ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1047
ตอนที่ ๑๐๔๗
สนทนาธรรม ที่ บ้านทันตแพทย์หญิง วิภากร พงศ์วรานนท์
วันที่ ๒๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ชาวพุทธไม่ใช่คนไม่รู้ ไม่เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้นและทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แล้วก็บอกว่าเป็นชาวพุทธ ถ้าเขาไม่ได้เป็นคนไทย ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย พ่อแม่ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธในนามตามทะเบียน แต่เข้าใจธรรมอย่างดี แล้วก็อบรมเจริญปัญญา เขาเป็นชาวพุทธหรือไม่ ก็ต้องเป็น ไม่ว่าใคร
ดังนั้น ไม่ได้จำกัดว่าคนนี้เป็นไม่ได้ คนนั้นเป็นไม่ได้ หรือคนที่เป็นคนไทยเป็นชาวพุทธทั้งหมด ก็ไม่ใช่ เพียงแต่ได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธที่ไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่รู้จักพระองค์ เเต่ถ้าเป็นชาวพุทธจริงๆ จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ต่อเมื่อผู้นั้นเข้าใจธรรม ตรัสไว้ด้วยพระองค์เอง "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" ไม่มีทางที่จะเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่เข้าใจธรรมที่พระองค์ได้ทรงแสดงแล้ว เพราะฉะนั้น ธรรม คือสิ่งที่มีจริง พระธรรม คือคำสอนที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้วทั้งหมด
เมื่อมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยพระมหากรุณาจึงได้ทรงแสดงความจริง ทั้งหมดเป็นพระธรรม เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด คำว่า พระ มาจากคำว่า วระ ประเสริฐยิ่ง คำไหนจะประเสริฐเท่ากับคำจริงถึงที่สุด ไม่ลวง ไม่หลอก ไม่ให้โทษใดๆ เลย ไม่เปลี่ยนแปลงด้วย ถ้าเข้าถึงความจริงแล้วคำนั้นก็เปลี่ยนไม่ได้เลย
พระธรรมแต่ละคำเป็นคำจริงทั้งหมด เปลี่ยนไม่ได้ จะนำไปสู่การรู้ความจริงจนถึงการประจักษ์แจ้ง เพราะฉะนั้น พระสัทธรรม สัท แปลว่า สงบ ธรรม ธรรมที่สงบ ก่อนฟังธรรมสงบไหม เต็มไปด้วยความไม่สงบ แต่ก็ไม่รู้ แต่เมื่อฟังธรรม รู้ว่าสิ่งที่มีจริงไม่ใช่เรา สงบจากการเข้าใจผิด ที่เคยยึดถือมานานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ว่าเป็นเราทั้งหมด ตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะฉะนั้น สงบจากความไม่รู้เเละความเข้าใจผิด
พระสัทธรรมจะนำไปสู่การรู้แจ้งสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสไว้ทุกคำว่า ผู้นั้นได้ประจักษ์แจ้งตามความเป็นจริงตามที่ได้ตรัสแล้ว จึงเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสังฆรัตนะ
พระพุทธรัตนะ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ
พระธรรมรัตนะ คือ ธรรมที่จะนำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม
สังฆรัตนะ คือ ธรรมนั้นเมื่อนำไปสู่การรู้แจ้งแล้ว ผู้นั้นก็เป็นรัตนะหนึ่งในบรรดาสิ่งที่ประเสริฐทั้งหลาย เป็นสาวก จึงเป็น สังฆรัตนะ
ดังนั้น แต่ละคำจะทำให้เราได้เริ่มเข้าใจถูกต้อง ซึ่งจะไปหาที่ไหน ถ้าส่งเสริมให้ไปทำอย่างหนึ่งอย่างใดขึ้นมาก็แปลว่าผิดแล้ว ไม่ได้เข้าใจแม้คำเดียวว่า ธรรมสิ่งที่มีจริง ต้องเกิดตามเหตุตามปัจจัย ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ทั้งหมดไม่เว้นเลย จะของเราได้อย่างไร ได้ยินเกิดแล้วดับแล้ว ไม่กลับมาอีก ไหนเรา กำลังได้ยินว่าเป็นเราได้ยิน แต่ก็ดับแล้ว เราอยู่ไหน ก็ต้องดับไม่เหลือเลย เพราะจริงๆ แล้วกว่าจะถึงความเข้าใจที่มั่นคงว่าไม่มี ก่อนเสียงเกิดไม่มีเสียง ไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่ คือสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดแล้วดับ ตรงที่เกิดนั่นเอง เพราะไม่รู้ว่า เมื่อดับแล้วก็เป็นปัจจัยให้สภาพธรรมอื่นเกิดสืบต่ออย่างเร็ว สิ่งที่เกิดก็ดูเหมือนไม่ได้ดับ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย ก็ลวงให้เห็นว่าเที่ยง เป็นเราที่มั่นคงตั้งแต่เกิดจนตาย
ทุกอย่างก็ต้องค่อยๆ เข้าใจความจริง เเละรู้ว่าจะหาความจริงจากคำที่ไม่จริงไม่ได้ จากคำของคนอื่นไม่ได้ จากคำที่ศึกษาเผินๆ แล้วก็ให้เข้าใจผิด ไปนั่งประพฤติปฏิบัติ ไปเข้าสำนักปฏิบัติ ไปบวชเป็นภิกษุสามเณร โดยไม่รู้ไม่เข้าใจอะไรเลย ไม่ใช่การที่จะทำให้พระศาสนาดำรงอยู่ได้ แต่เป็นการทำร้ายคำสอนของพระศาสนา ต้องตรง เหตุผลเพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจถูกต้อง นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่พูดทุกอย่างตามความเป็นจริงบ่อยๆ จากการที่ไม่เข้าใจจะได้เข้าใจ จากการที่เห็นผิดจะได้เห็นถูก แล้วก็ละทิ้งความเห็นผิด
เพราะฉะนั้น จะชื่อว่าชาวพุทธได้หรือถ้าเห็นผิด ชาวพุทธต้องเป็นผู้ที่เข้าใจพระธรรม รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเข้าใจธรรมที่พระองค์ได้ตรัสไว้
ผู้ฟัง เราคงปฏิบัติอะไรไม่ได้ ไปสำนักปฏิบัติธรรมก็จะผิดหมด ทีนี้ก็คงต้องเหลือเรื่องการฟังอย่างเดียว เพื่อให้เกิดความเข้าใจ เเล้วเเต่ละวันเราต้องฟังบ่อยแค่ไหน
ท่านอาจารย์ เราเข้าใจแค่ไหนแล้วเราก็จะรู้ว่า จะเข้าใจยิ่งกว่านี้ได้อย่างไร แต่ไม่ใช่ไปกะเกณฑ์ แต่เป็นผู้ที่ตรง ถ้าไม่มีการฟังวันนี้ จะเข้าใจสิ่งที่เราเข้าใจจากการฟังวันนี้ไหม ก็ไม่มี
ผู้ฟัง แต่ถ้าฟังมากๆ บางทีเราก็เครียด
ท่านอาจารย์ เครียดไม่ใช่เข้าใจ ต้องรู้สาเหตุด้วย กุศลไม่นำโทษใดๆ มาให้เลยทั้งสิ้น เพราะเป็นเรื่องละ แต่ทำไมเครียด
ผู้ฟัง คือบางทีก็อยากดูทีวี
ท่านอาจารย์ ธรรมดา ไม่ใช่เรา แต่ก่อนนี้ทั้งหมด เป็นคุณพจน์ทั้งนั้นเลยใช่ไหม โน่นก็พจน์ นี่ก็พจน์ แต่ไหนเล่าพจน์ ธรรมทั้งหมดต่างหาก
เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้จริงๆ ว่าแม้แต่พูดก็ไม่ใช่เรา จงใจตั้งใจด้วยความเป็นเราจะพูด แต่ปัจจัยที่ทำให้เกิดคำต่างๆ เหล่านั้นมาจากไหน ถ้าไม่มีการสะสมมาเราจะพูดต่างกันหรือ แม้แต่น้ำเสียง แม้แต่คำที่ใช้ เพราะการสะสมทั้งหมด ต้องละเอียดถึงจะรู้ว่าไม่มีเราเลยสักอย่าง จะเป็นเราไม่ได้เลยถ้าเข้าใจจริงๆ
ด้วยเหตุนี้ ปัจจัย หรือ ปัฏฐาน ที่ทรงแสดงที่ตั้งของสภาพธรรมที่เกิดเพราะปัจจัย จึงได้เป็นคัมภีร์สุดท้ายของพระอภิธรรม ตอนนี้ตัวจริงๆ กำลังปรากฏยังไม่รู้เลย แล้วจะไปรู้ปัจจัย ซึ่งก็เป็นธรรมแต่ไม่ใช่ธรรมที่ปรากฏ เห็นไหมว่าต่างกันแล้ว
ผู้ฟัง แต่ถึงจะฟังมา เมื่อเห็นก็จะเป็นสัตว์บุคคลทุกที
ท่านอาจารย์ จนกว่าไม่ต้องมานั่งนึกก็รู้ เหมือนอย่างที่เราเป็นคฤหัสถ์ ไม่ต้องมานั่งคิดก็ใช่ ก็เป็นคฤหัสถ์อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ความรู้สามารถที่จะรู้ว่า สภาพธรรมที่ได้ฟังทั้งหมดนั้นคืออะไรโดยไม่ต้องนึกถึงเลย เพราะลักษณะนั้นเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น
ผู้ฟัง เหมือนเข้าใจเป็นเรื่องราว
ท่านอาจารย์ จนกว่าจะรู้ว่าไม่ต้องเรียกชื่อก็จำได้ ตอนนี้ทุกคนที่นี่รู้จักกันเพราะชินใช่ไหม ถ้าคุ้นเคยอยู่เเค่คนเดียว จะให้รู้จักทุกคนก็ไม่ได้ แต่เมื่อคุ้นกันมากขึ้นๆ ก็สามารถที่จะบอกได้ว่าเป็นใครบ้าง เปรียบเหมือนกับการได้ฟังบ่อยๆ ถ้าคนที่ฟังน้อยจะให้เขารู้ทั้งหมดก็ไม่ได้
ผู้ฟัง แต่ถ้าเราฟังมากๆ ว่าธรรมไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ ฟังธรรมทีละคำ ถ้าเราคิดว่าจะฟังมากๆ แต่ไม่เข้าใจ หรือเข้าใจน้อยมาก ก็ไม่เป็นประโยชน์เท่ากับเข้าใจคำเดียวเเต่มั่นคง รอบรู้ เช่นคำว่า ธรรม เมื่อเข้าใจว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น ธรรมต้องเป็นธรรมนั้นๆ ด้วย ไม่ใช่ธรรมอื่น เห็นต้องเป็นเห็น ธาตรู้เกิดขึ้นเห็นแล้วดับ ก่อนเห็นไม่มีเห็น เพราะฉะนั้น ธาตุรู้เกิดขึ้นเห็นแล้วดับ ก่อนได้ยินไม่มีได้ยิน ได้ยินต้องเกิดขึ้นได้ยิน แล้วดับ ถ้ามีความเข้าใจเท่านี้ ไม่กี่คำใช่ไหม แต่ความมั่นคงที่ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง
ดังนั้น จากความเข้าใจนี้ เวลาที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น แม้แต่โกรธ ความเข้าใจตามมาแล้ว จึงรู้ว่าลักษณะนี้เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เป็นนั่งคิดเตรียมตัวว่าเราจะต้องรู้โกรธว่าไม่ใช่เรา เมื่อไหร่เราจะรู้ว่าโกรธนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ แต่เพราะความเข้าใจธรรมที่มีแล้ว
เพราะฉะนั้น ชาตินี้ เราก็ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร แต่ความเข้าใจธรรมวันนี้ก็สามารถที่จะทำให้เข้าใจธรรมพรุ่งนี้ได้ หรือว่าชาตินี้เรายังไม่เข้าใจธรรมทั้งหมดเลย ได้เเต่ฟังเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เราจะรู้ไหมว่าชาติหน้าจะเห็นอะไร ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะเห็นอะไร แต่จากการฟังวันนี้มีความเข้าใจถูกต้องว่าเกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นสามารถที่จะเข้าใจสิ่งนั้นได้ อย่างท่านพระสารีบุตร ท่านก็ไม่รู้ว่าท่านจะพบท่านพระอัสสชิ ไม่รู้ด้วยว่าจะได้ฟังคำอะไร แต่เมื่อได้ฟังแล้ว ความเข้าใจที่สะสมมาทั้งหมด เข้าใจในสภาพธรรมที่ปรากฏทันที
ดังนั้น สะสมความรู้ สำหรับปัญญาที่สามารถที่จะรู้ความเป็นจริงของธรรม เมื่อไหร่ก็แล้วแต่กำลังของการสะสม แล้วแต่ปัญญา ไม่ใช่เรา นั่นจึงจะเป็นการละ ไม่มีตัวตนเข้าไปขวางทางที่ทำให้ผิดไป
ผู้ฟัง คือเคยไปสำนักปฏิบัติหลายแห่ง มีบางแห่งท่านบอกว่า พวกเราอาจจะสะสมมา ก็ไม่มีใครรู้ว่าสะสมมามากขนาดไหน เราอาจจะได้เป็นโสดาบันในชาตินี้ก็ได้
ท่านอาจารย์ แต่ต้องมีเหตุ พูดแล้วรู้อะไร ไม่รู้อะไรเลย
ผู้ฟัง คือเหมือนให้กำลังใจ
ท่านอาจารย์ กำลังใจทำอะไร
ผู้ฟัง ในการปฏิบัติ
ท่านอาจารย์ ปฏิบัติอะไร เห็นไหมว่าต้องถึงที่สุด ถ้าไม่ใช่ความถูกต้องก็ไม่สามารถที่จะเป็นความจริงได้ ปฏิบัติอะไร รู้อะไร
ผู้ฟัง ให้รู้สึกกาย รู้สึกใจ
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ใช่ไหม หรือเมื่อไหร่
ผู้ฟัง ก็ทุกเวลาเท่าที่มีโอกาส
ท่านอาจารย์ แล้วต้องไปไหน ก็เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องไปไหน สามารถจะรู้เดี๋ยวนี้ได้เมื่อไหร่ก็ไม่ใช่เรา ทุกคำต้องสอดคล้องกัน เพราะว่าความเป็นจริงเป็นอย่างนั้น
ผู้ฟัง แต่ท่านเหมือนกับว่าให้เรามาฝึกที่วัด
ท่านอาจารย์ นั่นก็ผิดแล้ว ฝึกอะไร
ผู้ฟัง เหมือนฝึกชกมวย ถ้าไม่ฝึกก็สู้เขาไม่ได้
ท่านอาจารย์ เราไม่ได้ชกมวย แล้วเราฝึกอะไร
ผู้ฟัง เหมือนฝึกรู้กาย รู้ใจ
ท่านอาจารย์ รู้อย่างไร
ผู้ฟัง มีอะไรก็รู้สึก ยืน เดิน นั่ง นอน อย่างนี้
ท่านอาจารย์ นั่นเราใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ แล้วจะเป็นทางที่สัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้ประพฤติอย่างนั้นหรือไม่ ให้เป็นเรา
ผู้ฟัง คือ แรกๆ ก็ต้องอยากไว้ก่อน ท่านบอกว่าอย่างนั้น
ท่านอาจารย์ ไว้ก่อน แล้วเมื่อไหร่จะหมด ไว้ก่อนทุกวัน
ผู้ฟัง คือ เหมือนกับฝึกไปๆ รู้สึกกาย รู้สึกใจ ไปเรื่อยๆ แล้วจะหมดไปเอง
ท่านอาจารย์ เป็นไปไม่ได้เลย ไม่รู้อะไรเลย คิดทั้งนั้น ไม่ใช่รู้ รู้ก็คือเดี๋ยวนี้รู้ได้ไหม และจะรู้ได้ไหม ถ้ารู้ว่าเดี๋ยวนี้ยังรู้ไม่ได้ตามความเป็นจริง แล้วจะรู้ได้ไหม แล้วจะรู้ได้เมื่อไหร่ ไม่ใช่เรา แต่เป็นเพราะความเข้าใจเพิ่มขึ้น
เพราะฉะนั้น ฟังธรรมเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลยทั้งสิ้น มิฉะนั้นแล้วก็มีความหวัง หรือความเป็นตัวตนแทรกอยู่ร่ำไป เป็นตัวตนอยู่แล้วยังไปทำให้เป็นตัวตนเพิ่มขึ้นด้วยความต้องการ ดังนั้น ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ฟัง แต่วิปัสสนาจารย์หลายๆ องค์ ท่านก็บอกว่า ท่านศึกษามาจากพระไตรปิฎกโดยตรง
ท่านอาจารย์ วิปัสสนา คืออะไร
ผู้ฟัง ท่านบอกว่า รู้แจ้ง เห็นจริงอะไรอย่างนี้
ท่านอาจารย์ รู้แจ้งอะไร เห็นจริงอะไร
ผู้ฟัง รู้แจ้งในพระธรรม อะไรอย่างนี้
ท่านอาจารย์ รู้เเจ้งพระธรรมอะไร ต้องชัดเจน ไม่ใช่ให้เชื่อง่ายๆ พระวิปัสสนาจารย์ วิปัสสนาคืออะไร และอาจารย์คืออะไร หนทางที่จะให้รู้แจ้งคืออะไร บอกให้คนอื่นเขานั่งนอนยืนเดิน แล้วปัญญาเขาจะเกิดหรือ
ผู้ฟัง คล้ายๆ กับว่า ถ้าทำไปแล้วก็จะลดละตัวตนไปได้เอง
ท่านอาจารย์ แล้วเดี๋ยวนี้เห็นเป็นเราหรือไม่
ผู้ฟัง ก็เป็นเรา
ท่านอาจารย์ แล้วเมื่อไหร่จะหมดการเห็นเป็นเรา เห็นไหมว่าไม่ตรงเลย ถ้าไปนั่งไปนอนแล้วเมื่อไหร่จะรู้ว่า เห็นขณะนี้ไม่ใช่เรา
ผู้ฟัง เหมือนกับว่า ถ้าเราทำบ่อยๆ แล้วจะลดละกิเลสไปเองได้
ท่านอาจารย์ กิเลสของเรา เราทำ เราละกิเลส เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
ผู้ฟัง เราก็ไม่ทราบ เราก็เชื่อพระ
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ ไม่เชื่อใครทั้งหมด ต้องตามความจริงว่าคำนั้นถูกต้องไหม จริงไหม ตรงไหม ควรเชื่อไหม ถ้าเป็นความจริงก็ถูกต้อง ไม่ใช่ไปเชื่อผิดๆ แต่ต้องเป็นความจริง มั่นคงในการเข้าใจถูกต้อง อาจารย์ไหนที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ไม่มี อาจารย์ไหนที่บอกว่าฟังมาจากคำของสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ดีแล้วก็ต้องตรงกับความจริง ถ้าไม่ตรงกับความจริง ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ฟัง เรื่องเดินจงกรม นั่งสมาธิ นี้ก็มีหลายอาจารย์ที่บอกว่าอ่านมาจากพระไตรปิฎก
ท่านอาจารย์ เขาอ่าน แต่เราต้องถามเขาด้วยว่า วิปัสสนาคืออะไร วิปัสสนารู้อะไร เพราะว่าไม่ว่าเราจะได้ยินได้ฟังคำไหนจากใคร ก็ต้องเข้าใจว่าคำนั้นคืออะไร ถูกหรือผิด
ผู้ฟัง ส่วนมากเราก็จะเชื่อ
ท่านอาจารย์ นั่นคือ เราการสะสมการไม่รู้ แล้วไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเชื่อคนอื่น แทนที่จะรู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรื่องอะไร สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้นตั้งแต่ขั้นฟัง เกิดแล้ว บังคับบัญชาไม่ได้ เมื่อไหร่จะรู้อย่างนี้ในขณะที่สิ่งนั้นเกิดแล้วดับ นั่นคือวิปัสสนา แต่ไม่ใช่ไปทำ ทำไม่ได้ ถ้าทำได้ก็คือไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่ต้น ก็เป็นการฟังคำของคนอื่นเรื่อยๆ ไป
เพราะฉะนั้น ไม่ได้มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แต่มีเขาเป็นที่พึ่ง ไม่ให้รู้อะไรด้วย เพราะรู้ไม่ได้จากการไปทำอะไร ซึ่งไม่ใช่ปัญญา
ผู้ฟัง แต่ตอนที่ไปฟังก็เหมือนเข้าใจ
ท่านอาจารย์ เข้าใจก็สนทนากันได้ ให้รู้ว่าเข้าใจจริงๆ หรือไม่ เดี๋ยวนี้กำลังได้ยิน จะรู้ได้อย่างไรตรงได้ยินซึ่งเกิดดับ
ผู้ฟัง เห็น ได้ยิน อะไรอย่างนี้ไม่เคยได้ยินจากที่ไหนเลย
ท่านอาจารย์ ทั้งๆ ที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน เห็นไหมว่าเขาไม่ได้พูดให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น คำของคนอื่นต่างกับคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าใครจะพูดต้องตรงกับที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้วทุกคำ และก็เป็นผู้ที่ละเอียดตั้งแต่ต้น คือ ธรรม ไม่ใช่เราแน่ เพราะใช้คำว่าธรรม ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา หมายความว่าไม่เว้นเลยสักอย่าง ไม่ใช่เรา เพราะเกิดแล้วแน่นอนเดี๋ยวนี้ ตามเหตุตามปัจจัย
ผู้ฟัง ขอความเมตตาท่านอาจารย์อธิบายคำว่า จิตไม่เที่ยง
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีจิตไหม
ผู้ฟัง มีจิต
ท่านอาจารย์ อยู่ไหน มีก็ต้องรู้ว่าอยู่ที่ไหน เมื่อไหร่ เดี๋ยวนี้มีจิต เพราะเหตุว่าขณะนี้มีเห็น มีได้ยิน ไม่ใช่ตาเห็น ไม่ใช่หูได้ยิน แต่ถ้าไม่มีตาก็ไม่มีเห็น ถ้าไม่มีหูก็ไม่มีเสียงปรากฏ ไม่มีได้ยิน ถูกต้องไหม ทั้งหมดนี้เป็นเราหรือไม่ หรือเป็นสิ่งที่เกิดเพราะมีปัจจัยแล้วก็ดับไป
ผู้ฟัง เป็นสิ่งที่เกิดเพราะมีปัจจัยแล้วก็ดับไป
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เริ่มเข้าใจถูกต้องในคำว่า ธรรม หมายความถึงทุกอย่างที่มีจริง แข็งเป็นธรรมหรือไม่
ผู้ฟัง เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ เป็น เพราะอะไร
ผู้ฟัง เป็นสภาพที่มีอยู่จริง
ท่านอาจารย์ ก็แข็งจริงๆ ลองจับดู มีหรือที่จะไม่แข็ง แข็งมีจริงเมื่อกระทบกาย เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่มีจริงนั้นมีลักษณะเฉพาะของตน ของตน ให้รู้ได้ เมื่อเราพูดถึงแข็ง ที่รู้ว่ามีแข็งก็ต่อเมื่อกระทบแข็ง ถ้าไม่กระทบแข็ง ไม่มีแข็ง ถูกต้องไหม
ผู้ฟัง ถูกต้อง
ท่านอาจารย์ เวลาพูดถึงได้ยิน เสียงปรากฏ ถ้าไม่ได้ยิน เสียงก็ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น ได้ยินเสียง ใช่ไหม ไม่ใช่ได้ยินแข็ง ลักษณะแข็งไม่ปรากฏ ได้ยินต้องได้ยินเสียง ได้ยินเกิดขึ้น รู้เฉพาะเสียงที่กำลังปรากฏให้ได้ยิน เสียงมีมากมาย แต่ละเสียงปรากฏเพราะมีธาตุรู้ ที่เราใช้คำว่า ได้ยิน
ด้วยเหตุนี้ ธาตุรู้มีมากมายหลายประเภท แต่ธาตุรู้ที่เป็นใหญ่เป็นประธานจริงๆ คือ เห็นจริงๆ ขณะที่เห็นก็คือธาตุรู้ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติเรียกว่า จิต จิตตะ หรือ จิตตัง หมายความถึงธาตุรู้ แสดงให้เห็นว่าธาตุอื่นที่เป็นธาตุรู้ก็มี จึงได้ใช้คำว่า จิต เป็นธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ เดี๋ยวนี้เลย ไม่คลาดเคลื่อนเลยว่าอะไรกำลังปรากฏให้เห็น แต่ละหนึ่งๆ ๆ เพราะธาตุรู้เกิดขึ้นรู้แจ้งเฉพาะทีละหนึ่ง เห็นสีแดงเปลี่ยนเป็นสีเขียวได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะว่าธาตุรู้ รู้แจ้งในสีนั้น สีแดงแล้วบอกว่าเป็นสีชมพู ได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะว่าจิตรู้แจ้ง แม้เป็นสีลักษณะเดียวกันแต่อ่อนแก่ มีความเข้มของสิ่งที่ปรากฏ แม้ความเข้มทีละน้อยๆ ซึ่งต่างกันจิตก็รู้แจ้ง หรือแม้แต่เสียง เสียงคน เสียงนก เสียงดนตรี เสียงฟ้าร้องเสียงเครื่องปรับอากาศ ก็เป็นเสียงทั้งหมด ทำไมรู้ว่าเป็นแต่ละเสียง เพราะจิตรู้แจ้งในแต่ละเสียงที่ปรากฏ
จิตไม่มีรูปร่าง ไม่มีลักษณะใดเลย เป็นธาตุรู้ ใช้คำว่าธาตุรู้ หมายความว่าไม่มีรูปร่างใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น ไม่มีรูปใดๆ คำว่า รูป หมายความถึงสิ่งที่มีจริง แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้
ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าอะไรที่เกิดขึ้นปรากฏต้องเป็นหนึ่ง คือจะเป็นธาตุรู้ หรือธาตุซึ่งมีแต่ไม่รู้อะไร เพราะฉะนั้น ธาตุที่มี เกิดขึ้นแต่ไม่รู้ ใช้คำว่ารูปธาตุ แล้วธาตุที่มี ไม่มีรูปร่างเลย เกิดขึ้นต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้ นั่นคือ นามธาตุ
นามธาตุ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ เช่น ทางตา หรือ ทางหู กำลังได้ยินเสียง นั่นคือ จิตเกิดขึ้นได้ยิน กำลังได้กลิ่น ก็เป็นธาตุรู้เกิดขึ้นรู้เฉพาะกลิ่นนั้น กลิ่นนั้นจึงปรากฏ ถ้ามีหลายๆ กลิ่นก็รู้ไปทีละหนึ่งๆ ไม่ใช่พร้อมกัน เป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ
เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้าไม่มีธาตุรู้ก็ไม่ใช่สิ่งที่มีชีวิต แต่เมื่อธาตุรู้เกิดขึ้น ธาตุรู้ไม่ใช่แข็ง ไม่ใช่อ่อน แต่ที่เป็นตัวเราทั้งตัวมีทั้งนามธรรมและรูปธรรม ถ้าเป็นสภาพที่ไม่รู้อะไรก็ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แข็งรู้อะไรไม่ได้ กลิ่นรู้อะไรไม่ได้ รสรู้อะไรไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้ สิ่งต่างๆ เหล่านั้นก็ไม่ปรากฏว่ามี ถูกต้องไหม
เดี๋ยวนี้มีธาตุรู้หรือไม่ มี เริ่มรู้จักแล้วคือมีจิต จิตเป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้ เป็นใหญ่เป็นประธาน เพราะว่ามีการชอบ ไม่ชอบ มีความจำ มีความรู้สึกเกิดร่วมด้วย แต่ไม่ใช่จิต แต่ละหนึ่งเป็นแต่ละหนึ่ง ความจำไม่ใช่ความรู้สึกเจ็บปวด จำเป็นจำ ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้น จำมีจริงไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ จำอะไร ถ้าไม่รู้อะไรเลย ไม่มีอะไรปรากฏเลย จะจำสิ่งนั้นได้ไหมในเมื่อไม่มี แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ เพราะจิตรู้สิ่งนั้น จำสิ่งที่ปรากฏ แต่สภาพที่จำไม่ใช่จิต เป็นธาตุรู้อีกชนิดหนึ่ง ซึ่งใช้คำว่า เจตสิก
เจตะสิกะ หมายความถึง สภาพธรรมที่เป็นนามธาตุ แต่ไม่ใช่จิต จิตก็เป็นนามธรรม นามธาตุ และสภาพรู้ก็เป็นนามธรรม นามธาตุ แต่ไม่ใช่ธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธาน แต่ต้องเกิดด้วยกันทุกครั้ง ที่ไหนมีเห็น ที่นั่นก็มีจำสิ่งที่ปรากฏ ที่ไหนมีได้ยินเสียง สภาพรู้แจ้งเสียงคือจิต สภาพที่จำเสียงนั้นก็เป็นเจตสิก
โดย ๒ อย่างนี้เกิดพร้อมกัน อาศัยกันและกันเกิดขึ้น จิตจะเกิดโดยไม่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยไม่ได้ เจตสิกจะเกิดโดยไม่มีจิตก็ไม่ได้ เพราะเจตสิกต้องเกิดทุกครั้งที่มีจิต
เราจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม แต่นี่เป็นธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า นามธาตุ ธาตุรู้ที่เกิดขึ้นมี ๒ อย่าง ที่เป็นใหญ่เป็นประธานคือ จิต และสภาพอื่นทั้งหมด ความจำ ความโกรธ ความเสียดาย ความต้องการ อะไรทั้งหมดเป็นเจตสิก แต่ละหนึ่ง ปะปนกันไม่ได้
รวมทั้งสิ้นโดยประเภทใหญ่ๆ มีเจตสิก ๕๒ ประเภท ที่เกิดกับจิตแต่ละหนึ่งขณะไม่เท่ากัน หนึ่งขณะจิตที่เกิดขึ้นต้องมีเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยอย่างน้อย ๗ ประเภท เดี๋ยวนี้ไม่มีใครรู้ แต่จากการที่ทรงตรัสรู้ว่าธรรมคืออย่างนี้ไม่ใช่เรา ก็ทรงแสดงให้คนอื่นได้เริ่มเข้าใจ ก่อนที่สภาพนั้นจะปรากฏว่าไม่ใช่เรา เห็นมี กำลังเห็น แต่ไม่ได้ปรากฏว่าไม่ใช่เรา ใช่ไหม เป็นเราเห็นไปแล้ว ซึ่งก็ผิด
ดังนั้น ความเห็นมี ๒ อย่าง ความเห็นผิดกับความเห็นถูก ถ้าความเห็นผิดก็คือ ยึดถือว่าเราเห็น แต่เห็นไม่ได้เกิดถ้าไม่มีปัจจัย เพราะฉะนั้น ตอนนั้นเราอยู่ไหน และเห็นเกิดเห็น แล้วก็ดับไป เราอยู่ไหน ก็ไม่มีเลย แต่มีธาตุซึ่งเกิดดับแต่ละหนึ่ง เฉพาะอย่างๆ ไม่ปะปนกัน จิตไม่ใช่เจตสิก เจตสิกแต่ละหนึ่งก็ไม่ปะปนกัน อย่างสภาพที่จำ เกิดจริงๆ จำจริงๆ ทำอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากจำ ภาษาบาลีใช้คำว่า สัญญาเจตสิก
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1021
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1022
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1023
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1024
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1025
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1026
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1027
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1028
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1029
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1030
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1031
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1032
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1033
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1034
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1035
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1036
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1037
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1038
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1039
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1040
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1041
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1042
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1043
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1044
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1045
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1046
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1047
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1048
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1049
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1050
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1051
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1052
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1053
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1054
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1055
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1056
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1057
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1058
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1059
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1060
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1061
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1062
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1063
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1064
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1065
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1066
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1067
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1068
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1069
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1070
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1071
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1072
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1073
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1074
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1075
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1076
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1077
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1078
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1079
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1080
