พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 820


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๒๐

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๖


    ท่านอาจารย์ ขณะนี้เป็นสิ่งที่มีจริงหมดเลยเห็นก็จริงคิดนึกก็จริงนั่งอยู่ที่นี่ก็จริงพอถึงพรุ่งนี้สิ่งที่กำลังเป็นจริงเดี๋ยวนี้แสนที่จะสำคัญอยู่ที่ไหนไม่มีเลย เพราะฉะนั้นวันนี้สิ่งที่กำลังปรากฏก็เป็นสิ่งที่จะถูกลืมในวันพรุ่งนี้แน่นอน และก็เป็นอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อวานนี้ และวันนี้ก็กำลังจะเป็นอย่างเมื่อวานนี้เมื่อถึงพรุ่งนี้ เพราะฉะนั้นก็เพียงชั่วเกิดมาที่ว่าใครสร้างก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทีละหนึ่งขณะซึ่งยับยั้งไม่ได้เลยเกิดมาแล้วหลับไปแล้วก็ต้องมีตื่นขึ้นมามีเห็นมีได้ยินแล้วแต่จะทำอะไรปฐมจิต ทุติยจิตก็เท่านี้เองตลอดไม่ว่าจะเป็นเมื่อไหร่ และวันไหน เพราะฉะนั้นมารก็รู้ว่าแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งก็ไม่เที่ยงแล้วทำไมจึงมาเข้าใจผิดลวงให้คนอื่นเห็นว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคล

    อ.วิชัย มีข้อความต่อครับในกองสังขารล้วนนี้ย่อมไม่ได้นามว่าสัตว์เหมือนอย่างว่าเพราะคลุมส่วนทั้งหลายเข้าเสียงว่ารถย่อมมีฉันใด

    ท่านอาจารย์ ก็เหมือนทุกคนที่นั่งอยู่เดี๋ยวนี้เลยยังไม่ต้องไปเปรียบเทียบถึงรถหนึ่งคันซึ่งมีล้อมีอะไรก็เรื่องของรถแต่เดี๋ยวนี้ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ความจริงแล้วเห็นชั่วหนึ่งขณะดับแล้วไม่กลับมาอีก และไม่ใช่ขณะเดียวกับที่ได้ยินด้วย และก็ไม่ใช่ขณะเดียวกับที่คิดนึกด้วย เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งขณะที่เกิดขึ้นเกิดแล้วก็ดับโดยที่ว่าสืบต่ออย่างเร็วจนไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงว่าแต่ละขณะเหมือนกับเมื่อวานนี้กับวันนี้แต่ว่าเมื่อวานนี้เป็นระยะยาวแต่ก่อนที่จะเป็นเมื่อวานนี้ได้แต่ละหนึ่งขณะที่เริ่มเกิดเห็นได้ยินคิดนึกจนกว่าจะจบวันก็เหมือนเดี๋ยวนี้ก็ต้องมีสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับในที่นี้กล่าวมีคำว่ากองสังขารครับ

    ท่านอาจารย์ กองก็คือว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตามที่มีการเกิดขึ้นไม่ได้เกิดขึ้นเพียงอย่างเดียวโลกนี้ไม่ได้มีแต่เห็นอย่างเดียว และก็ไม่ได้มีได้ยินอย่างเดียวไม่ได้มีคิดนึกอย่างเดียวคือทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็เป็นกองของสังขารซึ่งถ้าจะกล่าวโดยละเอียดก็จะทราบว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มีการเกิดขึ้นไม่ได้เกิดตามลำพังได้เลยต้องมีอาศัยกัน และกันเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่กำลังแข็งปรากฏเดี๋ยวนี้มีแต่แข็งที่ปรากฏแต่แข็งไม่ได้เกิดตามลำพังที่ใช้คำว่าธาตุดินก็มีธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลมเกิดขึ้นด้วย เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าความหมายของโลกอย่างที่เคยได้กล่าวแล้วทุกคนพูดคำที่ไม่รู้จักรู้จักโลกยังไงคะโลกภูมิศาสตร์ หรือว่าโลกอะไรก็ตามแต่ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสักนิดเดียวสักอย่างเดียวจะมีโลกไหมก็ไม่มีแต่ชาวโลกไม่เคยคิดเลยเพราะมีสิ่งที่เกิดแล้วดับสืบต่ออยู่เรื่อยๆ โดยที่ไม่ได้รู้ความจริงว่าถ้าไม่มีอะไรสักหนึ่งเพียงหนึ่งเกิดขึ้นโลกก็ไม่มีแต่ว่าเมื่อมีสิ่งหนึ่งเพียงหนึ่งเกิดขึ้นโลกมีแล้ว เพราะฉะนั้นเวลานี้ที่มองเห็นหลายๆ อย่างไม่ใช่เพียงหนึ่งเกิดดับสืบต่อแต่ละหนึ่งอย่างรวดเร็วรวมกันเป็นกองสังขาร

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับก็มีข้อความต่อไปว่าเมื่อขันธ์ทั้งหลายยังมีอยู่การสมมติว่าสัตว์ย่อมมีฉันนั้น

    ท่านอาจารย์ ก็เวลานี้ขันธ์ทั้งหลายเลยรูปขันธ์เวทนาขันธ์สัญญาขันธ์สังขารขันธ์วิญญาณขันธ์ยังมีอยู่ตราบใดก็ชื่อว่ายังมีสัตว์อยู่ตราบนั้น

    อ.วิชัย หมายความว่าสัตว์ไม่มีแต่ว่าขันธ์มี หรือครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีขันธ์จะมีอะไรไหมถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย เพราะฉะนั้นอีกคำหนึ่งอีกความหมายของคำว่าขันธ์ไม่ได้มีสาระว่างเปล่าจากความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมว่างเปล่าจากการที่จะเป็นคนนั้นคนนี้สิ่งนั้นสิ่งนี้เพราะแต่ละรูปเป็นแต่ละรูปซึ่งเกิดแล้วก็ดับสืบต่อรวมกัน

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับที่ว่าสมมติว่าเป็นสัตว์ย่อมมีคือสมมติคือไม่มีใช่ไหมครับท่านอาจารย์ขันธ์มีแต่ว่าสัตว์ไม่มี

    ท่านอาจารย์ โดยสมมติหมายความว่าเรียก หรือยังไงคุณคำปั่นคะสมมติคนไทยใช้คำว่าสมมติใช่ไหมคะ

    อ.คำปั่น คำว่าสมมติคำบาลีก็คือสมมติที่ท่านอาจารย์กล่าวเมื่อสักครู่หมายถึงการรู้พร้อมกันการรู้ตรงกันอย่างข้อความที่อาจารย์วิชัยได้อ่านจากวชิราสูตรก็ชัดเจนเพราะว่ามีขันธ์ห้ามีสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปจึงมีการสมมติก็คือรู้พร้อมกันว่าเป็นสัตว์เป็นคนนั้นคนนี้ก็สมมติเรียกเพราะว่ามีความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรมที่มีจริงนั่นเองครับ

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับอย่างเช่นตัวอย่างตอนนี้ก็รู้ว่ามีท่านผู้ฟังฟังอยู่มีการสนทนาธรรมก็เป็นบุคคลต่างๆ แต่ตามความเป็นจริงคือเป็นขันธ์ที่เกิดเท่านั้นใช่ไหมครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ เป็นสิ่งที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับ เพราะฉะนั้นก็หาอีกไม่ได้แล้วในสิ่งที่เกิดแล้วดับ

    อ.วิชัย ก็มีข้อความต่อไปว่าความจริงทุกข์เท่านั้นย่อมเกิด

    ท่านอาจารย์ น่าคิดไหมไม่เคยมีใครคิดเลยว่าขณะนี้สิ่งที่เกิดแล้วดับเป็นทุกข์ หรือเป็นสุขในความหมายที่ว่าไม่สมควรเลยที่จะยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพราะไม่มีแล้วเพียงแค่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลยแต่ว่าทุกคนไม่ได้รู้ลักษณะของขันธ์แต่ละหนึ่งเลยอย่างความรู้สึกสนุกสนานเป็นสุขมีจริงๆ ไม่ใช่ไม่มีทำไมว่ามีจริงก็เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นสิ่งที่แม้เป็นสุขชั่วคราวเกิดขึ้นแล้วดับไปแล้วไม่กลับมาอีกควรที่จะยึดถือติดข้องในสิ่งนั้น หรือเพราะแท้ที่จริงแล้วทุกอย่างเป็นอย่างนี้ทั้งหมดถ้าศึกษาเข้าใจจริงๆ จะไม่มีอะไรสักอย่างหนึ่งซึ่งเที่ยงจิตเกิดดับเร็วประมาณไม่ได้เลยรูปเกิดแล้วดับเมื่อจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะก็ประมาณไม่ได้ว่าเร็วแค่ไหนแล้วก็หมดไปเลยไม่ได้กลับมาอีกเลยแล้วก็เป็นอย่างนี้เป็นความเป็นไปเป็นธรรมตาคือธรรมดาของสิ่งที่เป็นธาตุเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ว่าเป็นอย่างนี้ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้แสนโกฏิกัปป์มาแล้วเกิดแล้วขณะนั้นก็ไม่กลับมาเกิดอีกเลย หรือว่าเมื่อวานนี้ที่หมดไปแล้วก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นมีแต่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปควรติดข้อง หรือเปล่าความหมายที่นี่หมายความว่าไม่ควรที่จะยึดถือ หรือว่าติดข้องเพราะเหตุว่าติดข้องในสิ่งที่เกิดแล้วดับไป และไม่เหลือเลยไม่มีอีกแล้วด้วยแล้วเป็นไงไปหาที่ไหนมาติดข้องแต่ก็มีความติดข้องเพราะไม่รู้ความจริงซึ่งมีสภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อไม่หยุด และก็ไม่ขาดสายด้วยเป็นสังสารวัฏฏคือเกิดขึ้นสืบต่ออยู่เรื่อยๆ

    อ.วิชัย ซึ่งท่านอาจารย์กล่าวสักครู่นี้ซึ่งข้อความต่อเนื่องกันก็มีว่าทุกข์เท่านั้นย่อมตั้งอยู่ และเสื่อมสิ้นไปนอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดนอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับท่านอาจารย์ครับฟังเรื่องทุกข์ซึ่งอรรถกถาก็กล่าวว่าขันธ์นี่แหละเป็นทุกข์

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีขันธ์ไม่มีอะไรเกิดจะเอาทุกข์อะไรมาจะเอาสุขอะไรมาอะไรก็ไม่มีทั้งนั้นแต่เมื่อมีการเกิดขึ้น และดับไปไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่น่าพอใจ หรือไม่น่าพอใจยังไงก็ตามก็ไม่เหลือแล้ว

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับยกตัวอย่างเช่นเห็นขณะนี้ครับดูเหมือนก็เป็นปรกติธรรมดาเห็นก็คือเห็น

    ท่านอาจารย์ แล้วก็ไปเอาคำว่าบีบคั้นมาคั้นบีบคั้นเห็นก็เป็นไปไม่ได้แต่ก็ต้องเข้าใจความหมายว่าเพราะสภาวะนั้นเป็นอย่างนั้นเพราะเหตุว่าเกิดขึ้นแล้วดับไปโดยไม่ต้องมีใครทำอะไรเลย

    อ.วิชัย และอรรถอีกอย่างหนึ่งว่าอันปัจจัยปรุงแต่งครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ อันนี้แน่นอนที่สุดเลยทุกสิ่งทุกอย่างเกิดตามลำพังไม่ได้เลยอยากจะให้อะไรเกิดก็เกิดไม่ได้ไม่อยากให้อะไรเกิดก็ต้องเกิดเพราะเห็นว่ามีปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดก็ต้องเกิด

    อ.วิชัย สำหรับท่านผู้ใหม่ครับท่านอาจารย์เรื่องปัจจัยปรุงแต่งก็เป็นสิ่งที่ละเอียดของธรรมท่านอาจารย์ช่วยอธิบายในส่วนของยกตัวอย่างเช่นการเห็นมีปัจจัยปรุงแต่งอย่างไรครับ

    ท่านอาจารย์ ยังไม่เห็นเกิดเลือกได้ไหมคะไม่ให้เกิดคิดดูสิคะใครจะไม่ให้อะไรเกิดขึ้นมาเป็นไปไม่ได้เลยเพราะมีปัจจัยจึงเกิดต้องเข้าใจถึงว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นมาได้ยังไงด้วยแต่ละอย่างอย่างเห็นก็กำลังเห็นแต่ว่าถ้าไม่มีตาจักขุประสาทรูปพิเศษจริงๆ ในกายร่างกายนี้ถ้าไม่มีจักขุประสาทรูปพิเศษสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาปรากฏไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นรูปนี้เป็นรูปที่จัดว่าเป็นรูปภายในไม่ใช่จัดว่าเพราะอยากจะจัดแต่ว่าลักษณะของเขาจริงๆ ในบรรดารูปทั้งหมดรูปพิเศษรูปนี้ถ้าไม่มีสิ่งที่กำลังปรากฏก็ไม่มีถ้าไม่มีหูเสียงก็ไม่มีปรากฏถ้าไม่มีจมูกกลิ่นก็ไม่ปรากฏถึงมีก็ไม่ปรากฎถ้าไม่มีลิ้นรสก็ไม่ปรากฏถ้าไม่มีกายเย็นร้อนอ่อนแข็งก็ไม่ปรากฏ และถ้าไม่มีเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตานี้ก็ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นก็แสดงอยู่แล้วไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏก็เพราะเหตุว่ามีสิ่งที่เกิดขึ้น และสิ่งที่จะปรากฏก็แล้วแต่ยังมีปัจจัยมากมายเพราะเหตุว่าขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏแต่ถ้าไม่มีจิตเห็นสิ่งนี้ก็ปรากฏไม่ได้แต่ถ้าไม่มีประสาทรูปจิตเห็นก็เกิดไม่ได้ และถ้าไม่มีกรรมประสาทรูปก็เกิดไม่ได้แสดงไปถึงความเป็นปัจจัยของแต่ละหนึ่งซึ่งมากโดยปัจจัยที่จะทำให้แต่ละสิ่งเกิดขึ้นโดยไม่รู้เลยว่าที่เกิดมานี่ไม่มีใครไปเลือกทำอะไรได้เลยสักอย่างเดียวแต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามปัจจัยชั่วคราวปิดบังไว้หมดเลยทำให้มีการกระทำต่างๆ และยังเห็นว่าเพราะอยู่ตรงนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้นเพราะเป็นอย่างนี้คือคิดเอาเองหมดแต่ความจริงสิ่งที่ปรากฏทางตามีแน่นอนจิตเห็นมีแน่นอนลองคิดถึงว่าเพียงแค่เห็นเดือดร้อนไหมท่านจึงใช้คำว่าอุปปัตติสำหรับจิต ๑๐ ประเภทคือวิญญาณจิต๑๐ จักขุวิญญาณสองกุศลวิบากหนึ่งอกุศลวิบากหนึ่งโสตวิญญานสองกุศลวิบากหนึ่งอกุศลวิบากหนึ่งฆาณวิญญาณจิตที่ได้กลิ่นสองกุศลวิบากหนึ่งอกุศลวิบากหนึ่งลิ้มรสชิวหาวิญญาณกุศลวิบากหนึ่งอกุศลวิบากหนึ่งกายกายประสาทเป็นปัจจัยให้เกิดกายวิญญาณรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกายกุศลวิบากหนึ่งอกุศลวิบากหนึ่งอยู่ที่ไหนแล้วเรียนทำไมเรียนให้เข้าใจความจริงว่าไม่มีเราไม่ว่าจะยึดถือมานาน แสนนานเพราะไม่เคยได้ยินได้ฟังไม่เคยได้เข้าใจเลยก็มีโอกาสที่จะได้ฟังได้ไตร่ตรองเริ่มคิด และเริ่มเข้าใจแต่ละคำอย่างคำว่ากองสังขารหมายความว่าไม่ได้มีแต่เฉพาะสิ่งเดียวมีหลายๆ อย่างก็เป็นแต่ละประเภทไปก็จะเห็นได้จริงๆ ว่าขณะที่กำลังเห็นขณะนี้ไม่มีแต่เฉพาะธาตุดินน้ำไฟลมแต่ต้องมีรูปพิเศษที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น และเป็นอุปปัตติจริงๆ คือการประจวบ หรือการที่กรรมเป็นปัจจัยให้มีผัสสเจตสิกที่เกิดกับจิตกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏจิตเห็นก็เกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏแล้วก็ดับไปเท่านี้เองค่ะแต่ว่ากว่าจะรู้ว่าเท่านี้เองไม่ใช่เราหมดการยึดถือก็ยากมากถ้าไม่เป็นอย่างนี้จริงๆ ไม่มีทางที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่าเห็นเพราะมีประสาทคือจักขุประสาทรูป และเพราะมีวรรณคือรูปคือสิ่งที่ปรากฏแสดงว่าธรรมทั้งที่เป็นประสาทรูปด้วย และสิ่งที่ปรากฏก็ต้องเกิดเพราะปัจจัยด้วยใช่ไหมครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมดที่จะเกิดเกิดเองไม่ได้เลยต้องมีปัจจัยทำให้เกิดขึ้นสิ่งที่ปรากฏทางตามีอะไรเป็นปัจจัยให้เกิด

    อ.วิชัย ก็ต้องมหาภูตรูปสี่

    ท่านอาจารย์ ใช่ถ้าไม่มีธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลมจะไม่มีวรรณ หรือสิ่งที่สามารถกระทบตา และปรากฏว่ามีจริงๆ ขณะนี้ทุกอย่างต้องมีเหตุปัจจัย และเกิดแสนสั้นแล้วก็ดับไปทั้งหมดเลยไม่เหลืออะไรเลยอยู่อย่างนี้มาตั้งนานแสนนานแสนโกฏิกัปป์ด้วยความไม่รู้ และก็ถ้าไม่รู้ต่อไปก็อยู่อย่างนี้ต่อไปอีกนานแสนนานจนกว่าจะค่อยๆ รู้ค่อยๆ เข้าใจเพื่อละความไม่รู้จนกว่าความไม่รู้จะหมดก็จะไม่มีเหตุที่จะทำให้มีการเกิดอีกต่อไป

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับในการฟังเรื่องของแสดงความเป็นปัจจัยของธรรมฟังแล้วก็เข้าใจแต่ก็รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่เราเข้าใจเพียงเรื่องเพราะเหตุว่าสิ่งนั้นลักษณะก็ยังไม่ปรากฏครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นการเข้าใจต้องเข้าใจตามลำดับจะไปรู้ปัจจัยของธาตุที่กำลังปรากฏให้เห็น หรือว่าเห็นได้ยังไงในเมื่อยังไม่รู้จักเห็นเลยทั้งๆ ที่กำลังเห็นแสดงให้เห็นความไม่รู้มากแค่ไหนธรรมไม่ขาดเลยล้อมรอบอยู่กับธรรมตั้งแต่เกิดจนตาย และก็เกิดอีกตายอีกก็เป็นธรรมทั้งหมดเผชิญหน้ากับธรรมเหมือนเห็นดอกไม้สวยๆ แต่ความจริงมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็ไม่รู้ว่าขณะนี้ก็เป็นแต่เพียงสิ่งหนึ่งซึ่งจะปรากฏได้ต่อเมื่อสิ่งนี้กระทบจักขุประสาทแล้วกรรมทำให้จิตเห็นเกิดขึ้นไม่รู้เลยเห็นมาตั้งเท่าไหร่แล้วตั้งแต่เช้าก็ไม่รู้ความจริงของเห็น เพราะฉะนั้นสิ่งที่เคยเข้าใจว่าเป็นสาระมากมายเพราะเหตุว่าไม่รู้ เพราะฉะนั้นแทนที่เราจะสนใจมากมายในสิ่งที่ปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นเรื่องราวต่างๆ ไม่คิดถึงจิตเหรอคะธาตุรู้ซึ่งเป็นธาตุชนิดหนึ่งเป็นธรรมที่มีจริงๆ ซึ่งไม่ใช่ของใครแต่ก็เกิดสืบต่อแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งขอยืมกันไม่ได้แลกกันไม่ได้เลยแต่ละหนึ่งก็คือสภาพธรรมที่เป็นธาตุรู้เกิดขึ้นเคยคิดไหมคะว่าธาตุรู้ในขณะนี้เป็นยังไงมองไม่เห็นเลยไม่มีอะไรที่จะไปทำให้รู้ว่ามีขอบเขตเป็นสีแดง หรือเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้เลยเป็นใหญ่เป็นประธานในการที่สามารถที่จะเกิดขึ้นในความมืดแล้วก็รู้ขณะที่ได้ยินเสียงไม่ได้สว่างเลยธาตุรู้ก็มืดเสียงก็ไม่ปรากฏให้เห็นทางตาแต่ธาตุรู้ก็สามารถได้ยินเสียงในความมืดแล้วก็ดับไปอยู่ในโลกมืดสองอย่างมืดคือไม่ปรากฏให้เห็นกับมืดด้วยอวิชชา เพราะฉะนั้นไม่ปรากฏให้เห็นแค่ทวารเดียว หรือทางเดียวคือทางตาแต่ทางอื่นก็มืดหมดทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายทางใจ เพราะฉะนั้นอยู่ในความมืดของอวิชชามากกว่าความมืดในขณะที่มองไม่เห็น หรือเปล่าไม่เคยรู้เลยว่าสภาพของจิตแต่ละคนหนักถ้าจะใช้คำเปรียบเทียบ หรือว่ามากมายล้นจักรวาลกี่จักรวาลก็บรรจุกิเลสไม่ไหวแล้วนี่อยู่ที่ไหนมีทางเดียวที่จะพ้นจากภาวะที่เป็นภาวะของความมืดด้วยความไม่รู้ด้วยการเริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏจนกว่าอวิชชานั้นจะหมดไป เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าใครฟังธรรมแล้วจะไปปฏิบัติจะไปเป็นพระโสดาบัน หรือจะไปหวังในสิ่งซึ่งไม่ใช่ความจริงเพราะเหตุว่าไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้ก็เป็นเรื่องที่ไม่ว่าจะฟังอะไรต้องเข้าใจความจริงว่าขณะนั้นแม้แต่ความเข้าใจก็เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ไม่ใช่จิตจิตเป็นธาตุที่ไม่มีรูปร่างเลยเกิดขึ้นรู้แล้วก็ดับไปแต่ก็มีสภาพธรรมที่เป็นเจตสิกเกิดร่วมด้วยทั้งฝ่ายดี และฝ่ายไม่ดีแล้วในวันหนึ่งๆ ฝ่ายไม่ดีก็เกิดมากกว่าโดยไม่รู้ตัวเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็สะสมหมักหมมความไม่ดีมากมายก็ยังคงสะสมต่อไปอีกถ้าไม่รู้ความจริงแต่ถ้ารู้ความจริงว่าเพียงแค่ปฐมจิตหลับสนิทไม่มีอะไรเรื่องทั้งหลายหมดเลยความกังวลความห่วงใยความคิดอะไรๆ ก็ไม่มีทั้งสิ้นแต่ก็ตื่นมาทำอะไรตื่นมาเห็นแล้วก็กังวลแล้วก็คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้แต่จริงๆ สั้นมากเลยแต่ดูเหมือนไม่สั้นเพราะว่าต่อกันเร็วมากแต่ที่ว่าสั้นเพราะเหตุว่ามีภวังคจิตปฐมจิตขั้นอยู่ตลอดเวลา และก็คือแค่นี้เองจากภวังค์ก็มาเห็นหน่อยหนึ่งแล้วก็กลับไปเป็นภวังค์แล้วก็ไปคิดเรื่องที่เห็นแล้วก็กลับไปเป็นภวังค์สืบต่อจนเหมือนกับเป็นโลกที่มีคนมากมาย และก็มีเรา และก็มีทุกสิ่งทุกอย่างบางคนก็ยังอยากจะจัดการโลกแต่ลืมว่าจัดการโลกได้ไหมแม้แต่จิตก็ยังไม่รู้เลยขณะนั้น และทุกคนก็มีจิตแล้วจะไปจัดการโลกไหนเป็นทางที่ไม่เข้าใจความจริงว่าแท้ที่จริงแล้วเกิดมาประโยชน์ที่สุดคือทำดี และเข้าใจพระธรรมเพราะเหตุว่าระหว่างดีกับชั่วตื้นๆ ธรรมดาทุกคนก็ต้องรู้ว่าดีต้องดีกว่าแต่ทำไมไม่ได้ทำเพราะว่ามีความเข้าใจไม่พอ เพราะฉะนั้นก็ศึกษาธรรมเพื่อที่จะได้เป็นผู้ฟังพระธรรมเป็นสาวกที่ฟัง และการเข้าใจก็จะทำให้ชีวิตดำเนินไปในทางที่จะขัดเกลากิเลส และเป็นผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสาวกคือผู้ฟังพระธรรมจริงๆ ไม่ใช่เพียงแต่ฟังเรื่องราวแต่ก็เหมือนเดิม

    อ.วิชัย ที่ท่านอาจารย์กล่าวเมื่อสักครู่ว่าทำดี และศึกษาพระธรรมสำหรับผู้ที่มีโอกาสได้ศึกษาอ่านในพระไตรปิฎก หรืออรรถกถาเช่นที่ยกตัวอย่างขึ้นมาเช่นทุกข์มีอรรถว่าบีบคั้นบ้างอันปัจจัยปรุงแต่งบ้างให้เร่าร้อนบ้างให้แปรปรวนมีหลายคำที่อ่านก็ชวนให้สงสัยไม่เข้าใจ และพยายามที่จะให้เข้าใจคำว่าหมายถึงอะไรครับท่านอาจารย์แต่ไม่รู้จักทุกข์ครับ

    ท่านอาจารย์ เอาแค่สักคำเดียวก็น่าจะพอทำไมจะไปเข้าใจให้หมดตั้งแต่บีบคั้นอะไรๆ ก็แค่เกิดขึ้นแล้วดับไปเข้าใจแค่นี้ให้มั่นคงแทนที่จะไปติดคำอยากจะรู้อยากจะเข้าใจไปเสียหมดข้อความในพระไตรปิฎกลึกซึ้งมากด้วยพระมหากรุณาที่ทรงแสดงให้แต่ละบุคคลสามารถที่จะเข้าใจด้วยคำหลากหลายถ้าคำนี้ไม่เข้าใจก็อีกคำหนึ่งอีกคำหนึ่งแต่ความหมายก็อย่างเดียวกันคือสิ่งใดก็ตามที่เกิดเกิดแล้วไม่ดับไม่มีจะไปบีบคั้นแบบไหนยังไงก็ไม่ต้องคิดเพราะเห็นว่าไม่มีใครไปบีบคั้นนามธรรมได้แต่ที่ถูกบีบคั้นก็เพราะเหตุว่าเกิดแล้วต้องเป็นอย่างนี้เป็นอย่างที่ใจชอบไม่ได้เลยต้องเป็นอย่างนี้ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่ว่าจะเข้าใจคำนั้นว่าอย่างไรแต่ประโยชน์ที่สุดก็คือให้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เที่ยงสิ่งที่ปรากฏไม่จริงเพราะเหตุว่าเป็นเพียงนิมิตสภาพธรรมเกิดแล้วดับเร็วมากตามความเป็นจริงใครรู้ เพราะฉะนั้นโลกภายนอกกับโลกภายในต่างกันโลกภายนอกถูกปกคลุมด้วยความไม่รู้ด้วยสีสันวรรณแต่ว่าภายในจิต และเจตสิกเกิดดับอย่างรวดเร็วที่สุดทำกิจการงานของจิตเจตสิกนั้นจนไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าจริงๆ แล้วแม้ขณะนี้ทั้งจิต และเจตสิกเกิดดับเท่าไหร่

    อ.วิชัย การมีโอกาสได้ศึกษาพระไตรปิฎกก็ต้องให้เข้าใจถึงลักษณะของธรรมใช่ไหมครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ใช่ติดชื่อ และอยากรู้ชื่อบางคนก็ถามว่าเจ็บเป็นเวทนาใช่ไหมจะไปถามทำไมก็กำลังเจ็บอยู่จะต้องไปเรียกอะไรไม่ต้องเรียกเลยก็เจ็บจะเรียกอะไรก็เจ็บเจ็บก็ต้องเป็นเจ็บ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 185
    12 ม.ค. 2567