ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1080
ตอนที่ ๑๐๘๐
สนทนาธรรม ที่ บ้านธัมมะ ลำพูน
วันที่ ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ ไม่มีใครไปทำให้จิตแต่ละหนึ่งขณะเกิดได้เลย แต่หลากหลายตามประเภทของเจตสิก ซึ่งมีปัจจัยอาศัยกันและกันเกิดขึ้นเป็นไป เพราะฉะนั้น ที่เราใช้คำว่า กรรม มีจริงไหม
ผู้ฟัง มีจริง
ท่านอาจารย์ ที่ใช้คำว่ากรรม เป็นการกระทำใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เป็นสภาพที่จงใจที่จะกระทำ เช่น จะเดิน ถ้าไม่มีเจตนาความจงใจที่จะเดิน ร่างกายจะเคลื่อนไหวไปได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่าสภาพของกรรม ได้แก่ สภาพหนึ่งที่เป็นนามธรรมที่จงใจ เป็นเจตสิก ไม่ใช่จิต จิตแค่รู้แจ้งสภาพธรรม แต่อาศัยเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย ความจงใจ เจตนาเจตสิกเป็นสภาพธรรมหนึ่ง เกิดเมื่อไหร่เป็นสภาพที่จงใจขวนขวาย พอจะเห็นสภาพธรรมนี้ไหมว่าไม่ใช่เรา
กำลังรับประทานอาหาร มีจิตไหม
ผู้ฟัง มีจิต
ท่านอาจารย์ มีเจตสิกไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ มีเจตนาเจตสิกไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ ต้องมีทุกครั้ง ถ้าฟังธรรมต่อไปจะรู้ได้ ไม่ว่าจิตเกิดเมื่อใดทั้งสิ้น ที่ไหนทั้งสิ้น ต้องมีเจตสิกอย่างน้อยที่สุด ๗ ดวงเกิดร่วมด้วย ซึ่งเจตนาเป็น ๑ ใน ๗ เจตสิกนั้น ต้องเกิดกับจิตทุกขณะ แต่ปกติเราไม่รู้ นี่เริ่มจะเป็นคนที่มีเหตุผลเป็นความเข้าใจของตัวเอง ฟังแล้วคิดและไตร่ตรองแล้วรู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่คนอื่นรู้ไม่ได้ กว่าจะรู้ได้ต้องฟังคำของพระองค์ด้วยความเข้าใจที่ละเอียด ที่จะต้องตรง ไม่สับสน นามธรรมเป็นนามธรรม รูปธรรมเป็นรูปธรรม จิตเป็นจิต เจตสิกเป็นเจตสิก เพราะฉะนั้น กำลังหลับสนิทมีจิตไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ ตายเมื่อไหร่คือ จิตไม่ได้เกิดที่รูปนั้นอีกต่อไป ซึ่งรูปนั้นจะเคลื่อนไหว จะลืมตา จะลุกขึ้น จะนั่ง จะนอน ไม่ได้เลยทั้งสิ้นเพราะไม่มีจิต เพราะฉะนั้น รูปที่ร่างกายเราไม่เคยรู้เลยแตกย่อยละเอียดยิบได้ไหม มีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ แม้ว่ายังไม่แตกย่อยละเอียดยิบอย่างที่ปรากฏ อย่างคนที่ถูกลูกระเบิดหรืออะไรก็ตามแต่ แขนขาด ขาขาดได้ มีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ทั้งนั้น แต่ว่ารูปแต่ละรูปเล็กที่สุดเป็นกลุ่มหนึ่ง ใช้คำว่า กลุ่ม เพราะเหตุว่า มีรูปหลายรูปอาศัยกันและกันเกิดร่วมกัน ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เป็นมหาภูต รูปใหญ่ที่เป็นประธาน เคยได้ยินคำนี้ไหม ต้องเคยได้ยินเพราะได้ยินคำว่าภวังคจิต ใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็ต้องได้ยินหลายๆ คำเลย แต่ว่าถึงจะหลายๆ คำ ความเข้าใจก็กระจ่างชัดขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้มีความมั่นคงว่าไม่ใช่เรา ก่อนที่จะไปประจักษ์การเกิดดับอะไรทั้งสิ้น ต้องมีปัญญาระดับฟังที่มั่นคงที่จะละว่า เราทำไม่ได้
ปัญญาระดับไหนก็ตามจะเกิดต่อเมื่อมีเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีปัญญาขั้นการฟังเลยจะเข้าใจได้อย่างไรว่า สิ่งที่กำลังปรากฏนี้เกิดแล้วดับ ถูกต้องไหม แต่เพียงขั้นเข้าใจอย่างนี้ไม่ประจักษ์การเกิดดับ เพราะยังไม่ละคลายความเป็นเรา จนกว่าความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นๆ เมื่อไหร่ เข้าใจถูกต้องเมื่อไหร่ว่าเป็นธรรมทั้งหมด แต่โดยชื่อ จนกว่าสภาพนั้นจะปรากฏกับสติสัมปชัญญะ ได้ยินคำว่าสติใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ มีจริงๆ ไหม
ผู้ฟัง มีน้อยมาก
ท่านอาจารย์ แต่มีจริงๆ หรือเปล่า
ผู้ฟัง มีจริงๆ
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ สติ เป็นธรรมอะไร รูปธรรมหรือนามธรรม
ผู้ฟัง เป็นนามธรรม
ท่านอาจารย์ เป็นนามธรรม เป็นจิต หรือเจตสิก
ผู้ฟัง เป็นเจตสิก
ท่านอาจารย์ เป็นเจตสิก เกิดกับจิตทุกขณะหรือเปล่า
ผู้ฟัง ทุกขณะ
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เห็นไหมว่าคิดเองไม่ได้เลย
สติเจตสิก เป็นสภาพธรรมฝ่ายดี เกิดกับจิตเมื่อไหร่จิตนั้นเป็นกุศล เป็นจิตที่ดีงาม ไม่ให้โทษ ไม่ให้ผลที่เป็นทุกข์เลย เพราะฉะนั้น เราต้องแยกแล้ว เจตสิกฝ่ายดีก็มี ฝ่ายไม่ดีก็มี แล้วก็เจตสิกใดเป็นเหตุ เจตสิกใดเป็นผล ละเอียดยิบจนกระทั่งยิ่งเข้าใจ ยิ่งค่อยๆ มั่นคงว่าไม่ใช่เรา กว่าสภาพธรรมสามารถจะปรากฏตามความเป็นจริงแต่ละหนึ่งได้ ก็ต้องเป็นปัญญาอีกขั้นหนึ่งซึ่งมาจากขั้นฟังเข้าใจ อบรม มั่นคง
เพราะฉะนั้น ปริยัติ ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เเค่ฟังพระพุทธพจน์ไม่พอ ต้องรอบรู้ในคำที่ได้ฟัง เช่น คำว่า ธรรม รอบรู้จริงๆ ทุกอย่างไม่ใช่เรา เป็นธรรม คือสิ่งที่มีจริงที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย โกรธเกิดขึ้นรู้สึกอย่างไร
ผู้ฟัง เป็นเราโกรธ
ท่านอาจารย์ เป็นเราโกรธ แต่ความจริงเป็นเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ใช่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น กำลังโกรธสามารถที่จะมีปัญญาที่ถึงการรู้ว่า ลักษณะนั้นเป็นธรรมอย่างหนึ่ง ต่างกับขณะอื่นซึ่งไม่โกรธ แต่ว่าคนส่วนใหญ่จะมีคำถามว่า แล้วทำอย่างไรจะหายโกรธ เป็นไปได้ไหม
ผู้ฟัง ก็ต้องศึกษาพระธรรม ค่อยๆ เจริญปัญญาไป
ท่านอาจารย์ แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้คิดอย่างนั้น เที่ยวไปแสวงหาว่าทำอย่างไรจะหายโกรธ หนังสือตำราสมัยใหม่ที่ใครเขียนอย่างไรก็ตามแต่ อ่านหมด ใครพูดอะไรก็ฟัง แต่ว่าเข้าใจหรือเปล่าว่า ใครก็บังคับบัญชาโกรธไม่ได้ เพราะโกรธเป็นธรรมซึ่งเป็นอนัตตา นี่แสดงถึงความมั่นคงตามลำดับ จนกว่าขณะนั้นไม่ใช่ว่าอยากหายโกรธ อยากไม่โกรธ หรือกระวนกระวาย ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ ซึ่งเกิดดับ โดยไม่มีใครบังคับบัญชาได้ แต่ปัญญาไม่พอที่จะเข้าใจแต่ละหนึ่งในลักษณะที่ต่างกันว่าเป็นธรรม แต่ความเข้าใจขั้นฟังนี้เองจะค่อยๆ นำไปสู่ขณะนั้น โดยความเป็นอนัตตา ไม่มีเราไปพากเพียรพยายาม เพราะพากเพียรพยายามด้วยความเป็นเราเมื่อไหร่ก็ผิดทันที ไม่ได้เข้าใจเลยว่าเป็นธรรมซึ่งเป็นอนัตตา
เพราะฉะนั้น ความมั่นคงที่จะเข้าใจขณะนั้นต้องรู้ว่าเพราะได้ฟังแล้วไม่ลืม แล้วก็ฟังบ่อยๆ แต่ไม่หวังว่าเมื่อไหร่จะรู้ลักษณะแต่ละหนึ่งซึ่งกำลังปรากฏในขณะนี้ แยกขาดจากสภาพธรรมอื่น ทีละหนึ่งๆ ขณะนี้รวมกันหมดใช่ไหม เห็นกับได้ยิน แยกขาดจากกันหรือยัง
ผู้ฟัง ยัง
ท่านอาจารย์ ยัง แต่ความจริงแยกขาดจากกันใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ ปัญญารู้ได้ไหม ประจักษ์แจ้งได้ไหม ในเมื่อความจริงเป็นอย่างนั้น ความจริงเป็นอย่างนั้นเพราะปัญญารู้อย่างนั้น แต่ขณะนี้ยังไม่เป็นอย่างนั้น เพราะปัญญายังไม่ถึงกาลที่จะเป็นอย่างนั้น ก็รู้อย่างนั้นไม่ได้ เห็นไหมว่าต้องอาศัยความเป็นอนัตตา ซึ่งละ ละ ละความติดข้องซึ่งปิดบังความจริงเพราะความอยาก มีความต้องการเกิดขึ้น สภาพธรรมนั้นดับแล้ว ไปอยากอะไร ไปทำอะไร แต่ปัญญาที่เข้าใจแล้วสามารถจะเกิดได้ในขณะนั้น
เพราะฉะนั้น ปัญญาก็มีหลายขั้น กว่าจะถึงปัญญาที่รู้เฉพาะลักษณะของสภาพธรรมแต่ละหนึ่งจริงๆ โดยความเป็นอนัตตา ทันทีที่เกิดก็กำลังรู้เฉพาะสิ่งนั้น ซึ่งเราใช้คำว่าสติสัมปชัญญะ คนนั้นเห็นความเป็นอนัตตา หนทางนี้ต้องเป็นหนทางของอนัตตาโดยตลอด จึงสามารถที่จะรู้ความจริงได้ รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นไหม
ผู้ฟัง รู้จักขึ้น
ท่านอาจารย์ ทั้งหมดทุกคำที่เราได้ฟังมาจากพระมหากรุณาที่ตรัสรู้ แล้วทรงแสดงแต่ละคำให้เรามีโอกาสได้เข้าใจ ได้ไตร่ตรอง ได้เห็นพระองค์ ทั้งๆ ที่ชาวสาวัตถี ชาวพาราณสี เมื่อพระองค์เสด็จบิณฑบาต ถ้าเขาไม่มีความเข้าใจในธรรมจะไม่รู้จักว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แต่เราแม้ไม่เห็นรูปร่างกาย แต่ได้ฟังคำที่เกิดจากพระปัญญาของพระองค์ก็รู้ว่า พระองค์เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะทรงประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรม จึงทรงแสดงสภาพธรรมตามความเป็นจริง ใครกล่าวได้ไหม ถ้าไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ตรัสรู้แล้ว
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ แต่ฟังตามได้ เข้าใจตามได้ จึงเป็นสาวก แต่ต้องไม่ประมาทเลย ปริยัติ รอบรู้มั่นคงว่าเป็นธรรม เวลาอะไรเกิดขึ้นก็ตาม เวลาโกรธเกิดขึ้นเเล้วไม่อยากโกรธ เป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ โกรธก็เป็นธรรม ไม่อยากโกรธก็เป็นธรรม คิดที่จะไม่โกรธก็เป็นธรรม ต้องทุกอย่างหมดเลย จากอุปาทานขันธ์ที่ยึดถือทุกสิ่งทุกอย่างว่าเป็นเราหมดเกลี้ยงเมื่อไหร่ สภาพธรรมก็ปรากฏตามความเป็นจริงเมื่อนั้น
อ.คำปั่น ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงหนทางของความเป็นอนัตตา ก็ชัดเจนใช่ไหมว่า ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นแม้ขณะต่อไป นี่คือประโยชน์ของการสนทนาธรรมเป็นมงคล เพราะว่านำมาซึ่งความเจริญด้วยปัญญา คือความเข้าใจถูก เห็นถูกตรงตามความเป็นจริงในธรรม ซึ่งก็เป็นคำแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แม้แต่คำว่า กรรม คำเดียวก็เป็นประโยชน์มากเลย เป็นธรรม ไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ แล้วก็ยังมีคำที่พูดด้วยใช่ไหมว่า หนทางนี้เป็นหนทางเดียว พูดแล้วเข้าใจไหม พูดแล้วด้วย มีหนทางเดียว ตอนนี้เข้าใจว่าหนทางเดียวคืออะไรหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจ หนทางเดียว หนทางไหน แต่หนทางเดียวคือความเข้าใจตามลำดับขั้น คือปัญญาความเห็นที่ถูกต้องเท่านั้นที่ละความติดข้องและความไม่รู้
ถ้าตราบใดยังไม่รู้และติดข้อง สภาพธรรมก็ถูกปกปิด ไม่สามารถที่จะเปิดเผยความเป็นจริงได้ พูดกันไปว่าหนทางเดียว แต่หนทางเดียวจริงๆ คืออะไร ต้องเป็นปัญญา
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์กล่าวว่า มั่นคง แล้วยังต้องมีอธิษฐาน ขอให้ท่านอาจารย์กรุณาอนุเคราะห์
ท่านอาจารย์ ขณะนี้เป็นธรรม หรือเป็นเรา
ผู้ฟัง เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ เป็นธรรม มั่นคงแค่ไหน
ผู้ฟัง ยังไม่มั่นคง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น รู้ว่าต้องมั่นคงกว่านี้ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ นั่นคืออธิษฐานบารมี รู้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ ทำอย่างอื่นไม่ได้เลย จะไปที่ไหน ๗ วัน ๘ วัน จะไปรู้ความจริงของสภาพธรรมไม่ได้ ความมั่นคงนี้ต่างกับ ขั้นเข้าใจเพียงแต่ว่าทุกอย่างเป็นธรรมแล้ว ใช่ไหม
ผู้ฟัง ก็ยังไม่เข้าใจ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ทุกบารมีต้องเป็นปัญญา ไม่ใช่ไปมั่นคงในเรื่องอื่น ไม่ใช่ไปมั่นคงว่าจะนั่งอย่างนี้ทั้งวันทั้งคืน จะรู้ความจริงให้ได้ อย่างนั้นไม่ใช่บารมี เพราะทุกบารมีต้องเป็นปัญญาที่มีความเห็นที่ถูกต้องว่า มั่นคงแค่ไหนที่จะไม่ไปคิดว่าจะไปทำให้เกิดปัญญาขึ้น แต่สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้แล้วไม่รู้ จากไม่รู้เป็นรู้ในสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ต่างหากที่เป็นความมั่นคงว่า คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำนั้นไม่ใช่เราจะหวังว่าเราจะไปเข้าใจจนกระทั่งละความเป็นตัวตนเมื่อเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าฟังมาแล้ว จะนานเท่าไหร่กี่ชาติก็ตามแต่ เริ่มเข้าใจความเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นหรือยัง เพราะว่าตราบใดที่เป็นดอกไม้ เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นคน มีสิ่งที่ปรากฏรวดเร็ว จนปรากฏการเกิดดับเป็นรูปร่างสัณฐาน เป็นนิมิต เห็นไหม
นิมิต คือการปรากฏว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด จะเป็นคิ้ว เป็นตา เป็นผม เป็นจมูก พวกนี้เป็นนิมิตหมด จากการเกิดดับแต่ละหนึ่งรูป กลาปเล็กๆ ซึ่งมีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับ สืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้
เพราะฉะนั้น มีความมั่นคงเพราะปัญญาใช่ไหม ถ้าไม่มีปัญญาจะมั่นคงไหมว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่รู้ได้ แต่ไม่ใช่ด้วยความเป็นเราจะไปพยายาม แต่รู้ได้เพราะเมื่อฟังเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้ว่า ไม่ใช่ใครจะทำอะไร เพราะว่าสิ่งนั้นเกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย และปัญญาขั้นฟังยังไม่พอ ถ้าคิดว่าพอแล้ว ไม่ฟังแล้ว พระพุทธศาสนาง่าย ไม่ต้องฟังเลย ไปปฏิบัติเลย ถูกหรือผิด
ผู้ฟัง ผิด
ท่านอาจารย์ ทางหลงมีมากเพราะความไม่รู้มีมาก และความต้องการก็มีมาก เพราะฉะนั้น ปัญญาจริงๆ ต้องประกอบด้วยบารมีที่เป็นสัจจบารมี ความจริงนี้มีผู้ที่ได้ทรงประจักษ์แจ้งแล้วเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และสาวกทั้งหลายก็ได้ประจักษ์แจ้งเป็นพระอริยบุคคล เป็นพระโสดาบัน หมายความว่า การเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งที่เที่ยงไม่เกิดอีกเลย
เพราะฉะนั้น กว่าปัญญาจะถึงระดับที่ เดี๋ยวนี้เองไม่สงสัยในแต่ละธรรมที่เกิด เพราะรู้ว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา ซึ่งการดับความไม่ใช่เราต้องดับหมดในสิ่งที่เคยยึดถือทั้ง ๕ ขันธ์
๕ ขันธ์ คือ ธรรมทั้งหมด ที่เป็นรูปขันธ์ทั้งหมด นามธรรมทั้งจิตและเจตสิก ทั้งความรู้สึกซึ่งเป็นที่ยึดถืออย่างมาก เราแสวงหาเพื่อความสุขที่เป็นเรา เพื่อเรา เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้ว่าแม้ขณะนั้นก็เป็นแค่ลักษณะของธรรมซึ่งเกิดดับ จนกว่าจะประจักษ์แจ้ง หมดสงสัยในทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเป็นเดี๋ยวนี้
เดี๋ยวนี้เราพูดถึงจิต แล้วรู้ด้วยว่าจิตเป็นสภาพรู้ที่ทุกคนมีใช่ไหม จิตปรากฏให้รู้หรือยัง ยัง เหมือนสิ่งที่อยู่ใต้มหาสมุทร แล้วเราก็พูดว่าใต้มหาสมุทรนั้นมีอะไรบ้าง แต่น้ำที่เป็นมหาสมุทรปิดบังไว้ไม่ให้เห็นความจริงเลย
เพราะฉะนั้น ความเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังนี้เอง ค่อยๆ ทำให้สภาพธรรมปรากฏกับสติสัมปชัญญะ ระดับซึ่งไม่ใช่ขั้นฟัง แม้การฟังก็เป็นสติ สภาพที่กำลังระลึกเป็นไปในคำด้วยความใส่ใจ ด้วยความเข้าใจถูก ดังนั้นเวลาฟัง ความเข้าใจมีก็ได้ ไม่มีก็ได้ใช่ไหม ฟังจริงแต่ว่าไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ เหมือนไม่ได้ฟังเพราะไม่เข้าใจ แต่คนที่ฟังที่เข้าใจต่างกัน เพราะความใส่ใจในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังต่างกัน
ดังนั้น กว่าปัญญาที่ค่อยๆ เก็บเล็กผสมน้อยจะมากจึงมีความจริงที่ว่า ปัญญาเจริญท่ามกลางอกุศล หมายความว่าอย่างไร เห็นความน่ากลัวของอกุศลไหม มีก็ไม่รู้ เห็นไหมว่ามืดระดับไหน ไม่รู้ระดับไหนว่าไม่รู้อะไร ไม่รู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นและดับไป แต่ละทาง
เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้จริงๆ ว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทำให้หลงผิด แต่เป็นเรื่องที่มีความมั่นคงว่า เมื่อสัจจะความจริงเป็นอย่างนี้แล้วมีผู้ที่ประจักษ์แจ้งได้ ก็มีความตั้งมั่น อธิษฐานมั่นคงที่ว่าไม่ใช่รู้อื่น ไม่ใช่ใครชวนไปให้รู้อะไรที่ไหน แต่เดี๋ยวนี้ต่างหากที่ถ้าไม่มีการฟังเข้าใจขึ้นอย่างมั่นคง สติสัมปชัญญะที่จะรู้เฉพาะถึงเฉพาะแต่ละหนึ่ง เห็นไม่ใช่ได้ยิน เป็นปกติอย่างนี้ แต่ปกติอย่างนี้คือเห็นแล้วไม่รู้ กับปกติอย่างนี้แล้วเห็นแล้วรู้ ต่างกันไหม
กว่าจะรู้ว่าตามธรรมดา เห็นแล้วไม่รู้ สิ่งที่ปรากฏทางตายังไม่ได้ดับเลย จิตที่รู้สิ่งที่ปรากฏทางตามากมายหลายขณะ ดับไปพร้อมกับสิ่งที่ปรากฏทางตาดับ ในขณะนั้นไม่รู้แล้วในสิ่งนั้น ชอบแล้ว ติดข้องแล้ว เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่เห็น ได้ยินก็เช่นเดียวกัน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส คิดนึก ทั้งวัน ความไม่รู้ที่เคยมีมาแล้วมาก ยังเพิ่มเติมอีกทุกวัน
ดังนั้น ความเข้าใจธรรมจากการได้ยินได้ฟังทีละเล็กทีละน้อย ค่อยๆ เจริญขึ้นท่ามกลางอกุศล แล้วเมื่อไหร่จะค่อยๆ ชำแรกอกุศลที่รุมล้อม โดยการที่เป็นสติสัมปชัญญะอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งอาศัยการฟังแล้วละ ทำให้ขณะนั้นโดยความเป็นอนัตตา อารมณ์ที่กำลังปรากฏที่เคยไม่รู้ ก็เป็นการค่อยๆ เข้าใจอารมณ์นั้นพร้อมสติสัมปชัญญะ จะไม่มีคำถามว่าสติเป็นอย่างไร เพราะขณะนั้นสติเกิดแล้ว แต่ว่าขณะนี้สติเป็นอย่างไร ยังไม่รู้ใช่ไหม ก็ฟังว่าสติขั้นฟัง คือกำลังฟังเรื่องราว เห็นก็ดับไป ได้ยินก็ดับไปมากมายแล้ว แต่แม้กระนั้น ความเข้าใจมีกำลังเมื่อไหร่ สามารถที่จะดับกิเลสได้เมื่อนั้น ต้องเห็นกำลังของปัญญา แต่อยู่ดีๆ จะให้มีกำลังของปัญญาระดับนั้นเป็นไปไม่ได้เลย โลภะอยากได้มากๆ แต่ให้รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ต้องตรง สัจจบารมี และวิริยบารมีก็ไม่ใช่เรา รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่
ในครั้งที่สุเมธดาบส ซึ่งบำเพ็ญบารมีจนเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ ในครั้งนั้นเป็นสุเมธดาบสได้รับคำพยากรณ์จากพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า อีก ๔ อสงไขยแสนกัปป์ สุเมธดาบสจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระสมณโคดม ชาวเมืองนั้นปลาบปลื้มดีใจว่า เราไม่สามารถที่จะรู้ความจริงในสมัยของพระพุทธเจ้าทีปังกร แต่เมื่อถึงสมัยของพระพุทธเจ้าสมณโคดมอีก ๔ อสงไขยแสนกัปป์ เขาไม่หวั่นไหวเลย ปีติร่าเริงว่ามีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม
ระหว่างนั้นก็มีโอกาสที่จะได้เฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าองค์ไหนปัญญาก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น เพราะว่าจากพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พยากรณ์สุเมธดาบส สุเมธดาบสในครั้งนั้นก็เกิดแล้วเกิดอีกใน ๔ อสงไขยแสนกัปป์ ได้เฝ้าได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒๔ พระองค์ แต่ละพระองค์ต้องว่างจากคำสอนของศาสนาของพระองค์นี้เสียก่อน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม แล้วศาสนาคำสอนของพระองค์อันตรธานหมดเมื่อไหร่ ว่างเว้นจากศาสนาของพระองค์อีกนาน จึงจะมีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง
เพราะฉะนั้น ทุกคำที่เป็นความจริง เป็นวิริยารัมภกถา กถาที่แสดงให้เห็นถึงการปรารภความเพียร ไม่ท้อถอยเลย เหมือนอย่างคนที่เขาได้ฟังคำที่พระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์พระสมณโคดม เขาร่าเริง แล้วเราฟังว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไปคือพระศรีอริยเมตไตรย แค่หวังจะเจอแต่ว่าไม่เข้าใจธรรมเลย ก็ผ่านไปอีกพระองค์หนึ่งเหมือนแต่ละพระองค์
เพราะฉะนั้น เป็นผู้ที่ไม่ประมาทเลย เพราะเห็นประโยชน์ที่สูงสุดที่เป็นรัตนะอันประเสริฐ คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่สามารถจะทำให้จากไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้นเหมือนคนตาบอด ค่อยๆ มีแสงสว่างปรากฏพอที่จะเห็นบ้าง แต่ปัญญานี้ก็ต้องตามลำดับ แต่เกิดได้แน่นอน และก็ไม่ใช่ปัญญาเพียงขั้นฟังด้วย อดทนไหม ขันติบารมี แล้วเพียรไม่ใช่เรา ไม่ต้องไปทำความเพียรเลย เพราะเพียรมีจริง เกิดกับจิตกี่ประเภททรงแสดงไว้หมด กำลังฟังเพียรหรือเปล่า วิริยเจตสิกเกิดแล้ว ในความมืดทั้งหมดจิตและเจตสิกเกิดดับทำกิจการงาน ไม่มีใครเห็นเลย สนใจแต่สิ่งที่จิตรู้ ตื่นมาก็มีสิ่งที่จิตรู้ปรากฏทั้งนั้นเลย เป็นห้อง เป็นบ้านเรือน เป็นถนนหนทาง
ถ้าไม่มีจิต สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็จะปรากฏไม่ได้ แต่ไม่รู้ว่า จิตรู้ ไม่ใช่เรา เห็นก็เป็นจิต ได้ยินก็เป็นจิต ตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายไม่ปราศจากจิตแต่ละหนึ่งขณะ ซึ่งเกิดดับเพราะเหตุปัจจัยแต่ละชาติๆ แล้วเพียงแค่หนึ่งขณะที่เกิดแล้วดับไปไม่กลับมาอีกเลย จะเป็นเราได้อย่างไร แต่เยื่อใยความติดข้องที่เนิ่นนานมาแล้วไม่ได้จากไปง่ายๆ เลย
เพราะฉะนั้น ปัญญาต้องละเอียด ต้องรอบคอบ ต้องรู้ว่า คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำเป็นไปเพื่อการละความไม่รู้ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดอกุศลต่างๆ รวมทั้งความติดข้องด้วย เข้าใจอริยสัจจะใช่ไหม ทุกขอริยสัจจะ ไม่ใช่ความรู้สึกเป็นทุกข์ ทุกข์กาย ทุกข์ใจเท่านั้น แต่ทุกอย่างที่เกิดแล้วดับ ควรหรือที่จะยังยินดีอยู่ เพราะไม่มีต่างหาก แต่หลงว่ายังมี เมื่อวานนี้อยู่ไหน พอถึงพรุ่งนี้ วันนี้มีไหม ตอนนี้ยังไม่ถึงพรุ่งนี้ มีวันนี้กำลังอยู่ตรงนี้เลย แต่พอถึงพรุ่งนี้ไม่เหลือเลย จำได้ทั้งหมดไหมว่าทำอะไรบ้างตั้งแต่เช้ามา เพราะฉะนั้น ชาติก่อนก็อย่างนี้ ชาติไหนๆ ก็อย่างนี้
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1021
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1022
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1023
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1024
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1025
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1026
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1027
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1028
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1029
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1030
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1031
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1032
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1033
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1034
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1035
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1036
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1037
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1038
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1039
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1040
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1041
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1042
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1043
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1044
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1045
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1046
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1047
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1048
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1049
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1050
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1051
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1052
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1053
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1054
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1055
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1056
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1057
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1058
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1059
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1060
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1061
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1062
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1063
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1064
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1065
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1066
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1067
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1068
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1069
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1070
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1071
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1072
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1073
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1074
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1075
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1076
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1077
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1078
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1079
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1080
