พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 822


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๒๒

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖


    อ.อรรณพ กราบเรียนท่านอาจารย์อย่างภัยในพระไตรปิฎกท่านกล่าวไว้กว้างขวางมากมายภัยคือการเกิดแก่เจ็บตายก็มีภัยคือน้ำท่วมไฟไหม้โจรอะไรก็มี หรือว่าท่านก็กล่าวลงไปจนลึกซึ้งก็มีอยากกราบเรียนท่านอาจารย์เป็นเบื้องต้นก่อนครับว่าความเข้าใจเบื้องต้นที่แท้จริงที่จะเป็นพื้นฐานในเรื่องของภัยคืออย่างไรครับ

    ท่านอาจารย์ ขอเชิญคุณนิรันดร์ร่วมสนทนาด้วยเมื่อวานนี้คุณนิรันดร์ไปหยอดตาให้เพื่อนอีก หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เขาผ่าตัดตาคือต้อ และตอนนี้หายแล้ว

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องไปแล้วอีกใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่ต้องไปอีกแล้ว

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นการที่จะพูดถึงภัยถ้าไม่เกิดขึ้นก็จะไม่เห็นในขณะนั้นเป็นเรื่องเป็นราวซึ่งพยายามไปจำไว้ว่ามีเท่าไหร่กี่ข้อแต่ถ้าในขณะนั้นสามารถที่จะเห็นความต่างของกุศล และอกุศลกำลังหยอดตาเขาขณะนั้นเป็นกุศลแต่น้อยมากเพราะยังมีความรำคาญใจอยู่ด้วยจะเห็นได้ว่าก็เป็นกุศลก็ดีทำไมต้องให้อกุศลมาพัวพันนี่ยังไม่ต้องพูดถึงภัยเลยแต่หมายความว่าเริ่มมีความเข้าใจความต่างของขณะที่เป็นกุศลกับขณะที่เป็นอกุศลคุณนิรันดร์คงไม่อยากจะมีใจที่ต้องคิดว่าแหมเราลำบากเหลือเกิน ใช่ไหมคะไม่อยากจะให้มีขณะนั้นแต่ก็เกิดขึ้นทำความลำบากเพิ่มขึ้นอีกทั้งๆ ที่ขณะนั้นก็เป็นสิ่งที่ดีจะไปหยอดตาเขาก็ต้องมีการกระทำจะเดินไปจะหยิบจะทำอะไรหลายอย่างทั้งหมดนั่นก็เป็นกุศลเป็นสิ่งที่ทุกคนชื่นชม และไม่นำโทษภัยใดๆ มาให้เลยทั้งสิ้นแต่ก็ลืมว่าขณะที่จะไปหยอดตาเขาทำไมเป็นอกุศลทำไมไม่ปลาบปลื้มตั้งแต่ต้นที่ว่ามีจิตใจที่ผ่องใสมีโอกาสที่จะช่วยคนซึ่งเขาช่วยตัวเองไม่ได้ และก็ไม่มีใครจะช่วยเขา เพราะฉะนั้นแต่ละก้าว หรือแต่ละการกระทำที่ทำทำด้วยจิตที่เบิกบานผ่องใสที่มีโอกาสได้ทำกุศลแทนที่จะไปเสียเวลากุศลนิดเดียว และอกุศลก็เยอะแยะ เพราะฉะนั้นความเข้าใจพระธรรมเป็นที่พึ่งก็จะทำให้เปลี่ยนจากอกุศลเป็นกุศลได้แต่ต้องเข้าใจจริงๆ ถึงภัยคือความน่ากลัวของอกุศลเกิดแล้วไม่ทำให้สบายเลยน่ากลัวคือทำร้ายจิตให้ขุ่นมัวให้เศร้าหมอง และถ้าเป็นการกระทำที่สำเร็จเป็นกรรมที่เป็นอกุศลผลก็ยิ่งมากกว่านั้น เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมไม่ใช่เราจะไปจำเรื่องราวอะไรต่างๆ แต่ว่าให้เข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่กำลังมีในขณะนั้นแม้แต่จะเข้าใจคำว่าภัยถ้าขณะนั้นที่อกุศลจิตเกิดคุณนิรันดร์รู้ว่าเป็นภัยเปลี่ยนจากอกุศลเป็นกุศลได้ด้วยกำลังของปัญญา เพราะฉะนั้นใครตาบอดคนต่อไป หรือว่าคุณนิรันดร์จะได้ไปช่วยใครอีกก็ตามแต่เริ่มตั้งแต่คิดดีที่จะเป็นมิตรที่จะทำให้เขาสบายขึ้น และการกระทำทั้งหมดก็เป็นไปด้วยกุศลจิตซึ่งเบิกบานจะเป็นประโยชน์กว่าไหมคะ

    ผู้ฟัง เป็นประโยชน์กว่าครับ

    ท่านอาจารย์ ขึ้นอยู่กับความเข้าใจแต่ขณะนั้นไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นอกุศลก็กลุ้มรุมทำให้เห็นว่าเป็นเรื่องที่ลำบากลำบนแต่ลำบากยังไงไปได้ไปได้นี่เรียกว่าลำบาก หรือลำบากจริงๆ ไปไม่ได้แน่ๆ แต่ไปได้นี่ไม่ลำบาก เพราะฉะนั้นไม่ต้องคิดถึงความลำบากของเราเองแต่คิดถึงว่าเราได้มีโอกาสทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับคนอื่น เพราะฉะนั้นก็ผ่องใสตั้งแต่เริ่มคิด และกุศลจิตก็เพิ่มขึ้นภัยก็จะไม่มารบกวนคือขณะนั้นจิตใจก็จะไม่ขุ่นเคืองไม่เดือดร้อน

    ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์ครับท่านอาจารย์บอกว่าก่อนตายควรที่จะทำความดีไม่ควรทำความชั่วการที่จะทำความดีมันก็ต้องเสียสละความสุขของตนเองเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่นก็เป็นความลำบาก

    ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจจริงๆ ประการแรกก็คือว่าไม่มีเราแต่มีธรรมมิฉะนั้นการกระทำทั้งหมดจะมุ่งหวังเพื่อเรามีความเป็นเราซึ่งก็จะทำให้ไม่เข้าใจตามความเป็นจริงว่าแท้ที่จริงแล้วตราบใดที่ยังเป็นเราอยู่ก็ยังเป็นเหตุที่จะทำให้อกุศลทั้งหลายเกิดได้มากแต่ถ้าหมดความเป็นเรามีความเข้าใจที่ถูกต้องกุศลทั้งหลายก็เจริญขึ้นได้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าจะเป็นบารมีเราก็จะทำเพื่อตัวเราหมายความว่ามีตนเองเพื่อตนเองแต่ว่าตามความเป็นจริงแล้วธรรมเป็นอย่างนั้นก็จะต้องเข้าใจตามความเป็นจริงว่าไม่มีเราอกุศลก็เป็นธรรมกุศลก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้นอกุศลเมื่อเป็นธรรมฝ่ายไม่ดีผลคืออะไร และเมื่อเป็นกุศลผลก็ต้องต่างกันความเข้าใจทั้งหมดจะทำให้กุศลทั้งหลายเจริญขึ้นแม้แต่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เป็นสิ่งที่ดีอนุเคราะห์คนอื่นก็ไม่ได้ทำด้วยความเดือดร้อนใจด้วยความรำคาญใจด้วยการคิดว่าเราลำบาก หรือว่าไม่ได้ทำด้วยเพราะเราอยากสบายเราอยากมีความสุขเราอยากได้ผลเราจึงทำก็ไม่ใช่อย่างนั้นแต่ต้องเป็นปัญญาจริงๆ ก็จะเห็นภัยละเอียดขึ้นโลภะโทสะโมหะอกุศลทั้งหลายเป็นภัย

    ผู้ฟัง แต่ถ้าเข้าใจก็จะเกิดปิติที่ว่ามีโอกาสที่จะได้ทำความดี

    ท่านอาจารย์ แน่นอนค่ะหาโอกาสต่อไป หรือว่าเมื่อมีโอกาสก็ไม่เว้นเลยที่จะกระทำกุศลนั้นๆ เพราะเหตุว่าถ้าไม่ทำก็คือเป็นอกุศล คนแก่เดือดร้อนลำบากเจ็บไข้ได้ป่วยก็เป็นภัยแล้วมาจากไหนมาจากการเกิดกว่าจะรู้จริงๆ ว่าทั้งหมดถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลยภัยทั้งหลายก็ไม่มีแต่กว่าปัญญาจะเข้าใจถึงอย่างนั้นก็ต้องค่อยๆ ฟัง และค่อยๆ เข้าใจ และความเข้าใจก็คือในขณะนี้ที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดกำลังปรากฏทุกคนต้องโกรธแน่ๆ น้อย หรือมากที่จะไม่โกรธเลยเป็นไปได้ หรือแต่มีใครบ้างที่จะรู้ว่าขณะนั้นเป็นภัยกำลังโกรธเป็นภัย และไม่ได้ทำร้ายคนอื่นด้วยโกรธใครก็ไม่รู้เขาสบายดีแต่ว่าตัวเองขณะที่โกรธมีภัยเกิดขึ้นแล้วก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงก็เป็นความจริงถ้าเราสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนั้นจนกระทั่งแม้แต่เห็นขณะนี้เป็นภัย หรือเปล่านี่ก็คือปัญญาที่ค่อยๆ ละเอียดขึ้นเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลยนำมาซึ่งความไม่รู้ และการยึดถือเรื่องราวต่างๆ ในสิ่งที่ปรากฏทุกข์ทับถมซับซ้อนเพิ่มขึ้นมากมายก็มาจากเห็นมาจากได้ยินซึ่งทั้งหมดก็มาจากการเกิดเกิดแล้วก็แก่แล้วก็เจ็บแล้วก็ตายแล้วก็เกิดอีกแก่อีกเจ็บอีกตายอีกแต่อกุศลก็สะสมไปตลอดทุกชาติไปน่ากลัวไหมคะภัยนี่

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์คะติดข้องในรสอาหาร หรือว่าในสิ่งสวยๆ งามๆ ในเสียงที่ไพเราะในกลิ่นที่ดี และเพื่อที่จะลืมในตรงนี้ก็น่าจะเป็นภัยที่ชัดเจนก็จะขอความกรุณาท่านอาจารย์ค่ะ

    ท่านอาจารย์ ทุกคำที่ได้ยินไม่ได้หมายความว่าปัญญาสามารถที่จะรู้จริงอย่างนั้นอย่างที่ผู้ที่ได้ตรัสรู้แล้ว และทรงแสดงแล้วเช่นภัยทั้งหมดนี่มาจากการเกิดถึงแม้จะได้ฟังอีกร้อยครั้งพันครั้งก็ยังไม่เห็นภัยของการเกิดแม้แต่ที่ได้ยินว่าเมื่อวานนี้ทำอะไรบ้างสำคัญไหมรับประทานอาหารอร่อย และสนทนากันเรื่องนั้นเรื่องนี้เพลิดเพลินมาก หรืออาจจะไปเที่ยวที่ไหนสนุกสนานมากแต่วันนี้สิ่งต่างๆ เหล่านั้นอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้นตามความเป็นจริงแม้แต่คำที่ว่าเดี๋ยวนี้เองก็จะเป็นอดีต หรือว่าเป็นเมื่อวานนี้สำหรับพรุ่งนี้แล้วแสดงให้เห็นว่าไม่มีอะไรเหลือเลยฟังไม่ได้หมายความว่าให้เข้าใจอย่างนี้อย่างมั่นคงที่จะละการยึดถือสภาพธรรมในขณะนี้แต่ฟังเพื่อสะสมความเข้าใจอันนี้จนกว่ามีกำลังเมื่อไหร่ก็จะเกิดเป็นความเข้าใจของตัวเองในขณะนั้นว่าถ้ากำลังติดข้องสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างบางคนชอบดูละครฟังเพลง หรืออะไรก็แล้วแต่ขณะนั้นที่สะสมมาแล้วเพียงแค่ได้ยินกำลังเพลิดเพลินก็ยังรู้ว่าเพื่อลืมชั่วคราวจริงๆ ชั่วขณะที่ความรู้สึกเป็นสุขนั้นเกิดขึ้นแต่ความรู้สึกนั้นก็ไม่ได้ยั่งยืนเลยไม่ว่าจะอยู่ไหนอยู่ในป่ามีธรรมชาติสวยงามอยู่ที่ไหนก็ตามโรงหนังโรงละคร หรือจะอยู่ที่ร้านอาหารที่ไหนที่อากาศดีๆ หรืออะไรก็ตามแต่ทั้งหมดแล้วอยู่ไหนทั้งหมดก็หมดไปๆ แล้วก็ไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมถึงฟังแล้วเข้าใจนิดหนึ่ง หรือว่าเข้าใจแต่ยังไม่เป็นอย่างนั้นเพราะเหตุว่าต้องไม่ลืมว่าความเข้าใจจริงๆ ต้องมาจากการเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏทั้งหมดเพื่อค่อยๆ ให้จิตให้วิตกเจตสิกไม่ไปสู่เรื่องอื่นแต่ว่าให้รู้ความจริงว่าความจริงในขณะนี้ที่จริงที่สุดคือสิ่งที่กำลังปรากฏไม่ใช่สิ่งอื่นสิ่งอื่นไม่ได้ปรากฏเลย และสิ่งนี้ก็ปรากฏชั่วคราว และดับไปแล้ว และก็มีสิ่งอื่นปรากฏคือฟังจนกระทั่งเป็นความเข้าใจที่มั่นคง และเมื่อถึงกาลที่สมบูรณ์สังขารขันธ์จากการได้ฟังบ่อยๆ ก็ทำให้สามารถเริ่มเห็นจริงตามที่ได้ฟังทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งสามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏในความเป็นธรรมสิ่งที่มีจริงเพียงชั่วคราวแล้วก็หมดไป

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ก็กล่าวเสมอว่าอย่างเห็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ และดับไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏหายไปหมดจริงๆ เสียงก็เหมือนกันจิตได้ยินก็รู้เสียงจะติดข้อง หรือจะอะไรก็แล้วแต่การสะสมแต่ถ้าเสียงขณะนี้ทำให้เข้าใจพระธรรมก็สะสมความเข้าใจเพื่อที่จะได้ฟังอีกในตรงนี้ท่านอาจารย์ก็ย้ำทุกครั้ง หรือว่าสัปดาห์ละหลายๆ ครั้งว่าไม่มีอะไรเลยนอกจากสิ่งที่เพียงปรากฏ และก็หมดไปผู้ฟังถ้าเข้าใจเช่นนี้ก็จะเข้าไปจรดเยื่อในกระดูกก็จะสามารถเห็นความไม่มีตัวตนว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแต่ละทางแต่ละทางในตรงนี้ก็จะทำให้ปัญญาจะเจริญขึ้นตามที่ได้ฟังเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นกว่าจะหมดการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนก็ต้องเป็นการรู้จริงๆ ในสิ่งที่กำลังปรากฏซึ่งอาศัยการฟังปริยัติฟังพระพุทธพจน์ และมีความเข้าใจมั่นคงจนกระทั่งเป็นสัจญาณกว่าจะค่อยๆ เข้าใจกว่าจะค่อยๆ ถึงสติสัมปชัญญะสติปัฏฐานกว่าจะถึงการประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมจนไม่มีความสงสัยใดๆ เลยในทุกขณะที่สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดปรากฏละวิจิกิจฉานุสัยเพราะว่าปัญญาสามารถที่จะเข้าใจได้ และละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนก็ละสักกายทิฏฐิความเห็นที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเที่ยง และเป็นตัวตน เพราะฉะนั้นความเห็นผิดใดๆ ก็เกิดขึ้นอีกไม่ได้เลยจากปัญญาจริงๆ ไม่ใช่ไปหลงคิดว่าเราเข้าใจแล้วเราละแล้วเรารู้แล้วนั่นคือไม่ใช่หนทางเพราะเหตุว่าอริยสัจจธรรมทั้งสี่ลึกซึ้งทั้งสี่แม้แต่ขณะที่กำลังฟังที่กำลังค่อยๆ เข้าใจขึ้นจากวาจาสัจจะการได้ฟังคำจริงจะไปสู่ญาณสัจจะปัญญาที่รู้ความจริงนั้น และก็จะไปถึงมรรคสัจจะต้องตามลำดับจริงๆ เป็นเรื่องของการอบรมของขันธ์ของธาตุของธรรมซึ่งไม่ใช่เราก็เป็นเรื่องที่ว่ารู้ตัวเองปัญญาต้องไม่ใช่คนอื่นบอกแต่ต้องรู้ตัวเอง

    พระคุณเจ้า เจริญพรซึ่งเมื่อก่อนยังไม่เคยฟังพระธรรมก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่อาตมาได้ทำมานั้นเป็นภัยจริงๆ อย่างเช่นมีโยมมายกมือไหว้เพราะอะไรไม่ได้พิจารณาแต่จริงๆ แล้วที่ญาติโยมยกมือไหว้นั้นก็เพราะด้วยความคิดว่าเป็นพระภิกษุมีศีลแต่ในขณะนั้นไม่ได้ตำหนิตัวเองว่าไม่มีศีลแต่มีความยินดีด้วยโลภะว่าคนอื่นยกมือไหว้เราในลักษณะนั้นแต่ไม่รู้ว่าเป็นภัยก็ขอให้อาจารย์ช่วยเพื่อจะเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติว่าในขณะที่มีคนยกมือไหว้จะสำรวมสังวรในลักษณะอย่างไรครับ

    ท่านอาจารย์ คนอื่นกราบไหว้ต้องกราบไหว้ในคุณความดีในการที่พระคุณเจ้าสามารถที่จะสละอาคารบ้านเรือนบวชเป็นบรรพชิตแต่ว่าถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรมวินัยก็กราบไหว้เพียงผ้ากาสาวพัสตร์ในฐานะที่ระลึกถึงพระภิกษุในครั้งอดีตเช่นท่านพระสารีบุตรท่านพระมหาโมคคัลลานะ และผู้ที่ได้เจริญในคุณธรรม เพราะฉะนั้นหน้าที่ที่จะทำให้พระคุณเจ้า ได้สมกับที่คนอื่นกราบไหว้ก็คือว่าศึกษาพระวินัยประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย และศึกษาพระธรรมด้วย และประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมด้วยเจ้าค่ะ

    พระคุณเจ้า ได้แนวปฏิบัติในการที่เห็นคนยกมือไหว้คำว่าสำรวมในขณะนั้นต้องสำรวมในลักษณะอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ต้องเป็นความเข้าใจเท่านั้นเจ้าค่ะไม่ใช่มีตัวเราจะไปทำอย่างนั้นอย่างนี้ได้แต่ถ้ามีความเข้าใจความเข้าใจก็จะทำให้กายวาจาเป็นไปตามความเข้าใจเจ้าค่ะ

    พระคุณเจ้า คำว่า พระคุณเจ้า หมายความว่าอะไร พระพุทธพจน์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแสดงว่า มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป สิ่งอื่นนอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด สิ่งอื่นนอกจากทุกข์ไม่มีอะไรตั้งอยู่ สิ่งอื่นนอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับไป ขอเจริญพร

    ท่านอาจารย์ ไม่มีคนธรรมดาคนไหนจะเรียกคนธรรมดาคนไหนว่าพระคุณเจ้า แต่ต้องเป็นผู้ที่เป็นเพศบรรพชิต เพราะฉะนั้น แม้แต่ที่ว่าพระคุณเจ้ากล่าวว่า มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น มีแต่ทุกข์ที่ดับไป ก็ควรค่าแก่การกราบไหว้ เพราะว่าเป็นความเห็นที่ถูกต้องเจ้าค่ะ

    พระคุณเจ้า เจริญพรอนุโมทนา

    อ.อรรณพ อาจารย์คำปั่นครับเมื่อสักครู่ท่านอาจารย์ก็กล่าวถึงภัยจากการเกิดซึ่งก็เห็นยากซึ่งคนทั่วไปอาจจะเห็นภัยบางอย่างว่าเป็นภัยจริงๆ แต่ยากที่จะเห็นว่าความเกิดแก่เจ็บตาย หรืออะไรเป็นภัยที่จะช่วยกันไม่ได้เลยก็เป็นภัยเฉพาะแต่ละบุคคลไปว่าใครจะเกิดใครจะเจ็บใครจะตายก็อยากจะเรียนอาจารย์คำปั่นได้ร่วมสนทนาตรงนี้ด้วยในเรื่องของภัยที่ช่วยกันไม่ได้ ภัยช่วยกันได้ไหมช่วยกันได้ หรือช่วยกันไม่ได้อย่างไร

    อ.คำปั่น เรื่องภัยเป็นประโยชน์อย่างยิ่งเลยโดยเฉพาะอย่างยิ่งภัยที่มีอยู่ทุกขณะก็คืออกุศลโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คืออวิชชาความไม่รู้ก็เคยได้ฟังท่านอาจารย์กล่าวว่าจะกลัวภัยที่นานๆ จะมีสักครั้งหนึ่ง หรือจะกลัวภัยที่มีอยู่ทุกขณะคืออวิชชาความไม่รู้นี่ก็เป็นข้อความที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวเตือนไว้เป็นเครื่องเตือนที่ดีอย่างยิ่งเลยสำหรับภัยก็มีมากมายหลากหลายโดยนัยต่างๆ สำหรับผู้ที่ไม่เข้าใจความจริงก็จะมีความเห็นว่าภัยที่เกิดจากไฟไหม้น้ำท่วมภัยที่เกิดจากโจรผู้ร้ายทำให้มารดากับบุตรพลัดพรากจากกันไม่ได้ทำให้ได้พบกันอีกก็กล่าวว่าเป็นภัยแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าภัยเหล่านี้คือไฟไหม้น้ำท่วม หรือว่าภัยที่เกิดจากโจรบางครั้งบางคราวมารดากับบุตรยังมีโอกาสได้พบกันได้นอกจากนั้นพระองค์ก็ยังทรงแสดงต่อไปแต่มีภัยอยู่สามภัยที่ผู้ที่เป็นมารดากับบุตรไม่สามารถเป็นที่ป้องกันไม่สามารถเป็นที่ต้านทานให้แก่กัน และกันได้พระองค์ก็ทรงแสดงภัยสามอย่างก็คือชราภัยพยาธิภัย และมรณภัยถ้าลูกเจ็บป่วยมารดาจะเจ็บแทนลูกก็ไม่ได้เป็นเครื่องป้องกันให้แก่กัน และกันไม่ได้เวลาที่ถึงความแก่จะแก่แทนกันก็ไม่ได้ป้องกันให้แก่กัน และกันไม่ได้ และในที่สุดความตายเกิดขึ้นก็ไม่สามารถที่จะเป็นเครื่องป้องกันต้านทานซึ่งกัน และกันได้เป็นภัยที่ทำให้มารดากับบุตรไม่สามารถที่จะป้องกันให้แก่กัน และกันได้เลยภาษาบาลี และพระธรรมที่พระองค์ตรัสไว้เรียกว่าอมาตาปุตติกภัยก็คือเป็นภัยที่มารดากับบุตรไม่สามารถป้องกันให้แก่กัน และกันได้นอกจากนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงข้อความต่อไปว่ามีหนทางที่จะทำให้พ้นจากภัยที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นทั้งภัยที่เกิดจากไฟ ภัยที่เกิดจากน้ำภัยที่เกิดจากโจร และพ้นจากภัยคือความแก่ความเจ็บความตายซึ่งมาจากการเกิดมีหนทางพระองค์ก็แสดงหนทางก็คือการอบรมเจริญปัญญาซึ่งก็คือแสดงหนทางที่ถูกต้องที่จะเป็นไปเพื่อพ้นจากภัยทั้งภัยภายนอก และภัยภายในคือกิเลสด้วย เพราะฉะนั้นขณะนี้ก็กำลังศึกษาพระธรรมศึกษาหนทางที่จะเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญาเป็นไปเพื่อที่จะดับภัยจริงๆ ซึ่งก็ต้องเริ่มสะสมปัญญาไปทีละเล็กทีละน้อยจริงๆ ครับ

    อ.วิชัย การที่จะต้องดำรงชีพก็ต้องมีความยินดีพอใจครับท่านอาจารย์เป็นความยินดีพอใจในการที่จะแสวงหาต่างๆ เป็นภัยในฐานะของคฤหัสถ์จะเข้าใจอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ความจริงก็คือความจริงใครจะรู้ หรือไม่รู้ก็เปลี่ยนความจริงนั้นไม่ได้ความจริงก็คือว่าสิ่งที่ไม่ดีทำร้ายจิตใจโดยที่ไม่ต้องมีอาวุธแต่ก็ทำร้ายแล้วเห็นยากตามลำดับเช่นโทสะใครๆ ก็เห็นแต่ว่าโลภะกับโมหะยากที่จะเห็นได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องอาศัยพระธรรมที่ทรงแสดงพิจารณาไตร่ตรองถึงความจริงนั้นเพราะเหตุว่าถ้าไม่มีความติดข้องใดๆ เลยทั้งสิ้นโทสะจะเกิดไหมคะจะร้องไห้ไหม

    อ.วิชัย ไม่ร้องครับ

    ท่านอาจารย์ จะเสียใจไหม

    อ.วิชัย ก็ไม่เสียใจ

    ท่านอาจารย์ ใครจะตายตั้งทั่วเมืองแต่เราไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับบุคคลเหล่านั้นน้ำตาสักหยดก็ไม่มีใช่ไหมคะแสดงให้เห็นว่าทั้งหมดมาจากโลภะความติดข้องความต้องการ และถ้ามีการเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงจะติดข้องไหมในสิ่งที่เพียงเกิดเพราะมีปัจจัยไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครว่าอยากให้เกิดก็เกิดไม่อยากให้ไม่เกิดก็ไม่เกิด ไม่ใช่อย่างนั้นเลยแต่เมื่อมีเหตุปัจจัยสิ่งนั้นก็ต้องเกิดแต่ไม่รู้ด้วยเหตุนี้การที่พระผู้มีพระภาคสมัยเป็นพระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อมีความเห็นถูกความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงในชีวิตทั้งหมดตามความเป็นจริงจะอยู่ยังไงต่อไปทำไมในเมื่อ ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่มีจริงเลยแล้วก็หายไปหมดทั้งชาติแต่ละชาติแต่ละชาติก็ไม่เหลือเลย เพราะฉะนั้นจะมีประโยชน์อะไรเมื่อเป็นผู้ทีข้องอยู่ในปัญญาที่จะรู้ความจริงจึงได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อที่จะตรัสรู้ความจริงของสิ่งซึ่งชาวโลกมองไม่เห็นเช่นถ้าใครก็ตามแต่งตัวสวยงามมีเพชรนิลจินดามีเครื่องประดับพร้อมหมดมีภัย หรือเปล่าถ้าไม่ทรงแสดงไว้จะรู้ว่ามีไหมคะติดข้องลำบากไหมลองคิดถึงว่าถ้าไม่ติดข้องดีกว่าไหมแต่กว่าจะรู้อย่างนี้ได้ก็สะสมอวิชามามากมายพร้อมด้วยความติดข้องอาศัยปัญญาทีละเล็กทีละน้อยที่เข้าใจถูกเห็นถูกกว่าจะทำให้ความไม่รู้ค่อยๆ หมดไป และก็ธรรมที่เป็นทางฝ่ายกุศลก็จะเจริญขึ้นได้ เพราะฉะนั้นจึงมีพระธรรมเป็นที่พึ่งเพราะว่าถ้าไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสรู้ก็จะไม่มีใครได้เกิดปัญญาที่จะรู้ว่าแม้ขณะนี้ก็เป็นเพียงสิ่งที่มีจริงเกิดแล้วปรากฏแล้วดับไป

    อ.วิชัย ฉะนั้นก็ต้องอบรมเพื่อรู้ตามพระผู้มีพระภาค

    ท่านอาจารย์ หรือจะตายไปโดยไม่รู้ก็ไม่มีใครว่าแต่ก็เป็นภัยจากความไม่รู้ซึ่งก็ต้องเกิดอีกที่จะไม่เกิดเป็นไปไม่ได้เมื่อมีเหตุที่จะต้องเกิดก็ต้องเกิด และเลือกเกิดก็ไม่ได้เกิดแล้วจะเลือกให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ก็ไม่ได้ทุกอย่างก็เป็นธรรมซึ่งมีปัจจัยจึงเกิดขึ้นตามปัจจัยนั้นๆ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 185
    12 ม.ค. 2567