พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 790


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๙๐

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ ๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๕


    ท่านอาจารย์ กิจที่ว่าสำคัญๆ ทั้งหลาย ก็แค่ชาตินี้ที่ถือว่าสำคัญ แต่แล้วก็มีการเกิดอีก แต่ก็ไม่ได้กระทำกิจที่ควรทำ ตราบใดที่ไม่ได้ฟังธรรม ไม่ได้เข้าใจ แต่ขณะใด ที่กำลังฟังก็ไม่ใช่เรา แต่ว่าเป็นกิจของโสภณธรรม ธรรมฝ่ายดีงามที่มีอำนาจ ที่จะทำให้สิ่งที่ดีงามเกิดขึ้นเป็นไป แต่จริงๆ แล้วใครมีอำนาจ มีไหม ไม่มีเลย คิดว่ามีอำนาจ เข้าใจว่าคนนั้นคนนี้มีอำนาจ หามีไม่ ถ้ามีจริงทำเห็นให้เกิด ทำได้ไหม มีอำนาจจริงๆ ทำไม่ได้เลย จะฆ่าใคร คิดว่าฆ่าได้ หรือ อกุศลจิตเกิด มีกำลังที่จะกระทำตามกำลังของอกุศลนั้น มีอำนาจที่จะให้กระทำอกุศล แต่จะทำให้ตายได้ไหม ไม่มีอำนาจ

    เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมทั้งหมด ก็แสดงให้เห็นความจริงว่า เข้าใจว่าอำนาจอยู่ที่คนนั้นคนนี้ แต่ความจริงไม่ใช่เลย ต้องอยู่ที่ธรรม ซึ่งสามารถจะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นไป สิ่งใดก็ตาม ที่สามารถจะทำให้สิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นไป ก็เพราะสิ่งนั้นมีอำนาจที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นไป เท่านั้นเอง แต่ไม่ใช่ใครเลย

    อ.ธิดารัตน์ เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์ได้อธิบายถึงลักษณะของจิต และท่านอาจารย์ได้ยกตัวอย่างลักษณะของจิตที่คิด ก็จะมีแยกออกเป็นสามอย่าง ว่ามีจิตคิด และ สิ่งที่ถูกคิด เรื่องที่คิด ท่านอาจารย์จะขยายความเพิ่มเติม หรือไม่ว่า ลักษณะของจิตที่คิด มีลักษณะอย่างไร ลักษณะจิตที่คิด กับสิ่งที่จิตคิด ก็ยังมีทั้งสองอย่าง มีทั้งสิ่งที่คิดกับเรื่อง

    ท่านอาจารย์ จิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งทุกอย่าง ถ้าจิตไม่เกิดคิด จะมีเรื่องนั้นไหม

    อ.ธิดารัตน์ ก็ไม่มี คือ ส่วนใหญ่ เพราะไม่สามารถที่จะเข้าใจลักษณะที่คิดได้ ส่วนใหญ่พอเราพูดถึงคิด หลายๆ ท่านก็จะคิดถึงเรื่อง โดยที่ไม่เข้าใจสภาพที่คิดจริงๆ

    ท่านอาจารย์ เหมือนเห็นเดี๋ยวนี้ ก็เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้โดยไม่รู้ว่ามีจิตที่เห็น เพราะฉะนั้น เรื่องทั้งหลายก็เหมือนกับสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะจิตกำลังรู้สิ่งนั้น จิตรู้อะไร ก็มีสิ่งที่จิตกำลังรู้ในขณะนั้น และจิตก็รู้ได้ทุกอย่างด้วย

    อ.ธิดารัตน์ แล้วเวลาที่เข้าใจลักษณะของจิต ที่ไม่มีเรื่อง

    ท่านอาจารย์ ขณะเห็นไม่มีเรื่องแน่ เรื่องอะไร เห็นเกิดขึ้นเห็น ได้ยินเกิดขึ้นได้ยิน เสียงก็ไม่ใช่เรื่อง เสียงเป็นเสียง ไม่เช่นนั้น เราจะพูดว่าเสียง หรือ

    อ.ธิดารัตน์ เสียงเป็นรูป ไม่ใช่สภาพรู้เสียง

    ท่านอาจารย์ เสียงมี นี่เรียกว่าเสียง ได้ไหม

    อ.ธิดารัตน์ ได้

    ท่านอาจารย์ แล้วเสียง รู้อะไร หรือเปล่า

    อ.ธิดารัตน์ เสียงไม่ใช่สภาพรู้

    ท่านอาจารย์ แล้วขณะได้ยิน เสียงรู้อะไร หรือเปล่า

    อ.ธิดารัตน์ รู้เสียง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เสียง ก็ไม่ใช่สภาพรู้

    อ.ธิดารัตน์ เหมือนอย่างลักษณะของจิตคิด ก็มีลักษณะของธรรมที่คิด กับ เรื่องที่คิด

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    อ.ธิดารัตน์ แต่เวลาเข้าใจลักษณะของจิต ก็คือไม่มีเรื่อง

    ท่านอาจารย์ แน่นอน ต้องรู้ทีละอย่าง

    อ.คำปั่น ในวันนี้ ก็ได้เริ่มศึกษาพระธรรม เป็นการเริ่มสะสมความเข้าใจที่ถูกต้องจริงๆ ซึ่งท่านอาจารย์ได้กล่าวประโยคหนึ่ง ไพเราะทีเดียว ที่กล่าวว่า ศึกษาในสิ่งที่เคยมี แต่ไม่เคยรู้ เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่า ไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมเลย ก็จะไม่เข้าใจสิ่งที่มีจริง ที่กำลังมี กำลังปรากฏในขณะนี้ ซึ่งมีความไม่รู้มานานแสนนาน เพราะฉะนั้น ก็เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้มีความเข้าใจธรรมถูกต้องยิ่งขึ้น ก็คือ การเริ่มสะสมความรู้ ความเข้าใจ จากการได้ฟังพระธรรม ฟังในสิ่งที่มีจริง แม้ในวันนี้ ได้ฟังอย่างครบถ้วน ทั้งเรื่องจิต เจตสิก และรูป เป็นสภาพธรรมที่มีจริงทั้งหมดเลย แต่ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ใช่เรา ไม่ใช่คนนั้นคนนี้ แต่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของธรรมเท่านั้น

    ที่จะขออนุญาตเพิ่มเติม ที่แสดงถึงว่า จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ซึ่งก็มีคำถามเกิดขึ้นว่า ในเมื่อจิตก็เกิดร่วมกับเจตสิก เจตสิกก็เกิดร่วมกับจิต แล้วทำไมจึงแสดงว่า จิตเท่านั้นที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ ซึ่งท่านอาจารย์ก็ได้บรรยายแล้ว ตรงตามข้อความที่ปรากฎในคาถาธรรมบท ท่านก็มีคำอธิบายไว้ว่า จิตไม่เคยขาดเลย แต่ว่าเจตสิกบางประเภท ก็เกิดร่วมกับจิต บางประเภทก็ไม่เกิดร่วมกับจิตในขณะนั้น อย่างเช่น ในขณะที่จิตเป็นอกุศล กุศลธรรมโสภณเจตสิกไม่เกิดขึ้น แต่ในขณะนั้นไม่เคยขาดจิตเลย

    เพราะฉะนั้น จิตไม่เคยขาด จิตจึงเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์เท่านั้นเป็นใหญ่จริงๆ แต่เจตสิกก็เกิดร่วมกับจิต รู้อารมณ์เดียวกันกับจิตเท่านั้น เพราะฉะนั้นแม้ว่า เจตสิกบางประเภทจะไม่เกิดขึ้น แต่จะไม่ปราศจากจิตเลย ทุกขณะเป็นจิตตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่เคยขาดจิตเลย และหลังจากที่ตายไปแล้ว ตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ ก็ยังต้องเกิด มีจิตเกิดดับสืบต่อกันอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่เคยขาดสายเลย นี่คือความเป็นจริงของสภาพธรรม เป็นการศึกษาธรรมเพื่อความเข้าใจธรรมอย่างถูกต้องจริงๆ

    ผู้ฟัง หลังเห็นแล้วคิด หลังได้ยินแล้วคิด กับการที่คิดนึกเรื่องราว การคิดนึกเรื่องราวยังพอจะรู้สภาพคิดได้ แต่หลังเห็นแล้วคิด ไม่สามารถที่จะรู้ได้ นี่มันเหมือนกันไหม

    ท่านอาจารย์ เห็นอะไร

    ผู้ฟัง เห็นสิ่งที่ปรากฏ แล้วคิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    ท่านอาจารย์ นั่นก็คิดแล้วไง

    ผู้ฟัง แต่เราก็จะไม่ทราบ เราจะไม่สามารถรู้

    ท่านอาจารย์ จนกว่าจะเรียน และเข้าใจจริงๆ ว่าจิตเกิดดับสืบต่อเร็วมาก สุดที่จะประมาณได้ และหลากหลายประเภทด้วย

    ผู้ฟัง และกับการที่คิดนึกเรื่องราว ที่พอจะรู้ได้ ว่าเราคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ที่พอจะรู้ได้ จิตเห็นพอรู้ได้ จิตที่เกิดก่อนจิตเห็น รู้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ จิตเห็นดับไปแล้ว มีจิตที่เกิดสืบต่อ รู้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จิตที่พอจะรู้ได้ ก็คือ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และคิดนึก

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์กล่าวเมื่อวานนี้ว่า ความน่าอัศจรรย์ของความเป็นธาตุ เพราะฉะนั้น ความเป็นธาตุน่าอัศจรรย์อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นต้องทราบว่า ขณะนี้ มีสิ่งที่กำลังปรากฏแล้วไม่รู้จัก และไม่เข้าใจ ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ว่าเมื่อได้มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคตรัสเรื่องสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏ ก็จะทำให้ทุกคนสามารถที่จะเริ่มเข้าใจความจริง เพราะแม้แต่เพียงคำว่า สิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ถ้าไม่เคยฟังมาก่อน ก็ไม่รู้ว่าอะไร ใช่ไหม แต่ถ้าได้ทราบว่า ขณะนี้เห็นจริงๆ มีจริงปรากฎ แล้วก็รู้เรื่องเห็น หรือเปล่า ว่าเห็นขณะนี้เป็นอย่างไร ทั้งๆ ที่กำลังเห็น ก็ไม่รู้เห็นเป็นอย่างไร และสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นอย่างไร พอเริ่มต้นทุกคนก็คิดว่ายากเสียแล้ว คือ พูดถึงสิ่งที่มีจริง โดยที่ว่า ก่อนที่จะได้ฟัง จะไม่มีความเข้าใจถูกต้องในสิ่งนี้เลย ว่าสิ่งที่มีจริงนี้เป็นสิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อตรัสรู้ความจริงที่สุดของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ควรรู้ หรือเปล่า สิ่งที่มีจริง เพราะว่า เกิดมาก็เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่มี ไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งวัน แต่ไม่เคยเข้าใจถูก ในแต่ละหนึ่งที่มีจริงๆ

    เพราะฉะนั้น ถ้าได้ยินคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทราบได้ ว่าเป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงสิ่งที่ต้องมีจริงแน่นอน ไม่พูดถึงสิ่งที่ไม่มีจริงเลย แม้แต่คำว่าธาตุ หรือ ธา-ตุ หรือ ธรรม ถ้าไม่เคยฟังมาก่อนเลย เราก็คิดว่า ธาตุมีจริงๆ คือ แข็ง เราได้ยินคุ้นหูสำหรับบางคนเป็นธาตุดินปฐวีธาตุ คงเคยได้ยิน อ่อน หรือแข็ง เย็น หรือร้อน ก็มีจริงในชีวิตประจำวัน บางวันก็เย็น บางวันก็ร้อน เพราะฉะนั้น เย็นร้อนมีจริงๆ และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาด้วย ไม่สามารถจะมีใครไปเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดแล้วให้เป็นอย่างอื่น เมื่อเกิดเป็นเย็นขณะนั้น เย็นปรากฏไม่ใช่อย่างอื่นปรากฏ เมื่อเกิดเป็นหวาน หรือขม หรืออะไรก็ตามแต่ สิ่งที่มีจริงแต่ละอย่าง เป็นธาตุ คือ เป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้

    เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่า คำนี้หมายความถึง สิ่งที่มีจริงทุกอย่างในชีวิต แต่ละหนึ่งๆ ไม่ปะปนกัน อย่างเห็นขณะนี้ ไม่มีใครคิดถึงธาตุที่เห็น คิดถึงแต่เย็นบ้าง ร้อนบ้างอ่อนบ้าง แข็งบ้าง เท่านั้นเอง แต่สิ่งที่มีจริงไม่ใช่มีแค่เย็น ร้อน อ่อน แข็ง แต่ว่าต้องมีเห็นด้วย มีได้ยินด้วย เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงทั้งหมด ซึ่งใครก็เปลี่ยนลักษณะนั้นไม่ได้ ก็เป็นแต่ละธาตุให้ทราบว่า พูดถึงธาตุ หมายความถึง พูดถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ที่สามารถที่จะเริ่มเข้าใจได้ ว่าเห็นเกิดเห็น ได้ยินเกิดได้ยิน บางคนก็บอกว่า พูดอาจจะแปลกดูธรรมดา เกิดเห็น และเกิดได้ยิน แต่ก็เป็นความจริง ในขณะที่เห็นเกิดไม่ใช่ใครไปทำให้เห็น แต่ว่าเกิดเห็น และในขณะที่เสียงปรากฏขณะนี้ ได้ยินเกิดได้ยินเสียง ไม่มีใครไปทำ

    เพราะฉะนั้น ความเป็นธาตุ สิ่งที่มีจริง ก็คือ สิ่งที่มีเหตุปัจจัย ทำให้เกิดขึ้นเป็นไปทุกขณะ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะเหตุว่า เกิดมาแล้ว ไม่เห็นไม่มี เกิดมาแล้วก็ต้องเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสบ้าง คิดนึกบ้าง ทุกวันอย่างนี้ ใช่ไหม แต่ไม่รู้ตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรมให้เข้าใจถูกต้อง ว่าฟังสิ่งที่มีแล้วตั้งแต่เกิด จนกระทั่งถึงขณะนี้ และต่อไปก็เป็นอย่างนี้ แต่ไม่รู้ตามความเป็นจริง ว่าเป็นธาตุ หรือสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้น และก็ดับไป สืบต่ออยู่ตลอดเวลา

    อ.วิชัย ได้มีโอกาสฟังคำบรรยายของท่านอาจารย์ เป็นการสนทนา ซึ่งท่านอาจารย์ก็กล่าวถึงว่า แข็ง ซึ่งทุกท่านก็รู้ว่าแข็งมี เพราะเหตุ กำลังปรากฏอยู่ คือ รู้ว่าแข็งมี แต่ไม่รู้ว่าแข็งไม่ใช่ตัวตน คือ คำว่ารู้ รู้ว่าแข็งมี ขณะนี้ กับคำที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า แต่ไม่รู้ว่าแข็งขณะนี้ไม่ใช่ตัวตน ความรู้นี่ต่างกันอย่างไร

    ท่านอาจารย์ รู้ว่าแข็งมี แต่แข็งเป็นเรา หรือว่าแข็งเป็นโต๊ะ หรือว่าแข็งเป็นเก้าอี้ และก็ลืมว่าที่เรารู้ว่า โต๊ะมี เก้าอี้มี คนมี สัตว์มี ถ้าไม่มีแข็ง จะมีไหม คน สัตว์ เก้าอี้ โต๊ะ ไม่มี ตามความเป็นจริง ก็คือว่า สิ่งที่มี มีชั่วคราว ชั่วขณะที่สั้นมาก พิสูจน์ได้เลย ขณะนี้มีแข็งปรากฏไหม ลองคิด มีปรากฏ และมีเห็นไหม แต่เห็นไม่ใช่แข็ง เพราะฉะนั้น จะมีแข็ง และเห็นปรากฏพร้อมกันในขณะเดียวไม่ได้ นี่คือความลึกซึ้ง หรือความอัศจรรย์ของสิ่งซึ่งดูเสมือนว่าเกิดมาไม่มีอะไรดับไปเลยสักอย่างเดียว แต่ละวัน ซึ่งเปลี่ยนไปก็ไม่รู้ ว่าแท้ที่จริงแล้ว แม้จากเห็นเป็นได้ยินเป็นคิดนึก ก็สืบต่อกันเร็วมาก และก็จริงๆ แล้วก็มีสภาพธรรมที่ขั้นแทรก

    อย่างเมื่อวานนี้ เราพูดเรื่องยากเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องมโน หรือว่า วิญญาณ หรือว่าจิต ถ้าเราพูดเรื่องจิต เราใช้คำว่าจิตมานาน ก็ไม่สงสัยเรื่องจิต แต่พอบอกว่ามโน มโนกับจิต เหมือนกันไหม และก็มีวิญญาณอีก มีทั้งจิต มีทั้งมโน มีทั้งวิญญาณ นี่คือความจริงที่ว่า มีธาตุรู้ โลกนี้จึงได้ปรากฏ ถ้าไม่มีการเห็น การได้ยิน ไม่มีการรู้ใดๆ เลยทั้งสิ้น อะไรๆ ก็ปรากฏไม่ได้ แต่ว่า เรายังไม่ได้เข้าใจลักษณะ ซึ่งเป็นธาตุรู้ ซึ่งขณะนี้กำลังเห็น รู้ว่าเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ รูปร่างอย่างนี้ปรากฏให้เห็นได้ สิ่งที่กำลังปรากฏ ที่เราคิดว่าเราเห็นเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ถ้าเห็นไม่เกิด จะมีสิ่งนั้นสิ่งนี้ในความคิดไหม ก็ไม่มี

    เพราะฉะนั้น เวลาที่มีการเห็นเกิดขึ้น ก็ไม่เข้าใจตามความเป็นจริง ว่าแท้ที่จริงต้องมีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ ถ้าไม่มีธาตุเห็น สิ่งที่ปรากฏให้เห็นขณะนี้ ปรากฏได้ไหม ไม่ได้ นี่เริ่มเข้าใจธาตุรู้ ซึ่งกำลังมีในขณะนี้ กำลังที่ (นาทีที่ ๑๕.๑๑ มี) เสียงปรากฏ ถ้าไม่มีธาตุที่ได้ยินเสียงนั้น เสียงนั้นจะปรากฏได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น เวลานี้เหมือนกับว่าเราเห็น เราได้ยิน แต่ไม่รู้เลย ในความน่าอัศจรรย์ของธรรมที่ไม่ได้ปรากฏ แต่กำลังรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่เกิดจนตาย รู้ไปหมดทุกอย่าง ทุกวัน คือทางตาก็เห็น ทางหูก็ได้ยิน ทางจมูกก็ได้กลิ่น ทางลิ้นก็ลิ้มรส ทางกายก็รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ทางใจก็คิดนึก รวมเรียกว่าเป็นธาตุรู้ แต่ว่าธาตุรู้ ปรากฏ หรือยัง แม้ว่ามี เห็นไหม นี่คือความลึกซึ้ง พอพูดถึงสิ่งที่มี ไม่ใช่ว่าสิ่งนั้นสามารถจะปรากฏให้รู้ความเป็นจริงได้ทันที เพียงแต่เริ่มเข้าใจ ว่าเกิดมาในโลกนี้ มีโลกปรากฏ เพราะมีธาตุรู้ ซึ่งโดยทั่วไปก็ใช้คำว่า จิต ถ้ารูปนี้ไม่มีจิตก็ไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีการคิดนึก ไม่มีสิ่งที่มีชีวิตต่อไป

    เพราะฉะนั้น จิตไม่ใช่รูปร่างกาย แต่จิตเกิดที่รูปร่างกาย และก็เป็นสภาพที่รู้ เมื่อมีตาจิตก็เกิดขึ้นเห็น แต่ถ้าไม่มีตาจิตเห็นไม่ได้ เพราะฉะนั้น ธาตุรู้ก็เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่ใช่ใครเลย ที่ใช้คำว่าเป็นธาตุ เพราะเหตุว่าไม่ใช่ใคร และไม่ใช่ของใคร เพียงแต่เกิดปรากฏแล้วก็หมดไป เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ กำลังเห็น แต่คุณวิชัยสนใจเรื่องแข็ง เพราะฉะนั้น แข็งก็ปรากฏเหมือนสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทางตามีสิ่งที่ปรากฏ ที่กายแม้ไม่เห็นก็ยังมีสิ่งที่ปรากฏ ว่าสิ่งนั้นมีอยู่ที่กาย แต่มองไม่เห็น เพราะฉะนั้น กายก็สามารถที่จะกระทบสิ่งที่อ่อน หรือแข็ง ขณะนี้กำลังกระทบแข็ง หรืออ่อนปรากฏ เย็น หรือร้อนปรากฎ ตึง หรือไหวปรากฏ แต่ทางตาไม่มีอ่อน แข็ง เย็น ร้อนปรากฏ แต่มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ ว่าสิ่งที่เห็นได้เป็นสีสันอย่างนี้ เป็นรูปร่างอย่างนี้

    เพราะฉะนั้น ต้องเป็นธาตุรู้ ซึ่งสามารถที่จะรู้สิ่งที่มีจริง โดยอาศัยตา อาศัยหู อาศัยจมูก อาศัยลิ้น อาศัยกาย ทั้งวันศึกษาธรรม คือ สิ่งที่มีจริง จริง หรือเปล่า เห็นไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่แข็ง นี่คือ แต่ละธาตุ แต่ละหนึ่ง ซึ่งมีจริงๆ เกิดแล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรม ถ้าละเอียดจะนำไปสู่การเห็นพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่าจะรู้อย่างนั้นได้ไหม รู้อย่างที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงได้ไหม ไม่สามารถที่จะรู้ทั่วถึงทั้งหมด รู้ได้เพียงบางส่วนเช่นขณะนี้ ทุกคนมีจิต ทรงแสดงไว้ว่า จิตที่ปรากฏว่ามีในชีวิตประจำวัน คือ เห็นกำลังเห็น รู้ได้ไหม รู้ความจริงของเห็นได้ไหม

    อ.วิชัย รู้ว่ามีเห็น แต่ยังไม่รู้ความจริงว่าเห็นเป็นเห็น

    ท่านอาจารย์ แต่สามารถรู้ได้ไหม ในเมื่อมีจริง ถ้าฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นค่อยๆ เข้าใจขึ้นสามารถจะรู้ความจริง ว่าเห็นเป็นสิ่งมีชั่วคราว คือ เพียงเกิดขึ้นเห็นแล้วดับไป ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่คิดนึกไ ม่ใช่ขณะที่รู้แข็ง นี่คือการศึกษาให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ที่สามารถจะรู้ได้ แต่ละคำในพระไตรปิฎก มีคำอีกมาก ซึ่งไม่สามารถที่จะรู้ได้ แต่ว่าคำเหล่านั้น เป็นประโยชน์ที่จะทำให้เริ่มเห็นความเป็นอนัตตาที่ละเอียดอย่างยิ่ง แม้รู้ไม่ได้แต่เข้าใจได้เช่น ก่อนเห็นมีจิตไหม เกิดมาแล้วยังไม่ทันเห็น มีจิตไหม ธาตุรู้เกิดขึ้น แต่ไม่ใช่ธาตุเห็น ไม่ใช่ธาตุได้ยิน แต่เป็นธาตุรู้ที่ใช้คำว่า จิต

    เพราะฉะนั้น ถ้าศึกษาธรรม จิตหลากหลายมากมายต่างกันเป็นถึง ๘๙ ประเภท แต่วันนี้มีอะไรบ้าง มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส มีคิดนึก ที่พอจะรู้ได้ เพราะฉะนั้น แสดงความละเอียดอย่างยิ่ง ว่าก่อนเห็นก็มีจิต และเป็นจิตประเภทไหน ก็ทรงแสดงไว้ด้วย เช่น ตอนที่หลับสนิทมีจิตแน่นอน แต่ไม่ใช่จิตเห็น จิตได้ยิน พิสูจน์ได้ แล้วก็มีเห็นเมื่อตื่น ใช่ไหม เวลาที่บอกว่าเห็น หมายความว่า ไม่หลับต่างกันแล้วเป็นจิตสองประเภท เพราะฉะนั้น ในขณะที่เห็น ขณะนี้ทุกคนรู้ว่าเห็นมี แต่ไม่รู้ความละเอียดว่าแม้ก่อนเห็นซึ่งไม่ใช่หลับสนิทก็มีจิตเกิดแล้วก่อนเห็น นี่คือความละเอียด หรือความลึกซึ้งของธรรม ซึ่งเป็นความน่าอัศจรรย์ และเวลาที่เห็นแล้วดับ เห็นเวลานี้เกิดดับอย่างเร็วมาก ก่อนเห็นก็มีจิตประเภทหนึ่งเกิดก่อน แล้วเวลาที่เห็นดับไปแล้ว ก็มีจิตที่ไม่ใช่จิตเห็นเกิดสืบต่อเร็วมาก

    เพราะฉะนั้น จึงต่างกันเป็น ๘๙ ประเภท แค่นี้ ค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจว่าลึกซึ้ง และละเอียด แต่ทรงแสดงไว้อย่างเมื่อวานนี้ เราก็พูดถึงเรื่องของธาตุ ๑๘ ทั้งนามธาตุ และรูปธาตุ แต่ถ้ากล่าวเฉพาะวิญญาณธาตุ ซึ่งเป็นจิตซึ่งเป็นธาตุรู้ประมวลไว้ว่า เป็นวิญญาณธาตุ ๗ รู้แล้ว ๕ แน่ๆ เห็นหนึ่ง ได้ยินหนึ่ง ได้กลิ่นหนึ่ง ลิ้มรสหนึ่ง รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสหนึ่ง ๕ แล้ว ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ก่อนเห็นก็ไม่ใช่หลับ เพราะหลับก็ไม่มีทางจะเห็นเลย และทันทีที่ไม่หลับ แต่มีสิ่งที่กระทบขณะนั้น เพราะว่าจิตเกิดขึ้นรู้ว่ามีสิ่งกระทบ กระทบอะไร กระทบตา หรือว่ากระทบหู หรือว่ากระทบจมูก หรือว่ากระทบลิ้น หรือว่ากระทบกาย เพราะตาไม่ใช่หู จมูกก็ไม่ใช่กาย เพราะฉะนั้น สิ่งที่สามารถกระทบตาได้ ปรากฏให้เห็นว่ามีจริงๆ คือ เห็นเกิดขึ้น เห็นสิ่งที่กระทบตา นี่คือ ทั้งหมดเป็นธาตุ

    เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่พูดถึงรูป แต่เราจะพูดถึงนามธาตุ หรือจิต ก็จะเห็นความหลากหลายว่า ที่มีคำว่ามโน หรือมีคำว่าวิญญาณ หรือมีคำว่าจิต เพื่อแสดงลักษณะที่ต่างกันของจิตนั่นเอง เพราะฉะนั้น ในขณะที่หลับสนิท แล้วมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดกระทบ กระทบอะไรก็ได้ คือกระทบตาก็ได้ หรือจะกระทบหูก็ได้ กระทบจมูก กระทบลิ้น กระทบกายก็ได้ บางคนหลับแล้วก็รู้สึกว่า มีอะไรกระทบกาย นั่นคือ ขณะที่กระทบนั้นไม่หลับ เพราะกำลังรู้ว่า มีสิ่งที่กระทบกายบางคนหลับๆ อยู่ก็ตื่นขึ้นมาเห็น ก็แสดงว่ามีสิ่งที่กระทบตา ทำให้ขณะนั้นไม่ได้หลับต่อไป แต่ว่ามีการเห็นเกิดขึ้น หรือว่าสลบไปแล้ว หรือว่าเป็นลมไปแล้ว ก็มีกลิ่นปรากฏ เพราะว่ากลิ่นกระทบจมูก เลือกไม่ได้ว่าจะมีอะไรกระทบตา หรือหู หรือจมูก หรือลิ้น หรือกาย เพราะว่า นี่คือชีวิตประจำวัน แต่ให้ทราบว่าเป็นจิตแต่ละประเภท ที่เราเริ่มจะเข้าใจได้ ว่าเราสามารถจะรู้ได้แค่ไหน เราไม่สามารถจะรู้ถึงจิตที่เกิดก่อนเห็น เพราะเหตุว่า กำลังเป็นภวังค์ กำลังหลับสนิท หมายความว่า มีจิตเกิดดำรงภพชาติไม่ใช่คนตาย แต่ขณะนั้นไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 185
    22 ธ.ค. 2566