ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1052


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๑๐๕๒

    สนทนาธรรม ที่ บริษัทสยามแฮนด์ส จ.นครปฐม

    วันที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ มรดกที่พระองค์ให้ทุกคนก็คือคำที่ได้ฟัง แล้วก็สามารถที่จะไตร่ตรองจนกระทั่งเข้าใจได้ เพราะเข้าใจแล้วเคารพใครนับถือใคร

    ผู้ฟัง นับถือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ ต้องไม่ลืม เพราะอะไรถึงได้นับถือพระองค์ เพราะทรงแสดงความจริง ซึ่งคนอื่นไม่ได้แสดงความจริงให้เราเกิดความเข้าใจแม้แต่เพียงเล็กน้อย นี่เป็นขั้นต้นแค่ไม่กี่คำ แต่ความเข้าใจต้องไตร่ตรอง และเริ่มเห็นประโยชน์ เพราะว่าเราเกิดมาเราต้องตายไปแน่ๆ เลย ทรัพย์สมบัติเอาไปไม่ได้เลย ญาติพี่น้อง มารดาที่รักเรา ลูกที่รัก หรือใครๆ ก็ตามแต่ มิตรสหายทั้งหมด ยื้อยุดเราไว้ไม่ได้เลย ตามเราไปก็ไม่ได้ เพราะอะไร ธรรมสิ่งที่มีจริง เกิดแล้วมีความดับไปเป็นธรรมดา แต่นั่นยังห่างไกลมากกับความจริงเดี๋ยวนี้ซึ่งกำลังเกิดดับอยู่ เพราะฉะนั้นคำของพระองค์แต่ละคำ ทำให้เราเกิดความเห็นถูกต้อง คลายความยึดมั่นที่จะนำมาให้เกิดความทุกข์ เพราะเมื่อครู่นี้บอกเองใช่ไหม ว่าเป็นทุกข์เพราะยึดมั่น แต่ก็ยังไม่ละเอียดพอว่าที่ยึดมั่นนี่ยึดมั่นในอะไร ยึดมั่นในทุกสิ่งทุกอย่างที่มีใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ลองตาบอดสิเป็นยังไง หูหนวกสิเป็นยังไง ฟันหักสิเป็นยังไง แขนขาดสิเป็นยังไง ยึดมั่นในทุกอย่าง เพราะฉะนั้นเมื่อทุกอย่างยังเป็นอยู่ ใช่ไหม ดูเหมือนไม่ทุกข์เพราะไม่รู้ว่าทุกข์แท้ๆ นี่คืออะไร แต่ทุกคนจะเกิดทุกข์จรบ้าง นานๆ ก็จะมีการโศกเศร้าเสียใจพลัดพราก เจ็บไข้ได้ป่วย นั่นเป็นเพียงสิ่งซึ่งต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดาอะไรเกิดขึ้นเมื่อไหร่ให้รู้ว่าเป็นธรรมดา คำว่าธรรมดา มาจากคำภาษาบาลี ๒ คำคือธรรมกับตา ความเป็นไปของธรรม คือสิ่งที่มีจริงเป็นอย่างนี้ จะให้เป็นอย่างอื่นได้อย่างไร ตาก็เพื่อมีสิ่งที่กระทบตาแล้วเห็น เป็นธรรมดาไหม ใครเปลี่ยนแปลงความเป็นธรรมดาอย่างนี้ได้ไหม หูสำหรับกระทบเสียง ทำให้จิตได้ยินเกิดขึ้น ได้ยินเสียงนั้นเป็นธรรมดาไหม เดี๋ยวนี้กำลังเป็นธรรมะหรือเปล่า เป็น เป็นธรรมดาหรือเปล่า เป็นธรรมดา พูดคำนี้มาตั้งนาน แต่ไม่รู้ซึ้งถึงคำว่าธรรมดาคืออะไร ใช่ไหม แต่ธรรมดาก็คือสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้แหละ ทั้งหมดก็ต้องเป็นไปตามธรรมนั้นๆ ที่ต้องเป็นอย่างนั้น ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลยเริ่มรู้ว่าไม่มีใครทำอะไรได้ เพราะเป็นธรรม เพราะฉะนั้นประโยคต่อไปคือ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา มั่นคงขึ้นอีก ใช่ไหม แสดงให้เห็นชัดเจนขึ้นว่าสิ่งที่มี ของใครกันแน่ มีเจ้าของหรือเปล่า ถ้าคิดให้ลึกซึ้งสิ่งนั้นยังไม่เกิด ไม่มีให้ใครเป็นเจ้าของ แต่เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นเป็นของใคร ถ้าสิ่งนั้นไม่เกิดก็ไม่มี แต่เมื่อสิ่งนั้นเกิดแล้วดับ ดับแล้วยังเป็นของใคร ไม่มีเลย

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเราเป็นเจ้าของอะไรบ้างหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ได้เป็นเจ้าของอะไรเลย

    ท่านอาจารย์ ไม่มีเลย เริ่มเบาใจไหม

    ผู้ฟัง เบา

    ท่านอาจารย์ เพราะเข้าใจถูกต้องใช่ไหม ตอนนี้ถ้ามีเสียงกระทบหูเป็นเสียงที่เขาว่าเรา โกรธไหม

    ผู้ฟัง ก็น่าจะไม่โกรธ

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ ไม่เร็วปานนั้น นี่คือความโกรธเป็นธรรม ต้องไม่ลืมเลย ความโกรธเป็นธรรม ไม่อยากโกรธก็โกรธ เพราะมีเหตุที่จะให้โกรธเกิดขึ้น ยับยั้งไม่ได้เลย ทุกคนจะบอกได้เลยว่ายับยั้งไม่ได้ จะไม่โกรธนี่ไม่มีทางเลย บางทีก็ไม่มากมาย แค่ขุ่นใจก็ยับยั้งไม่ได้มากกว่านั้นอีกหน้าบึ้งหน้างอ โกรธ สีหน้าแสดงออกมาแล้ว ใช่ไหม บางคนยังอยากจะเป็นยักษ์เป็นมารด้วยซ้ำไป คือไม่พอแค่สีหน้า ยังต้องมีท่าทางมีกิริยาอาการต่างๆ อีก นี่ก็แสดงให้เห็นว่าบังคับบัญชาได้ไหม ใครอยากจะเป็นอย่างนั้นบ้าง ใครเห็นเขาหัวเราะหรือเปล่าคนนี้เป็นอะไรกำลังทำอะไร ตึงตังไปหมดเลย แต่คนๆ นั้นกำลังสมใจ ที่ได้ทำอย่างนั้น เพราะถ้าไม่พอใจจะทำ ไม่ทำ นี่คือธรรม ซึ่งไม่มีใครยับยั้งได้เลย ทรงแสดงความจริงอย่างละเอียดยิ่ง ทุกขณะจิต และที่เราเรียกว่าขณะจิตนี่เล็กน้อยสั้นสักแค่ไหน แล้วสิ่งที่เกิดขึ้น ก็เกิดดับอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่มีใครรู้

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราฟังแล้วเราต้องมั่นคง สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา แต่ยังไม่ประจักษ์แจ้ง เพราะว่าเพียงขั้นฟัง แค่ขั้นฟัง ก็ต้องฟังจนกระทั่งมั่นคง จนกระทั่งเป็นสัจจญาณ คือปัญญาที่รู้จริง อย่างมั่นคงในความจริงของธรรมดา วันนี้คิดอย่างนี้ไหม

    ผู้ฟัง วันนี้เริ่มคิด

    ท่านอาจารย์ ถูกต้องเลย วันนี้เริ่มคิด เริ่มรู้จักธรรม เริ่มได้ฟังธรรม เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องไม่เหมือนใครเลย ไม่ง่ายอย่างที่ใครคิด แล้วก็ไม่ได้สอนให้ใครทำ แต่ให้เกิดความเข้าใจของตัวเอง จากโลกนี้ไปจะอะไรไปบ้าง ใครที่มีมรดกมากมายมหาศาลเอาไปได้ไหม เอาไปได้แต่เฉพาะความโลภบ้าง ความโกรธบ้าง ความดีบ้าง ความชั่วบ้าง แต่ความเข้าใจถูกความเห็นถูกถ้าไม่มีการฟังพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีทางที่จะมีสิ่งนี้อยู่ในใจ จนถึงชาติหน้า และชาติต่อไป ก็จะมีแต่เพียงความโลภ ความโกรธ ความหลง ตัวใหญ่ๆ และความไม่โลภ ความไม่โกรธ มีบ้างบางขณะ แต่ยังมีความหลง คือความไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม ซึ่งเป็นปกติอย่างนี้เลยแต่ลึกซึ้งมากจนกระทั่ง พระโพธิสัตว์กว่าจะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตั้งความปรารถนาที่จะมีความเข้าใจความจริง ของสิ่งซึ่งเป็นธรรมดา ซึ่งนำความทุกข์มาให้ทุกคนที่เกิด เกิดแล้วไม่เป็นทุกข์ ไม่มี ต้องพลัดพรากใครจากไป ตายไปก็เป็นทุกข์แล้ว ไม่สิ้นสุดไม่มีวันหยุด เพราะฉะนั้นทรงรู้ว่าต้องมีสิ่งซึ่งสามารถจะตรงกันข้ามกับความทุกข์นี้ได้ เมื่อมีความเกิดก็ต้องมีความไม่เกิด แต่ว่ากว่าจะรู้ได้จริงๆ เราก็ต้องฟังประวัติของพระองค์ และคำสอนของพระองค์ว่าทุกคำด้วยพระมหากรุณาอย่างยิ่ง ให้เราซึ่งมีโอกาสที่ได้ทำบุญไว้แต่ปางก่อน คำนี้ลืมไม่ได้เลย เข้าใจธรรมะเมื่อไหร่ ไม่ใช่บังเอิญ ไม่ใช่ว่าของตก หยิบเก็บมาเป็นของเรา ไม่ใช่ แต่สิ่งนั้นจะเกิดได้ ต่อเมื่อได้ฟังคำที่ไม่เคยได้ยิน แล้วรู้ว่าเป็นคำจริง เมื่อเป็นคำจริงอะไรล่ะที่จะมีประโยชน์กว่า คำจริงซึ่งแสดงความจริง

    เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นประโยชน์ดังนี้ ไม่มีการละเลยโอกาสที่เกิดเป็นมนุษย์ มีโอกาสที่จะได้ฟังธรรมด้วยแล้วไม่ฟัง กับโอกาสที่เป็นมนุษย์มีโอกาสได้ฟังธรรมแล้วฟัง แล้วไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจถูก ซึ่งต่างกับที่ไม่เคยเข้าใจอย่างนี้มาก่อนเลยแม้น้อย แต่ก็เพิ่มขึ้นด้วยการที่ฟังบ่อยๆ แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกระทั่งมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ไม่พึ่งคนอื่นเลย แต่พึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะได้ฟังธรรมของพระองค์ ซึ่งจะทำให้สภาพธรรมที่ดีเกิดขึ้นกระทำกิจของสภาพธรรมะที่ดีเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นกุศลทั้งหลายก็เจริญขึ้น เพราะมีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า แค่เกิดมาแล้วก็ตายไป จะช้าจะเร็วรู้ไม่ได้เลย จะมากจะน้อยจะนานเท่าไร ก็รู้ไม่ได้ แต่ต้องไปแน่ จะเอาอะไรไป สิ่งที่มีค่าที่สุดที่อยู่ในจิตก็คือปัญญา และคุณความดี เพราะว่าอกุศลทั้งหลาย สะสมมาแสนโกฏกัลป์นับไม่ถ้วนเลย เมื่อครั้งพระผู้มีพระภาคยังเป็นพระโพธิสัตว์เราอยู่ไหน เป็นหรือยัง ได้ฟังธรรมหรือยัง กับการที่ได้มีโอกาสถึงการได้ฟังพระองค์ จากการที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ และปรินิพพานไปแล้วถึง ๒๕๐๐ กว่าปี นานแสนนาน แต่ความจริงมี และคำจริงที่พระองค์ได้ตรัสไว้ก็ยังอยู่ที่จะทำให้เข้าใจได้ เพราะฉะนั้นตอนนี้ จากนี้ไปจะฟังพระธรรมอีกไหม หรือพอแล้ว

    ผู้ฟัง ต้องฟังเรื่อยๆ ท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ต้องขออนุโมทนา เพราะว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งตอนนี้ก็พูดถึงให้เข้าใจเสียก่อนว่าทุกข์นี้ใครบังคับได้ เหมือนกับทุกสิ่งทุกอย่าง ใครก็บังคับไม่ได้ บังคับให้ไม่เห็นเดี๋ยวนี้ได้ไหม เห็นเกิดแล้ว บังคับให้ได้ยินได้ไหม ไม่ได้ บังคับทุกข์ไม่ให้เกิด ได้ไหม ในเมื่อเหตุของทุกข์มี ทุกข์ก็ต้องมีเป็นธรรมดา แล้วสุขล่ะ สุขมีเมื่อไหร่ เมื่อสุขเกิดเหมือนอย่างอื่นทั้งหมดเลย สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีเมื่อเกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี เพราะฉะนั้นอยากให้สุขเกิด ไม่มีเหตุที่จะให้สุขเกิด สุขก็เกิดไม่ได้ ไม่อยากให้ทุกเกิด มีเหตุให้ทุกข์เกิด ทุกข์ก็ต้องเกิด ไม่เกิดไม่ได้ นี่คืออนัตตา เริ่มเข้าใจมั่นคงขึ้น หมายความว่าไม่ใช่เรา อัตตาคือเราตัวตนของเรา หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ได้ เมื่อรวมกันแล้วก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ถูกไหม โต๊ะนี่แตกย่อยได้ไหม ได้ พอมารวมกันก็เป็นโต๊ะ ดอกไม้ก็แตกย่อยได้ มารวมกันก็เป็นดอกไม้

    เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็คือว่าต้องเป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ มั่นคง ทั้งตัวเป็นธรรม ถูกต้องไหม เพราะธรรมคือสิ่งที่มีจริง มีลักษณะเฉพาะให้รู้ว่ามีจริง ก็กำลังเห็นอย่างนี้จะว่าไม่มีเห็นได้อย่างไร มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น จะว่าไม่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้อย่างไร แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร คือฟังธรรมแล้ว ปัญญาจะมีเพิ่มขึ้น เมื่อเป็นความคิดแล้ว รู้ได้ว่าคิดแค่ไหนจะคำตอบ เพราะฟังมาแล้วแค่ไหน พอจะตอบได้แค่ไหน เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อให้รู้ว่าเห็นอะไร ได้ยินอะไร ได้ยินอะไรงงไปหมดเลย เวลาไม่ได้ฟังธรรมรู้ไปหมดเลย แต่พอฝันธรรมงงไปหมดเลย แม้แต่ธรรมดา เปลี่ยนธรรมไม่ได้เลย เปลี่ยนไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นแค่ถามว่าได้ยินอะไร

    ผู้ฟัง ได้ยินเสียง

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง แค่นี้ จะไม่ถูกได้อย่างไร ธรรมเป็นธรรมดาธรรมตา ธรรมก็ต้องเป็นอย่างนี้แหละ เสียงก็ต้องเป็นเสียง ได้ยินก็ต้องเป็นได้ยิน ได้ยินเกิดแล้วจะบอกว่าไม่ได้ยินก็ผิดแล้ว ใช่ไหม ไม่ตรงแล้ว เพราะฉะนั้นผู้ที่ตรงเท่านั้นที่จะได้สาระจากพระธรรมทั้งหมดต้องเป็นผู้ที่ตรง ถูกคือถูก ผิดคือผิด ถ้ายังเห็นผิดเป็นถูก ก็คือว่าพระศาสนา คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วยอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นได้ยินเสียง ได้ยินมีจริงๆ ไหม

    ผู้ฟัง ได้ยินมีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ เสียงมีจริงๆ ไหม

    ผู้ฟัง เสียงมีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ได้ยินเป็นเสียงหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ เป็นเสียงหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ได้ยิน ไม่ได้เป็นเสียง

    ท่านอาจารย์ ได้ยินไม่ใช่เสียงนะ

    ผู้ฟัง ไม่ใช่เสียง

    ท่านอาจารย์ เสียงเป็นได้ยินหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เสียงก็ไม่ใช่ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ ใครได้ยิน

    ผู้ฟัง ตัวเราได้ยิน

    ท่านอาจารย์ ตัวเรามาแล้วเห็นไหม ถ้าได้ยินไม่เกิด จะมีเราได้ยินไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ แต่พอได้ยินเกิด ทำไมเป็นเราได้ยิน ผิดแล้ว ใช่ไหม

    ผู้ฟัง เป็นเราได้ยินนี่ก็คือความเข้าใจว่าเป็นเราได้ยิน

    ท่านอาจารย์ เมื่อได้ยินเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าแท้ที่จริงในขณะได้ยิน มีจริงๆ

    ผู้ฟัง มีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ เกิดแล้วด้วย ถ้าไม่เกิดก็ไม่มีได้ยิน แต่พอได้ยินแล้วไม่เข้าใจ ก็เลยยึดถือว่าเราได้ยิน นี่เริ่มรู้แล้วว่าการยึดถือนี่ยึดถืออะไรบ้าง ไม่ใช่บอกว่า จะไปละความยึดถือว่าเป็นตัวตน แต่ไม่รู้ว่าตัวตนอยู่ที่ไหน ดังนั้นจะละได้อย่างไร ใครคิดที่จะละเอง ฟังคนโน้นคนนี้ละ แต่ไม่ใช่ความเข้าใจของตัวเอง ละไม่ได้ แล้วความเข้าใจนี้มาจากไหน ต้องฟังคำของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ ทรงแสดงทุกอย่างถึงที่สุดของความจริงของสิ่งนั้น ซึ่งเปลี่ยนไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นได้ยินมีแน่ๆ เสียงมีแน่ๆ ได้ยินเกิดไหม

    ผู้ฟัง เกิด

    ท่านอาจารย์ ได้ยินดับไหม

    ผู้ฟัง ดับ

    ท่านอาจารย์ เสียงเกิดไหม

    ผู้ฟัง เกิด

    ท่านอาจารย์ เสียงดับไหม

    ผู้ฟัง ดับ

    ท่านอาจารย์ เสียงเป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เสียงเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ได้ยินเป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ ได้ยินเป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่เป็นอะไร

    ผู้ฟัง เป็นธรรมดา

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เป็นธรรม เป็นธรรมดา เหนื่อยไหม

    ผู้ฟัง ไม่เหนื่อย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นการสนทนาธรรม ประโยชน์ที่สุดคือขอให้คนฟังเข้าใจเท่านั้นเอง ไม่ต้องไปไกลถึงไหนเลย เพราะเหตุว่าถ้าเขายังไม่เข้าใจตั้งแต่ต้น จะไปเข้าใจถึงที่สุดได้อย่างไร ตอนต้นก็ยังไม่รู้แล้วยังผิดๆ กันทั้งหมด เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่าธรรมคำเดียว ถ้าเข้าใจได้ก็เป็นที่ปราบปลื้มปีติของทุกคน ที่ได้มีผู้ที่ได้มีความเข้าใจถูก มีความเห็นถูก ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาบำเพ็ญพระบารมีให้เราได้เข้าใจอย่างนี้แหละ อย่างนี้เลย ว่าสิ่งที่มีนี่แหละมีจริงๆ เป็นธรรมซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น แล้วดับไป เพราะฉะนั้นเราไม่รู้จริงๆ ไม่รู้เลยสักอย่าง สักคำในพระไตรปิฏก เผินมากเลย แต่ว่าพอศึกษาทีละน้อยก็จะเริ่มรู้ และเข้าใจในแต่ละคำ แม้แต่คำที่ทุกคนก็ได้ยิน ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาไม่มีใครที่ไม่ได้ยิน ใช่ไหม ได้ยินกันทุกผู้ทุกคน ถามก็เผินๆ แต่ว่าจริงๆ แล้วต้องสนทนากัน ถึงสามารถที่จะรู้ได้ว่าคนที่พูดอย่างนี้ เข้าใจแค่ไหน มั่นคงระดับไหน เพราะฉะนั้นจากการสนทนา ก็ฟังมาแล้ว ก็ทบทวนโดยคำถามว่าที่ฟังมาแล้วทั้งหมดเข้าใจแค่ไหน และก็ตอบได้ถูกต้องแค่ไหน เพราะฉะนั้น ทำให้ได้ยินเกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ทำให้เสียงเกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะทุกอย่างดูเหมือนเราทำ แต่ความจริงมีปัจจัยเฉพาะที่จะให้สิ่งนั้นเป็นอย่างนั้นเกิดขึ้น เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ถ้าเอาของ๒ อย่าง แข็งๆ มากระทบกัน เสียงดังแล้วใช่ไหม เอาฆ้อนทุบโต๊ะ การกระทบกันของสิ่งที่แข็ง เป็นปัจจัยให้เกิดเสียง ไม่ต้องมีใครทำ มะม่วงตก ทุเรียนตก ดังไหม กระทบพื้น ไม่มีใครทำใช่ไหม แต่ของแข็งกระทบกันก็เป็นปัจจัยให้เสียงเกิดขึ้น ถ้าขณะนั้นไม่มีโสตปสาทะคือหู ทุกคนมีหู ใช่ไหม หูของเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ ไม่มีอะไรเป็นของเราเลยสักอย่างเดียว แม้แต่หูก็ต้องมีปัจจัยเกิดขึ้น รู้ไหมทำไมบางคนเกิดมาหูหนวก รู้ไหมทำไมเกิดมาหูไม่หนวก อยู่ไปอยู่ไปก็หนวก ทุกอย่างมีเหตุมีปัจจัยทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจะรู้ความจริงก็ต่อเมื่อได้ฟังคำที่กล่าวถึงสิ่งนั้นโดยประการทั้งปวง เพราะฉะนั้นหูไม่ใช่ของเรา เสียงเป็นของเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ แค่พูดแล้วดับแล้ว ไปไหน ถ้าลิ้นไม่กระทบของแข็งในปาก หรืออะไรช่องปาก ที่ทำให้เสียงเป็นคำๆ เกิดขึ้น เสียงสูง เสียงต่ำ เสียงก็ไม่เกิด แต่เกิดแล้วดับ เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ เพราะอะไร เพราะเห็นไม่ใช่ได้ยิน คนละขณะสิ่งที่ทำให้เกิดขึ้นก็ต่างกัน แล้วจะปรากฏพร้อมกันได้อย่างไร นี่คือความรวดเร็วสุดที่จะประมาณได้ ของสิ่งซึ่งเกิดดับ จนกระทั่งลวง ยิ่งกว่ามายากล ว่ามีคน มีดอกไม้ มีโต๊ะ ทันทีที่เห็น เพราะฉะนั้นธาตุรู้เกิดขึ้นรู้ แล้วก็ดับ สืบต่อมั่นคง รวดเร็วแค่ไหน จนปรากฏเป็นสิ่งซึ่งไม่มีใครรู้เลย เพราะฉะนั้นนี่เป็นธรรมทั้งหมด เริ่มเข้าใจแล้ว มีอะไรบ้างที่ไม่ใช่ธรรม

    ผู้ฟัง ไม่มีเลย

    ท่านอาจารย์ ถูกต้องที่สุด ทุกอย่างเป็นธรรม โกรธเป็นธรรม หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ คิด เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ตอนนี้รวดเร็วเลยนะ ไม่สงสัยเลยว่าทุกอย่างที่มี ที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ภาษาบาลีใช้คำว่าธรรม แต่ภาษาไทยก็คือว่าสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่มีจริงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้อะไร และสิ่งที่มีนี้เพราะเป็นจริงอย่างนี้ ก็ทรงตรัสรู้ตามความจริง และทรงแสดงตามความจริง ธรรมเป็นของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ของใครเลยทั้งสิ้น ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปสิ่งที่ดับไปแล้วกลับมาอีกได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ แสดงให้เห็นว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ตั้งแต่เกิดเลย แม้แต่ขณะที่เกิด สิ่งที่มีขณะที่เกิดแล้วต้องมี เกิดแล้วดับแล้ว สืบต่อมาตั้งแต่เกิดจนกระทั่งถึงวันนี้ จนกระทั่งถึงต่อไปก็พรุ่งนี้ ก็เป็นธรรมทั้งหมด ซึ่งมาจากการเกิด เพราะฉะนั้นอะไรเกิด ตอนนี้น่าจะตอบได้ไหม อะไรเกิด ยังไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้น เท่าที่รู้อะไรเกิด นี่คือการฟังธรรม ที่จะให้ประโยชน์จริงๆ ไม่ใช่พูดยาว เผินไปเลย ทั้งเรื่องทั้งวัน แล้วกลับไปก็ไม่รู้อะไร เราก็ลืมแล้ว อย่างนั้นจะไม่มีประโยชน์เลย ทุกนาทีมีค่า ทุกขณะมีประโยชน์ เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นก็ขอให้แต่ละขณะได้มีประโยชน์สูงสุดเลย คือได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง จะตอบยัง ขณะเกิดอะไรเกิด ธรรมเกิดแค่นี้ จบ ถูกต้องไหม ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรม ธรรมหลากหลายมากลองนับประมาณ เท่าไหร่ที่นั่งอยู่ที่นี่ นับประมาณไม่ถ้วน แล้วทั้งโลกล่ะ แต่ก็ต้องเป็นทีละหนึ่งที่เกิดใช่ไหม

    เพราะฉะนั้นขณะที่เกิด เป็นธรรมแน่นอนที่เกิด แต่ธรรมมากมายมหาศาลในจักรวาลทั้งหมด เป็นธรรมทั้งหมดใช่ไหม แต่ต่างกันเป็น๒ ประเภท ธรรมอย่างหนึ่งเกิดแต่ไม่รู้อะไร แข็งก็คือแข็ง เย็นก็คือเย็น เสียงก็คือเสียง กลิ่นก็คือกลิ่น ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น พระผู้มีพระภาคต้องทรงบัญญัติคำแต่ละคำ ให้เข้าใจว่าหมายความถึงอะไร เพราะฉะนั้นทรงบัญญัติใช้คำว่า รู-ปะ-ธัมมะ รูปธรรม ในตอนต้น พื้นฐานที่ต้องเข้าใจก่อน ก็คือว่าธรรมที่เป็นรูปธรรมหมายความถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น แต่ว่าถ้าเป็นเพียงรูปที่เกิดเป็นต้นไม้ ใบหญ้า ไม่รู้อะไรก็ไม่ใช่สิ่งที่มีชีวิต แต่ทุกคนมีชีวิตมีจิตใจ ใช้คำว่าจิตใจเพราะเหตุว่ามีธาตุรู้ ซึ่งเกิดรู้ ทุกครั้งที่เกิดต้องรู้ไม่รู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เห็นรู้ว่ามีสีสันวรรณะ ในรูปนี้เป็นอย่างนี้ พอได้ยินเสียงรู้ว่าเสียงเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นธาตุรู้มี มองเห็นไหม ธาตุรู้อยู่ไหน บอกว่าธาตุรู้มี ยังถามว่าอยู่ไหน ใช่ไหม ถ้ามีก็ต้องตอบได้สิอยู่ไหนล่ะ

    ผู้ฟัง อยู่ที่จิต

    ท่านอาจารย์ จิตคืออะไร อย่าใช้คำไหนโดยไม่รู้ พูดคำไหนต้องเข้าใจ เพราะฉะนั้นพอใช้คำว่าจิต จิตคืออะไร เราพูดคำที่ไม่รู้จักตั้งแต่เกิด ตั้งแต่เกิดเลย จนกว่าจะได้ยินคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อนั้นจึงรู้ว่าเราพูดคำที่เราไม่รู้จักเลย เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ได้ฟังธรรมไม่เข้าใจธรรม พูดคำที่ไม่รู้จักตั้งแต่เกิดจนตายไปก็ไม่รู้จัก อยู่ในโลกด้วยการที่ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น ไม่รู้จักอะไรเลย เกิดมาสนุกสนานไปตั้งแต่เด็กจนถึงโตจำไม่ได้ บางเรื่องจำได้ บางเรื่องจำไม่ได้ เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ แล้วก็จากโลกนี้ไป ไม่เหลืออะไรเลยทั้งสิ้นไม่มีอะไรเลย ทั้งๆ ที่ทุกวันก็มีสิ่งที่เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ พ้นไปแต่ละขณะ แต่ละวัน แต่ว่าไม่เข้าใจว่าคืออะไร จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม เดี๋ยวนี้พอได้ยินคำอย่างนี้รู้เลยใช่ไหม คำของใคร

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 181
    2 ก.ค. 2567