พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 829
ตอนที่ ๘๒๙
ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
วันอาทิตย์ที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๖
ท่านอาจารย์ แต่ละหนึ่งขณะของกุศลอกุศลที่เกิดและดับ จะสะสมอยู่ในจิตแล้วแต่ว่าจะสะสมมามากน้อยอย่างไรเคยกล่าวถึงแล้วคุณคำปั่นชอบสีอะไร
อ.คำปั่น สีชมพูครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ สีชมพูก็ยังคงชอบต่อไปเพราะเหตุว่าสะสมมาไม่ใช่ครั้งเดียวเลย ก็มีความพอใจที่จะเห็นสีนี้ต้องการสีนี้แต่ละเล็กแต่ละน้อยที่สะสมมาไม่ได้หายไปไหนเลย สะสมอยู่ในจิตเป็นอารัมมณูปนิสสยปัจจัย เป็นอารมณ์ที่มีกำลังที่ทำให้จิตต้องการในสิ่งที่สะสมมาแม้ในรูปอย่างนั้น แม้ในเสียงอย่างนั้น ในกลิ่นในรสในโผฏฐัพพะอย่างนั้นแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เกิดแล้วสะสมอยู่ในจิตทั้งฝ่ายที่เป็นกุศล และอกุศล เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็มีอัธยาศัยต่างๆ กันมากแม้แต่กิริยาอาการของการนั่งการนอน การยืน การเดิน การพูดทางฝ่ายรูปธรรมแล้วทางฝ่ายนามธรรมจะวิจิตรสักแค่ไหนแม้แต่เพียงความคิดหลากหลายมากมายเหลือเกิน เฟอร์บี้มาใหม่แล้วใช่ไหม คุณแก้วตารู้แน่ ตามความคิดของคนที่วิจิตรแล้วใครจะคิดอย่างวิจิตรอย่างนั้นมีกี่คน ก็ต่างคนก็ต่างคิดไปตามการสะสม แล้วแต่ว่าเป็นปัจจัยให้สภาพธรรมใดเกิดขึ้นรู้เลยถ้าไม่มีการสะสมเป็นปัจจัย เป็นปกตูปนิสสยปัจจัย สภาพนั้นๆ ก็เกิดอย่างนั้นไม่ได้ คิดอย่างนั้นไม่ได้ พูดอย่างนั้นไม่ได้ ทำอย่างนั้นก็ไม่ได้ด้วย แสดงให้เห็นว่าทุกอย่างเป็นธรรมถ้าศึกษาละเอียดก็จะเห็นโทษของทางฝ่ายอกุศลตามกำลังของปัญญา ที่ทุกคนศึกษาธรรมคงไม่รู้หรอกว่า เพราะเห็นโทษของความไม่รู้ จึงได้ควรรู้ควรเข้าใจจึงฟัง เพราะเหตุว่าทุกคนมีเวลาเท่าๆ กันแล้วแต่เวลานั้นใครจะทำอะไรตามเหตุตามปัจจัยแต่ทุกคนก็จะทำสิ่งที่คิดว่าสำคัญ และมีประโยชน์ที่สุดสำหรับแต่ละคน เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งที่เป็นธรรมทั้งหมดตามการสะสม คุณแก้วตาจะบอกให้คนอื่นเข้าใจหน่อยไหม เฟอร์บี้
ผู้ฟัง กราบเท้าท่านอาจารย์เป็นตุ๊กตาที่มันพูดได้
ท่านอาจารย์ เห็นไหมคิดขึ้นมาได้ แล้วคนก็ชอบตุ๊กตาพูดได้แล้วเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องอยู่คนเดียวยังมีตุ๊กตาพูดได้อยู่ด้วย เห็นไหมโลภะวิจิตรสักแค่ไหนบางคนก็ไม่สนใจตุ๊กตาพูดได้กับคนพูดได้อะไรจะดีกว่ากัน จะมีเพื่อนเป็นตุ๊กตาพูดได้ หรือว่าจะมีเพื่อนที่ดีพูดสิ่งที่เป็นประโยชน์ และฟัง และเข้าใจ และสนทนาเป็นเรื่องของความคิดของแต่ละคนซึ่งไม่จบ สังขารธรรมโดยเฉพาะอภิสังขารปรุงแต่งไม่จบ เพียงแค่เห็นความคิดมากมายแล้วแต่ว่าใครจะคิดไปทางไหน และปรุงแต่งไปทุกขณะยิ่งขึ้นยิ่งๆ ไม่มีวันที่จะจบสิ้นได้
เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมก็จะทำให้เข้าใจสภาพธรรมถูกต้องอย่างละเอียดขึ้นแม้แต่คำว่าสังขาร หรือว่าอภิสังขาร หรือว่ากรรม กัมมปัจจัย หรือปกตูปนิสสยปัจจัย
ผู้ฟัง อภิสังขารเกิดกับกุศล อกุศล และวิบากด้วย หรือไม่ หรือว่าเฉพาะกุศลกับอกุศล แต่พอเป็นวิบากที่เป็นอกุศลวิบาก กับกุศลวิบาก ไม่ใช่อภิสังขารที่เป็นเจตนา
ท่านอาจารย์ ขอเชิญคุณวิชัย
อ.วิชัย วิบากเป็นผลไม่สามารถให้ผลได้อีกแล้วเพราะว่าตัวสภาพเขาเป็นผลแล้ว
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นก็คือ
อ.วิชัย เฉพาะที่เป็นกุศล หรืออกุศล ที่สามารถให้ผลได้ จึงจะเป็นอภิสังขาร
อ.กุลวิไล เรื่องของข้อความทุกคำที่อยู่ในพระไตรปิฎกก็ไม่พ้นอภิธรรม เพราะว่าทั้งหมดก็ไม่พ้นสภาพธรรมที่มีจริง จะกราบเรียนท่านอาจารย์ เพราะว่าพระธรรมที่ทรงแสดงเป็นความจริงทั้งหมด เป็นวาจาสัจจ์แล้วก็เป็นความจริงที่เกิดจากการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงทั้งหมดซึ่งเป็นวาจาสัจจ์นั่นเอง เป็นความจริงที่มีขณะนี้ ซึ่งคำสัจจ์แลเป็นวาจาไม่ตายก็จะกราบเรียนท่านอาจารย์ เพราะทุกคำก็ไม่พ้นสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ แม้แต่คำสัจจ์แลเป็นวาจาไม่ตายอย่างไร ท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ก็เป็นการแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ทั้งหมดถ้าไม่ได้กล่าวให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงคำนั้นจะมีประโยชน์ไหม พูดหลายเรื่องแต่ว่าเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฎ หรือไม่ แม้แต่ว่าเป็นคำจริง คำจริงนั้นก็ต้องเป็นประโยชน์ที่สามารถทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ด้วย ไม่ใช่เพียงแต่เข้าใจว่าคำนั้นเป็นคำจริง แต่คำจริงนั้นสามารถทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ที่กำลังปรากฏ ประโยชน์อยู่ตรงนี้ไม่ว่าจะฟังอะไรก็ตาม แต่ว่าขณะนี้มีความจริงแล้วไปฟังคำที่ไม่ทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงขณะนี้ จะมีประโยชน์ไหม แต่ว่าขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงทั้งๆ ที่มีจริงก็ไม่รู้จึงต้องอาศัยการฟังเพื่อที่จะได้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงซึ่งไม่เคยรู้ และก็รู้ยาก แต่จะรู้จริงทีละเล็กทีละน้อยเมื่อได้เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย
อ.กุลวิไล อย่างข้อความในพุทธพจน์ที่ว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาอันนี้ก็เป็นความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตายด้วยเพราะว่าจริงแท้ถึงที่สุดก็คือตัวธรรมนั่นเอง เพราะฉะนั้นที่ท่านกล่าวถึงว่าคำสัจจ์เป็นวาจาไม่ตายในที่นี้หมายถึงว่าจริงแท้ด้วย และทุกยุคทุกสมัยก็เป็นความจริงอย่างนี้
ท่านอาจารย์ ไม่ตายเพราะจริงตลอดเมื่อไหร่ๆ ก็จริง วันไหนๆ ก็จริง
อ.กุลวิไล แต่เป็นสิ่งที่รู้ยากเพราะว่าเป็นความจริงที่ทวนกระแสชาวโลก
ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นสิ่งที่รู้ง่ายใครๆ ก็ไม่ต้องพึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย
อ.กุลวิไล ท่านกล่าวถึงสังขารธรรม เพราะหลายท่านศึกษาพระอภิธรรมก็คงทราบสังขารธรรมธรรมที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่ง และไม่พ้นสภาพธรรมที่เป็นจิตเจตสิก และรูปท่านกล่าวว่าสังขารธรรมไม่เที่ยง
ท่านอาจารย์ ดูเหมือนจะมุ่งไปที่คำที่จะเข้าใจคำ แต่ว่าคำนั้นกล่าวถึงความจริง เพราะฉะนั้นไม่ใช่มุ่งไปที่คำ แต่มุ่งที่จะรู้ความจริง เพราะคำนั้นที่อาศัยคำนั้นทำให้สามารถเข้าใจความจริงสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ไม่ต้องใช้คำว่าสังขารธรรมเพียงพูด และเข้าใจเล็กๆ น้อยๆ แต่ต้องรู้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ และสิ่งที่มีจริงๆ จะมานั่งเรียกว่าสังขารธรรม หรือว่าจะเข้าใจความเป็นสังขารธรรมนี่เป็นสิ่งที่ต่างกัน
เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้แต่ละหนึ่ง เพราะเหตุว่าสิ่งที่มีจริงมีมากหลายอย่างถ้าเราไม่กล่าวให้ชัดเจนถึงแต่ละหนึ่ง จะชื่อว่าเรามีความเข้าใจจริงๆ ในธรรมที่ได้ฟัง หรือเปล่าเพราะเหตุว่าธรรมที่ได้ฟังเป็นวาจาสัจจะ เป็นคำจริงที่ไม่เปลี่ยนเลย ปัญญาเล็กๆ น้อยๆ ที่เพิ่งจะได้ยินได้ฟังพระธรรม และจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นต้องเป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ ไม่ใช่เพียงตามพยัญชนะว่าสังขารธรรม ขณะนี้สิ่งที่เกิดทั้งหมดเป็นสังขารธรรม ไม่ได้เข้าใจอะไรพอ นอกจากจำคำแล้วก็คิดว่าสังขารหมายความว่าอะไร ธรรมหมายความว่าอะไร ก็กลายเป็นเรื่องเข้าใจคำ แต่ความจริงไม่ใช่ให้เข้าใจคำเลย ทุกคำส่องถึงสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น แม้แต่คำว่าธรรมก็เป็นคำหนึ่งซึ่งพระผู้มีพระภาคตรัสเรียก ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงๆ เพราะว่าถ้าไม่มีไม่ต้องพูดถึงเลยไร้ประโยชน์ แต่ว่าสิ่งใดก็ตามที่กำลังมีในขณะนี้ ใครเข้าใจได้ถ้าไม่มีโอกาสไดัฟังพระธรรม
เพราะฉะนั้นจะประมาท หรือว่าจะเพียงฟังเผินๆ ไม่ได้เลยแม้แต่คำเดียวเพราะเหตุว่าฟังคำเข้าใจไม่ยากแต่จะเข้าถึงความเป็นธรรมคือสิ่งที่ไม่ใช่เรา และไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างที่เคยคิด เคยคิดว่าโลกนี้มีคน โลกนี้มีต้นไม้มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยจำได้ แล้วเป็นอะไรเป็นคน แล้วธรรมคืออะไร แสดงให้เห็นแล้วว่ากว่าจะเข้าใจแม้แต่คำเดียวคือสิ่งที่มีจริงก็ไม่ใช่เผินๆ แต่ต้องเข้าใจด้วยว่าสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ด้วย และเป็นผู้ที่ตรงด้วยเมื่อกล่าวถึงสิ่งใดสิ่งนั้นมีจริงในขณะนี้ หรือไม่
เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็คิดถึงสิ่งที่มีจริงก่อน ว่าเรากำลังจะฟังความจริงของสิ่งที่มีจริงในภาษาที่เราเข้าใจได้ คือภาษาที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน เริ่มจากขณะนี้ต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดแน่นอน ไม่ใช่ว่าไม่มีเลย แต่สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็เป็นหนึ่งซึ่งไม่เหมือนกันเลยทั้งสิ้น เช่นขณะนี้สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ มีจริงๆ เป็นอย่างหนึ่ง เสียงก็ปรากฏให้ได้ยินว่าเสียงมีจริงๆ ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง เริ่มเข้าใจคำว่าธรรมที่มีจริงๆ ไม่ใช่ไปจำ หรือว่าไปท่อง แต่ให้รู้ว่าพูดถึงสิ่งที่มีจริง จากการไม่รู้ไม่เข้าใจเป็นการเข้าใจขึ้นตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่มีจริงอย่างที่คุณกุลวิไลกล่าวว่าเป็นอนัตตา ก็ตรงแต่ว่าไม่ใช่ภาษาไทย อนัตตาไม่ใช่ภาษาไทยก็ต้องรู้ว่าถ้าใช้คำนี้เมื่อไหร่ต้องเข้าใจว่าอัตตาคือสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่อนัตตาไม่ใช่สิ่งที่เคยเข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่นเห็นดอกไม้เป็นดอกไม้ไม่ต้องมีใครมาสอนอะไร เห็นแล้วรู้แล้วว่าเป็นดอกไม้แต่ที่จะให้รู้ความจริงว่าเห็นอะไร และสิ่งที่มีจริงที่ปรากฏให้เห็นได้เป็นอะไร ตามความเป็นจริงเริ่มจากที่ไม่เคยรู้ความจริงของสิ่งที่มีอยู่ทุกวัน ก็เป็นการได้ยินได้ฟัง แล้วก็มีสิ่งนั้นปรากฏให้เริ่มเข้าใจด้วย
เพราะฉะนั้นการฟังธรรมการศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่เพื่อไปจำคำ และรู้ความหมายก่อนจะถึงคำว่าสังขารธรรมก็จะต้องรู้ก่อนว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งชัดเจน เห็นเป็นอื่นได้ไหม และเวลานี้กำลังนั่งอยู่ที่นี่เป็นเราเห็น หรือไม่ ถ้าไม่ได้ยินได้ฟังเลยเราเห็นมาตลอดกำลังนั่งเดี๋ยวนี้ก็เห็น ไม่ว่าจะฟังธรรมนานมากสักเท่าไหร่ในสังสารวัฏฏ์ ก็ยังไม่พอที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง โดยความเป็นผู้ตรง ว่าขณะนี้เริ่มเข้าใจว่าอะไรจริง และยังไม่ได้รู้ความจริงนั้นโดยถ่องแท้ แต่ฟังเพื่อให้มีความเห็นถูกต้องในสิ่งนั้นตามความเป็นจริง ได้ยินอีกคำหนึ่งสังขารธรรมขอเชิญคุณคำปั่นให้ความหมาย
อ.คำปั่น คำว่าสังขารธรรมก็เป็นคำภาษาบาลี สังขารคำหนึ่ง และธรรมคำหนึ่งซึ่งเมื่อสักครู่ก็ได้ความเข้าใจเบื้องต้นว่า ยังไม่ต้องกล่าวถึงคำก็ได้แต่ว่าเมื่อเข้าใจถูกเห็นถูกแล้วชื่อก็ตามมาทีหลัง เพราะว่าไม่ว่าจะกล่าวถึงคำใดก็ตามก็เพื่อเข้าให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ คำว่าสังขารธรรมก็หมายถึงสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งเกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่ง สังขารก็คือมีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้น ธรรมก็คือสิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นเป็นไปก็กล่าวเรียกว่าเป็นสังขารธรรมซึ่งก็คือสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นเห็นก็เป็นสังขารธรรม ได้ยินก็เป็นสังขารธรรม ได้กลิ่นก็เป็นสังขารธรรมขณะที่ความเข้าใจเกิดขึ้นก็เป็นสังขารธรรม ขณะที่ไม่เข้าใจก็เป็นสังขารธรรม เมื่อกล่าวรวมแล้วก็หมายถึงสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่เป็นจิตบ้างที่เป็นเจตสิกบ้างเป็นรูปบ้างทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นสังขารธรรมทั้งหมด ในรายละเอียดก็ต้องกราบเรียนท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงความละเอียดยิ่งขึ้นด้วย
ท่านอาจารย์ ขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงรู้ว่าอะไรมีจริง และถ้าไม่เกิดไม่มี เพราะฉะนั้นการที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดจะเกิดขึ้นได้ไม่ใช่นึกอยากให้เกิดก็เกิด หรืออยู่ดีๆ ก็ลอยมาเกิดเป็นอย่างนี้แต่ว่าต้องมีปัจจัยที่จะทำให้สิ่งนั้นปรากฏเป็นอย่างนั้น เช่นขณะนี้ที่นี่มีดอกบัวสัตตบงกชอาจจะไม่เห็นกันทั่วสวยจริงๆ ทุกคนก็คงทราบว่าดอกบัวบานจะต้องสวยกว่าดอกบัวที่ยังไม่บานดอก บัวที่ยังไม่บานไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่บ้างแต่พอบานแล้วจะเห็นกลีบเห็นเกสร และเห็นตรงกลางฝักบัวด้วยเล็กๆ คือสิ่งที่เกิดแล้วแต่ว่าจะเกิดเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร ถ้าไม่มีปัจจัยสิ่งที่ปรุงแต่งทำให้เป็นอย่างนี้ ถ้ากระทบสัมผัสกลีบแข็งถ้าไม่มีแข็งจะมีสิ่งที่ปรากฏกระทบตาให้เห็นเป็นสีชมพูไหม และถ้ามีกลิ่นอ่อนๆ ถ้าไม่มีแข็งอ่อนที่มีกำลังมีอยู่ในที่นั้นจะมีกลิ่นมาได้อย่างไร ถ้าเข้าใจจริงๆ แต่ละหนึ่งที่มีก็ต้องอาศัยสิ่งที่เกิดร่วมกันขณะนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงตามลำพังอย่างเดียวเลยการที่รู้ว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น และไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดจะเกิดขึ้นได้ต้องมีอย่างอื่นอาศัยปรุงแต่งซึ่งกัน และกันทำให้เกิดขึ้น ก็จะเห็นได้ว่าเริ่มเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิดได้ต้องอาศัยสิ่งอื่นเป็นธรรมที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น จึงมีคำว่าสังขารธรรมเพื่ออธิบายให้เข้าใจความจริงว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดจะมีแต่เฉพาะสิ่งนั้นสิ่งเดียวไม่ได้ จะมีแต่กลิ่นจะมีแต่สีโดยที่ไม่มีสิ่งที่อ่อน หรือแข็งรวมอยู่ในที่นั้นไม่ได้เลยไม่ว่าอะไรก็ตามรับประทานอาหารมีปลามีกุ้งมีผักเท่านั้นหรือ ที่เราคิดว่ามีแต่จริงๆ แล้วต้องมีหลายสิ่งซึ่งทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นไปซึ่งถ้าเป็นสิ่งที่สามารถจะปรากฏทางตาหูจมูกลิ้นกายว่าอ่อน หรือแข็งเย็น หรือร้อนหวาน หรือเปรี้ยวก็ต้องอาศัยสิ่งที่มีคือมหาภูตรูปคือธาตุดินอ่อน หรือแข็งหนึ่งไม่ว่าอะไรทั้งนั้นลองกระทบสัมผัสก็จะรู้ได้ว่ามีอยู่ในขณะนั้น รับประทานอาหารโดยไม่มีอาหาร ไม่ได้ แต่ว่ารับประทานอาหารแล้วรสปรากฏจากไหน ก็จากอาหารที่รับประทาน
เพราะฉะนั้นที่ปรากฏว่ามีรสเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ก็ต้องมีสิ่งที่เรียกว่าอาหารรวมอยู่ด้วยในขณะนั้น ทำให้รสปากกฏก็คือเริ่มเข้าใจเล็กๆ น้อยๆ จนกว่าจะเข้าใจว่าชีวิตจริงๆ ก็คือเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นเป็นไป และสิ่งที่ไม่รู้ก็คือว่าชั่วคราวทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้นสังขารธรรมทั้งหลายที่เกิดอย่างหนึ่ง อย่างหนึ่ง เพียงเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นชั่วคราวแล้วก็ดับไป ไม่ใช่เพียงแต่ธรรม สังขารธรรม แต่ต้องเข้าใจจริงๆ ธรรมปรากฏทีละหนึ่งแต่ขณะนั้นไม่ใช่มีเฉพาะสิ่งนั้นสิ่งเดียว ต้องมีสิ่งอื่นรวมอยู่ด้วยอาศัยกันและกันเกิดขึ้น สภาพธรรมนั้นจึงเกิดขึ้นได้ รวมความก็คือว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ขณะนี้มีปรากฏเพราะเกิดขึ้นเป็นอย่างนี้ โดยอาศัยปัจจัยเฉพาะที่จะให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นๆ ไม่เป็นอย่างอื่น พอที่จะไม่คิดถึงแต่เพียงชื่อได้ไหม ต่อไปนี้เป็นธรรมจริงแล้วก็เป็นสังขารธรรมด้วย เพราะว่ามีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นปรากฏเป็นอย่างนี้ แล้วก็ไม่ใช่เราอย่างที่เคยคิดไม่ใช่ดอกบัวอย่างที่เคยจำ แต่ก็เป็นสิ่งแต่ละหนึ่งกลิ่นเป็นหนึ่ง อ่อนแข็งเป็นหนึ่ง สีสันวรรณะที่ปรากฏเป็นหนึ่ง แต่ละหนึ่งทั้งหมดล้วนมีปัจจัยอาศัยกัน และกันเกิดขึ้น แต่เพราะไม่รู้ความจริงว่าเป็นสิ่งที่มีจริงเกิดดับ ไม่ประจักษ์ความจริงอย่างนี้ก็ได้ยินแต่เพียงว่าสังขารธรรมขณะนี้เป็นสังขารธรรม แต่ความจริงถ้าจะเข้าถึงสังขารธรรมจริงๆ ก็คือว่าสิ่งหนึ่งเดี๋ยวนี้ที่เกิดมี เกิดแล้วดับไปทั้งหมด
อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์ ถึงความไม่เที่ยงของธรรมก็ค่อนข้างเข้าใจยากแต่ความที่เห็นถึงความที่อาศัยกันเกิดขึ้นแน่นอน เพราะว่าที่ใดมีสีที่นั้นก็ต้องมี อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว ที่สามารถจะรู้ได้ทางกาย หรือว่ากลิ่นก็ตามก็ต้องมีสภาพธรรมที่เป็นมหาภูตรูป หรือเป็นธาตุดินที่เป็นที่อาศัยเกิด สภาพธรรมเหล่านี้ไม่เที่ยง
ท่านอาจารย์ เราก็จะไม่ข้ามไป เพราะประโยคแรกของคุณกุลวิไลคือ สังขารธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ยังไม่ได้กล่าวถึงคำว่าอนัตตาชัดเจน ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตามที่มีเกิดแล้วปรากฏเพราะอาศัยเหตุปัจจัย แต่ว่าไม่ใช่ของใครทั้งสิ้น และไม่ได้อยู่ในอำนาจของใครเลย เช่นในขณะนี้บ้านใครมีต้นไม้มาก ต้นไม้ของเราหรือไม่ มีดอกไม้ดอกไม้ของเรา หรือไม่ บ้านทั้งหลังของเรา หรือไม่ เสื้อผ้าอาหารของเรา หรือไม่ นี่ต้องคิดแล้วใช่ไหม เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ไม่มีใครสามารถไปทำอะไรกับสิ่งที่เป็นอย่างนั้น ให้เป็นอย่างอื่นได้เลย เกิดเป็นอย่างไรชั่วคราวปรากฏแล้วก็หมดไปอย่างเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ และเคยคิดว่าเป็นของเรา เพียงเห็น สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตามทั้งหมดเวลาที่มีการเห็นเกิดขึ้นสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ของใคร หรือไม่ ตามความเป็นจริง เห็นมาตั้งแต่เกิดเลย เห็นโน่นเห็นนี่ ญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูง ทรัพย์สมบัติแม้ตัวเราเข้าใจว่านี่เรา ของเรา แต่เพียงเห็น เพียงปรากฏให้เห็นเท่านั้นเองว่ามี แต่ความไม่รู้ก็ไปคิดว่าเป็นเราบ้าง หรือว่าเป็นของเราบ้าง แต่ความเป็นจริงใครเปลี่ยนสิ่งที่สามารถกระทบตาแล้วปรากฏให้เห็นขณะนี้ให้เป็นอื่นไม่ได้ ให้เป็นของใครก็ไม่ได้เพียงแค่ทุกคนเห็น หรือว่าเห็นเกิดเมื่อไหร่ก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้น เท่านั้นจริงๆ
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 781
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 782
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 783
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 784
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 785
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 786
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 787
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 788
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 789
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 790
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 791
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 792
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 793
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 794
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 795
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 796
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 797
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 798
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 799
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 800
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 801
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 802
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 803
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 804
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 805
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 806
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 807
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 808
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 809
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 810
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 811
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 812
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 813
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 814
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 815
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 816
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 817
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 818
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 819
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 820
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 821
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 822
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 823
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 824
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 825
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 826
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 827 --- ไม่ถอดเทป
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 828
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 829
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 830
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 831
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 832
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 833
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 834
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 835
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 836
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 837
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 838
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 839
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 840
