ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1051


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๑๐๕๑

    สนทนาธรรม ที่ แก่งกระจานคันทรีคลับ จ.เพชรบุรี

    วันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ เครื่องสนุกสนานบันเทิงรื่นเริงต่างๆ อาหารรสอร่อยทุกสิ่งทุกอย่าง สังคมที่เคยมีมาทั้งหมด โดยเห็นว่ามีสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่านั้นมาก พร้อมที่จะสละจนสามารถที่จะบวชได้แต่ ก่อนบวชต้องเข้าใจธรรม ไม่ใช่อยู่ดีๆ ใครมาชวนบวชก็บวชเลย แต่บวชทำไมไม่มีคำตอบ ถ้าบวชเพราะรู้ว่าพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยากที่จะได้ยินได้ฟัง ที่สามารถจะเข้าใจให้มากขึ้น และก็เห็นโทษภัยจริงๆ ของการที่จะไม่รู้มาตั้งนาน จนกระทั่งถึงมีชีวิตที่ครองเรือน มีสังคมต่างๆ จนกระทั่งได้ฟังคำ เพราะฉะนั้นผู้นั้นไม่ใช่มีใครชักชวนให้บวช ไม่มีใครคะยั้นคะยอให้บวช ไม่มีใครบอกให้บวชเต็มจำนวน ว่ายังขาดอีก ๒ คน ๓ คน ก็ไปบวชให้เต็ม นั่นคือความไม่รู้ซึ่งเป็นโทษอย่างยิ่ง เป็นภัยกับคนบวช เพราะเขาไม่รู้เลยว่าอันตรายมาก ถ้าตราบใดที่เขายังไม่เข้าใจ ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมีอะไร แล้วก็ทรงบัญญัติพระวินัย สำหรับผู้ที่สละอาคารบ้านเรือน แล้วก็จะอบรมปัญญา ในเพศที่ดำเนินตามรอยพระบาท ตามสิกขาบททั้งหมด ๒๒๗ ข้อ ต้องศึกษาก่อน ไม่ใช่บวชไปแล้วก็ไม่รู้อะไร รับเงินรับทอง แต่ว่าบวชต้องรู้ว่าสละทั้งหมดนี้คืออะไร แล้วก็ต้องรู้ตัวเองว่าสละได้ไหม ไม่มีบ้าน สละได้ไหม

    ผู้ฟัง ยังไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ถ้าคนที่สละได้ ต้นไม้มี ภูเขามี ที่ไหนก็ได้ ไม่มีเลยแต่ต้องมีความมั่นคงอย่างนั้น เหมือนอย่างภิกษุในครั้งพุทธกาล และท่านก็ได้สะสมมา ที่จะได้เข้าใจธรรม แล้วก็สามารถที่จะเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นตามลำดับ ของการที่แต่ละท่านได้สะสมมา จนกระทั่งถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม นี้ก็คือแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน แต่ต้องเข้าใจว่าบวชคืออะไร ข้อสำคัญที่สุดพร้อมที่จะดำเนินตามรอยพระบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งกายวาจาหรือเปล่า กายต้องเหมือนเลยสิกขาบทน้อยใหญ่ใน ๒๒๗ ข้อ ไม่ว่าจะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดิน จะพูด ถ้าไม่รู้บวชได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า จิตนี่พร้อมที่จะขัดเกลาอย่างนั้นหรือยัง ถ้ายังก็ฟังธรรมาไปในเพศคฤหัสถ์ และเป็นผู้ที่ตรง เพราะเหตุว่าเพศคฤหัสถ์ก็สามารถเข้าใจธรรมได้ แล้วก็อบรมเจริญปัญญา รู้แจ้งอริยสัจจ์ ดับกิเลสเป็นพระโสดาบันได้ เป็นพระสกทาคามี ตามลำดับขั้นที่จะละกิเลส เป็นพระอนาคามีได้ เป็นพระอรหันต์ได้ แต่เมื่อเป็นพระอรหันต์เมื่อไหร่ อยู่เป็นคฤหัสถ์ไม่ได้ ต้องบวชทันทีในวันนั้นด้วย นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความบริสุทธิ์อย่างยิ่งของการที่บวชเพื่ออะไร เพราะฉะนั้น เป็นโทษมาก ถ้าอาศัยก้อนข้าวของชาวบ้าน แต่ว่าไม่ได้ศึกษาธรรม ไม่เข้าใจธรรม ไม่ทำประโยชน์แก่ชาวบ้าน เพราะว่าภิกษุจะต้องรู้ เป็นผู้ที่ต้องทำความดี ในเพราะการขอ ซึ่งไม่ใช่ขออย่างขอทาน ไม่ขออย่างคนที่อยากจะได้ แต่ขอเพราะความประพฤติที่แสดงออกทางกายวาจา และก็มีการศึกษาธรรม ช่วยสังคมด้วยความเข้าใจ ให้เขาได้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องเท่ากับช่วยให้เขาพ้นจากความไม่รู้ในชาติก่อนๆ ซึ่งไม่รู้มานานแสนนาน เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจจริงๆ ว่าถ้าไม่สามารถที่จะ รักษาพระธรรมวินัย และศึกษาพระธรรม เพราะถ้าไม่เข้าใจธรรมรักษาพระวินัยไม่ได้

    ผู้ฟัง ผมขอเรียนถามท่านอาจารย์ว่าสัมมาทิฏฐิ เป็นธรรมที่เข้าไปกำหนดธรรมทั้งหลาย หรือกำกับธรรมทั้งหลาย ให้เดินไปในทิศทางที่ถูกต้องใช่หรือไม่ แล้วก็สัมมาทิฎฐินี้มีความสำคัญอย่างไร เราจะเจริญสัมมาทิฏฐินั้นให้เกิดขึ้น เนืองๆ ได้อย่างไร กราบเรียนถามท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นเรื่องของภาษา ซึ่งเราจะต้องเข้าใจให้ถูกต้องเช่นคำว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ มรรคคือหนทาง อริยะ หนทางที่ประเสริฐยิ่ง ประเสริฐอย่างไรที่จะทำให้รู้ความจริงจนดับกิเลสได้ ประเสริฐไหม ยากไหม รู้เองได้ไหม เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นผู้ที่ได้ทรงดำเนินหนทางนี้มา ตั้งแต่เป็นพระโพธิสัตว์จนกระทั่งได้รับคำพยากรณ์ จนกระทั่งได้ตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงหนทางนี้ ให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้อง เพื่อที่จะได้ประพฤติตาม หนทางนี่คือหนทางรู้ ไม่ใช่ไม่รู้ สิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้าไม่มีอะไรปรากฏจะรู้อะไร แม้แต่การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เพราะสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้อะไร ก็รู้ไม่ได้ แต่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มี ใครก็รู้ไม่ได้ ตั้งแต่เกิดอย่างที่เรากล่าวแล้ว จนกว่าจะได้ฟังผู้ที่ได้ตรัสรู้แล้วกล่าวถึงความจริงของสิ่งที่มี ให้เกิดความเข้าใจถูก ซึ่งจะเป็นหนทางที่จะนำไปสู่การดับกิเลส

    เพราะฉะนั้นต้องรู้ต้องเข้าใจแต่ละคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้เดี๋ยวนี้ มีกิเลส จะดับอย่างไร ไม่มีทาง ถ้าไม่ได้เข้าใจธรรมะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงว่า ปัญญารู้อะไร รู้สิ่งที่กำลังมี ต้องละเอียดมาก เพราะว่าสิ่งนี้เท่านั้นที่จริง ที่ปรากฏว่ามี ในขณะนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อสิ่งนั้นมีจริงแล้วไม่รู้ ก็ดับกิเลสคือความไม่รู้ไม่ได้ แต่ว่าเมื่อสิ่งนี้กำลังมีจริงๆ ปรากฏ เพราะเข้าใจถูก ในสิ่งที่มีตามความเป็นจริง ไม่หลงไม่รู้ต่อไป แล้วก็กิเลสต่างๆ ก็เกิดขึ้นมากมายเพราะไม่รู้ ก็จะค่อยๆ ดับไปทีละขั้นของกำลังของปัญญา ที่สามารถที่จะเข้าใจความจริง ตามที่ได้ฟังแล้วในขั้นของปริยัติ เพราะว่าถ้าไม่มีการฟังธรรมเลย ที่จะเป็นมรรคมีองค์ ๘ ที่เป็นอริยะก็เกิดไม่ได้ เพราะว่ามรรคนี้ หนทางนี้ จะทำให้ผู้ที่รู้เป็นพระอริยะบุคคล ต่างกับปุถุชน ซึ่งเป็นผู้ที่หนาแน่นด้วยกิเลส แต่พระอริยะบุคคลได้อบรมเจริญปัญญา รู้ความจริงของสิ่งที่มี จนกระทั่งสามารถที่จะดับ การยึดถือสภาพธรรมีว่าเป็นเรา ซึ่งมีมานานแสนนานทุกชาติ เพราะไม่รู้ก็ต้องอาศัยความรู้

    เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีความรู้ถูกความเห็นถูก ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่าสัมมาทิฏฐิ หรือจะใช้คำว่าปัญญา หรือจะใช้คำว่าญาณ ก็ได้หมายความถึงความเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ตามลำดับขั้น กำลังเห็นทุกคน ไม่ได้รู้ตรงเห็น แต่กำลังฟังว่าเห็นเกิดขึ้นเห็น แล้วเห็นก็ดับไป แต่นี่คือผู้ที่ตรัสรู้ เห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วดับไป เพราะฉะนั้นปัญญาที่อบรมแล้ว จนสามารถรู้ความจริงอันนั้น ก็จะนำไปสู่ความเป็นพระอริยะบุคคล ผู้ดับความติดข้อง ยึดถือสภาพธรรมด้วยความเป็นเรา เห็นผิดว่าเป็นสิ่งใดที่เที่ยง เพราะไม่รู้

    ผู้ฟัง ก็คงจะต้องศึกษาเพื่อทำให้เกิดความเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจทุกคำตั้งแต่คำแรก ใครที่ไม่มีความรู้อะไรเลยทั้งสิ้น แล้วจะไปละกิเลสได้ไหม ไปปฏิบัติธรรม ผิดไหม ในเมื่อไม่มีความเข้าใจเลย ไม่รู้อะไรเลยว่าธรรมคืออะไร ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม ไม่รู้ว่าปัญญาเข้าใจธรรมหรือเปล่า ไม่รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของสิ่งที่กำลังมีอย่างไร ไม่มีความรู้อะไรเลยทั้งสิ้น แล้วปฏิบัติคือเราปฏิบัติ ไม่ใช่ความเข้าใจถูกไม่มีเรา เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังฟัง ไม่ใช่เราแล้วเป็นอะไร ก็เป็นจิต เจตสิกที่ดี มีศรัทธา ผ่องใส ในขณะที่ได้ยินคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง เข้าใจเมื่อไหร่สภาพที่เข้าใจก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติเรียกคำนั้นว่าปัญญา หรือสัมมาทิฏฐิ ถ้าไม่มีคำเลย ไม่ทรงบัญญัติคำ ให้เรียกธรรมแต่ละหนึ่ง ก็ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ว่า แต่ละคำ เป็นคำที่เป็นไปตามความหมาย เช่นเห็นเราไม่ได้คิดถึงได้ยิน เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่ใช้ ก็เป็นคำที่ส่องไปถึงสิ่งที่มีจริงแต่ละอย่างที่กำลังมีในขณะนี้ ขณะนี้กำลังเป็นหนทางหรือเปล่า ถ้าไม่มีความเข้าใจเลยไม่ใช่หนทาง


    สนทนาธรรม ที่ บริษัทสยามแฮนด์บอล จังหวัดนครปฐม

    วันที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐


    ผู้ฟัง ท่านคณบดีว่าไปปฏิบัติเจริญสติ

    ท่านอาจารย์ แล้วก็เข้าใจอะไร

    ผู้ฟัง เข้าใจเรื่องรูปนาม

    ท่านอาจารย์ ลองบอกสิ รูปคืออะไร

    ผู้ฟัง รูปก็คือ อริยาบถรูปร่างที่เป็นวัตถุต่างๆ

    ท่านอาจารย์ พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้หรือ

    ผู้ฟัง อันนี้เข้าใจเอง

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องไปไหนก็รู้ใช่ไหม

    ผู้ฟัง รู้

    ท่านอาจารย์ รู้อะไรยังไง

    ผู้ฟัง แล้วก็ นามก็คือ

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อนแค่นี้ แล้วเราต้องไปไหน เราก็รู้อยู่แล้วยังต้องไปฟังอะไรอีก เราต้องฟังสิ่งที่เราไม่เคยรู้มาก่อน ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ นี่เราฟังอะไร

    ผู้ฟัง ตอนนี้เรา เราคิดว่าทำไมเรายังทุกข์อยู่

    ท่านอาจารย์ ทำไมเรายังทุกข์อยู่ ใครบ้างที่ไม่มีทุกข์ คนเดียวที่มีทุกข์หรือ

    ผู้ฟัง ทุกข์เยอะ

    ท่านอาจารย์ นั่นสิ ทำไมเขามีทุกข์กันล่ะ ทั้งโลกนี่มีทุกข์ทั้งนั้นไม่ใช่หรือ ไม่ใช่แต่เฉพาะตัวเรา เพราะอะไร

    ผู้ฟัง เพราะความยึด

    ท่านอาจารย์ ยึดอะไร

    ผู้ฟัง ยึดในสมมติความเป็นตัวตน

    ท่านอาจารย์ ตัวตนอยู่ที่ไหน

    ผู้ฟัง ตัวตนก็คือตัวเรา

    ท่านอาจารย์ อันนี้ถูกต้องใช่ไหม แต่ทุกคำพูดต้องเข้าใจ ยึดตัวตน คือสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ว่าเป็นเรา ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเลย ใช่ไหม ยึดเห็น ยึดได้ยิน ยึดคิดนึก ทั้งหมดว่าเป็นเรา ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้เลย จะมีเราไหม

    ผู้ฟัง ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้เลยก็มีจิต เ

    ท่านอาจารย์ เช่นเดียวกัน ก็ถ้าจิตก็ไม่มี จะมีเราไหม

    ผู้ฟัง ถ้าจิตก็ไม่มี ไม่มีเรา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีอะไรเลย ไม่มีเรา

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แต่เพราะมี แล้วไม่รู้ความจริงว่าสิ่งนั้นคืออะไร

    ผู้ฟัง ก็เลยมีเรา

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง แล้วนี่จะเข้าใจได้อย่างไรที่จะหายทุกข์ เพราะมีเรา ก็ต้องรู้ว่าไม่มีเราต่างหาก ไม่ใช่ไปทำอะไร ต้องเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องอย่างละเอียด ในสิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา ที่แล้วๆ มาทั้งหมดเป็นประโยชน์อะไร

    ผู้ฟัง ประโยชน์ให้เข้าใจถึง ความยึดในตัวเรา

    ท่านอาจารย์ ทำอย่างไรที่จะเข้าใจถึงความยึด

    ผู้ฟัง เวลาเรามีความสงบ

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้เป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เข้าใจว่าไม่เป็นเรา

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่ต้องทำอะไร ถ้าไม่เป็นเราแล้ว หมดทุกข์แล้ว

    ผู้ฟัง แต่ความรู้สึกตรงนี้ ไม่ได้เกิดเรื่อยๆ

    ท่านอาจารย์ ไม่จำเป็น เดี๋ยวนี้ ถ้าเดี๋ยวนี้ไม่เป็นเรา ก็ไม่ต้องไปทำอะไร แต่เพราะไม่รู้จึงเป็นเรา จึงจะต้องฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อจะได้เข้าใจถูกต้องว่า ที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา แท้จริงนั้นคืออะไร เพราะฉะนั้นต้องฟังพระธรรมเท่านั้น แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่าที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา ความจริงไม่ใช่เรา ใครจะบอกได้ อยู่ดีๆ เคยเป็นเรามาตั้งนานแล้ว แล้วบอกว่าไม่ใช่เรา แค่นั้นไม่พอใช่ไหม แค่ใครมาบอกว่าไม่ใช่เรา ไม่พอใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่พอ

    ท่านอาจารย์ แต่ก็เริ่มคิดแล้ว อย่างที่ว่า ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย ไม่มีอะไรสักอย่างเดียว ห้องนี้ก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี ก็ไม่มีห้องไม่มีบ้าน ไม่มีดอกไม้ ไม่มีต้นไม้ เราก็ไม่มี ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ คือธรรมเป็นเรื่องตรง เพราะอะไรเป็นความเข้าใจถูกของแต่ละคนที่ได้ฟัง ฟังเพื่ออะไร ประโยชน์ของการฟัง ต้องรู้ก่อน ฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง จึงจะเป็นการสนทนาให้รู้ว่า ความจริงของสิ่งที่กำลังฟังคืออะไร เพราะฉะนั้นคำถามทุกคำถามต้องไตร่ตรองให้คิด ถ้าไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลยทั้งสิ้นจะมีเราไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ มีโลกไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ไม่มีเลย แต่เพราะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นต่างหาก จึงคิดว่าเต็มไปด้วยโลก เต็มไปด้วยทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะเต็มไปด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้เลย แล้วเกิดเองโดยที่ว่าใครไปทำให้เกิดก็ไม่ได้เกิดเองนี่หมายความว่าต้องมีปัจจัย สภาพธรรมที่อาศัยกัน และกันทำให้เกิดขึ้น ไม่มีสักอย่างเดียวซึ่งมีเพียงหนึ่ง ลอยๆ โดดๆ เกิดขึ้นได้ แม้แต่ที่นั่งอยู่นี่ บางแห่งก็แข็ง บางแห่งก็แข่งก็อ่อน บางที่ก็เย็น บางที่ก็ร้อน ทั้งหมดคือลองกระทบสัมผัส ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ที่กายที่เคยว่าเป็นเรา

    แล้วลองเริ่มต้นพิจารณาตามคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ว่าไม่มีเราแต่มีธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมามีจริงทั้งหมด ไม่ใช้คำว่าธรรมก็ได้ใช้คำว่ามีสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นปรากฏให้รู้ว่ามี ถูกต้องไหม ถูกต้องแล้วหมายความว่าไม่ลืมใช่ไหม ขณะนี้มีสิ่งซึ่งเกิดขึ้น มิฉะนั้นก็ไม่มี ทุกอย่างต้องเกิดปรากฏหลากหลายมากแต่ละหนึ่ง มากมายมหาศาลสุดที่จะประมาณได้ แต่พระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประจักษ์แจ้งสิ่งซึ่งเราคิดว่าน่าอัศจรรย์ เพราะเหตุว่าแม้แต่การเกิดขึ้นของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ซึ่งเราไม่รู้ แต่พระองค์ทรงตรัสรู้มากกว่านั้นมาก จนกระทั่งแสดงให้คนที่ได้ฟัง จากการที่ไม่เคยมีความเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดเองบ้าง บางทีก็ฟังคนอื่นบ้าง แต่ไม่ได้ไตร่ตรอง แต่ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังแล้วต้องไตร่ตรองหรือเปล่า เพราะพระองค์ทรงเป็นใคร แล้วเราเป็นใคร ถ้าเทียบกัน เราอยู่ที่ติดดินเป็นเศษฝุ่นละออง พระปัญญามหาศาลประมาณไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นยิ่งฟัง ยิ่งเข้าใจเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นเท่านั้น แล้วนับถือใคร ตอบได้หรือยังนับถือใคร เราเหมือนกับเศษฝุ่นละออง เทียบกับพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาศาล จากดินจรดฟ้าประมาณไม่ได้เลย จะรู้ได้จากคำที่พระองค์ได้ทรงแสดงทีละคำ ให้เราเริ่มเห็นความอัศจรรย์ของพระปัญญาของผู้ที่ตรัสรู้ จนขนาดที่ได้พระนามว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นคำของพระองค์ มีค่ามหาศาลสุดที่จะประมาณได้เพราะอะไร ทำให้เราเข้าใจสิ่งที่เราไม่เคยเข้าใจมาเลยตั้งแต่เกิด ไม่ว่าจะกี่ชาติก็ตาม ไม่สามารถจะมีใครมาบอกเราได้เลย แต่พระองค์ตรัสทุกคำเป็นคำจริงของสิ่งที่กำลังมี พิสูจน์ได้ทันทีทุกคำให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่าแต่ละคำต้องถูกต้อง เมื่อครู่นี้บอกว่าถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็จะไม่มีอะไรเลย เพราะฉะนั้นสิ่งใดก็ตามที่ปรากฏหมายความว่าสิ่งนั้นเกิด ใช่ไหม ถูกต้องไหม ถูกต้องแน่นอน ความเข้าใจเมื่อเข้าใจแล้วไม่เปลี่ยน เพราะว่าเป็นความเข้าใจถูก ความเห็นถูกที่ค่อยๆ มั่นคงขึ้นที่จะเริ่มเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการฟังคำของพระองค์ที่ตรัสไว้ว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้น ถ้าไม่มีก็ไม่เกิด สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา เข้าใจแล้ว เดี๋ยวนี้สภาพธรรมะที่กำลังปรากฏต้องเกิดดับ รู้หรือยัง ตั้งตรง สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา นี่เป็นการแสดงความลึกซึ้งของธรรม ซึ่งต้องศึกษาให้เข้าใจ ไตร่ตรอง เพื่อประโยชน์ของตนเอง ไม่ใช่สำหรับชาตินี้ชาติเดียว ยังชาติต่อๆ ไปอีกนับไม่ถ้วน ที่จะมีความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ติดตามไป ซึ่งก่อนจะได้ฟังเราไม่เคยรู้เลย แล้วก็ไม่เคยไตร่ตรองด้วย แต่ละคำ

    เพราะฉะนั้นเริ่มฟังทีละคำ คิดไตร่ตรองว่าจริงไหม ถ้าจริงแล้วจะเปลี่ยนไหม เป็นอย่างอื่นไหม สิ่งที่จริงเปลี่ยนได้ไหม ความจริงอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นขณะนี้ เริ่มฟังคำว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้น เป็นธรรมดา ธรรมดาไหม สิ่งที่ปรากฏเป็นธรรมดาหรือเปล่า เกิดแล้ว แน่นอนถ้าไม่เกิดไม่มี สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา นี่แสดงถึงพระปัญญาของผู้ที่ตรัสรู้แล้วอีกระดับหนึ่ง ไม่มีใครมาบอกเราเลยว่า สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้เกิดดับ แต่ค่อยๆ ฟังค่อยๆ พิจารณาไปทีละคำ ก็จะรู้ความจริงว่านี่คือผู้ที่ทรง เพื่อใคร บำเพ็ญพระบารมีมากมายมหาศาล หลายพระชาติยิ่งกว่าใครทั้งหมด เพื่อที่จะให้เราได้ฟังคำนี้ด้วย ไม่ใช่ว่าเมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว ก็ไม่ทรงแสดงให้คนอื่นได้รู้ เพราะเป็นสิ่งที่รู้ยาก เห็นใจคนอื่นไหมว่าเขาไม่รู้เขาควรจะได้รู้ เพราะรู้ได้ยากจริงๆ แต่ละคำ เพราะฉะนั้นขณะนี้ ไม่ลืมใช่ไหม สิ่งใดสิ่งหนึ่งเดี๋ยวนี้เกิดแล้วดับด้วยเป็นธรรมดา รู้อย่างนี้หรือยัง

    ผู้ฟัง รู้

    ท่านอาจารย์ ไหนดับไหนเกิด

    ผู้ฟัง สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นเป็นธรรมดาก็ดับไปเป็นธรรมดา

    ท่านอาจารย์ แล้ว สิ่งใดนั้นอยู่ไหน

    ผู้ฟัง สิ่งใดก็อย่างคำพูด พูดไปแล้วก็จบไป

    ท่านอาจารย์ คำพูดคืออะไร

    ผู้ฟัง คำพูดก็คือรูป

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อน รูปอะไร ตรงไหนเป็นรูป และรูปอะไร

    ผู้ฟัง อันนี้ไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ แค่นี้ ปัญญาของเราแค่ไหนคิดดู ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ถ้ายังไม่ได้ฟังคำของพระองค์ด้วยความเคารพ ในแต่ละคำ แต่ละคำ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงโดยละเอียดยิ่ง ไม่ให้เว้น เพราะอะไร เว้นคือไม่รู้ เว้นเมื่อไหร่คือไม่รู้เมื่อนั้น ไม่เข้าใจเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจสามารถที่จะรู้ได้ทุกอย่าง เพราะว่าได้ตรัสไว้ทั้งหมดโดยประการทั้งปวง ๔๕ พรรษา เพราะฉะนั้นเริ่มได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือยัง ว่าอะไร

    ผู้ฟัง สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา

    ท่านอาจารย์ สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมดับไป คำนี้ ตั้งแต่นี้ไม่ลืมเลย แต่เรายังไม่ได้ประจักษ์ เพราะว่ารวมกันหมดเลย ไม่ได้เป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสถึงสิ่งที่มีจริงๆ แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ที่กายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แข็งบ้างอ่อนบ้าง เย็นบ้าง ร้อนบ้าง บางครั้งก็ตึง รู้สึกตึงตรงนั้น ตึงตรงนี้ และบางครั้งก็ไหว เวลารับประทานอาหาร เวลากลืนน้ำลาย เวลาเคลื่อนไหวไปทั้งหมด มีจริงๆ ใช่ไหม เกิดรึเปล่า ดับหรือเปล่า เพราะฉะนั้นยังไม่ประจักษ์แจ้งแต่ละหนึ่ง ถูกต้องไหม เพราะว่าเสียงไม่ใช่แข็ง เห็นไม่ใช่กลิ่น แต่ละหนึ่งต้องแต่ละหนึ่ง สิ่งใดสิ่งหนึ่งรวมกันไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่ง เวลานี้มากมายมหาศาล อย่างรูป เพียงแค่ดอกไม้ดอกเดียว หรือตัวเราทั้งตัวก็ได้ทุกคน เสื้อ พรม เก้าอี้โต๊ะ ทั้งหมดมีอากาศธาตุแทรกคั่นละเอียดยิบไม่รู้เลย ใช่ไหม จนกว่าจะแตกออก ผ่าออก ทำลายออก ละเอียดยิบ จนเป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่เหลือความเป็นโต๊ะ ไม่เหลือความเป็นเก้าอี้ เราก็เช่นเดียวกัน ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า คิดว่าเป็นเรา ใช่ไหม แต่เสร็จแล้วก็แขนขาด มีไหม คนถูกฟันแขนขาดก็มี หูแหว่งก็มี ไม่ใช่เราเลยสักอย่างเดียว พร้อมที่จะแตกสลาย แต่ความจริงแตกสลายอยู่ทุกกระเบียดนิ้ว เล็กยิ่งกว่านั้นอีก เพราะอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ จนเหลือเล็กนิดเดียว ก็เกิดแล้วดับ เราไม่เคยคิดเลยว่าแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความจริง ซึ่งมีที่เรานี่แหละ และแต่ละคำต้องเข้าใจ ใช้คำว่าเข้าใจมรดกที่พระองค์ให้ทุกคนก็คือ คำที่ได้ฟัง


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 181
    28 มิ.ย. 2567