พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 808


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๐๘

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๕


    ท่านอาจารย์ เราใช้คำว่ากระทบดอกไม้ แต่ความจริง ถ้าไม่มีความคิดว่ากระทบดอกไม้ แข็งปรากฏ และตรงแข็งที่ปรากฏ มีรูปอื่นรวม ๗ รูปอยู่ด้วย ไม่แยกจากกันเลย เพราะฉะนั้น ความเข้าใจธรรมต้องมั่นคง ไม่ใช่ว่าพอเป็นคนมีที่ตัว แต่พอเป็นต้นไม้ ดอกไม้ไม่มี เพราะฉะนั้น แข็ง คือ แข็ง ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง วันนี้ ๘ แล้ว แล้วก็ค่อยๆ เก็บเล็กผสมน้อยไปได้ ตา๑ หู๑ จมูก๑ ลิ้น๑ กาย๑ เป็นประสาทรูป รูปพิเศษ ซึ่งเกิดเพราะกรรมเป็นสมุฏฐาน ใครก็ทำให้เกิดขึ้นไม่ได้เลย จักขุปสาทมองไม่เห็น โสตปสาทก็มองไม่เห็น ทุกอย่างมองไม่เห็นเลย สิ่งที่จะปรากฏให้เห็นได้มีอย่างเดียว คือ สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ในขณะที่เห็น สิ่งนั้นมีจริงๆ แต่ตรงนั้น ต้องมีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม และก็มีกลิ่น มีรส มีโอชาด้วย จึงจะมีความเข้าใจที่มั่นคงว่า ๘ รูปไม่ได้แยกจากกันเลย แต่ว่าแข็งกระทบตาไม่ได้ แต่ที่แข็ง มีรูป๑ ซึ่งกระทบตา เป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นเห็น สิ่งที่มีอยู่ที่มหาภูตรูป เพราะฉะนั้น ก็สามารถที่จะเห็นสัณฐาน เพราะเหตุว่า เห็นบ่อยๆ เกิด และสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็ซ้ำจนปรากฏเป็นนิมิต ยาวสั้นกลมเหลี่ยมอะไรก็แล้วแต่ ให้จำได้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้น เมื่อศึกษาสิ่งใดต้องมีความเข้าใจที่ชัดเจน มั่นคงในแต่ละคำ อย่างธาตุดินหรือปฐวี ไม่ได้หมายความถึง ดินที่ปลูกต้นไม้หรือพื้นดิน แต่อะไรก็ตามที่แข็ง ลักษณะที่แข็ง กาแฟเมื่อเช้านี้อาจจะมีคนทานกาแฟ มีธาตุดินไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ มีสีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ มีกลิ่นไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ มีรสไหม

    ผู้ฟัง มีแน่นอน

    ท่านอาจารย์ มีโอชาไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมดกี่รูป

    ผู้ฟัง ๘ แล้ว

    ท่านอาจารย์ ๘ รูป เพราะฉะนั้น รูปใดก็ตามที่ไม่ได้เกิดจากกรรม ไม่ได้เกิดจากจิต ไม่ได้เกิดจากอาหาร เกิดเพียงจากอุตุ ก็จะมีรูป ๘ รูป และก็ต่อไปก็จะรู้ว่า ๘ รูปนี้เป็นพื้น แต่ก็มีรูปอื่น ซึ่งเกิดจากอุตุได้ด้วย แต่ต้องเป็นภายใน ไม่ใช่ภายนอก เพราะฉะนั้น รูปภายนอกทั้งหมดที่ไม่มีจิต ก็จะมีแต่เพียงธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม สี กลิ่น รส โอชา

    คนตายมีกี่รูป จะมีเกินกว่า ๘ รูปไม่ได้เลย คนตายมีเพียง ๘ รูป แต่คนตายกับคนเป็นต่างกัน สมุฏฐานที่จะทำให้เกิดรูปก็ต่างกัน เพราะฉะนั้น คนเป็นจะมีรูปเพียงเท่าคนตายไม่ได้ เพราะเหตุว่า มีรูปที่เกิดจากจิต มีรูปที่เกิดจากกรรม มีรูปที่เกิดจากอุตุ มีรูปที่เกิดจากอาหาร ซึ่งทำให้แม้รูปที่เกิดจากอุตุสำหรับคน สัตว์ ก็ยังต่างจากรูปที่เกิดจากอุตุที่ไม่ใช่คน และสัตว์ นี่ก็แสดงว่า การศึกษาธรรมเข้าใจ ไม่ใช่จำตัวเลข แต่ว่าเป็นความเข้าใจที่มั่นคงเปลี่ยนไม่ได้ จึงเป็นปรมัตถธรรม สิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ และสิ่งที่มีจริงเป็นอภิธรรม เพราะเหตุว่า ยากที่จะรู้ได้ในความละเอียด ในความลึกซึ้งของสภาพธรรม แม้แต่ละหนึ่งที่กล่าวถึง คุณลักษณ์รู้จักธาตุดินหรือยัง

    ผู้ฟัง รู้จัก เป็นธาตุชนิดหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ แน่ใจ

    ผู้ฟัง แน่ใจ

    ท่านอาจารย์ แล้วก็กำลังกระทบแข็ง หรือเปล่า

    ผู้ฟัง กำลังกระทบแข็ง ขณะที่ยืนนี่กระทบแล้ว

    ท่านอาจารย์ แล้วแข็งนั้นเป็นอะไร

    ผู้ฟัง แข็งเป็นธาตุ ไม่ใช่ตัวผม

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่นิ้ว ไม่ใช่ขา เป็นธาตุเพราะอะไร

    ผู้ฟัง เป็นธาตุ เพราะปรากฏให้รู้ว่า ตอนนี้แข็งแล้ว ยืนอยู่กระทบหิน

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    ผู้ฟัง แข็ง ก็เป็นมหาภูตรูป๔

    ท่านอาจารย์ เป็นอะไรอีก

    ผู้ฟัง เป็นธาตุดิน

    ท่านอาจารย์ คือ ใช้คำภาษาบาลีใช่ไหม แต่ถ้าบอกว่าเป็นสิ่งที่มีจริงๆ อย่างหนึ่งไม่ใช่ของใคร เพียงแข็งเกิดขึ้นแล้วก็หมดไป ธาตุดินว่างเปล่าหรือเปล่า เพียงปรากฏแล้วหมดไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ชอบธาตุดินกันใช่ไหม ใครปฏิเสธว่าไม่ชอบ ชอบธาตุดิน เห็นไหม เพราะไม่รู้ความจริงว่า เป็นแต่ความว่างเปล่า คือ เพียงปรากฏให้รู้ชั่วคราวแล้วก็หมดไป ที่กายกระทบตั้งแต่ศรีษะจรดเท้าอ่อนหรือแข็ง เป็นธาตุดินก็ไม่รู้ เป็นเรา ใช่ไหม ร่างกายของเรา ตั้งแต่ศรีษะจรดเท้าตาเรา หูเรา จมูกเรา ลิ้นเราทุกอย่างเราหมด เพราะไม่รู้จักธาตุดิน ว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่เกิดเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น แล้วก็เมื่อเกิดปรากฏแล้วหมดไปเลยก็ไม่รู้

    เพราะฉะนั้น การที่จะรู้ความจริง จากการที่เพียงได้ฟังคำหนึ่ง ก็จะมีอภิความลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรมนั้นด้วย ขณะนี้ที่กำลังนั่ง กระทบส่วนหนึ่งส่วนใด อะไรปรากฎเพิ่งพูดกันถึงเมื่อสักครู่นี้เองใช่ไหม แต่เวลากระทบจริงๆ ความรู้เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ถึงระดับที่จะละการยึดถือ ว่าเป็นเราเมื่อกระทบร่างกายของเรา ที่เคยยึดถือว่าเป็นเราไม่ใช่คนอื่น หรือว่ากระทบสิ่งหนึ่งสิ่งใดภายนอก ลักษณะนั้นก็เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏชั่วคราว แล้วก็ดับไปเหมือนกันหมดเลย

    เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่ว่าต้องค่อยๆ เข้าใจขึ้น แม้แต่คำที่ว่า ทุกอย่างว่างเปล่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ว่าพอรวมกันแล้ว เพราะความไม่รู้การเกิดขึ้น และดับไป ก็ติดข้องอย่างยิ่ง ในร่างกายของเรามากมาย ยังในสิ่งต่างๆ ที่แข็ง และก็อ่อน เย็นร้อนก็เป็นของเราด้วย เพราะฉะนั้น ทุกสิ่ง ก็คือว่า เพราะความไม่รู้ จึงได้มีความติดข้องในสิ่งที่ว่างเปล่าจริงๆ เมื่อปัญญาสามารถที่จะรู้ความจริงว่า สิ่งนั้นที่ปรากฏเพียงอย่างเดียวไม่มีสิ่งอื่นปรากฏเลย ความจริงของสิ่งนั้นจะปรากฏกับปัญญาที่ละคลายความติดข้อง แล้วจึงสามารถที่จะรู้ว่า สิ่งที่เราคิดว่าหนาทึบเป็นก้อนแท่ง แต่เวลาที่กระทบสัมผัสเฉพาะลักษณะหนึ่งเท่านั้นที่ปรากฏ เพราะเหตุว่า เข้าใจว่ามีตัวของเราตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า แต่เวลากระทบสัมผัส มีตัวเราตั้งแต่ศรีษะจรดเท้าหรือเปล่า หรือว่ามีแต่แข็ง ตรงที่ปรากฏเท่านั้น นี่คือ การที่จะละการยึดถือว่า ตราบใดที่รูปประชุมรวมกัน แล้วก็ยึดถือว่าเป็นร่างกายของเรา ก็ยังไม่สามารถที่จะละความเป็นตัวตน หรือความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงได้ จนกว่าลักษณะเฉพาะหนึ่งปรากฏให้รู้ตามความเป็นจริงแต่ละหนึ่ง จึงไม่มีสิ่งอื่นมาปะปนที่จะรวมกัน ที่จะทำให้เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้

    เพราะฉะนั้น ทุกคำเป็นสิ่งที่ฟังแล้วเข้าใจขึ้น และไตร่ตรองขึ้น เพื่อการละคลาย เพราะรู้ตามความเป็นจริงเพิ่มขึ้น เช่นเมื่อสักครู่นี้กล่าวถึงเห็น ถ้าจะกล่าวอีกนิดหนึ่ง แล้วก็เห็นเกิดหรือเปล่า เกิด และเห็นเกิดที่ไหน เห็นไหม ไม่ใช่ที่ตัวทั้งหมดเลย แต่ที่รูป ที่เป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิด เพราะถ้าไม่มีรูปนั้น จิตเห็นเกิดไม่ได้ นี่คือ การที่เราสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่มีตามความเป็นจริง รูปธรรมเป็นนามธรรมไม่ได้เลย เพราะว่า เกิดเมื่อไหร่ไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น แม้ว่าตาก็ไม่เห็น เพราะเหตุว่า ไม่ใช่ธาตุรู้ เป็นแต่เพียงรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้

    เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรม ถ้าละเอียดก็จะมีความเข้าใจว่า เพื่อเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงว่า เป็นธรรมที่เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ไม่ใช่ของใครด้วย เพียงเกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หมดไป ถ้าไม่รู้อย่างนี้จะคลายการยึดถือร่างกายทั้งตัว ว่าเป็นเราได้ไหม ติดข้องเหลือเกินในร่างกายนี้ บำรุงตั้งแต่เช้าตลอดไปค่ำคืนตื่นมา ก็เป็นเรื่องของการที่ยังคงยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ต้องมีความละเอียดที่จะรู้ว่า แม้เห็นถูกแล้ว ร่างกายก็ยังจะต้องมีการเลี้ยงดูต่อไปจนกว่าจะถึงกาลซึ่งเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ยังต้องเลี้ยงดูร่างกาย ที่ยังต้องเห็นต้องได้ยินหรือไม่ จนถึงจิตขณะสุดท้ายที่จะทำให้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เพราะเห็นแล้วว่า มีแต่ความว่างเปล่า เพราะเหตุว่า ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้นเกิดแล้วก็หมดไป เกิดแล้วก็หมดไป ชาตินี้สำคัญมากไหม เหตุการณ์ต่างๆ สำคัญมากไหม หรือแค่คิด แล้วก็ว่างเปล่า ทุกขณะ แม้คิดก็ดับ ทุกอย่างก็ว่างเปล่าทั้งนั้น ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้มั่นคงขึ้น จะเดือดร้อนมากเหมือนเคยไหม ทำไมสิ่งนี้ไม่เป็นอย่างนั้น สิ่งนั้นไม่เป็นอย่างนี้ ลืมคำว่าอนัตตา และลืมว่าไม่มีอะไรเลยที่เป็นของใคร เป็นธาตุแต่ละหนึ่ง ซึ่งเปลี่ยนแปลงลักษณะของธาตุนั้นๆ ไม่ได้เลย

    อ.กุลวิไล กราบเรียนท่านอาจารย์ ถึงความเข้าใจ จิตตามความเป็นจริง นัยที่ไม่ใช่ใคร และไม่ใช่ของใคร และที่สำคัญ จิตนั้นปรากฏชั่วคราวแล้วก็หมดไป

    ท่านอาจารย์ ก็คือ เดี๋ยวนี้ ถ้าจะพูดถึงสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจ ก็ต้องหมายความว่าขณะนี้มี และเมื่อฟังแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจ สิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เช่น ขณะนี้มีเห็น โดยมากก็จะพูดถึงเห็นบ่อยๆ เพราะว่า ทั้งวันก็มีเห็นอยู่เสมอ เหมือนกับว่าไม่ได้ขาดการเห็นเลย แต่ก็ไม่รู้จักเห็น ทั้งๆ ที่กำลังเห็นด้วย

    ด้วยเหตุนี้ เมื่อฟังธรรมก็จะได้ทราบว่าสิ่งที่มีจริง แม้ได้ยินได้ฟังบ่อยๆ ก็ยากที่จะเข้าใจตามความเป็นจริง ตามที่ได้ฟัง แต่เปลี่ยนความจริงไม่ได้ จิตจะเป็นอื่นไม่ได้เลย ไม่ใช่เราไปเรียกสิ่งที่ไม่มีว่าชื่อจิต แต่ว่าสิ่งที่มีในขณะนี้ เป็นธาตุที่เกิดขึ้นรู้ ที่ใช้คำว่าธาตุก็เป็นเพราะเหตุว่า ใครเปลี่ยนแปลงเห็นที่กำลังเห็นให้เป็นอื่นไม่ได้ กำลังเห็นอย่างนี้ชั่วขณะที่เห็น เปลี่ยนให้เป็นอื่นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า ธรรม แต่ขณะนี้สิ่งที่มีจริงนี้ เกิดขึ้นจึงปรากฏ โดยที่ว่าไม่มีใครสามารถที่จะบันดาลได้ ไม่ให้เกิดไม่ได้เลย เพราะเกิดแล้ว และกำลังเห็นด้วย

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรมเหมือนได้ฟัง สิ่งที่ได้ฟังแล้วซ้ำๆ แล้วๆ เล่าๆ แต่ก็พูดถึงสิ่งที่มีจริงตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วก็ไม่ใช่แต่เฉพาะชาตินี้ ถ้าทันทีที่ตายเดี๋ยวนี้ เกิดอีกก็มีเห็นอีก มีได้ยินอีก ก็เหมือนอย่างนี้เลย เพียงแต่ต่างที่ และต่างบุคคล แต่สภาพธรรมไม่เปลี่ยน เห็นก็ยังคงมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นเป็นเห็น ได้ยินก็มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นเป็นได้ยิน ซึ่งขณะที่ได้ยินไม่ใช่เห็น และเมื่อเห็นแล้วได้ยินแล้ว ก็คิดทั้งวัน แล้วแต่ว่าจะคิดอะไร ดูเหมือนเป็นสาระ แต่ความจริงเพียงคิดเกิด เรื่องนั้นจึงมี พอคิดดับ เรื่องนั้นก็ไม่มีแล้ว เพราะฉะนั้น จะเป็นสาระได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้น กว่าจะได้ฟังบ่อยๆ จนกระทั่งมีความเข้าใจจริงๆ ว่าเกิดมาแล้ว ก็ไม่ได้เป็นความต้องการที่จะต้องเป็นคนนี้หรือคนนั้น แต่เมื่อเกิดมาแล้วสิ่งที่เกิด มีเพราะเหตุปัจจัยด้วยความไม่รู้ ก็ยึดถือว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด มีความยึดมั่นในสิ่งนั้น ยากที่จะเห็นตามความเป็นจริงว่า เป็นเพียงสิ่งที่เกิดปรากฏ แค่นี้ แค่คำเดียวเกิดปรากฏแล้วหมดไป กว่าจะมีความเข้าใจที่มั่นคง ก็ต้องอาศัยการฟังเรื่องของสภาพธรรมโดยนัยประการต่างๆ มากมาย โดยนัยของวิถีจิต โดยนัยของพระสูตร สูตรต่างๆ โดยนัยที่ทรงแสดงให้เห็นว่า ขณะที่กำลังไม่รู้ เพราะไม่เคยฟัง แต่เมื่อมีโอกาสได้ฟัง เป็นโอกาสที่เริ่มที่จะเข้าใจ และรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ จนกว่าสามารถที่จะประจักษ์แจ้ง ในวาจาสัจจะ คือ คำจริงที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง จนกว่าความจริงนั้น จะถึงความเป็นอริยะ ประเสริฐยิ่ง เพราะเหตุว่า สามารถที่จะประจักษ์แจ้ง สิ่งที่กำลังเป็นอย่างนี้ในขณะนี้ โดยไม่ใช่เพียงแค่ฟังเท่านั้น

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์กล่าวถึง สภาพธรรมไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าพูดถึงจิต ท่านอาจารย์ยกตัวอย่างเห็น ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมเราก็ไม่ทราบ ว่าเห็นเป็นเพียงจิตเท่านั้น และเห็นก็ไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นด้วย เพราะเห็นไม่ใช่ได้ยิน แต่เห็นนี้ไม่ใช่เราอย่างไร เพราะท่านอาจารย์เคยกล่าวว่า เห็นเป็นเห็น แต่เห็นไม่ใช่เรา กราบเรียนท่านอาจารย์อีกครั้ง เพราะว่าฟังดูเหมือนว่าเข้าใจแล้ว แต่ทุกท่านก็ยังไม่รู้ว่า เห็นนั้นไม่ใช่เราอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ฟังเป็นครั้งที่เท่าไหร่ เรื่องเห็น เฉพาะเรื่องเห็นเรื่องเดียว หลายครั้งมาแล้ว แต่ว่าฟังเรื่องอื่นๆ มากยิ่งกว่าเรื่องเห็น กี่เท่า เพราะฉะนั้น การที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ และไม่เคยคิดที่จะเข้าใจถูกต้อง กลับไปคิดถึงเรื่องอื่น หลังจากที่เห็นแล้ว ว่าสิ่งนั้นมีจริงๆ เป็นสิ่งที่มีความสำคัญ ทำไมเราจะต้องมากล่าวถึงเรื่องเห็น ซึ่งดูว่าเป็นสิ่งธรรมดา แต่ถ้าไม่มีเห็นเลย จะมีเรื่องต่างๆ ได้ไหม ถ้าไม่มีการเกิดขึ้นเลย จะมีเรื่องต่างๆ ได้ไหม ก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้น จะนับครั้งก็คงไม่ถ้วน ว่าเราจะพูดเรื่องของเห็นอีกเท่าไหร่ แต่ก็พูดอีก ซ้ำอีก จนกระทั่งวันนึงก็จะรู้สึกว่า เริ่มจะเห็นจริง เข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง ที่กล่าวถึงสิ่งที่กำลังเห็น ทีละเล็กทีละน้อย แต่ว่าไม่มากเลย เมื่อเทียบกับที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนในสังสารวัฏที่แสนนาน เพราะฉะนั้น สิ่งที่ได้ฟังซ้ำแล้ว ซ้ำอีก จนกว่าไม่ใช่เพียงแต่นึกตาม แต่เดี๋ยวนี้เห็นเป็นอย่างนี้ มาถึงลักษณะจริงๆ ที่กำลังเห็น ว่าเห็นขณะนี้เป็นอย่างนี้ เพราะเกิดแล้วเห็น แค่เห็นเดี๋ยวนี้ เป็นอย่างนี้ คือ เกิดแล้วเห็น แค่นี้ก็จะค่อยๆ มั่นคงมันขึ้น จนกว่าได้ฟังอีกเมื่อไหร่ ก็สามารถที่จะค่อยๆ คลาย การยึดถือสภาพเห็นว่าเป็นเรา เพราะมีความเข้าใจขึ้น แม้ในขั้นความคิด และในขั้นจำ พูดแล้วเรื่องเห็น จำเรื่องอื่น คิดถึงเรื่องอื่น ใช่ไหม เพราะฉะนั้น เมื่อไหร่ที่พูดเรื่องเห็น ในขณะที่กำลังเห็น แล้วก็เข้าใจเห็น ว่าเป็นอย่างที่กล่าวถึง คือ กำลังเห็นเดี๋ยวนี้เองธรรมดาอย่างนี้ วันหนึ่งก็สามารถที่จะรู้ว่า เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หมดไป ถ้าไม่รู้ และไม่เข้าใจเห็นที่กำลังเห็น จะละความเป็นตัวตนได้ไหม จะถึงความเป็นอริยะได้ไหมมัวแต่พูดถึงเรื่องอื่น สนใจแต่เรื่องอื่น แต่ก็ไม่ได้เข้าใจเห็นที่กำลังเห็น

    เพราะฉะนั้น ตราบใดที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ แล้วไม่เริ่มที่จะเข้าใจถูก ในลักษณะจริงๆ ของสิ่งที่ปรากฏ ก็ไม่มีทางเลย ที่จะละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน กลับไปเห็นว่า เรื่องราวของสิ่งที่มีในขณะนี้สำคัญกว่า เพราะฉะนั้น ก็ไม่เข้าใจ ว่าแท้ที่จริงแล้ว ก็คือว่า สิ่งธรรมดาในชีวิตทั้งหมด ไม่ว่าจะคิดเรื่องใหญ่เรื่องเล็ก ไม่ว่าจะเห็นอะไรได้ยินอะไร ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง เพราะว่า ถ้ายังไม่รู้ตราบใด ยังสงสัยตราบใด ก็ยังยึดถือว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์พูดถึง วาจาสัจ จนถึงความเป็นอริยสัจ ก็หมายความถึงว่า การที่เราศึกษาสิ่งที่มีจริง ที่เป็นสาระที่ควรรู้ จะนำไปสู่ความเป็นอริยะ ก็คือ ผู้ที่ประเสริฐ

    ท่านอาจารย์ และก็อะไรประเสริฐ ในบรรดาธรรมทั้งหมด อะไรประเสริฐ

    อ.กุลวิไล ปัญญาประเสริฐ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าปัญญายังไม่เกิด จะชื่อว่าประเสริฐไม่ได้ เพราะว่า แม้ว่าขณะนี้สภาพธรรมเป็นอย่างนี้ก็ไม่รู้ และความไม่รู้ความจริง จะประเสริฐได้อย่างไร ถ้าถามทบทวนถึงสิ่งที่ได้ฟังแล้ว เดี๋ยวนี้หลับหรือตื่นในสังสารวัฏ แค่คำถามธรรมดา ทุกคนรู้จักหลับ ทุกคนรู้จักตื่น แต่อีกความหมายหนึ่ง ขณะนี้ทั้งๆ ที่เหมือนกับตื่น และก็อยู่ในห้องนี้ ความจริงเป็นสังสารวัฏ เกิดแล้วต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดสืบต่ออยู่เรื่อยๆ ไม่ขาดสาย ตั้งแต่เช้ามา วันนี้ทั้งวัน ย้อนไปถึงวันก่อนๆ ย้อนไปถึงตอนเกิด ย้อนไปถึงก่อนเกิด ก็มีสิ่งที่เกิดดับสืบต่ออย่างนี้ เพราะฉะนั้น หลับหรือตื่น ตลอดมาในสังสารวัฏ ถ้าไม่เคยได้ฟังพระธรรมเลย ก็คิดว่าเราตื่นแล้ว เดี๋ยวเราก็หลับ แต่ว่าอีก นัยหนึ่ง ขณะนี้ไม่รู้ความจริง จะชื่อว่าตื่นได้อย่างไร กำลังหลับ รู้อะไรบ้างหรือเปล่า อาจจะมีการฝันแล้วก็คิดเรื่องต่างๆ แต่ตื่นแล้วก็ไม่มีเลยเรื่องที่คิด เพราะฉะนั้น เวลานี้ตื่นหรือยัง ที่จะรู้ว่าไม่มีอะไรเลย นอกจากสิ่งที่มีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย ถ้าตื่น คือ สามารถที่จะเข้าใจอย่างนี้ในขณะนี้ ที่สิ่งนี้กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะถึงขณะที่จะสามารถที่จะรู้ได้ว่า แม้สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ก็เพียงเกิดขึ้นปรากฏชั่วคราว แล้วก็หมดไป หมดไป คือ ดับไป ดับไป ก็คือว่า หายไปไม่กลับมาอีกเลย ไม่มีการที่จะกลับมาอีกเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ถ้าตื่น ก็คือ สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่ปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง ถ้ายังไม่เข้าใจก็ยังหลับ เพราะเหตุว่าไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น จะรู้ความจริงเริ่มต้นเมื่อไหร่ ทั้งๆ ที่เกิดมาก็มีพี่น้อง มีเพื่อนฝูง มีบุคคลเรื่องราวต่างๆ ตื่นหรือยัง เรื่องต่างๆ นั้นทำให้ตื่น หรือว่าไม่ได้ทำให้ตื่นขึ้นรู้ความจริงเลย ยังคงหลับต่อไป ด้วยเรื่องราวต่างๆ แต่ว่าไม่ได้เข้าใจความจริงเลย

    เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังฟัง เริ่มที่จะได้ยินเสียงเหมือนปลุกให้ตื่น แต่ว่าจะปลุกได้หรือเปล่า ทั้งๆ ที่พระธรรมที่ทรงแสดงไว้ ๔๕ พรรษา สำหรับคนที่ไม่เคยได้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง ตั้งแต่เกิดจนตาย เกิดแล้วต้องตายก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องเป็นอย่างนี้ ทำไมเกิดแล้วต้องเห็น เห็นอะไรก็เลือกไม่ได้เลย เดี๋ยวก็สุขเดี๋ยวก็ทุกข์ เหมือนกับมีเรื่องราวต่างๆ ที่สำคัญมากมายในชีวิต แต่ก็ผ่านไป แล้วก็ผ่านไป แล้วก็ผ่านไป แล้วก็ไม่เหลืออะไรเลย เพราะฉะนั้น ขณะนั้นไม่ได้รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ จนกว่ามีผู้ที่ทรงตรัสรู้ ทรงตื่น ทรงเบิกบาน เพราะว่าได้รู้ความจริง

    เพราะฉะนั้น คนที่ยังไม่ตื่น ก็คือ คนที่ยังไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ได้เข้าใจพระธรรมเลย ว่าขณะนี้เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงความจริง ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย แต่ว่าก่อนนี้ไม่เคยรู้ว่าเป็นความจริงอย่างไร เพราะว่ามีสิ่งที่ปรากฏแล้วไม่รู้ ก็เข้าใจว่ายั่งยืน แต่ความจริงทุกอย่างเพียงปรากฏแล้วก็หมดไป เพราะฉะนั้น จะตื่นก็ต่อเมื่อเริ่มได้ยินเสียง สวนานุตตริยะ เสียงที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่มีในขณะนี้ ทีละเล็กทีละน้อย ตื่น คือ ขณะที่เริ่มรู้ลักษณะที่เป็นธรรม จากการที่ได้ฟัง ขณะนี้แข็งมี ผ่านไปแล้วไม่รู้ เห็นมี ผ่านไปแล้วไม่รู้ ได้ยินมี ผ่านไปแล้วไม่รู้ คิดมี ผ่านไปแล้วก็ไม่รู้ตลอดวัน ยังไม่ได้ตื่น แต่ก็ยังมีโอกาสได้ยินเสียง ที่เริ่มที่จะทำให้ค่อยๆ รู้สึกตัว ที่จะได้เข้าใจความจริง เพราะฉะนั้น ตื่น เมื่อสามารถเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เพราะได้ฟังแล้ว แต่ว่ายังมีกิเลสอยู่ตราบใด ก็ยังมีทั้งตื่น และหลับ จนกว่าจะตื่น คือ ดับกิเลสหมดไม่เหลือเลย

    อ.อรรณพ การที่ความเข้าใจ หรือปัญญาจะเกิด แม้ในขั้นการฟัง ก็ต้องมีปัจจัย เพราะฉะนั้น เมื่อมีเสียงของพระธรรม มีการสะสมอุปนิสัยมา ที่จะมีศรัทธา มีความเข้าใจ ก็อาศัยพระธรรมนั้น สะสมอุปนิสัย เป็นการได้ยินที่เลิศหรือว่าเป็นการฟังที่เลิศก็เป็น สวนานุตตริยะ

    อ.วิชัย เราก็คงได้สั่งสมกุศลมา ที่จะมีศรัทธาในการที่จะฟังพระธรรม เพราะเหตุว่า เราก็คงทราบว่า พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงนั้น แสดงด้วยพระมหากรุณาคุณ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 185
    24 ม.ค. 2567