ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1049


    ตอนที่ ๑๐๔๙

    สนทนาธรรม ที่ แก่งกระจานคันทรีคลับ จ.เพชรบุรี

    วันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ กว่าจะรู้จักจริงๆ ก็ต้องอาศัยการฟัง แล้วก็ละความไม่รู้ไปทีละเล็กทีละน้อย เพราะรู้ขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ไม่ได้หวังว่าจะประจักษ์สภาพของจิตเดี๋ยวนี้ อย่างที่ทรงแสดงไว้ว่าขณะนี้เป็นจิต เจตสิกทั้งหมด แสดงว่ากี่ประเภทเกิดดับสืบต่อ ไม่รู้เลยสักหนึ่ง แต่การฟังพระธรรมจะค่อยๆ มีความเข้าใจถูกต้องว่า พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดเป็นเรื่องละเพราะรู้ ถ้าไม่รู้ก็ละไม่ได้ ถ้าติดข้องต้องการเมื่อไหร่ ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ผู้ฟัง แต่เรารู้สึกว่าติดละยากมากเลย

    ท่านอาจารย์ เราละยาก

    ผู้ฟัง คือรู้ว่า มีสิ่งของที่ไม่จำเป็น เเต่ก็ยังจะสะสม

    ท่านอาจารย์ ติดข้องในสิ่งที่มีมากแค่ไหน ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมจะไม่รู้เลยสักคำ เช่นคำว่า รูปราคะ รูปฉันทะ รูปปริฬาหะ มีคำมากมาย เดี๋ยวนี้ยังไม่ได้เปิดเผยเลย นี่เพียงแค่ติดข้องในรูป แต่ความจริงทุกอย่างที่ไม่รู้เป็นที่ติดข้องทั้งหมด ติดข้องในจิต เจตสิก รูป ติดข้องในความเป็นเรา ติดข้องในความรู้สึกทุกอย่างที่ปรากฏ ไม่รู้ก็ติดข้องทันที เพราะมีฉันทะ พอใจในสิ่งที่ปรากฏ พอใจในเห็นไหม กำลังเห็น

    ผู้ฟัง พอใจในเห็น พอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ซึ่งเป็นเพียงรูป แต่เราพอใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะเราไม่รู้ ความที่สะสมมานานแสนนานในความไม่รู้ เพราะฉะนั้น เพียงแค่คำเดียว ขณะนี้มีเห็น ไม่รู้เลยว่าติดข้องในสิ่งที่ปรากฏแล้ว ฉันทราคะ ไม่รู้ใช่ไหม แต่ติดไหม ลองคิดดู เราติดข้องในสิ่งที่มี แต่ปัญญายังไม่เห็นสิ่งนั้นเลย ถูกปิดบังไว้ด้วยความไม่รู้มาโดยตลอด

    เพราะฉะนั้น ค่อยๆ ฟัง มีความพอใจในสิ่งที่ปรากฏ การศึกษาธรรมไม่ใช่เพียงคำ ไม่ใช่เพียงชื่อ แต่ว่าเดี๋ยวนี้ให้รู้ว่าไม่เคยรู้เลย และได้ยินคำแต่ละคำเพื่อให้รู้ว่าความจริงเป็นอย่างนั้น เมื่อมีความติดข้องในสิ่งที่มี ถ้าเบาๆ ก็ไม่ปรากฏเท่าไหร่ เช่น เห็นพวงมาลัย เห็นดอกมะลิ เห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้ ขณะนั้นจิตเป็นอะไร ต้องเป็นอกุศล เพราะขณะนั้นไม่รู้แล้ว

    ผู้ฟัง เห็นแล้วก็พอใจแล้ว

    ท่านอาจารย์ เพียงแต่พอใจ ไม่รู้สึกใช่ไหม

    ผู้ฟัง บางทีเห็นแล้วโทสะเกิดก็มี

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมดเป็นธรรม

    ผู้ฟัง โทสะก็เป็นธรรม จิต เจตสิก รูป เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างเลย ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง แล้วเกิดเมื่อมีเหตุปัจจัยเท่านั้น ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยเกิดไม่ได้เลยทั้งสิ้น ไม่ว่าธรรมใด เพราะฉะนั้น เวลาที่มีความไม่รู้ก็พอใจในสิ่งที่ปรากฏ

    ผู้ฟัง เรามีสติอยู่ ก็เป็นกุศล

    ท่านอาจารย์ เรามีหรือไม่

    ผู้ฟัง ยังเป็นเราอยู่

    ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้น ที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา ความจริงคืออะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ละเอียดอย่างยิ่ง

    ผู้ฟัง สติก็เกิดจากโสภณจิต

    ท่านอาจารย์ สติคืออะไร

    ผู้ฟัง สติคือเจตสิก

    ท่านอาจารย์ อยู่ไหน

    ผู้ฟัง ที่ระลึกรู้อยู่ เกิดกับจิต

    ท่านอาจารย์ ฟังธรรมอยู่ เข้าใจไหม

    ผู้ฟัง พอเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ขณะที่เข้าใจนั้นเป็นเราหรือไม่

    ผู้ฟัง ขณะเข้าใจไม่เป็นเรา

    ท่านอาจารย์ ไม่เป็นเรา เป็นอะไร

    ผู้ฟัง ความเข้าใจเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เป็นสติหรือไม่ ธรรมหลากหลายมาก ทุกอย่างเป็นธรรมทั้งหมด ประมาณไม่ได้เลยว่าเท่าไหร่ เพราะแต่ละหนึ่งเกิดแล้วดับ และไม่กลับมาอีกเลย ด้วยความไม่รู้ก็คิดว่าเหมือนของเก่า แต่ความจริงสิ่งที่เกิดแล้วดับไม่กลับมาอีก แต่ก็มีปัจจัยให้สิ่งอื่นเกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่น เพราะไม่รู้ก็เข้าใจว่าเหมือนเดิม

    ผู้ฟัง ก็เพียงมีความเข้าใจ แต่ยังต้องมีความอดทน จิรกาลภาวนา

    ท่านอาจารย์ โดยไม่หวังว่าจะไปรู้เท่าไหร่ ละเท่าไหร่

    ผู้ฟัง ไม่หวัง ขอให้ได้ฟังต่อ

    ท่านอาจารย์ ความเข้าใจเกิดเมื่อไหร่ความเข้าใจละ ไม่มีใครไปละได้เลย ความไม่รู้ละไม่ได้ เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อเข้าใจ

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์เคยพูดเสมอว่า ศึกษาธรรมเพื่อละ แล้วฟังธรรมบ่อยๆ ความเข้าใจก็จะมากขึ้น ยกตัวอย่างตัวผมเองว่ามีความโกรธ หรือความไม่พอใจต่างๆ ก็รู้ว่าความเป็นตัวตนทำให้คิดถึงแบบนั้น อยากเรียนปรึกษาท่านอาจารย์ว่า ทำอย่างไรถึงจะให้บรรเทาลงบ้าง นอกจากฟังธรรมเพื่อความเข้าใจแล้ว

    ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้และเพราะเป็นเรา จึงหาว่าจะทำอย่างไร หาได้อย่างไร ไม่มีหนทางอื่นนอกจากเข้าใจ ความเข้าใจเกิดเมื่อไหร่ก็ละความไม่รู้เมื่อนั้น ซึ่งความไม่รู้นี้มีมากมายมหาศาล ยิ่งกว่าจักรวาลกี่จักรวาลจะรวมกัน แสนโกฏิกัปป์มาแล้ว และในชาตินี้ด้วย ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรมเมื่อไหร่ การพิจารณาไตร่ตรองเข้าใจเมื่อนั้นก็ละความไม่รู้ และความไม่รู้สะสมมามาก จะละความไม่รู้อะไร

    เดี๋ยวนี้ทางตาก็ไม่รู้ ทางหูก็ไม่รู้ ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ที่คุณหมอคิดก็ไม่รู้ว่าไม่ใช่คุณหมอเลย และเกิดไม่ได้ถ้าไม่มีเหตุปัจจัย ดังนั้น จึงต้องฟังธรรมด้วยความเคารพในความเป็นจริงว่า ไม่มีใครก็คือไม่มีใคร แล้วมีอะไร ก็มีสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ ๆ เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี เกิดแล้วดับไปก็ไม่รู้ นี่คือความไม่รู้ซึ่งมากมายประมาณไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น ไม่คิดหวังที่เราจะไปละกิเลส ตราบใดที่ยังไม่ได้เข้าใจว่า เห็นขณะนี้มี เห็นไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ฟังแล้วฟังอีกกี่ชาติอย่างไรไม่ต้องคำนึงถึงเลย เพราะว่าที่จริงแล้วเป็นกี่กัปป์ ไม่ใช่กี่ชาติ เพราะสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ก็คือสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เอง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ในอดีตก็เป็นอย่างนี้ อนาคตต่อไปอีกแสนกัปป์ กี่โกฏิกัปป์ก็ตามแต่ก็เป็นอย่างนี้ ไม่มีใครหยุดยั้งการเกิดขึ้นของธรรมได้ ตราบใดที่ยังไม่รู้

    ดังนั้น ใครที่อยากตาย ใครที่ไม่อยากเกิด ใครที่อยากอย่างโน้นอย่างนี้ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะขณะนั้นมีปัจจัยที่จะให้เกิด มีใครอยากเป็นทุกข์บ้าง ไม่มีเลย มีใครไม่อยากมีปัญญาที่จะละทุกข์บ้าง แต่ว่าความอยากไม่ใช่หนทางที่จะทำให้ละ เพราะความอยากเกิดจากความไม่รู้

    ถ้าเราฟังธรรมอย่างละเอียดทีละคำ เราจะรู้ว่าสุดวิสัยที่ใครจะทำอะไรได้ เพราะเข้าใจผิดว่ามีเรา แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความละเอียดอย่างยิ่ง เมื่อครู่นี้เราพูดถึงรูป สิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตา เเล้วยังมีเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นที่ต้องการเป็นที่แสวงหาใช่ไหม ต้องตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้น ความต้องการ ความติดข้องในรูปเป็นเราหรือไม่ ไม่เป็น เป็นธรรมชนิดหนึ่ง ใช้คำว่า ฉันทะก็ได้ พอใจที่จะมีไหม ยังไม่ต้องถึงพอใจมาก แค่พอใจเเค่นี้ก่อน พอใจก็ไม่รู้แล้วกำลังเห็นแท้ๆ ก็ไม่รู้ว่า เห็นหนึ่งขณะจิตดับ ต่อมาจิตเกิดดับอีกเพียง ๓ ขณะ ความพอใจก็เกิดขึ้นแล้ว เป็นรูปฉันทะ พอใจในรูป เพียงแค่รูปก่อน แต่ความจริงคือทั้งหมดที่เป็นขันธ์ ๕

    ทั้งหมดที่เป็นธรรมที่เกิดขึ้น เป็นที่ตั้งของความยินดีพอใจทั้งนั้น และก็ไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียวด้วย กี่ชาติมาแล้วแสนโกฏิกัปป์ และชาตินี้ก็ยังเป็นอย่างนี้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมและก็รู้ค่าว่า ไม่มีใครสามารถที่จะดับ ไม่ให้สิ่งที่เกิดต่อไปไม่เกิดอีกได้ เพราะมีปัจจัยที่จะให้เกิดก็ต้องเกิด เพราะฉันทะในรูป เพียงแค่อย่างเดียว เพียงแค่ทางเดียวเท่านั้น คือ ทางตา เดี๋ยวนี้มีรูปฉันทะหรือไม่ มี แต่ไม่รู้

    เพราะฉะนั้น เริ่มมีการที่จะพอใจขึ้นอีกแล้ว เร่าร้อน รูปปริฬาหะ ไม่รู้สึกตัวสักนิดว่าเร่าร้อน แค่เอื้อมมือไป เร่าร้อนไหม แค่กะพริบตา เร่าร้อนไหม ไม่รู้เลย ถ้าไม่เร่าร้อนก็ไม่ต้องกระพริบตา ก็ไม่ต้องเอื้อมมือ ก็ไม่ต้องทำอะไร แต่เเค่ชีวิตในวันเดียวก็เห็นความเร่าร้อนทั่วไปหมด ไม่ว่ากี่ทาง ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงแสดงธรรมเผินๆ อย่างคนอื่น ไม่มีทางที่จะละกิเลสได้ เพราะเขาหวังว่าเขาเข้าใจ เขาพยายามด้วยความเป็นตัวตน แต่ทรงแสดงตั้งแต่อย่างอ่อน รูปฉันทะ แค่เริ่มต้นพอใจก็เป็นที่ตั้งของการที่จะเร่าร้อนแล้ว แสวงหาแล้ว เพราะฉะนั้น รูปปริเยสนา แปลภาษาบาลีด้วยคุณคำปั่น

    อ.คำปั่น รูปปริเยสนา ก็คือ แสวงหารูป

    ท่านอาจารย์ จริงไหมตั้งแต่เช้ามา ตั้งแต่เช้าไม่เคยขาดเลย แล้วก็ไม่ใช่แค่วันเดียว ทุกวัน แม้แต่เป็นเด็กเล็กๆ เกิดมาก็แสวงหาแล้ว มีความติดข้องแล้ว ทุกคนแสวงหา มีร้านทอง มีอาชีพต่างๆ ชาวไร่ ชาวนาทั้งหมด แสวงหาเพื่อที่จะได้สิ่งที่พอใจทั้งนั้น เริ่มแสวงหาแล้ว ได้มาไหม รูปลาภะ มากไหม ดูที่บ้านว่ามีสิ่งต่างๆ มาได้อย่างไร มาจากการแสวงหาทั้งนั้นเลย ใช่ไหม

    ดังนั้น เมื่อได้มาแล้ว รูปราคะ ติดข้องมากมายในสิ่งที่มีไหม แค่เริ่มจากการที่น้อยเหลือเกิน ไม่รู้ได้ในขณะนี้ว่ากำลังเป็นอย่างนี้ แล้วค่อยๆ เป็นอย่างนั้นๆ จนกระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างหนาแน่นมานานมาก แล้วคุณหมอจะไปดับกิเลสด้วยความไม่รู้ เป็นไปไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น แค่ได้ฟังธรรมนั้นก็ไม่มีอะไรที่จะประเสริฐเท่า จากการไม่เคยได้ยินได้ฟังเลย ไม่เคยรู้เลยว่าความมืดสนิทของความไม่รู้ ทำให้ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏถึงอย่างนี้ ตั้งแต่กำลังเห็นก็เกิดแล้วดับแล้ว แต่ละหนึ่งขณะดับไป ไม่กลับมาอีก แต่ก็มีปัจจัยที่จะเห็นตั้งเท่าไหร่ กว่าจะเป็นดอกไม้หนึ่งดอก จนกระทั่งเป็นพวงมาลัยหนึ่งพวง จนกระทั่งเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นคนทั้งหมด แต่เสมือนว่าเมื่อลืมตาก็เห็นหมด เห็นไหมว่าไม่รู้แค่ไหน

    ดังนั้น ประมาทคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร เพราะเหตุว่าเราฟังเผิน แต่เราไม่รู้เลยว่าทรงแสดงเพื่ออะไร เพื่อเราจะรับมรดก ใครที่ได้เข้าใจธรรม ผู้นั้นก็ได้รับมรดกจากการที่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมี ทรงตรัสรู้ ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ละเอียดอย่างยิ่งโดยประการทั้งปวง ไม่ใช่ให้เพียงฟัง แต่ให้รู้ความจริง เปิดเผยให้เห็นว่าความจริงคืออย่างนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยความไม่รู้ แม้กำลังนั่งอยู่ตรงนี้แล้วก็ได้ฟังธรรม แต่ทางตาก็ไม่รู้แล้ว ทางหู ทางใจที่คิดก็ไม่รู้แล้ว

    เพราะฉะนั้น การที่เข้าใจธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทำลายความหวัง แม้แต่ในขั้นฟังว่า หวังไม่ได้ อย่าไปถามใครว่า จะทำให้หมดกิเลสได้อย่างไร เขาตอบผิดหมด เพราะเขาไม่ได้ให้เข้าใจอะไร และกิเลสทั้งหลายก็เกิดจากความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้ จะไปละกิเลสด้วยอะไร

    การฟังธรรมที่ทุกคนสะสมมาแล้ว ที่จะเห็นค่าที่ประเสริฐยิ่ง เทียบได้ไหมเวลาที่เข้าใจธรรม ถ้ายิ่งเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ เพราะฉะนั้น ศรัทธาของผู้ที่มั่นคงอย่างยิ่งในพระรัตนตรัย เริ่มจากเป็นผู้ฟังจนกระทั่งถึง รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระโสดาบัน ศรัทธาต่างกับคนที่ฟังมาก่อน โดยที่ยังไม่ได้อบรมเจริญปัญญาถึงระดับที่จะเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ โดยรู้ว่าไม่ใช่เรา

    แต่ถ้าไม่มีการฟังมาก่อนเลย ซึ่งจะเป็นปัจจัยให้สัมมาสติเกิด ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรม พร้อมด้วยปัญญาที่เกิดจากการฟังมาแล้วมาก จนสามารถเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่เพียงมีจริงๆ ลักษณะหนึ่ง ซึ่งเกิดแล้วก็ดับ กว่าจะถึงกาลที่จะได้เข้าใจจริงๆ ในสภาพธรรม ซึ่งถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้มากมายมหาศาล ยิ่งกว่าน้ำทะเลในมหาสมุทรที่ปกปิดสิ่งที่อยู่ใต้ทะเลนั้น

    เดี๋ยวนี้ จิต เจตสิก เกิดดับนับไม่ถ้วนก็ไม่ได้รู้เลย เพียงแต่มีความหวังว่าเมื่อไหร่เราจะละกิเลส เป็นไปได้อย่างไร ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธจ้าเลยว่า แต่ละคำของพระองค์เป็นคำจริง ที่ทำให้เห็นว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะอยาก ที่จะหวัง เพราะไม่รู้อะไรเลย แต่เมื่อไหร่ที่มีความเข้าใจธรรมจริงๆ ทีละเล็กทีละน้อย ค่อยๆ ละคลาย

    ดังนั้น ทุกคำของสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเรื่องละ ไม่ใช่เรื่องติด ไม่ใช่เรื่องหวัง แต่ละเพราะรู้ ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็ละ ต้องมีเหตุ ถ้าไม่รู้จะละอะไร แล้วละอะไร ละสิ่งที่ไม่เคยรู้ เพราะขณะนั้นกำลังรู้สิ่งนั้น เฉพาะแต่ละอย่างๆ ๆ จึงต้องมีบารมี ๑๐ มิฉะนั้นแล้วจะอดทนฟังธรรมไหม ไม่ใช่แค่ชาติในชาติเดียว

    เพราะฉะนั้น คนที่ไม่เห็นค่าของแต่ละคำ พยายามคิดว่าจะละกิเลส ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อกล่าวคำซึ่งไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นการกล่าวคำไม่จริงทั้งหมด ให้ทำอย่างนั้น ให้นั่ง ให้เดิน ให้ยืน เข้าใจอะไร

    คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ ให้เข้าใจถูกต้องตามกำลังของปัญญา ซึ่งได้สะสมมาแล้วว่าได้ฟังอย่างนี้ แม้แต่เพียงขณะเดียวเป็นระดับไหนของความติดข้อง ถ้าเป็นของที่ได้มาแล้ว รูปลาภะ เกิดรูปราคะในสิ่งที่ได้แล้ว ของเราทั้งหมดในบ้าน พอไหม หาอีก ไม่มีวันจบ

    จนกว่าเป็นผู้ที่เข้าใจขึ้นๆ ซึ่งขณะนั้นก็ค่อยๆ ละคลายความเป็นเราที่ยึดถือสภาพธรรม เช่น เห็นเดี๋ยวนี้ ใครจะไปคิดละว่าเห็นไม่ใช่เรา ทั้งๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ธรรมทั้งหมด ธรรมทั้งหลายไม่เว้นเลย เป็นอนัตตา ไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่ใคร ไม่อยู่ในอำนาจของใคร เกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย ไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวคิดอย่างนั้น เดี๋ยวทำอย่างนี้ ไม่ใช่เราทั้งหมดเลย จนกว่าสติสัมปชัญญะ มีปัจจัยที่จะเกิดเพราะฟังเข้าใจ เวลาที่สติสัมปชัญญะเกิดโดยความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น หนทางนี้มีความมั่นคงขึ้นในธรรมซึ่งไม่ใช่เรา

    ชีวิตแต่ละหนึ่งเกิดมาเป็นไปทุกขณะตามเหตุตามปัจจัย ซึ่งสืบต่อมาจากแต่ละหนึ่งขณะ ซึ่งเกิดดับและไม่กลับไปอีกเลย ในสังสารวัฏฏ์นานแสนนานมาแล้ว ซึ่งในขณะนี้ก็กำลังเป็นอย่างนี้ แต่ว่าเพราะไม่รู้ก็เป็นตัวตนที่ไปแสวงหาทางที่จะรู้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย กลับเป็นการที่ปิดกั้น แล้วก็ทำลายไม่ให้พบคำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าฟังคำของคนอื่น ซึ่งไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แค่นิดเดียว เห็นไหมว่าทั้งวันมากแค่ไหน ตั้งแต่รูปฉันทะ นี่แค่รูป และยังความรู้สึกอีก ขันธ์ ๕ ทั้งหมดกล่าวได้โดยรวมคือว่า ทุกอย่างที่มีเป็นที่ติดข้องมานานแล้ว

    เพราะฉะนั้น ก็ฟังต่อไป เพราะเหตุว่าจะทำให้มีความมั่นคงขึ้นว่า นอกจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ไม่มีหนทางออกจากสังสารวัฏฏ์เลย เหมือนแสนโกฏิกัปป์มาแล้วที่ออกไม่ได้ แล้วถ้าชาตินี้ไม่มีความเข้าใจ อีกนับไม่ถ้วน กี่อสงไขยแสนกัปป์ก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย จนกว่าจะได้ฟังคำซึ่งผู้นั้นฟังแล้วรู้เลย ไม่มีสิ่งใดที่จะมีค่าเท่านี้ในสังสารวัฏฏ์

    ผู้ฟัง หมายถึงว่าต้องฟังบ่อยๆ ฟังโดยระลึกว่าเป็นอนัตตา

    ท่านอาจารย์ หมายความว่า เริ่มรู้ว่าเข้าใจเพราะอะไร เพราะฟังไม่ใช่หรือ ถ้าไม่ฟังจะเข้าใจอย่างเมื่อครู่นี้ไหม เพราะฉะนั้น เมื่อฟังเข้าใจ ความเข้าใจมาจากการฟัง แล้วจะมีเองได้ไหมถ้าไม่ฟัง ฟังแค่นี้พอ แล้วคอยให้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นเองนั้นเป็นไปไม่ได้เลย

    ผู้ฟัง ต้องฟังบ่อยๆ

    ท่านอาจารย์ ๔๕ พรรษา ตรัสกับใคร ตั้งแต่ผู้ที่ได้สะสมปัญญาบารมีมาแล้วมากมายมหาศาล จนกระทั่งถึงคนที่ไม่ฟังคำของพระองค์ เพราะฉะนั้น จะอยู่ในประเภทไหน จะหันหลังให้พระสัทธรรม ฟังคำของคนอื่น หรือว่าฟังคำของคำสอนอื่นหมดเลย หรือว่า ฟังคำซึ่งไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะทำให้เข้าใจได้ แต่เป็นผู้ที่ยกคำของสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมากล่าว แต่ไม่ทำให้เข้าใจได้ หรือเข้าใจผิดไป เป็นตัวตนให้ทำนั่นทำนี่ก็ผิดแล้ว

    ผู้ฟัง อยากจะขอความกรุณาท่านอาจารย์อธิบายเรื่องธรรมแต่ละหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ ต้องการหนึ่งไหน

    ผู้ฟัง คือยังไม่เข้าใจพอว่า เกิดดับอย่างไรในแต่ละหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ ให้เลือกว่าต้องการหนึ่งไหน ประมาณไม่ได้เลย ข้อสำคัญที่สุด คือที่ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย แต่หลงเข้าใจว่ายังมีอยู่ นี่คือผิด แต่ลองคิดถึงว่า หลังจากที่จะฟังมาแล้วกี่ชาติก็ตามแต่ วันหนึ่งสภาพธรรมเกิดและดับ ขณะนั้นปรากฏกับสติและปัญญาที่ได้สะสมอบรมแล้ว จะสงสัยในความเกิดดับไหม เพราะเกิดจริงๆ ดับจริงๆ แค่ฟังเเละพิจารณาก็เข้าใจแล้วว่า ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะให้เกิดเห็น เห็นก็เกิดไม่ได้ และเห็นก็ไม่ได้ตั้งอยู่ถาวรตลอดไป

    ขณะที่ได้ยิน ขณะที่จำ ขณะที่คิด ก็ไม่ใช่ขณะที่เห็น ทั้งๆ ที่สภาพธรรมเกิดดับเร็วอย่างนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ทรงพระมหากรุณาว่า คนอื่นรู้ไม่ได้แน่ถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดง และการที่จะรู้ก็ต้องเป็นผู้ตรง รู้แค่ไหนก็คือเท่านั้น ไม่ได้มากกว่านั้นเลย

    ดังนั้น การศึกษาธรรม จึงศึกษาด้วยความเคารพอย่างยิ่ง เเต่ละคำ ขอให้เข้าใจจนรอบรู้ปริยัติ ไม่ใช่ฟังเผินแล้วก็พูดตาม แต่ไม่ได้เข้าใจว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงเกิดและดับ แล้วไม่กลับมาอีก หลงยึดถือพอใจในสิ่งที่ไม่มี ใช่ไหม เดี๋ยวนี้เอง เพราะสิ่งที่ปรากฏดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย จึงยังติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ แต่สิ่งนั้นดับแล้ว เมื่อไหร่ประจักษ์อย่างนี้จริงๆ เมื่อนั้นกว่าวิปัสสนาจะเกิด ตามลำดับขั้น

    อ.อรรณพ ที่แสดงถึงความติดข้องในรูป มีการสะสมอาศัยกันมาตามลำดับ จริงๆ ก็เป็นในชีวิตปัจจุบันนี้ แต่เราไม่รู้อย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เลย ไม่รู้ถึงอย่างนั้น อยู่ในความมืดทั้งวัน ทั้งเดือน ทั้งปี ทั้งชาติ ทุกชาติ หนาแน่นแค่ไหน เพราะฉะนั้น ได้ฟังธรรม เข้าใจจริงๆ รอบรู้ในคำที่ได้ฟัง เดี๋ยวนี้รอบรู้แล้วใช่ไหม ใครจะละโลภะได้ มากมายตั้งแต่อย่างที่ไม่ปรากฏเลย แค่พอใจเพราะจำ รูปสัญญา เพราะมีรูป และมีสภาพที่กำลังเห็นรูป จำรูป ก็เกิดฉันทะ พอใจที่จะมีรูปนั้น แล้วก็เร่าร้อน

    เห็นไหมว่าไม่รู้ตัวเลยว่า มีความพอใจในสิ่งใดก็เร่าร้อนที่จะแสวงหา ไม่ได้ทอดทิ้งไปเลย ทุกอย่างพิจารณาได้ แต่ก็ผ่านไปในวันหนึ่งๆ เหมือนไม่ได้มีอะไรที่จะเป็นสิ่งที่พอกพูนกิเลส แต่ความจริงพอกพูนไว้มากมายแค่ไหน จิตเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณเท่าไหร่ การพอกพูนของความไม่รู้และกิเลสก็เท่านั้น

    ยิ่งฟังธรรม ยิ่งลึกซึ้งไหม ยิ่งเข้าใจยิ่งลึกซึ้ง ยิ่งเข้าใจอีกก็ยิ่งลึกซึ้งลงไปอีก กว่าจะถึงการที่สามารถดับกิเลสได้ เพียงขั้นต้นก็คือดับความเห็นผิด ที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เพราะความจริงไม่มีอะไรเที่ยงเลย และความไม่เที่ยงก็แสนที่จะเร็วสุดที่จะประมาณ จนไม่มีใครรู้ว่าปรากฏอย่างนั้น นอกจากเห็นคนนั่ง ห้องนี้ก็อยู่เป็นห้องนี้ตั้งนานแล้ว เป็นห้องนี้มานานแสนนาน ไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้วแต่ละหนึ่งที่เกิดขึ้นนั้นดับ แทบจะเรียกได้ว่าทันที เปรียบกับเวลาก็ไม่ได้ หนึ่งวินาทีที่เราพูดอยู่นี้มีสภาพธรรมตั้งเท่าไหร่ ขณะลืมตาก็เห็นหมดเลยทุกอย่าง แสดงว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา ยังไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น รอบรู้ในแต่ละคำ มีคำว่า เห็น คือธาตุรู้ ซึ่งเป็นจิต อาศัยเจตสิก เกิดพร้อมกันดับพร้อมกัน จิตก็ทำหน้าที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 181
    17 ก.ย. 2568