พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 840


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๔๐

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๖


    อ.ธิดารัตน์ ท่านอาจารย์คะแล้วท่านอธิบายอีกนะคะ ว่ามโนสัญเจตนาหารเป็นปัจจัยของวิญญาณความว่าเกิดร่วมกันใช่ไหมคะเจตนาเจตสิกที่เกิดร่วมกับจิต

    ท่านอาจารย์ แล้วก็ตราบใดที่ยังเป็นกุศล และอกุศลมโนสัญเจตนาหารก็เป็นปัจจัยให้เกิดปฏิสนธิจิตเมื่อปฏิสนธิจิตเกิดแล้วไม่ได้เกิดขณะเดียวก็ต้องมีจิตต่อๆ ไปเกิดด้วย เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจ

    อ.ธิดารัตน์ คุณคำปั่นลองช่วยอธิบายด้วยว่ามีกรรมเป็นของตนอย่างไร และเป็นทายาทของกรรมด้วยแล้วก็เป็นภัณฑะของสัตว์ทั้งหลาย

    อ.คำปั่น ก็เป็นข้อความจากพระไตรปิฎกซึ่งในรายละเอียดยังไงก็ต้องกราบเรียนท่านอาจารย์ได้อธิบายเพราะว่าจริงๆ กล่าวถึงความเป็นจริงของธรรมที่มีจริงๆ แม้แต่ในเรื่องของกรรมซึ่งเมื่อตอนต้นก็คงพอจะเข้าใจแล้วว่าโดยนัยของกรรมคือเจตนาถ้ามุ่งหมายถึงสภาพธรรมที่จะเป็นเหตุให้เกิดผลคือวิบากในภายหน้าก็ต้องมุ่งหมายถึงกรรม หรือเจตนาที่เป็นกุศลกรรม หรืออกุศลกรรมซึ่งจะเป็นปัจจัยให้เกิดวิบาก หรือว่าเกิดผลในภายหน้าซึ่งข้อความที่พระองค์ทรงแสดงก็ชัดเจนว่าสัตว์โลกทั้งหลายนั้นมีกรรมเป็นของของตนเป็นทายาทของกรรมคำว่ามีกรรมเป็นของของตนแต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่งสะสมกรรมกระทำกรรมมาก็มากมายกรรมจะเป็นของคนอื่นไปไม่ได้นอกจากเป็นของของตนเท่านั้นในอรรถกถาท่านก็ยังขยายความตรงนี้ไว้ว่าเป็นภัณฑะภัณฑะนี้ก็เปรียบเหมือนกับเป็นสิ่งของที่จะต้องเก็บงำที่จะต้องเก็บรักษาก็เป็นกรรมของแต่ละบุคคลแน่นอนว่าจะเป็นของคนอื่นไปไม่ได้เก็บรักษาอย่างดีไว้ในจิตเพราะว่ากรรมคือเจตนาที่สำเร็จแล้วไม่สูญหายไปไหนสะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกขณะเมื่อเหตุปัจจัยพร้อมก็จะเป็นเหตุให้เกิดผลในภายหน้าตามเหตุตามปัจจัยจริงๆ ถ้าพูดถึงทายาททุกท่านก็คงจะคุ้นเคยกับคำว่าทายาทก็คือเป็นผู้ที่รับเพราะว่าเมื่อเป็นกรรมที่ตัวเองได้กระทำแล้วก็ต้องเป็นผู้รับผลของกรรมที่ตัวเองได้กระทำแล้วกรรมยุติธรรมที่สุดในการให้ผลให้ผลโดยไม่ผิดตัวเลยจะเห็นได้ว่าเวลาที่อ่านข้อความจากพระไตรปิกฎกล่าวถึงการรับผลของกรรมซึ่งพระภิกษุทั้งหลายก็จะกราบทูลพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะทรงแสดงความตามความเป็นจริงว่าเพราะผู้นี้ได้กระทำกรรมประเภทนี้มาผลจึงเกิดขึ้นกับบุคคลคนนี้ เพราะฉะนั้นก็แสดงถึงความเป็นไปของสภาพธรรมที่มีจริงๆ คือเหตุมีผลจึงมีซึ่งเมื่อตอนต้นท่านอาจารย์กล่าวข้อความหนึ่งก็น่าพิจารณาว่ากล่าวถึงผลในชีวิตประจำวันก็มุ่งที่จะให้เข้าใจแน่นอนว่าจะต้องมีเหตุที่ได้กระทำแล้วผลจึงเกิดขึ้นก็แสดงถึงความเป็นจริงของธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น

    อ.ธิดารัตน์ ท่านอาจารย์คะสภาพของกรรมก็เป็นสภาพของนามธรรมซึ่งไม่มีรูปร่างแล้วก็ยังเก็บไว้อีกท่านอาจารย์คะจะมีการเก็บสะสมอย่างไรคะ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีจิตก็ไม่มีที่จะสะสม

    อ.ธิดารัตน์ จิตก็เป็นนามธรรมเหมือนกับมองไม่เห็นค่ะท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ไม่เห็นแต่ว่าจิตหลากหลายเพราะอะไรอยู่ดีๆ จิตก็หลากหลายได้ไหมคะ หรือว่าอะไรทำให้จิตหลากหลากถ้าไม่ใช่เพราะการสะสม เพราะฉะนั้นการฟังธรรมฟังบ่อยๆ ฟังโดยที่ต้องเข้าใจจริงๆ ในแต่ละคำที่ได้ยินอย่าพึ่งผ่านไปอย่างได้ยินคำว่าเจตนาเป็นสภาพธรรมที่มีจริงเป็นภาษาบาลีแต่ภาษาไทยเราก็ใช้แต่เวลาที่เราใช้ภาษาไทยเราเข้าใจแค่ไหนเช่นบอกว่าไม่ได้เจตนาไม่ได้จงใจไม่ได้ตั้งใจที่จะทำสิ่งนั้นแต่ว่าถึงจะพูดอย่างนั้นก็มีสภาพธรรมเป็นเจตนาเกิดกับจิตทุกขณะแสดงให้เห็นว่าถ้าไม่ศึกษาธรรมโดยละเอียดแล้วก็เข้าใจคำภาษาบาลีตามที่ใช้ในภาษาไทยเราก็จะเข้าใจเผินเช่นบอกว่าไม่เจตนาง่ายมากเลยค่ะไม่เจตนาแต่เพราะไม่รู้ความจริงว่าทุกขณะที่มีจิตต้องมีเจตนาเจตสิกเกิดร่วมด้วยแต่จิตหลากหลายมากเพราะสภาพธรรมที่เกิดกับจิตหลากหลายแต่ถึงอย่างไรก็ตามจิตหนึ่งขณะที่เกิดขึ้นจะขาดเจตนาเจตสิกไม่ได้เรากำลังพูดถึงสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งไม่ใช่จิตแต่เป็นเจตสิก และชื่อว่าเจตนาเจตสิกซึ่งความจริงจิตหนึ่งขณะจะมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยหลายประเภทแต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกล่าวให้ครบเพียงแต่ว่าเมื่อพูดถึงสภาพธรรมใดขอให้เข้าใจจนไม่ลืมจนเข้าใจจริงๆ เช่นพูดถึงเจตนามีจริงไม่ใช่จิตเป็นเจตสิกหนึ่งใน๕๒ และเกิดกับจิตทุกประเภทแค่นี้คือสิ่งที่จะต้องเข้าใจจริงๆ ว่านามธรรม หรือว่าสภาพธรรมใดๆ ก็ตามที่กำลังกล่าวถึงเราไม่ได้รู้จริงๆ เลยเพียงแต่ฟังเรื่องอย่างได้ยินคำว่าผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนาอะไรชื่อเยอะแยะมากมายแล้วอยู่ไหนเดี๋ยวนี้มี หรือเปล่าแล้วเป็นอะไรไม่มีความชัดเจนว่าขณะนี้กำลังรู้เฉพาะลักษณะของสภาพธรรมหนึ่งที่กำลังกล่าวถึงจริงๆ เพียงแต่ว่าฟังเรื่องของสภาพธรรมนั้นให้เข้าใจขึ้นแล้วก็จะได้เริ่มรู้ว่าขณะนี้ถ้าไม่มีสภาพธรรมที่ปรากฏว่าเป็นลักษณะของเจตนาเจตสิกก็ไม่มีทางที่จะรู้จักเจตนาเจตสิกก็ยังเพียงแต่ได้ยินชื่อเจตนา เพราะฉะนั้นก่อนอื่นให้ทราบจิตเป็นธาตุรู้ซึ่งเกิดพร้อมกับเจตสิกต่างอาศัยกัน และกันเกิดขึ้นจิตมีหนึ่งขณะเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้เกิดขึ้นแต่ละครั้งแต่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยหลายประเภทเจตสิกประเภทหนึ่งภาษาบาลีใช้คำว่าเจตนาหมายความถึงสภาพที่จงใจตั้งใจขวนขวายกระทำกิจทุกวันๆ ต้องมีเจตนาแน่นอนกับจิตแต่ละหนึ่งขณะไม่ว่าจิตนั้นเกิดขึ้นทำกิจอะไรเพราะเหตุว่าจิตจะไม่เกิดขึ้นมาเลยลอยแล้วก็ดับไปแต่จิตทุกขณะทำกิจของจิตแล้วแต่ว่าจิตนั้นเป็นจิตประเภทไหนก็เกิดขึ้นทำกิจของจิตประเภทนั้นที่จะมีจิตเกิดขึ้นโดยไม่กระทำกิจใดๆ เลยไม่ได้ และเจตสิกทั้งหลายที่เกิดพร้อมจิตก็มีกิจเฉพาะของเจตสิกนั้นๆ ซึ่งจะไปทำหน้าที่ของเจตสิกอื่นไม่ได้เจตสิกไหนมีลักษณะอย่างไรมีกิจอย่างไรก็เป็นไปตามเจตสิกประเภทนั้นๆ เพราะฉะนั้นเจตนาเจตสิกก็เป็นเจตสิกหนึ่งมีจริงๆ เกิดกับจิตทุกขณะด้วยต้องพิจารณาสภาพของเจตนาแต่ละขณะที่เกิดขึ้นว่าต่างกัน หรือเหมือนกันอย่างไรทั้งๆ ที่เป็นสภาพที่จงใจขวนขวาย และเป็นสภาพที่กระทำกิจจึงชื่อว่ากรรมเป็นปัจจัยหนึ่งใช้คำว่ากัมมปัจจัยถ้ากล่าวถึงกรรมได้แก่เจตนาเจตสิกถ้ากล่าวถึงโดยความเป็นปัจจัยสภาพธรรมทั้งหมดที่เกิดต่างเป็นปัจจัยโดยประการต่างๆ เมื่อเจตนาเป็นสภาพที่ขวนขวายจงใจตั้งใจกระทำกิจก็ใช้คำภาษาบาลีว่ากัมมปัจจัยเป็นสภาพธรรมที่เป็นสภาพที่กระทำกรรม เพราะฉะนั้นก็เป็นปัจจัยซึ่งเวลาที่เกิดขึ้นกระทำกิจนี้ทุกขณะไม่มีขณะซึ่งไม่ใช่กรรมเพราะเป็นสภาพที่ขวนขวายจงใจเป็นปัจจัยคือกัมมปัจจัยจิตไม่มีจิตเจตนาเจตสิกได้ไหมคะไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องมีกัมมปัจจัยคือเจตนาเจตสิกเกิดร่วมด้วย หรือเปล่าเกิดนะคะ แต่โดยมากเราจะได้ยินเป็นภาษาไทยแคบๆ คือได้ยินคำว่ากุศลเจตนาอกุศลเจตนาก็เข้าใจว่ามีเจตนาสองอย่างคือกุศล และอกุศลซึ่งความจริงไม่ใช่เพราะเหตุว่าไม่ใช่ตัวตนแต่เป็นสภาพธรรมที่ขวนขวายจงใจ และต้องเกิดกับจิตทุกขณะด้วย เพราะฉะนั้นก็ควรจะกล่าวถึงจิตแต่ละขณะปฏิสนธิจิตจิตขณะแรกที่เกิดมีใครทำให้จิตนี้เกิดได้ไหมคะไม่ได้โลกมีตั้งหลายโลกเทวโลกก็มีก็มีนรกก็มีเปรตก็มีอสุรกายก็มีเทวดาก็มีพรหมก็มีแต่ขณะนี้ทุกคนเกิดที่โลกนี้เพราะกัมมปัจจัยนี่ไม่ใช่ทำให้เกิดในสวรรค์ หรือว่าไม่ใช่ทำให้เกิดเป็นรูปพรหมไม่ใช่ทำให้เกิดเป็นอรูปพรหม เพราะฉะนั้นกัมมปัจจัยคือเจตนาจงใจกระทำกรรมที่เป็นไปกับรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะไม่ว่าใครจะทำกุศล และอกุศลจะขาดการเห็นการได้ยินการได้กลิ่นการลิ้มรสได้ไหมคะไม่ได้ และกุศลที่ทำก็เนื่องกับรูปบ้างเสียงบ้างกลิ่นบ้างรสบ้าง หรือแม้แต่ความเข้าใจธรรมขณะนี้ก็เป็นกรรมด้วยเพราะเหตุว่าไม่มีขาดกรรมเลยสักขณะเดียวไม่ว่าจะเป็นจิตประเภทไหนเกิดที่ไหนเมื่อไหร่ก็ตาม เพราะฉะนั้นก็รู้ได้ว่าทำไมคนนี้ไม่เกิดในเทวโลกทำไมไม่เกิดในรูปพรหมภูมิทำไมไม่เกิดในอรูปพรหมภูมิเพราะว่าถึงแม้ว่าเป็นผลของกุศลกรรมที่ทำให้เกิดในโลกมนุษย์ซึ่งก่อนเกิดจะรู้ไหมจะมาสู่โลกนี้ไม่ใช่โลกอื่นมาได้ยังไงใครพามาใครทำให้เกิดขึ้นแต่เกิดแล้วเพราะกรรมที่ได้กระทำแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผลของกุศลก็ทำให้เกิดเป็นมนุษย์ หรือเทวดาในสวรรค์ชั้นต่างๆ เป็นที่อยู่ของเทพแต่ว่าใครจะเกิดที่มนุษย์ หรือใครจะเกิดบนสวรรค์ชั้นนิมมานนรดีสูงมากเลย หรือว่าดาวดึงส์ได้ยินบ่อยๆ หรือว่าดุสิตาชั้นดุสิตไม่มีใครสามารถกระทำได้เพราะเป็นเรื่องของกรรมซึ่งเป็นเหตุที่จะให้เกิดตามควรแก่กรรม เพราะฉะนั้นการเกิดในสุคติภูมิซึ่งได้แก่ภูมิมนุษย์ และสวรรค์หกชั้นซึ่งเป็นไปในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะเพราะว่าเป็นกุศลที่ทำเนื่องด้วยรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะตามกำลังของความประณีต เพราะฉะนั้นก็เกิดในสุคติภูมิแต่เวลาที่ผลของอกุศลกรรมเกิดขึ้นเจตนาชั่วๆ มีไหมเจตนาเลวๆ เจตนาเบียดเบียนเจตนาประทุษร้ายคนอื่นมีไหม และจะให้ผลให้เกิดดีๆ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นอกุศลเจตนานั้นก็ทำให้เกิดในทุคติภูมิอบายภูมิสี่เกิดในนรกไม่มีใครอยากเกิดเลยแต่กำลังทำทางไปสู่นรก หรือเปล่าในเมื่อไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง หรือว่าเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ดูน่ารักบางอย่างใครอยากเกิดเป็นสุนัขน่ารักบ้างทุกคนรัก และสุนัขก็เป็นนายด้วยเลี้ยงดูทุกอย่างเลยตั้งแต่เช้าจรดเย็นไม่ว่าที่หลับที่นอนไม่ว่าเรื่องอาหารบางคนไม่ห่วงตัวเองเลยของดีๆ ให้สุนัขกินแต่ตัวเองยอมที่จะบริโภคของที่ไม่ดีแสดงให้เห็นว่าถึงจะดีอย่างนั้นใครอยากเกิดเป็นสุนัขอย่างนั้น หรือเปล่าความต่างกันของมนุษย์กับอบายภูมิก็คือว่าปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นผลของกรรมของผู้ที่เกิดในอบายภูมิไม่มีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วยเลยไม่มีศรัทธาเกิดร่วมด้วยไม่มีสติเกิดร่วมด้วยไม่มีโสภณเจตสิกใดๆ เกิดร่วมด้วยเลยจึงไม่สามารถแม้ได้ยินเสียงเดียวกันแต่ก็ไม่รู้เรื่อง และไม่เข้าใจ และไม่สามารถที่จะเจริญกุศลได้แล้วแต่ภูมิถึงจะได้บ้างนิดๆ หน่อยๆ แต่ก็ไม่ถึงกับการรู้แจ้งอริยสัจธรรมนี่คือธรรมนี่คือชีวิตประจำวันนี่คือวันหนึ่งใครจะอยู่ที่ไหนใครจะรู้ถ้าไม่ใช่พระอริยบุคคลไปแน่สู่อบายภูมิได้แต่ไม่ไปก็ได้เมื่อกุศลเติมทุกวันแล้วก็มากขึ้นๆ จนกระทั่งเป็นปัจจัยให้ไม่ไปสู่อบายภูมิชั่วคราวแต่ก็มีโอกาสจะยังไปอยู่ตราบใดที่ยังมีเชื้อที่จะทำให้ทำอกุศลกรรมที่ทำให้ไปสู่อบายภูมิเป็นเรื่องของแม้เจตนาสภาพธรรมเพียงอย่างเดียวซึ่งมีจริงๆ เกิดกับจิตทุกขณะก็สามารถจะทำให้เข้าใจสภาพธรรมนั้นว่าไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคลไม่ใช่ตัวตนเลยจนกระทั่งถึงขณะนี้ที่กำลังนั่งฟังฟังอย่างนี้เจตนาก็เกิดกับจิตทุกขณะแต่ก็ไม่รู้ถ้าสภาพธรรมนั้นไม่ปรากฏกับปัญญาที่สามารถที่จะมีสภาพนั้นเป็นอารมณ์ไม่ใช่เพียงคิดเรื่องราวแต่กำลังมีลักษณะของสิ่งที่มีจริงซึ่งเป็นนามธรรมซึ่งรู้ยากกว่ารูปธรรม และรูปธรรมมีเยอะแต่ที่รู้ได้เพียงกี่รูปเจ็ดรูปทางตามีสีสันที่กำลังปรากฏซึ่งไม่ใช่สภาพรู้แต่ปรากฏว่ามีจริงๆ กำลังปรากฏให้เห็นว่ามีจริงเมื่อจิตเห็นเกิดขึ้นเสียงก็มีจริงเมื่อได้ยินเกิดจะบอกว่าเสียงไม่มีไม่ได้เลยเสียงมีจริงๆ กลิ่นมีจริงๆ รสมีจริงๆ เย็นร้อนอ่อนแข็งตึงไหวมีจริงแต่รูปอื่นไม่ได้ปรากฏเลยในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ผู้ที่ทรงตรัสสรู้ทรงแสดงความจริงของธรรมทุกประการโดยละเอียดยิ่งเพื่อใครเพื่ออนุเคราะห์ผู้ที่กำลังฟังเดี๋ยวนี้มีโอกาสที่จะได้เข้าใจขึ้นรักษาจิตให้พ้นจากความไม่รู้ไม่เข้าใจซึ่งเป็นเหตุให้ทำอกุศลแล้วๆ เล่าๆ เมื่อวานนี้ทำแล้ววันนี้เดี๋ยวทำอีกก็ได้ใช่ไหมตามเหตุตามปัจจัยการเข้าใจธรรมเป็นสิ่งที่ประเสริฐสุดเหนืออย่างอื่นเพราะเหตุว่าน่าอัศจรรย์ที่พระพุทธศาสนาทำให้รู้ว่าสิ่งใดควร และไม่ควรแต่อย่าลืมพุทธศาสนาไม่ใช่คำของคนอื่นแต่ถ้าฟังคำของคนอื่นเชื่อคนอื่นไม่อัศจรรย์เพราะเหตุว่าไม่สามารถที่จะทำให้รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดอะไรควร และไม่ควรทั้งๆ ที่น่าจะรู้ได้แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะเข้าใจ และรู้ได้ละเอียดถึงการที่สามารถที่จะทำให้อัศจรรย์คือสามารถที่จะเดินไปตามทางของปัญญาที่ได้รู้ความจริงว่าสิ่งใดควร และไม่ควร เพราะฉะนั้นกล่าวถึงธรรมใดๆ กล่าวถึงให้ละเอียดขึ้นให้เข้าใจขึ้นให้ไม่ต้องท่องไม่ต้องไปนั่งจำไม่ต้องไปนั่งสวดเพราะเหตุว่าสวดแล้วไม่รู้เรื่องก็ได้สวดแล้วไม่เข้าใจก็ได้แต่ความเข้าใจจะมีการตรึกไม่ลืมไตร่ตรองเข้าใจขึ้นสาธยายตามลำดับที่ได้ฟังเพื่อไม่ลืมเดี๋ยวก็ขาดไปหนึ่งขาดไปสองนี่ก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลเป็นธรรมทั้งหมดซึ่งขณะนั้นก็ไม่ขาดเจตนาเจตสิกก่อนอื่นเข้าใจเรื่องจิตแล้วเป็นธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าอะไรเพราะจิตเกิดขึ้นไม่ขาดจิตเลยแต่จิตก็ไม่ได้เกิดเฉพาะจิตมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย และเจตสิกหนึ่งซึ่งต้องเกิดกับจิตทุกขณะทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นโลกุตตรจิต หรือกุศลจิตอกุศลจิตก็คือเจตนาเจตสิกก็ควรที่จะเข้าใจนามธาตุชนิดนี้ซึ่งเป็นลักษณะที่จงใจตั้งใจมีไหมมีจงใจตั้งใจมาฟังธรรม หรือเปล่ามาแล้ว และขณะนี้จงใจตั้งใจฟัง หรือเปล่าขณะที่เข้าใจจงใจตั้งใจ และเข้าใจ หรือเปล่า และก็ขณะนี้กำลังเห็นจงใจตั้งใจ หรือเปล่าชักลังเลแต่ว่าตามความเป็นจริงก็คือว่าลักษณะนี้ไม่ใช่ใครที่กำลังตั้งใจจงใจเป็นสภาพที่ขวนขวายกระทำกิจ และอุปการะเป็นปัจจัยให้เจตสิก หรือจิตนามธรรมซึ่งใช้คำว่าสหชาตธรรมหมายความถึงธรรมที่เกิดร่วมกันได้กระทำกิจเพราะเจตนาเจตสิกเป็นสภาพที่ขวนขวายแม้แต่ในขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ไม่ขาดเจตนาเจตสิกเลยมีผัสสเจตสิกก็จริงแต่ก็ยังมีธรรมที่ขวนขวายกระตุ้นเตือนสหชาตธรรมให้กระทำกิจของตนๆ เพราะฉะนั้นจะขาดเจตนาเจตสิกไม่ได้เลยแต่ว่าเห็นก็ชั่วขณะแล้วก็เป็นผลของกรรมด้วยกรรมคือกุศลกรรม และอกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นปัจจัยให้อุปปัตติของจิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏถ้าสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นสิ่งที่น่าพอใจขณะนั้นกุศลกรรมที่ได้ทำแล้วต่างหากที่เป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นอุปปัตติเกิดขึ้นเห็นสิ่งนั้นเป็นผลของกรรมแล้วดับมีค่าแค่นั้นเองคือแค่เกิดขึ้นแล้วก็เห็นสิ่งที่น่าพอใจแล้วก็ดับไปหมดแล้วไม่กลับมาอีกเลยยังหลงพอใจติดข้องในสิ่งที่เกิดแล้วดับแล้วเพราะเข้าใจว่ายังมีอยู่ และเพราะการเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณขณะนี้เห็นเกิดดับนับไม่ถ้วนแต่เพราะไม่มีใครรู้ไม่สามารถที่จะรู้เลยต้องเป็นปัญญาที่ได้อบรมแล้วจากขั้นฟังก่อนปริยัติต้องมีมิฉะนั้นก็จะไม่มีปัจจัยที่จะทำให้สามารถเข้าใจ หรือเข้าถึงลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้ด้วยเหตุนี้การฟังทั้งหมดไม่เผินเพราะเหตุว่าเป็นเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงเดี๋ยวนี้ที่กำลังปรากฏแต่ละคำขอให้เข้าใจขึ้นแม้แต่เรื่องของเจตนาเรื่องของกรรมก็ยังมีอีกมากเพราะเหตุว่าเจตนาเกิดกับจิตทุกขณะทุกประเภทธรรมทั้งหมดพูด หรือกล่าวถึงตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วไม่จบเพราะเหตุว่าจนกว่าจะรู้จริงๆ และเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นสำหรับวันนี้เท่านี้คงไม่ลืมใช่ไหมคะสภาพที่จงใจขวนขวายเกิดกับจิตทุกประเภทแม้แต่จิตซึ่งกำลังเห็นขณะนี้กรรมเป็นปัจจัยให้เกิดเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏแต่ก็จะไม่ขาดสภาพที่จงใจขวนขวายกระตุ้นเตือนสหชาตธรรมคือจิต และเจตสิกซึ่งเกิดพร้อมกันให้ทำกิจนี่เป็นหน้าที่ของเจตนาเจตสิก เพราะฉะนั้นจึงเกิดกับจิตทุกประเภท

    อ.ธิดารัตน์ ก็เป็นสภาพธรรมที่ละเอียดลึกซึ้งมากเลยค่ะท่านอาจารย์เช่นจิตเห็นจิตได้ยินอย่างนี้ก็เป็นการศึกษาแค่ว่ามีเจตนาเจตสิกเกิดด้วยเพราะว่าไม่ปรากฏเลย

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าสภาพธรรมที่มีจริงๆ เกิดดับเร็วมากอาศัยการฟังพระธรรมแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นรักษาจิตที่จะไม่เป็นอกุศลเพราะว่าสะสมมามากมาย และจะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเพียงฟังเล็กๆ น้อยๆ เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นประโยชน์ของการที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏก็รู้ว่าฟังเพื่อเข้าใจเพื่อรักษาจิตให้สะอาดให้ผ่องแผ้วขึ้นพอที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏตามที่ได้ฟัง


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 185
    12 ม.ค. 2567