พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 837
ตอนที่ ๘๓๗
ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
วันอาทิตย์ที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๖
ท่านอาจารย์ กว่าจะเห็นถูกตามความเป็นจริงว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ปัญญาระดับไหนที่สามารถที่จะดับการที่เคยติดข้อง ยึดถือเหนียวแน่นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือเป็นเรา
เพราะฉะนั้นผู้ที่ดับกิเลสใดแล้ว กิเลสนั้นเกิดอีกไม่ได้เลย จึงใช้คำว่าดับ ถ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงดับกิเลส ก็ยังคงมีกิเลสอยู่ ใช่หรือไม่ แต่ดับความเห็นผิดและดับกิเลสทั้งหมด ไม่มีทางเลย ถึงแม้จะเห็นสิ่งใด คนอื่นเป็นโลภะบ้าง เป็นโทสะบ้าง เป็นความเห็นผิดบ้าง แต่ผู้รู้ความจริงจะไม่กลับไปเห็นอย่างนั้นได้อีกเลย แต่ก็เห็น แล้วก็รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร เพราะที่เห็นแล้วจะไม่คิดเป็นไปได้อย่างไร แต่ไม่มีความเห็นผิดอีกต่อไป
อ.วิชัย ฟังเรื่องของความยึดถือว่าเป็นตัวตน อย่างเช่นขณะนี้ก็รู้ว่ายังมีอยู่ แต่ลักษณะนามธรรม หรือด้วยความยินดีพอใจ หรือว่าด้วยทิฏฐิก็ไม่ปรากฎที่จะให้เข้าใจถูก แต่เพียงคาดคะเนหรือคาดเดาว่ายังมีอยู่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเดาผิดหรือเดาถูก ในเมื่อสิ่งนั้นไม่ได้ปรากฏเลย ทิฏฐิไม่มีก็ไปบอกว่าเป็นทิฏฐิ เห็นผิดไปว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ รู้ได้อย่างไร เห็นแล้วก็ต้องรู้แน่ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไรแต่ไม่มีความเห็นผิด กับมีความเห็นผิดก็ต่างกัน เพราะฉะนั้นธรรมเกินวิสัยที่ใครจะคิดเอง อย่างขณะนี้บางคนก็บอกว่า มีความเห็นผิดตลอดเวลาว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ รู้ว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้แต่ไม่เห็นผิดก็ได้ เพราะฉะนั้นต่อเมื่อใดสภาพธรรมเกิด และปัญญากำลังรู้ตรงนั้นเฉพาะสภาพธรรมที่ปรากฏเมื่อนั้นจึงจะกล่าวได้ว่ามี หรือไม่มีสิ่งนั้น
อ.กุลวิไล มีผู้ที่เขียนคำถามมา การเห็นภาพไก่แล้วคิดไปต่างๆ นานา เป็นอุทธัจจะนิวรณ์คือฟุ้งซ่านหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ รู้จักอุทธัจจะ รู้จักนิวรณ์หรือเปล่าถ้ารู้จักตอบได้ ใช่หรือไม่ แต่เพราะไม่รู้จัก ได้ยินแต่ชื่อแล้วก็สงสัย ก็จะมีคำอย่างนี้อีกมาก คือได้ยินชื่อๆ แล้วก็สงสัยเพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้นก่อนอื่นที่จะถามอะไรเพราะต้องการเข้าใจจริงๆ หรือว่าเพียงต้องการชื่อและเรื่อง ใช้คำว่า อุทธัจจะ เป็นภาษาอะไร
อ.กุลวิไล บาลี
ท่านอาจารย์ แล้วเราจะเข้าใจไหม เราเป็นคนไทย พอใครเขาบอกอุทธัจจะ อุทธัจจะ แล้วเราจะรู้ไหมว่าหมายความว่าอะไร หรือว่ารู้ เห็นหรือไม่ ก็แสดงว่าส่วนใหญ่ไม่ละเอียด เพราะคิดว่ารู้จักคำนั้น แต่ความจริงตั้งแต่เกิดจนตาย พูดคำที่ไม่รู้จัก ตราบใดที่ยังไม่ได้ฟังพระธรรม จะรู้จักคำนั้นๆ ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นได้ยินคำว่า อุทธัจจะ เป็นภาษาบาลี หมายความถึงสิ่งที่มีจริงแน่นอน แต่ว่าต้องรู้ด้วยว่าขณะนั้นไม่ใช่ความสงบ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไรสงบ เมื่อไรไม่สงบ ก็เต็มไปด้วยความไม่รู้อีก
ด้วยเหตุนี้จึงต้องศึกษาให้เข้าใจจริงๆ ในแต่ละคำที่ได้ยิน ว่าความไม่สงบเมื่อไร เมื่อขณะนั้นเป็นอกุศล สภาพธรรมที่ไม่ดีงาม แต่ถ้าเป็นฝ่ายดีงาม ขณะนั้นจะไม่มีสภาพที่ไม่ดีงามเกิดร่วมด้วย เพราะว่านอกจากจิตก็ยังมีเจตสิก ซึ่งเป็นนามธรรม ซึ่งเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน อาศัยกันเกิด แต่เจตสิกหลากหลายมาก สำหรับจิตก็คือเป็นธาตุรู้สิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้เท่านั้น แต่ว่าจะไม่โกรธ จะไม่เมตตา หรือจะไม่อะไรเลยทั้งสิ้น เพราะเหตุว่ามีกิจรู้เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ ทำกิจอื่นไม่ได้
เพราะฉะนั้นไม่ว่าสภาพของขณะนั้นเป็นอะไร ให้ทราบว่ามีจริง แต่ละอย่างไม่ใช่จิต แต่ถ้าไม่มีจิตสภาพนั้นๆ ก็เกิดไม่ได้ พอได้ยินคำว่า อุทธัจจะ ต้องเป็นผู้ฟังพอสมควร ที่จะรู้ว่าไม่ใช่มีแต่เฉพาะจิตซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ แต่ก็มีสภาพนามธรรมที่เกิดกับจิต ซึ่งสามารถที่จะเห็นความหลากหลายต่างกันว่า บางอย่างก็เป็นสภาพธรรมที่ดีงาม บางอย่างก็เป็นสภาพธรรมที่ไม่ดีงาม แต่มากกว่านั้นก็คือว่าบางอย่างเกิดกับจิตทุกขณะได้ นี่คือพระธรรมที่ทรงแสดง เพื่ออะไร เพื่อให้รู้ว่าไม่มีเรา เพราะฉะนั้นอุทธัจจะความไม่สงบเป็นเราหรือเปล่า หรือว่าเป็นสิ่งที่มีจริงขณะที่จิตที่ดีงามไม่เกิด ขณะนั้นต้องมีโมหะ การไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดไม่ละอายที่จะเป็นอกุศลนั้นต่อไปอีก และก็ไม่มีโอตตัปปะ ไม่ใช้คำนี้ในภาษาบาลีก็ได้ ไม่เกรงกลัวต่อโทษของความไม่รู้ว่าความไม่รู้จริงๆ เป็นโทษมาก เพราะไม่รู้จึงทำชั่วหรือทำสิ่งที่ไม่ดี และขณะนั้นจิตไม่สงบ หวั่นไหวไป แล้วแต่ว่าเพราะอกุศลประเภทใด นั่นก็เป็นอีกสภาพธรรมหนึ่งซึ่งมีจริง ซึ่งใช้คำว่า อุทธัจจะ
เพราะฉะนั้นให้ทราบทุกคำที่มี ที่พูดว่าแต่ละหนึ่งไม่ได้ปะปนกัน ขณะใดก็ตามที่สภาพธรรมที่ไม่ดีงามเกิดขึ้น เพราะขณะนั้นมีโมหะ อหิริกะ อโนตตัปปะ อุทธัจจะ พูดทำไม พูดให้รู้ ให้เข้าใจให้ถูกต้องว่าไม่ใช่เรา แล้วแต่ละหนึ่งก็ไม่ได้ปะปนกันด้วย ถ้าไม่มีความเข้าใจละเอียดขึ้นๆ ใครจะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนได้เพราะไม่รู้อะไรเลย แต่เพราะเหตุว่าพระธรรมจะทำให้เราสามารถค่อยๆ เข้าใจว่า แต่ละหนึ่งไม่ใช่เรา แต่เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้น และจิตขณะหนึ่งเกิดขึ้นจะมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไรตามประเภทของจิตนั้นๆ เช่นจิตเห็น แค่เห็น ยังไม่รู้เลยว่าเป็นอะไร และต้องเห็นด้วยตามปัจจัยที่ทำให้เห็นเกิดขึ้น โดยขาดกัมมปัจจัยไม่ได้ ให้ทราบว่าเจตนาที่ได้กระทำแล้วเป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง สามารถจะเป็นปัจจัยให้เกิดจิตที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แต่เพียงเท่านั้นยังไม่ใช่อกุศล ยังไม่มีความติดข้องใดๆ ในสิ่งนั้น จนกว่าสภาพธรรมนั้นมีปัจจัยให้เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นขณะนั้นถ้าจะกล่าวถึงอกุศลที่มีเป็นประจำขาดไม่ได้ก็คือโมหะ อหิริกะ อโนตตัปปะ อุทธัจจะ จะจำคำอุทธัจจะคำเดียว หรือว่าจะเข้าใจอื่นด้วย เห็นหรือไม่ ต้องเป็นคนที่ละเอียด จะทำให้เราได้เข้าใจเพิ่มขึ้น ไม่ใช่ว่าพอใจแล้วเราใช้คำนี้ อุทธัจจะ ถ้าเข้าใจจริงๆ ลองทบทวนคำถาม
อ.กุลวิไล การเห็นภาพไก่แล้วคิดไปต่างๆ นานา เป็นอุทธัจจะนิวรณ์คือฟุ้งซ่าน หรือเปล่า
ท่านอาจารย์ ใช้คำว่า นิวรณ์ หมายความถึงอกุศลทั้งหมดขัดขวางความเจริญ และความดี ไม่มีอกุศลสักหนึ่งที่จะไม่ขัดขวางความเจริญและความดี เพราะฉะนั้นไม่ว่าโมหะก็ขัดขวางความเจริญไม่รู้เลยกุศลและอกุศลก็ไม่รู้ก็ทำไป อหิริกะไม่ละอายที่จะเป็นอกุศลต่อไปไม่รู้อย่างไร ก็ดูธรรมดา ไม่เห็นเดือดร้อน ก็มีชีวิตไปวันๆ ก็สบายดีเพราะไม่ละอายที่จะมีความไม่รู้นั้นต่อไปอีก แม้โอตตัปปะก็เช่นเดียวกัน ไม่เห็นภัย ไม่เกรงกลัว ไม่เห็นโทษของอกุศล และขณะนั้นให้ทราบว่าจิตไม่สงบเลย หวั่นไหวจะใช้คำว่าฟุ้งซ่านก็ได้ แต่ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า ที่เคยเข้าใจคำว่าฟุ้งซ่านจะตรงกับคำว่าอุทธัจจะหรือเปล่า เช่นเดี๋ยวนี้มีอุทธัจจะหรือเปล่า
นี่คือประโยชน์ของการฟังธรรมไม่ใช่ไปจำชื่อ แต่รู้ว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้มีจริงๆ และเมื่อไร เดี๋ยวนี้มีอุทธัจจะไหม ถ้าเข้าใจแล้ว ถ้าตอบคือเดา เพราะไม่ได้รู้จริงๆ ถูกต้องไหม เพราะจิตเกิดแล้วดับแล้วเร็วมาก ถ้าไม่ใช่สติสัมปชัญญะ ปัญญาที่รู้ตรงนั้นในขณะที่สิ่งนั้นกำลังปรากฏลักษณะนั้นจะไม่รู้เลย นอกจากคิดเองและเดาจากการฟัง โดยการรู้ว่าขณะใดที่เป็นอกุศล จะขาดโมหะ อหิริกะ อโนตตัปปะและอุทธัจจะไม่ได้ และอกุศลทั้งหลายเป็นเครื่องกั้นคุณความดีและความเจริญ เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจอย่างนี้จะไม่มีคำถามนี้ ใช่ไหม แต่เพียงได้ยินชื่อแล้วถาม ก็แสดงว่าไม่ได้เข้าใจคำนี้
อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้นจุดประสงค์ของการฟังพระธรรมไม่ใช่จำชื่อ หรือว่าต้องการที่จะรู้มากมายในชื่อของธรรม แต่สำคัญก็คือต้องเข้าใจตัวจริงที่มีในขณะนี้ด้วย
ท่านอาจารย์ แล้วแค่สี่ชื่อ ก็ยังไม่รู้จักสักอย่าง เพียงแต่รู้ว่ามีแล้วก็ต่างกันโดยประเภท จนกว่าสติสัมปชัญญะเกิดเพราะความรอบรู้ในพระพุทธพจน์มั่นคง เป็นสัจจญาณ รู้ว่าขณะนี้เป็นอะไร ไม่ใช่เพราะคิด แต่ว่าเพราะกำลังเข้าใจลักษณะที่กำลังปรากฏจริงๆ เช่นเห็น ถ้าเข้าใจเห็นจริงๆ ไม่ใช่ขณะที่เกิดโกรธ หรือเกิดติดข้อง เป็นแค่เห็น ต้องเข้าใจขึ้นๆ จนกระทั่งค่อยๆ ละการยึดถือสภาพธรรมที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
อ.กุลวิไล รู้ธรรมเป็นธรรม
ท่านอาจารย์ แต่ต้องมาจากการฟังก่อน และเข้าใจจากขั้นการฟังก่อน
อ.คำปั่น จากที่ได้ฟังท่านอาจารย์กล่าวเมื่อสักครู่ ก็เป็นความละเอียดลึกซึ้งของพระธรรมที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า กำลังกล่าวถึงสภาพธรรมทีละหนึ่ง เป็นการกล่าวถึงความเป็นจริงของธรรม เพราะเหตุว่าไม่ว่าจะกล่าวถึงพยัญชนะใดก็ตาม ก็มุ่งหมายถึงความเป็นจริงของธรรมที่มีจริง ประโยชน์ก็เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง แม้แต่คำถามที่ถามมาสักครู่ ท่านอาจารย์ก็ย้อนถามว่าอยากจะรู้ชื่อ หรืออยากจะเข้าใจธรรม ก็เป็นประโยชน์ว่า ไม่ว่าจะได้ยินได้ฟังคำอะไรก็ตาม จุดประสงค์สูงสุดก็คือ เพื่อเข้าใจความจริงว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา เพราะเหตุว่ามีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไป มีแต่ธรรมเท่านั้นจริงๆ แล้วจะมีความเข้าใจได้อย่างไร ก็ต้องอาศัยการฟังการศึกษาค่อยๆ สะสมความเข้าใจที่ถูกต้องไปทีละเล็กทีละน้อย เพราะเหตุว่าพระธรรมทุกพระสูตรทุกส่วน ล้วนเป็นไปด้วยความเข้าใจถูก เห็นถูก โดยตลอดไม่ใช่ให้ไปติดที่คำ แต่ว่าอาศัยคำนั้นเพื่อเข้าใจความเป็นจริงของสภาพความเป็นจริงของสภาพธรรม ยกตัวอย่างที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงความฟุ้งซ่านหรือว่าอุทธัจจะ ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ ไม่ใช่แค่ชื่อ แต่ว่ามีความเป็นจริงของธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปในขณะที่อกุศลเกิดขึ้นเป็นไป ขณะนั้นไม่สงบ เพราะว่าเป็นอกุศล ซึ่งจะตรงกันข้ามกันกับขณะที่เป็นกุศลอย่างสิ้นเชิง
ท่านอาจารย์ กำลังพูดเรื่องสงบ ใช่ไหม กับไม่สงบ ไม่สงบภาษาบาลีก็คือว่าอุทธัจจะ ขณะนั้นไม่สงบ แล้วลองคิดถึงความจริงว่า เห็นไก่สงบไหม แค่นี้ ยังไม่ต้องไปไกลเลย แค่เห็นไก่รู้หรือเปล่าว่าสงบหรือเปล่า ต้องเป็นปัญญา ถ้าไม่ได้ฟังธรรมเลยไก่ห้อยหัวก็ไม่สงบต่อไปอีก สงสารไก่ ไม่สงบต่อไปอีก กลับหัวไก่ ก็ไม่สงบต่อไปอีก เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องไม่สงบทั้งวัน แต่ว่าไม่รู้ตัวเลย มาถามชื่อว่าเป็นนิวรณ์หรือเปล่า หรืออะไรอย่างนี้ แต่ความจริงต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ยังไม่ต้องไปถึงผ้าเช็ดตัว หรือว่าอะไรๆ แค่เห็นไก่ หรือว่าไม่มีไก่ก็ได้ เห็นผ้าเช็ดตัว สงบไหม นี่คือเป็นปัญญาจริงๆ ฟังธรรมประโยชน์คือเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่เข้าใจเผินๆ ถ้าเข้าใจเผินๆ ไม่ได้สาระเลย ก็เผินไปตลอดและเดี๋ยวนี้สงบ หรือไม่สงบก็ไม่สามารถที่จะแม้เข้าใจเพราะไม่ถูกถาม แต่ถ้าเดี๋ยวนี้เข้าใจแล้วว่า ขณะใดก็ตามที่เห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว ขณะนั้นจิตไม่ประกอบด้วยสภาพธรรมที่ดีงาม ขณะนั้นก็เป็นอกุศล
อ.อรรณพ ที่ว่าไม่สงบคือการที่จะรู้ หรือตอบออกมาว่าไม่สงบ ก็แล้วแต่ระดับปัญญาว่าโดยขั้นประเมินประมาณเอาจากการศึกษาปริยัติ ก็ประเมินประมาณเอาได้ว่า ถ้าคิดอย่างนี้ มาเดือดร้อนกับว่าไก่กลับหัว ก๋เป็นความไม่สงบ แต่ไม่ได้เป็นการรู้ชัดในลักษณะของความไม่สงบนั้น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นกล่าวได้ไหมว่าไม่รู้อะไรทั้งนั้นเลยตั้งแต่เกิดมา สงบก็ไม่รู้ ไม่สงบก็ไม่รู้ แต่พอฟังแล้วเริ่มเข้าใจขึ้น ก่อนอื่นเข้าใจกุศลหรืออกุศล ลองคิดดูเห็นไก่ไปเข้าใจกุศล หรือว่าเข้าใจอกุศลก่อน ว่าขณะนั้นไม่รู้ว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แต่ขณะที่กำลังเข้าใจอย่างนั้นเป็นกุศล ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ นี่คือความต่างกันแล้ว
อ.อรรณพ ถ้าอุทธัจจะมีอยู่ภายในจิต ก็รู้ชัดว่าอุทธัจจะมีอยู่ภายในจิต
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ เห็นไหม ถ้าอุทธัจจะมีอยู่ในภายในคือจิตขณะนั้นมีอุทธัจจะก็รู้ชัดว่ามีอุทธัจจะอยู่ภายใน ไม่รู้เลย ฟังแล้วก็คือมีแต่ชื่อก่อน แล้วกว่าจะรู้จริงๆ ว่าอุทธัจจะในภายในก็รู้ว่าเป็นอุทธัจจะ ต้องเป็นปัญญาอีกระดับหนึ่ง
อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วถ้าถามว่าตอนนี้เป็นกุศลหรืออกุศลประการใดไม่ว่าจะเป็นนิวรณ์ข้อไหนหรืออะไร ถ้าคนที่ไม่ได้ศึกษาธรรมเขาก็บอกว่าเขาไม่มี เพราะเขาไม่ได้คิดว่าเขามีอกุศลอะไรรุนแรง แต่คนที่ศึกษาแล้วก็เหมือนดีขึ้นมาหน่อยว่า มีนะอุทธัจจะ มี ไม่มี แต่เอาปัญญาที่ไหนมาตอบว่ามี
ท่านอาจารย์ เห็นดอกไม้มีอุทธัจจะในภายในหรือเปล่า เห็นดอกไม้แค่นี้ จะเข้าใจจริงๆ ว่ามีอุทธัจจะในภายในจิตหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นอาศัยกันฟังจริงๆ และการเข้าใจจริงๆ ประโยชน์อยู่ที่เข้าใจจริงๆ แม้ทีละเล็กทีละน้อยก็ถูกต้อง
อ.อรรณพ ทุกคนเกิดมาก็คิดว่ามีชีวิต และก็อยากจะใช้ชีวิตเป็นไปตามความพอใจของตน แต่จริงๆ แล้วไม่ได้เข้าใจจริงๆ ว่าชีวิตนี่คืออะไร แล้วก็ไม่มีศาสตร์อะไรที่จะอธิบายได้อย่างถ่องแท้
ท่านอาจารย์ เพียงคำเดียวต้องเข้าใจแค่ไหน เห็นหรือไม่ แสดงให้เห็นว่าเราเกิดมา เรามีคำพูดหลากหลายภาษา แต่ไม่ว่าจะเป็นภาษาใดก็ตาม หรือใครก็ตามที่พูด มีความเข้าใจในคำที่พูด หรือว่าพูดไปโดยไม่ได้เข้าใจ แม้แต่คำเดียวว่าชีวิต เราก็ต้องมานั่งพูดกันว่าชีวิตคืออะไร และที่ฟังทั้งหมดมาแล้ว ทราบไหมว่าฟังเพื่อเข้าใจอะไร นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แม้แต่ในการฟังก็ต้องรู้จุดประสงค์ว่าฟังเพื่ออะไร ไม่ว่าจะใช้คำว่าชีวิต หรือชีวิตินทรียะ หรือว่านามธรรม รูปธรรม เป็นคำใหม่ๆ แล้วก็ไม่ใช่ภาษาไทยที่ใช้อยู่เป็นประจำด้วย
เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าแต่ละภาษาก็มีภาษาอื่นปะปน แล้วแต่ว่าเป็นภาษาไหน แล้วก็ใช้คำนั้นตามความหมายเดิมหรือเปล่า แต่ตามความเป็นจริงก็คือว่าการฟัง โดยเฉพาะเวลาที่ฟัง ใช้คำว่าธรรม ต้องหมายความว่ารู้จักธรรม ถ้าไม่รู้จักธรรมฟังอะไร เห็นหรือไม่ ตั้งแต่เริ่มต้นเลย ได้ยินคำว่าธรรมโดยเฉพาะก็จะได้ยินคำว่าพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ เข้าใจว่าทุกคนที่นี่เคยพูดเคยได้ฟังคำนี้มาแล้วหลายครั้ง แต่เข้าใจจริงๆ แค่ไหน
นี่แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่มีจริงที่ใช้คำว่าธรรม หรือว่าพุทธัง หรือว่าธัมมัง หรือว่าสังฆังไม่ใช่คำที่ใครก็พูดบ่อยๆ โดยไม่เข้าใจคำนั้น แต่คิดว่าเข้าใจ แม้แต่แต่ละคำก็ต้องมีความชัดเจน แม้แต่คำว่าพุทธะ ทุกคนซาบซึ้งเป็นที่เคารพสักการะสูงสุด ไม่ใช่แต่เฉพาะมนุษย์ แม้เทวดาและพรหมทั่วสากลจักรวาล ไม่ใช่แต่เฉพาะในโลกมนุษย์ ในเทวโลก ในพรหมโลก แสดงถึงปัญญาที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีใครสามารถที่จะเปรียบปานได้ แต่ว่าเพียงเท่านี้ไม่ทำให้เห็นพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แค่ได้ยินบ่อยๆ กราบไหว้เสมอเนืองๆ แต่ตราบใดที่ว่ายังไม่รู้ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะอะไร ถ้าไม่มีการตรัสรู้ความจริงที่มีอยู่ทุกขณะ ไม่ว่าที่ไหนในสากลจักรวาล บุคคลนั้นไม่ชื่อว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่สามารถที่จะแสดงความจริงนั้นให้คนอื่นเข้าใจด้วย เพราะเหตุว่าแล้วแต่ปัญญาของใครว่าสะสมมาที่จะรู้ความจริงได้มากน้อยแค่ไหน จึงมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงบำเพ็ญพระบารมีเหนือบุคคลใดทั้งสิ้น และทรงแสดงพระธรรมโดยละเอียดยิ่ง เพื่อให้คนที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจ เกิดความรู้ความเข้าใจถูก ความเห็นถูกได้
เพราะฉะนั้นอยากจะดำรงชีวิตอย่างไร อยากจะดำเนินชีวิตทางไหน ถ้าไม่เข้าใจธรรมก็ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างเลือก ว่าวันนี้จะทำอะไร แต่ว่าไม่ใช่ทำด้วยความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ในสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นก็เป็นแต่เพียงความคิดของคนที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าไม่ได้ฟังธรรม แล้วแต่ต้องการอะไร แต่ถ้าได้ฟังธรรมแล้วจะรู้เลย จากที่ไม่เคยรู้อะไรตั้งแต่เกิดจนกระทั่งได้ฟังพระธรรม เริ่มมีความเข้าใจขึ้นในสิ่งที่มีจริงๆ ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งถึงขณะที่จากโลกนี้ไป ก็จากไปด้วยความเข้าใจขึ้นในสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดแต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปี ล่วงไปๆ ถ้ายังคงไม่ได้ฟังพระธรรมก็ไม่มีทางที่ใครสามารถที่จะเข้าใจว่าอะไรเป็นธรรม พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร แต่เมื่อได้ฟังแล้วก็จะมีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ชีวิตจะดำเนินต่อไปด้วยความเข้าใจธรรม หรือด้วยความไม่เข้าใจธรรม ก็มีอยู่สองอย่าง แต่ว่าธรรมคือคำสอนของพระอรหันตมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าถ้ามีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้ แต่ไม่ได้ทรงแสดงพระธรรม ใครจะมีพระธรรมเป็นที่พึ่ง ใครสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริง ซึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ คนที่ได้ยินแต่ชื่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตอนโตแล้ว เกิดมาได้ยิน จนกระทั่งจากโลกไป จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม ถ้าเพียงแต่ได้ยินคำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 781
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 782
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 783
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 784
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 785
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 786
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 787
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 788
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 789
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 790
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 791
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 792
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 793
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 794
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 795
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 796
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 797
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 798
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 799
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 800
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 801
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 802
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 803
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 804
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 805
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 806
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 807
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 808
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 809
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 810
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 811
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 812
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 813
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 814
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 815
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 816
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 817
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 818
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 819
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 820
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 821
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 822
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 823
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 824
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 825
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 826
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 827 --- ไม่ถอดเทป
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 828
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 829
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 830
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 831
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 832
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 833
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 834
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 835
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 836
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 837
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 838
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 839
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 840
