อวิชชา หมายความว่าไม่รู้ ไม่สามารถเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ใช้คำว่า โมหะ หมายความว่า ลุ่มหลง ไม่สามารถที่จะเข้าถึงความจริงได้ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้นะคะ ธรรมก็ต้องเป็นธรรม แต่ว่าไม่ใช่ของใครเลยสักคน ไม่ใช่ของหมอ ไม่ใช่ของคนนั้น ไม่ใช่ของคนนี้ แต่เป็นธรรมที่เสมอกันหมด ธรรมแต่ละหนึ่งก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง
ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์ บอกเห็นเป็นจิต
ท่านอาจารย์ เรากำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริง ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่ค่ะ
ท่านอาจารย์ ค่ะ และสิ่งที่มีจริงนั้น เป็นธรรมในภาษาบาลี
ผู้ฟัง ใช่ค่ะ
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่พูดถึงภาษาบาลี ก็เห็นมีจริงๆ กำลังเห็น
ผู้ฟัง ค่ะ
ท่านอาจารย์ ก็กล่าวว่าเป็นธรรม คือ สิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ เมื่อใช้คำว่าธรรม นะคะ ก็รู้ว่าเรากำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริง เห็นเป็นธรรม เพราะมีจริง เห็นมีจริง ไม่ต้องใช้คำว่าธรรมก็ได้ ไม่ต้องใช้คำอะไรเลยทั้งสิ้นก็ได้
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น ถ้าบอกว่าสภาพรู้เป็นธาตุ
ท่านอาจารย์ สภาพรู้มีไหม
ผู้ฟัง มีค่ะ
ท่านอาจารย์ แล้วยังไงคะ
ท่านอาจารย์ มี เป็นเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ใช่ค่ะ
ท่านอาจารย์ เป็นอะไร
ผู้ฟัง ก็เป็นสิ่งที่มีจริงเป็นธาตุ
ท่านอาจารย์ เป็นสิ่งที่มีจริง คือ รู้ มีรูปร่างไหม
ผู้ฟัง ไม่มีค่ะ
ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้นเกิดรู้ มีจริง แล้วแต่ว่าจะรู้อะไร ถ้ารู้ว่าดอกไม้สีแดงนี่ ใช่ไหม ก็มี หรือว่าก่อนที่จะรู้ว่าดอกไม้สีแดง ก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นก่อน มีไหม
ผู้ฟัง มีค่ะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นมีธาตุสองอย่างใช่ไหม สิ่งที่มีจริงจะใช้คำว่าธรรม หรือ ใช้คำว่า ธาตุก็ได้ นะคะ เพราะคำว่า ธาตุ หรือ ธา ตุ หมายความว่า ทรงไว้ซึ่งลักษณะนั้น เปลี่ยนไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จะใช้คำว่าสิ่งที่มีจริงเป็นธรรมก็ได้ เป็นธาตุแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งก็ได้ ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นเห็นเป็นธาตุหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ มีสิ่งที่ถูกเห็นไหม
ผู้ฟัง มีค่ะ
ท่านอาจารย์ ตอนนี้ทุกคนรู้ว่าจิตคือสภาพรู้ที่ใช้คำว่าเป็นใหญ่เป็นประธาน ในการรู้ เพราะอะไรจึงต้องใช้คำว่าเป็นใหญ่เป็นประธาน เพราะมีสภาพรู้ที่เกิดพร้อมกับจิต ทำหน้าที่ แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เป็นใหญ่เป็นประธาน ด้วยเหตุนี้นะคะ สภาพที่เกิดพร้อมจิต รู้ด้วยแต่ไม่ใช่จิตนะคะ ใช้คำว่าเจตสิก
ภาษาบาลีต้องออกเสียงว่า เจ ตะ สิก กะ แต่เราพูดว่าเจตสิก เป็นธาตุรู้ ไม่มีรูปร่างเหมือนจิต แต่เกิดขึ้นต้องรู้ แต่ไม่ใช่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ใช้คำว่ารู้แจ้ง ไม่เปลี่ยนเลย ชัดเจนในสิ่งนั้น ประจักษ์แจ้งในสิ่งที่ปรากฏ ส่วนเจตสิกรู้สิ่งเดียวกัน จิตรู้อะไรเจตสิกก็รู้สิ่งนั้นนะคะ เป็นธาตุรู้ แต่ไม่ใช่เป็นใหญ่ เป็นประธาน แต่ต้องเกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต จิตและเจตสิกต่างอาศัยกันและกันเกิดขึ้น ถูกไหม
ผู้ฟัง ใช่ค่ะ
ท่านอาจารย์ ใช่ นะคะ เพราะฉะนั้นมีจิต และก็มีเจตสิก จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ตลอดกาล ไม่ว่าเมื่อไหร่ จิตเกิดขึ้นเป็นใหญ่เป็นประธาน รู้เฉพาะสิ่งที่ปรากฏเท่านั้นอย่างเดียว แต่เจตสิกมีถึง ๕๒ ประเภท โกรธมีไหม
ผู้ฟัง มีค่ะ
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีจิตจะโกรธไหม โต้ะโกรธไหม
ผู้ฟัง ไม่ค่ะ
ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้นเจตสิกต้องเกิดกับจิต เพราะฉะนั้นก็ต้องดับพร้อมจิต รู้สิ่งเดียวกับจิต เกิดที่เดียวกับจิต จิตเกิดที่ตรงไหนนะคะ รูปไหน เจตสิกนั้นที่เกิดกับจิตก็ต้องเกิดตรงนั้น ดับตรงนั้นพร้อมกัน เพราะฉะนั้นตอนนี้นะคะ มีธรรมสิ่งที่มีจริงนี่สองอย่าง ซึ่งต่างกันเป็นที่ยอมรับไหมว่า อย่างหนึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยก็มี เป็นรูปธรรม ส่วนธาตุรู้ หรือ สภาพรู้นะคะ เป็นนามธรรมที่เกิดขึ้นต้องรู้ มีสองอย่าง
คืออย่างหนึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานคือ รู้อย่างเดียว เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้เฉพาะเสียง รู้เฉพาะกลิ่นนะคะ ที่กำลังปรากฏ ส่วนสภาพเจตสิกที่เกิดกับจิต มี ๕๒ ประเภท แต่ว่าจิตหนึ่งขณะที่จะเกิด ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยอย่างน้อยที่สุด ๗ ประเภท ใครรู้บ้าง เห็นไหมคะ นี่คือการฟังแล้วพิจารณา และค่อยๆ เข้าใจ เพราะต่อไปเราจะรู้ว่าจะขาด ๑ ใน ๗ ไม่ได้เลย นี่คือเหตุผล
ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมแล้วไม่มีทางที่จะละความเป็นตัวตน หรือความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่รวมกัน และก็เที่ยงไม่ปรากฏการเกิดดับ ด้วยเหตุนี้การฟังพระธรรม นะคะ ปัญญาคือความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ในสิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง การสนทนาธรรมมีประโยชน์เพื่อรู้ว่าสิ่งที่ถูกต้องถูก สิ่งที่ผิดต้องผิด จึงสนทนากันได้
ด้วยเหตุนี้จึงต้องคิดไตร่ตรองทุกคำนะคะ ไม่ใช่ว่าเขาตามกันไปค่ะ เขาว่าถูกเราถูกด้วย ไม่ใช่อย่างนั้นเลยค่ะ แล้วแต่ว่าจะคิดอย่างไรเห็นอย่างไร ก็สามารถที่จะแสดงความคิดเห็นนั้นได้ เพื่อจะได้พิจารณาว่าถูกหรือผิด เพราะฉะนั้นพูดถึงอะไรคะตอนนี้ นามธรรม รูปธรรมไม่ใช่เรา ทุกอย่างที่พูดไม่ใช่เราทั้งหมด
ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นการจะฟังพระสัจธรรม หรือคำสอนที่แท้จริงเข้าใจนี่ ก็ดูเหมือนว่าต้องเริ่มต้นก่อนว่า สิ่งนั้นคืออะไร
ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะ ไม่งั้นเราจะพูดเรื่องอะไรกัน ยังไม่รู้เลยว่าคืออะไร แล้วพูดไปตั้งเยอะแยะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะอะไร ด้วยอะไร ด้วยเหตุอะไร
ผู้ฟัง ก็ด้วยปัญญา
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีปัญญา จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ปัญญาที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งคนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้ด้วยตัวเอง พระองค์ตรัสทุกคำ เป็นคำที่จะทำให้เกิดความเห็นถูก ความเข้าใจถูก เพราะทุกคำเกิดจากการตรัสรู้ คือปัญญา เพราะฉะนั้นปัญญาคือความเห็นที่ถูกต้อง ถ้าไม่มีปัญญาจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมไหม
ผู้ฟัง ไม่ค่ะ
ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้นถ้าพูดเรื่องขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ คืออะไร ยังไม่รู้เลย แต่ให้ท่องให้จำ แล้วจะไปไหนละค่ะ หาขันธ์ ๕ เจอไหม
ผู้ฟัง ก็เห็นขณะนี้ก็เป็นขันธ์ ๕ ถ้าเข้าใจ
ท่านอาจารย์ ไม่ คนที่จำแต่เพียงขันธ์ ๕ ไม่มีทางจะรู้เลยว่าเดี๋ยวนี้เป็นอะไร
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ แต่ถ้ามีความเข้าใจธรรมนะคะ ทรงแสดงธรรม คือความจริงโดยนัยหลากหลายเพื่ออะไร เพื่อให้เห็นตามความเป็นจริงว่า เพราะอย่างนั้นๆ จึงไม่ใช่เรา ด้วยเหตุนี้ เรา หมายถึงคำว่า จิต เจตสิก รูป สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นดับไป เป็นขันธ์ทั้งนั้น ทุกขันธ์
เริ่มรู้แล้วว่า ขันธ์คืออะไร ไม่ใช่ขันธ์ ๕ แล้วก็มีแต่ชื่อ แล้วก็ไม่รู้อะไร แล้วก็ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นขันธ์ด้วย แต่ถ้ามีความเข้าใจว่าไม่มีอะไรเลยนอกจากธรรม ถ้าไม่มีธรรมก็ไม่มีอะไร แต่เพราะเหตุว่ามีสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นหลากหลายต่างกัน เป็นประเภทต่างๆ ตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็ดับไป แล้วไม่เหลือเลย เพราะฉะนั้นจะติดข้องยึดถือว่าเป็นเราได้อย่างไร
เพราะฉะนั้นโลกวุ่นวายทุกวันนี้นะคะ ก็เพราะความไม่รู้ตามความเป็นจริง มีความติดข้อง จนกระทั่งสามารถที่จะกระทำทุจริตกรรมต่างๆ ได้ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเพราะความไม่รู้ ด้วยเหตุนี้นะคะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงธรรมให้ใครไม่รู้ แต่ทรงแสดงธรรมให้มีความเข้าใจ ทุกคำที่พระองค์ตรัส ด้วยเหตุนี้ตรัสว่าสิ่งที่เกิดดับทั้งหมดแต่ละหนึ่ง เป็นขันธ์แต่ละหนึ่ง จิตเป็นขันธ์หรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นค่ะ
ท่านอาจารย์ ค่ะ เป็นวิญญาณขันธ์ เพราะเหตุว่าเป็นธาตุรู้ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ ชื่อที่เคยได้ยิน ๕ ขันธ์ จากที่ไม่เคยรู้ว่าอะไร ก็เริ่มเข้าใจถูกต้อง เพราะว่าทรงแสดงธรรมให้คนเข้าใจ เพื่อที่จะละความไม่รู้ที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา และเจตสิกมีไหมคะ มี ต้องมีแน่ๆ ถ้าไม่มี จิตเกิดได้ไหม ไม่ได้
นี่คือเหตุผล ที่ให้ทุกคนได้ตระหนักถึงความจริงว่า คิดเองไม่ได้ คิดเปล่าๆ ไม่มีเหตุผลไม่ได้ พูดคำอะไรที่ไม่มีเหตุผลไม่ได้ ไม่เป็นความจริง สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามซึ่งเป็นผลต้องเกิดจากเหตุ และสิ่งที่เป็นเหตุต้องนำมาซึ่งผลแน่นอน ตรงตามความเป็นจริงของเหตุนั้นๆ ถ้าเหตุดีผลต้องดี ถ้าเหตุไม่ดีผลก็ต้องไม่ดี ใครจะแปรเปลี่ยนไม่ได้เลย เพราะเป็นธรรมเป็นธาตุ
ด้วยเหตุนี้นะคะ เปรียบเรากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่าเพิ่งคิดว่าเราจะเข้าใจทั้งหมดที่พระองค์ทรงแสดง โดยผิวเผิน แต่ต้องโดยการไตร่ตรองแล้วไตร่ตรองอีก เพื่อที่จะเข้าใจความจริงเพิ่มขึ้น จึงจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยเหตุนี้นะคะ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา มิฉะนั้นผู้นั้นก็ได้ยินแต่เพียงชื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่จะเห็นคุณไหม เห็นพระปัญญาคุณได้อย่างไรถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม เห็นพระบริสุทธิ์คุณไหม ว่าตรัสรู้แล้วนะคะ บริสุทธิ์อย่างยิ่งไม่มีกิเลสใดๆ อย่างที่เคยมีในสังสารวัฏ จึงเป็นพระมหากรุณานะคะ ที่ทำให้เห็นว่าคนทั้งโลกทั้งจักรวาลไม่ได้รู้อย่างพระองค์ จึงได้ทรงแสดงพระธรรมอย่างละเอียดยิ่ง ๔๕ พรรษา ตามกำลังของคนที่สามารถเข้าใจไตร่ตรอง สะสมสืบต่อไป จนกว่าจะรู้ความจริงอย่างที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้
เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจทุกคำค่ะ จากไม่รู้เลยนะคะ ก็เป็นความรู้ อะไรถูก อะไรผิด ถ้าไม่รู้ก็ไปทางผิดแน่ๆ เพราะไม่รู้ว่าอะไรถูก เพราะฉะนั้นต้องพิจารณาไตร่ตรองว่า อะไรถูก อะไรผิด อะไรจริง อะไรไม่จริง อย่างเห็น มีจริงๆ ใครบังคับให้เห็น
ผู้ฟัง ก็ไม่มี
ท่านอาจารย์ ใครทำให้เห็นเกิด
ผู้ฟัง ก็ไม่มี
ท่านอาจารย์ แล้วเห็นดับไป ใครบอกว่าอย่าดับ ไม่ให้ดับได้ไหม
ผู้ฟัง ก็ไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์ เป็นสิ่งที่บังคับบัญชาไม่ได้ ใช่ไหม เป็นเราหรือเปล่า เพราะหมดแล้ว หายไปเลย ในสังสารวัฎไม่กลับมาอีก แล้วจะเป็นเราได้อย่างไร
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์คะ อย่างนี้ฟังมานานก็ตอบได้ว่า เห็นไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ตอบค่ะ เข้าใจแล้ว
ผู้ฟัง เข้าใจได้ว่าเห็นไม่ใช่เรา แต่ว่าถ้าฟังใหม่ๆ อะไรล่ะ ก็เราเห็นอ่ะแล้วจะบอกว่าเห็นไม่ใช่เรา ได้ไง
ท่านอาจารย์ เป็นเราเห็นมานานเท่าไหร่แล้ว ได้ยินแค่เห็นไม่ใช่เรากี่ครั้งแล้ว และแค่ได้ยินด้วย
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าใจว่าสะสมความไม่รู้ความจริง มาเนิ่นนานมาก
ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นะคะ ก่อนที่จะได้รับคำพยากรณ์ ก็มีการได้ยิน ได้ฟัง ธรรมมาแล้วใช่ไหมคะ และเมื่อได้รับคำพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกร ว่าอีก ๔ อสงไขยแสนกัป สุเมธดาบสผู้นี้จะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระสมณโคดม แล้วความไม่รู้สะสมมานานเท่าไหร่
ผู้ฟัง ขอทิ้งท้ายว่า ถ้าจะเริ่มก้าวแรกที่ถูกต้องได้ ก็มีทางเดียวว่าไตร่ตรองในสิ่งที่ฟังด้วยเหตุด้วยผลเนี้ยะ ก็..
ท่านอาจารย์ ก็ต้องเป็นคำจริงด้วย จากพระสัมมาพุทธสัมเจ้าผู้ทรงตรัสรู้ ไม่ใช่ใคร ก็คิดขึ้นมาเอง แล้วก็บอกว่า ไม่ต้องเรียนก็ได้ อย่างนั้นจะไปฟังทำไม
ผู้ฟัง เพราะว่าคำที่ฟังเป็นคำจริง แล้วก็ความจริงนั้นก็มีให้พิสูจน์ได้ตลอดเวลา
ท่านอาจารย์ ค่ะ ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่เห็นธรรม ขณะนี้จะรู้ไหมคะ ว่าที่ได้ฟังอย่างนี้ เริ่มเข้าใจอย่างนี้ เพราะมีผู้ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่คนอื่นเลยค่ะ ทุกคำที่ได้ฟัง แล้วใครก็ตามที่พูดไม่ใช่อย่างนี้ คือไม่ได้พูดถึงความจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ผู้นั้นไม่ใช่ผู้ที่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน เป็นคำของตัวเอง
ประโยชน์จริงๆ คือ ทุกท่านที่ฟังวันนี้นะคะ ได้เข้าใจธรรมได้เข้าใจคำนี้นะคะ แล้วก็คำที่กล่าวถึงสภาพธรรม เช่น ธาตุรู้ สิ่งที่มีจริง มีลักษณะต่างกัน ธาตุรู้ ก็มีสองอย่างคือ จิต และเจตสิก และส่วนธาตุที่ไม่รู้ ก็มีหลายประเภทนะคะ ไม่ใช่มีแต่เฉพาะที่เราเห็น ที่ไม่เห็นก็มี แต่ก็ไม่รู้ เป็นธาตุที่เกิดด้วย แล้วก็ไม่รู้แต่ไม่ปรากฏ
เพราะฉะนั้นในชีวิตประจำวันที่ปรากฏจริงๆ นะคะ เราเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เป็นธาตุชนิดหนึ่ง ภาษาบาลีจะใช้คำว่า วรรณะ หรือ วัณโณ นิภา หรืออะไรก็ได้ พูดถึงคำอะไรทั้งหมด แต่หมายความถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ว่ามีจริงๆ
เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า นะคะ วันนี้เข้าใจธรรม เข้าใจธาตุ เข้าใจนามธรรม เข้าใจรูปธรรม เข้าใจจิต เข้าใจเจตสิก ยังมีอีกเยอะนะคะ นี่เพียงแต่ประเภทต่างๆ แต่ว่าประเภทใหญ่ๆ ก็คือว่า จิตมีแน่ ธาตุรู้ ต้องมีแน่ ถ้าไม่มี ก็เหมือนกับสิ่งที่ไม่มีชีวิต โต๊ะ เก้าอี้ ต้นไม้ เป็นต้น นะคะ เจตสิกต้องมี เพราะว่าจิตจะเกิดตามลำพังไม่ได้ ต้องอาศัยกัน และกันเกิดขึ้น และจิตก็ไม่ใช่เจตสิก เจตสิกแต่ละหนึ่งก็เป็นแต่ละหนึ่ง
เพราะฉะนั้นที่เข้าใจว่าเป็นเรา ก็คือจิต เจตสิก รูป และที่เป็นดอกไม้ ไม่มีจิต ไม่มีเจตสิกก็เป็นรูป เพราะฉะนั้นนามธรรมอาศัยรูปเกิด ในภูมิที่มีรูป แล้วก็รูปธาตุก็อาศัยรูป และบางรูปก็เกิดขึ้น เพราะกรรมในอดีตที่ได้ทำแล้ว ทั้งหมดที่เราไม่เคยรู้ ไม่เคยได้ฟังมาก่อน เพียงคำต้นๆ ยังไม่พอค่ะ
เพราะว่าเป็นคำที่ยังไม่กว้างขวาง แต่ว่าถ้าแจกแจงโดยละเอียดแล้ว ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา รู้ว่าไม่มีทางที่จะรู้อย่างนั้นได้เลย ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม ก็ฟังต่อไป เพื่อที่จะได้เป็นความรู้ของตนเองค่ะ ไม่ใช่ใครเอาความรู้ของเขามาให้ ครูบาอาจารย์เอาความรู้มาให้ไม่ได้
แม้แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สำหรับผู้ที่พิจารณาไตร่ตรอง และเกิดความรู้ที่ถูกต้อง แต่ไม่ใช่ว่าพระองค์จะเอาคำนั้นไปให้คนนั้น แล้วคนนั้นเกิดปัญญา แต่ต้องเป็นปัญญาของตนเอง ซึ่งเป็นมรดกสูงสุดในสังสารวัฎ จากความมืดบอดสนิท ไม่รู้เลยว่าขณะนี้ไม่ใช่เรา เพราะหลงยึดถือว่า เป็นเรา เป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้มานานแสนนานนะคะ แต่ความจริงก็คือว่าต้องรู้ตามความเป็นจริง จึงสามารถที่จะละความไม่รู้
อ.ธิดารัตน์ พูดถึงคำว่าขันธ์นะคะ ท่านอาจารย์ คำว่าขันธ์ จริงๆ คืออะไร
ท่านอาจารย์ เมื่อกี้นี้ทราบแล้วใช่ไหมคะ ขันธ์คืออะไร หรือลืมแล้ว ถ้าลืมมีตั้งหลายคำเดี๋ยวลืมคำนั้น เดี๋ยวลืมคำนี้ แต่คำใดก็ตามที่ไม่ลืมหมายความว่าได้เข้าใจจริงๆ เช่นพอได้ยินคำว่าขันธ์นี่ไม่ต้องทบทวนอีกเลย มีจริงหรือเปล่า ตั้งต้นว่ามีจริงไหม มีจริง เกิดหรือเปล่า ค่ะ สิ่งใดที่เกิดแล้วดับ สิ่งนั้นเป็นขันธ์ หมายความว่า เป็นอดีตเกิด และดับ เป็นปัจจุบันขณะที่ยังไม่ดับ เป็นอนาคตสิ่งที่จะไม่เกิดก็เกิด
เพราะฉะนั้นขันธ์ ก็ปัจจุบันเกิดแล้ว ดับไปเป็นอดีต จะเกิดต่อเป็นอนาคต ภายใน ภายนอก ดอกไม้ไม่ได้อยู่ที่ตัวเรานะ ก็เป็นขันธ์ภายนอก แต่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ทั้งตัวอยู่ตรงนี้ ยึดถือว่าเป็นเราตรงนี้ก็เป็นภายใน เพราะฉะนั้นก็แสดงโดยหลากหลาย ว่าธรรมต้องเป็นธรรม ไม่ว่าจะภายในหรือภายนอก แต่ต่างกันโดยความละเอียดกว่านี้อีกมาก ที่จะค่อยๆ ทำให้เห็นว่าไม่ใช่เรา
ประโยชน์ไม่ใช่ไปจำคำไว้เยอะๆ รู้มากๆ แต่ประโยชน์ที่จะรู้ว่าเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรา จนกว่าจะถึงลักษณะซึ่งกำลังเกิดดับ เมื่อนั้นก็ประจักษ์แจ้งจริงๆ หมดความสงสัยว่า เกิดจริงๆ ดับจริงๆ ถ้ายังไม่ประจักษ์แจ้งการเกิดดับ ก็ยังสงสัย ก็เราก็นั่งอยู่ตรงนี้ แต่ว่าตาเกิดแล้วก็ดับ ทุกอย่างค่ะ แข็งเกิดแล้วก็ดับ มีใครในห้องนี้บ้างค่ะ มีธรรมแต่ละกลุ่มนะคะ ซึ่งรวมกันยึดถือว่าเป็นตัวเรา ตัวเขา แต่ก็คือธรรมทั้งหมดค่ะ ต้องเข้าใจตามลำดับจริงๆ นะคะ
เดี๋ยวนี้รู้ว่ามีสิ่งที่มีจริง แล้วก็รู้เพิ่มขึ้นว่าสิ่งที่มีจริงเนี่ยต้องเกิด ไม่เกิดก็ไม่มี เพิ่มขึ้นอีกนิดหนึ่ง แล้วก็พิจารณา ไม่ใช่ให้เชื่อ แต่ว่าให้ค่อยๆ ไตร่ตรอง ว่าสิ่งที่มีนี่เกิดขึ้นแล้วดับไปแน่นอน เมื่อกี้นี้จะกลับมาเป็นเดี๋ยวนี้ไม่ได้เลย หมดไปแล้วใช่ไหมคะ
ทุกอย่างที่พบที่เห็นที่โต๊ะอาหารเมื่อกี้นี้ก็ดับไปตรงนั้น ไม่ได้กลับมาอีกเลย แต่ก็มีสภาพธรรม ซึ่งเกิดสืบต่อไม่หยุดยั้ง ไม่มีใครสามารถที่จะหยุดการเกิดขึ้นของสภาพธรรมได้ เพราะเกิดแล้ว โดยยังไม่รู้เลยว่าเป็นอะไร
เพราะฉะนั้นจะไปรู้ถึงเหตุ สมุฏฐาน ปัจจัย อย่างลึกซึ้งว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ต้องเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะเป็นไปได้ เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมนะคะ ก็เพื่อให้เข้าใจมั่นคงตามลำดับ ว่าขณะนี้เป็นธรรมก็ยังไม่รู้ เพราะฉะนั้นฟังไปค่อย ค่อยๆ พิจารณาไป ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ คลายความไม่รู้ และคลายการยึดถือสภาพธรรม ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดนะคะ โดยไม่ต้องหวังเลยค่ะ
เพราะว่าถ้าหวัง สิ่งนั้นไม่สามารถจะประจักษ์แจ้งได้ด้วยความหวัง หวังสิคะ หวังทุกคน เป็นไปไม่ได้เลย ที่จะประจักษ์แจ้ง แต่ขณะใดก็ตามที่เริ่มเข้าใจ ก็ละความไม่รู้ ขณะนี้สภาพธรรมไม่ปรากฏ เพราะถูกปิดบังด้วยความไม่รู้
เพราะฉะนั้นความไม่รู้จะค่อยๆ หมดไปได้ ก็ต่อเมื่อมีความเข้าใจขึ้น และใครก็จะรู้ดีกว่าตัวเองไม่ได้ว่าเข้าใจแค่ไหน ก็กำลังเห็นเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ คิดดู ไม่มีใครสักคน ไม่มีอะไรสักอย่าง เพียงแต่มีสิ่งที่กระทบตาปรากฏ แล้วก็ดับไป แต่ไม่ปรากฏการเกิดดับ แสดงให้เห็นว่าเร็วปานไหน จึงไม่สามารถที่จะประจักษ์การเกิดดับ ของสิ่งซึ่งสืบต่อกันเร็วมากตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้ความจริง ก็ต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ว่า สิ่งนี้มีจริงแน่นอน สามารถรู้ได้แน่นอน แต่ไม่ใช่เราไปพยายาม แต่เพราะความเข้าใจขึ้น เพิ่มขึ้น ความเข้าใจต่างหาก ที่จะทำให้ความไม่รู้และความไม่เข้าใจลดน้อยลง ลดน้อยลงสภาพธรรมก็สามารถจะปรากฏตามความเป็นจริงได้
อ.ธิดารัตน์ ท่านอาจารย์ค่ะ อย่างความเกิดดับสืบต่อของธรรมนี่นะคะ ทำให้ปรากฏเป็นนิมิต
ท่านอาจารย์ ค่ะ นิมิตคืออะไร ต้องเข้าใจชัดเจนเพราะว่ากำลังมีอยู่ทุกขณะ
อ.ธิดารัตน์ อย่างเช่นนะค่ะ รูปหรือว่าสิ่งที่ปรากฏนี่นะคะ สีต่างๆ อย่างนี้ที่สืบต่อกันแล้วก็ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานนะคะ ท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ค่ะ ขณะนี้มีเห็น เห็นอะไรค่ะ เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ นี่คือความจริงถึงที่สุด แต่ขณะนี้ไม่ได้เห็นอย่างนั้น แต่เห็นอะไร เห็นสิ่งที่เกิดดับสืบต่อจนปรากฏ เป็นรูปร่าง สีสันต่างๆ หลากหลาย จนกระทั่งจำไว้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจว่า นิมิต คือการเกิดดับของสิ่งที่มีจริง รวดเร็ว จนกระทั่ง ไม่ปรากฏการเกิดดับของแต่ละหนึ่ง แต่เพราะความรวดเร็วของการเกิดดับสืบต่อ แต่ละหนึ่งนี่คะ ก็ปรากฏเป็นรูปร่าง สัณฐานต่างๆ ให้จำได้ ว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีการเกิดดับ ปรากฏเหมือนกับว่าเที่ยง ยั่งยืน เพราะถ้าไม่มีสภาพธรรม ไม่มีนิมิตแน่ แต่ถ้าสภาพธรรมเกิดแล้วดับ ขณะนี้ ยังไม่ปรากฏ ก็เห็นแต่เพียงสิ่งที่เกิดดับสืบต่อ จนปรากฏเป็นอย่างที่เรากำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นขณะนี้จริงๆ แล้วนี่นะคะ เห็นอะไร
ผู้ฟัง คือขณะนี้เห็นดอกไม้
ท่านอาจารย์ เห็นดอกไม้ แต่เห็น เห็นดอกไม้ไม่ได้ แต่ว่าสิ่งที่ปรากฏนี้ค่ะเกิดแล้วดับเร็วมาก ไม่ปรากฏการเกิดดับซึ่งสืบต่อกันแน่นมาก จนกระทั่งทำให้ปรากฏเป็นสีสัน รูปร่างต่างๆ
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1021
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1022
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1023
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1024
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1025
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1026
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1027
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1028
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1029
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1030
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1031
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1032
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1033
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1034
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1035
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1036
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1037
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1038
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1039
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1040
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1041
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1042
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1043
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1044
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1045
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1046
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1047
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1048
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1049
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1050
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1051
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1052
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1053
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1054
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1055
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1056
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1057
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1058
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1059
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1060
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1061
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1062
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1063
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1064
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1065
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1066
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1067
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1068
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1069
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1070
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1071
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1072
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1073
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1074
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1075
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1076
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1077
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1078
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1079
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1080