พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 809


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๐๙

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๕


    อ.วิชัย เราก็คงได้สั่งสมกุศลมา ที่จะมีศรัทธาในการที่จะฟังพระธรรม เพราะเหตุว่า เราก็คงจะทราบว่า พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงนั้น แสดงด้วยพระมหากรุณาคุณ เพราะเหตุว่า ถ้าคิดถึง กว่าที่จะบำเพ็ญพระบารมี ซึ่งในสมัยที่เป็นสุเมธดาบส ท่านก็สามารถที่จะบรรลุมรรคผลได้ ถึงความเป็นพระอรหันต์ แต่ด้วยความปรารถนาที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อจะแสดง และให้ไม่ใช่เพียงเฉพาะพระองค์ แต่ว่าต้องทรงอนุเคราะห์สัตว์ทั้งหลายด้วย ที่จะได้รู้ตามพระองค์ ดังนั้น การฟังเราคงจะทราบถึงพระมหากรุณาคุณที่ทรงบำเพ็ญบารมีมา และตรัสรู้ และถึงกาลที่จะแสดงธรรม เพื่อให้บุคคลอื่นได้รู้ตามพระองค์ ดังนั้น พระธรรมเป็นสิ่งที่มีค่า ไม่ใช่ว่าจะหาฟังได้โดยง่าย เพราะเหตุว่า ถึงกาลถึงสมัย กว่าที่จะมีการอุบัติของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระธรรมที่สืบต่อกันมาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้มีพระธรรมอยู่ แต่ว่าบุคคลที่ได้ยินเสียง ฟัง และจะเกิดศรัทธาที่จะเห็นประโยชน์ของพระธรรม ก็ไม่ใช่โดยง่ายเช่นเดียวกัน แสดงว่าต้องมีการสะสมมาที่จะรู้ ฟัง และเกิดศรัทธาเลื่อมใส และก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่สามารถที่จะให้เกิดความรู้ ความเข้าใจถูกได้ ที่สำคัญที่สุด พระธรรมไม่ใช่เพียงฟัง โดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่ว่าที่สำคัญ คือ ต้องเกิดเป็นความรู้ความเข้าใจของบุคคลที่ฟัง สิ่งนั้นถึงจะได้ประโยชน์ เพราะเหตุว่า ถ้าฟังมากแต่ไม่รู้อะไรเลย ก็ไม่ได้ประโยชน์จากการฟัง เพราะเหตุว่า ทรงแสดงเพื่อให้บุคคลที่ฟังได้เกิดความรู้ และความเข้าใจเป็นของตน ตามอัธยาศัยการสะสมมา ที่จะมีความรู้ความเข้าใจตามระดับของตนที่ได้สั่งสมมา ดังนั้น นี่คือ ประโยชน์จากการที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม พูดถึงช่วงต้น ท่านอาจารย์พูดเรื่องการเห็น ก็เป็นสิ่งที่มีเป็นปรกติ แม้ไม่ฟังพระธรรม ทุกท่านก็มีการเห็น แต่ว่าอะไรที่จะฟัง และให้เกิดความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่ว่า เห็นขณะนี้ไม่ใช่ตัวเรา เพราะเหตุว่า เราต้องยอมรับว่า ก่อนที่จะฟัง เห็นก็เป็นเรา เห็นสิ่งต่างๆ ก็ยึดถือว่าเป็นสิ่งของบุคคลต่างๆ มากมาย มีอะไรเยอะแยะมากมายเลย แต่เริ่มฟัง ต้องมีความละเอียดว่า แต่ละลักษณะ เพราะธรรมตามความเป็นจริง คือ ต้องเกิดทีละหนึ่ง จะเกิดปะปนกันไม่ได้เลย แม้จิตเกิดดับอย่างเร็วที่สุด แต่ก็ต้องเกิดทีละขณะๆ ดังนั้น ถ้าพิจารณาว่า ขณะที่เห็นก็เป็นอย่างหนึ่ง ขณะที่คิดถึงว่าเป็นคนต่างๆ ก็เป็นอีกขณะหนึ่ง นี่ก็เห็นถึงว่า ขณะเห็นก็ไม่ใช่ขณะที่คิดถึงบุคคลต่างๆ เห็นถึงว่าธรรมก็มี และก็สามารถที่จะรู้เข้าใจได้ และถ้าพูดถึงเรื่องของความเป็นปัจจัย ก็แสดงถึงว่า สิ่งนั้นไม่ใช่เป็นตัวเราที่จะบังคับบัญชาให้สิ่งนั้นตั้งอยู่ หรือว่าดำรงอยู่ หรือว่าให้เกิดขึ้นได้ เพราะเหตุว่า สิ่งนั้นเป็นอนัตตา แต่ก็ไม่อิสระเพราะเหตุว่า ต้องเกิดตามเหตุตามปัจจัย อย่างเช่น พูดถึงการเห็น การเห็นเกิด ต้องอาศัยสิ่งที่รู้ คือ สิ่งที่ถูกรู้ ก็คือ อารมณ์นั่นเอง ดังนั้น ถ้าไม่มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นอยู่ การเห็นก็มีไม่ได้เลย นี้ก็เห็นถึงความเป็นปัจจัยอย่างหนึ่งของธรรม เพียงสิ่งที่ปรากฏนี้ สามารถที่จะเป็นปัจจัยให้การเห็นเกิดขึ้นได้ และการเห็น คือ นามธรรม ดังนั้นนามธรรมขณะนี้ที่เกิด เพราะอาศัยรูปจึงจะเกิดได้เป็นที่เกิด ดังนั้น ถ้าไม่มีตา การเห็นก็มีไม่ได้เช่นเดียวกัน ต้องอาศัยตาเป็นทางหรือเป็นทวาร ซึ่งท่านอาจารย์ก็กล่าวเมื่อสักครู่ เรื่องของวิถีจิต ซึ่งก็เป็นจิตที่เกิดขึ้นโดยอาศัยทางหรือว่าทวาร ให้จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ ซึ่งทางหรือทวาร ที่จะเป็นทางให้จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้น มี ๖ ทางด้วยกันทางตา๑ ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ เพราะฉะนั้น ก็เห็นถึงว่า จิตเกิดดับสืบต่อกันทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง และทางใจบ้าง ไม่ใช่ขณะเดียวเลย เห็นถึงความเป็นอนัตตาของจิตจริงๆ ว่ามีปัจจัย มีเหตุ ที่จะให้จิตนั้นเกิดขึ้นเป็นไป แต่ละขณะๆ ดังนั้น ความรู้ความเข้าใจ คือ ให้พิจารณาถึงแต่ละขณะๆ จริงๆ ขณะนี้ทุกท่านไม่มีปัจจัยที่จะให้ปัญญาเกิดรู้แต่ละขณะ ก็มีความสำคัญว่ารวมกันทั้งหมดเลยว่าเป็นเรา แต่ถ้าพิจารณาทีละลักษณะ ก็รู้ว่ามีธรรมจริงๆ ที่เกิดทีละขณะจริงๆ ที่กำลังปรากฏอยู่ให้รู้

    อ.กุลวิไล กราบเรียนถามท่านอาจารย์อีกครั้ง ถึงวิดน้ำออกจากเรือ ซึ่งเมื่อวานท่านอาจารย์ก็ให้ความเข้าใจ ถึงสภาพธรรมที่ท่านอธิบายถึง วิดน้ำออกจากเรือ กราบเรียนท่านอาจารย์อีกครั้ง

    ท่านอาจารย์ ก็ซ้ำอีก เมื่อวานนี้พูดไปแล้ว จบไปแล้ว ก็ลืมแล้ว เพราะฉะนั้น ลืมแล้วก็ฟังอีก ถ้าดูในพระไตรปิฎกซ้ำทั้งนั้นเลย สูตรนี้ทรงแสดงแล้ว ที่พระวิหารเชตวัน และก็ทรงแสดงแล้วที่อื่นก็เหมือนกันเลย เพราะเหตุว่า ความจริง ก็คือ สิ่งที่มีที่ปรากฏว่าเป็นสิ่งต่างๆ เป็นคนเป็นโลก แท้ที่จริงแล้ว ก็คือว่า เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งซึ่งสามารถที่จะแยกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ คือ สภาพธรรมอย่างหนึ่ง แม้มีก็ไม่ใช่สภาพรู้ ฟังธรรมแล้วต้องคิด จริงหรือเปล่า จริง คือ ขณะนี้มีสิ่งที่มีจริง แต่ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่ใช่ไปศึกษาเรื่องอื่นมากมาย แต่ว่าเดี๋ยวนี้เพียงแค่จริง เพราะเหตุว่า ขณะนี้มีสิ่งนั้นที่กำลังรู้ และสิ่งที่ไม่ใช่สภาพรู้ แม้เพียงคำสั้นๆ แต่ให้รู้ว่า ที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา ก็เพราะเหตุว่า มีธาตุรู้เกิดขึ้นพร้อมกับรูปธรรม ทั้งหมดอยู่ที่ตัวหรือเปล่า ธาตุรู้มีที่ตัว หรือเปล่า สิ่งที่ไม่รู้อะไรมีที่ตัวหรือเปล่า นี่คือ อัตภาพซึ่งเปรียบดุจเรือ ไม่ต้องไปหาเรือที่ไหนเลย เรือ คือ อัตภาพขณะนี้ ที่เคยเป็นเรา แท้ที่จริง ก็คือ ต้องมีธาตุรู้แน่นอน และก็ต้องมีธาตุที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ ซึ่งถ้าจะกล่าวเป็นคำภาษาบาลี สภาพรู้ ธาตุรู้ ที่เกิดขึ้นก็ใช้คำว่านามธาตุ และสภาพที่มีจริงเกิดมีจริงๆ เป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น แต่เพราะไม่รู้อะไร จึงเป็นรูปธาตุ จริงหรือเปล่า เดี๋ยวนี้ที่ตัว มีทั้งนามธาตุ และรูปธาตุ แต่เมื่อรวมกันก็ยึดถือว่าเป็นเรา เป็นอัตภาพ สิ่งที่มีจริงที่เข้าใจว่าเป็นเรา แต่ว่ามีข้อความที่ว่า วิดน้ำออกจากเรือ

    เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจธรรม ไม่ว่าจะพบข้อความใดในพระไตรปิฎก ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ และก็มีข้อความที่แสดงว่า น้ำเป็นกิเลส อยู่ที่ไหน ถ้าไม่ใช่อยู่ที่อัตภาพ ก็อยู่ที่นี่ จะไปหากิเลสไปกองอยู่ที่อื่นก็ไม่ใช่ แต่ว่าไม่ว่าจะพูดถึงโลภะที่นี่ ที่ตัวก็มีโลภะ จะพูดถึงโทสะที่ตัวก็มีโทสะ จะพูดถึงโมหะก็ไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย นอกจากที่อัตภาพนี้ เพราะฉะนั้น อัตภาพเปรียบเหมือนเรือซึ่งมีน้ำมาก หนักมาก คือ กิเลส ถ้ายังไม่ค่อยๆ เอาน้ำออกไป มีไหมที่จะไปถึงอีกฝั่งหนึ่งได้ โดยไม่จมลงในมหาสมุทร เพราะฉะนั้น การที่ทรงอุปมาโดยนัยหลากหลาย โดยโวหารเทศนา ก็ให้เห็นตามความเป็นจริงว่า อัตภาพเวลานี้มองไม่เห็นเลย ว่ากิเลสมากมายสักแค่ไหน เพราะฉะนั้น ก็อุปมาเหมือนเรือซึ่งเต็มไปด้วยน้ำ แล้วก็จะไปถึงอีกฝั่งหนึ่งได้ เอาน้ำหนักๆ นี้ไปด้วยได้ไหม ก็ไม่มีทางเลยต้องค่อยๆ วิดน้ำออกจากเรือ ในขณะนี้ เรือหนักไหม เรือของใครแต่ละหนึ่งหนักด้วยกิเลส จะวิดน้ำไหม ใช่ไหม ก็คือว่า มีปัญญาเมื่อไหร่ ก็ค่อยๆ วิดน้ำ คือ อกุศลออกไปทีละเล็กทีละน้อย

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีการได้ฟังพระธรรมเลย ก็จะไม่รู้เลยว่า เกิดมาทำอะไรบ้าง และจะมีชีวิตต่อไปเพื่ออะไร จะเหมือนเดิม คือ มีความพอใจในรูปที่ปรากฏทางตา วันแล้ววันเล่า ในเสียงในกลิ่นในรสเหมือนกันทุกวัน พระเถระท่านหนึ่ง ท่านอุปมาว่าเหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟ ทุกคนคงรู้จักแมงเม่า พอเห็นแสงไฟก็ไปแล้วสู่แสงไฟ เพราะฉะนั้น รูปมี จิตไปไหน ไปที่รูปด้วยความยินดีติดข้อง เสียงมี ไปอีกแล้ว ไปที่เสียงด้วยความยินดีติดข้อง เพราะฉะนั้น รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นไฟ ซึ่งความไม่รู้ปรารถนาอย่างยิ่ง ที่จะได้รู้สิ่งนั้น และก็ชอบด้วย เท่าไหร่ก็ไม่พอ เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่าที่นั่งอยู่ที่นี่ ฝูงแมงเม่า ใช่หรือเปล่า แล้วก็บินไปหากองไฟ ตั้งแต่เช้าตลอดวันตลอดชาติ เรือหนักไหม อัตภาพที่มีกิเลสก็หนักมาก

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีการทรงบำเพ็ญพระบารมี ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีทางที่จะเข้าใจสิ่งที่มี แล้วก็เคยยึดถือว่าเป็นเรา ซึ่งความจริงก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เมื่อมีเหตุปัจจัยที่สมควร ที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นเท่านั้นเอง แล้วก็หมดไปแสนสั้น แต่ไม่ปรากฏการเกิดดับ เพราะเหตุว่า สภาพธรรมอื่นเกิดสืบต่อทันทีอย่างรวดเร็ว เหมือนไม่มีสิ่งใดที่เกิดแล้วดับไปเลยซักอย่างเดียว เพราะฉะนั้น กว่าจะฟังพระธรรม และค่อยๆ เข้าใจขึ้น แม้แต่ว่า เรืออยู่ที่ไหน ไม่ไกลเลย น้ำหนักมากไหม ใครรู้ ใช่ไหม และก็ความเข้าใจ จากการได้ฟัง เพียงเรื่องราวของสิ่งที่มีจริง เมื่อไหร่จะรู้จักตัวจริงของธรรม ซึ่งขณะนี้ ก็คือ เดี๋ยวนี้ ธรรมดา ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย แต่ความไม่รู้กั้นไว้สนิท ปกปิดไว้ มองไม่เห็นความจริงว่า เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีปัจจัยแน่นอน จึงเกิดขึ้นได้ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป และไม่กลับมาอีกเลย

    เพราะฉะนั้น ก็ต้องเข้าใจตามความเป็นจริงเวลาที่ได้ยินคำไหน ก็จะต้องไตร่ตรองให้รู้ว่า หมายความถึงอะไร และเมื่อไหร่ ขณะนี้น้ำออกไปบ้างหรือยัง เข้ามาอีกเท่าไหร่ อาจจะออกไปบ้างนิดหน่อย แต่ก็เข้ามาอีกมากเหลือเกิน เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องของความอดทนอย่างยิ่ง ขันติเป็นบารมี ถ้าไม่มีความอดทน ก็จะไม่ได้สาระจากพระธรรม เพราะรู้ว่า แสนยาก เข้าใจถึงพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี เมื่อทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏที่เกิดแล้วดับไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดง หนักหนาสาหัสแค่ไหน กว่าจะรู้ ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจว่า ความจริงเป็นอย่างนี้ คือ ถ้าพูดถึงเห็น ต้องไม่คิดถึงอย่างอื่น ใช่ไหม ไม่ต้องไปคิดว่าจักขุปสาทอยู่ที่ไหน ก็กำลังพูดถึงเห็น แล้วไปคิดถึงจักขุปสาท เกินไหม พูดถึงเรื่องนี้ยังไม่ทันเข้าใจเลย ก็ไปพูดถึงเรื่องโน้นแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าพูดถึงเห็น รู้จักเห็นหรือยัง ได้ยินคำว่าเห็น และเห็นก็กำลังเห็น อยู่ใกล้หรืออยู่ไกล เห็น ที่จะเข้าใจให้ถูกต้องทั้งๆ ที่อยู่ตรงนี้ แต่ความไม่เข้าใจ ทำให้ห่างมาก จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น จึงสามารถที่จะรู้จักเห็นที่กำลังเห็นจริงๆ ว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่มีจริงอย่างนี้ ธรรมดาปกติ ไม่ได้เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเลย แต่ความเข้าใจเพิ่มขึ้น

    เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า ถ้าศึกษาเพียงชื่อ หรือว่าข้อความในพระไตรปิฎก โดยที่ไม่เข้าใจว่า กำลังฟัง เพื่อที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้นั่นเอง ก็จะเหมือนกับคนที่เรียก คนที่อยู่แสนไกล เรียกไปเถอะ อารัมณปัจจัย อารัมณูปนิสยปัจจัย อุปนิสยปัจจัย หรือจะใช้ชื่ออื่นก็ได้ สัมปฏิจฉันนะ สันติรณ อะไรก็ใช้ไป แล้วอยู่ไหนไกล หรือใกล้ แล้วปัญญาสามารถที่จะเข้าใจอะไรได้ ด้วยเหตุนี้ ต้องเป็นผู้ที่ตรงตามความเป็นจริง จึงจะได้สาระจากพระธรรมว่า แสนไกลหรือเปล่า ชื่อต่างๆ เหล่านี้ทั้งๆ ที่กำลังอยู่ตรงนี้

    ชอบสีอะไร มีดอกไม้หลายสี ใช่ไหม กำลังชอบสีฟ้า แล้วทำไมคนอื่นไม่ชอบสีฟ้าทำไมคนอื่นชอบสีเหลือง เรียกสิ่ อารัมณูปนิสยปัจจัย แล้วเข้าใจอะไร ในขณะที่กำลังชอบสิ่งนี้ ไม่ได้ชอบสิ่งนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าจะเข้าใจธรรมจริงๆ จากชื่อที่ได้ฟังแล้วก็เริ่มเข้าใจเรื่องราวของสิ่งนั้น จะนำมาสู่การรู้จักสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ตามความเป็นจริง ตรงตามที่ได้ฟังทุกอย่าง

    เพราะฉะนั้น ก็ต้องเข้าใจด้วยพระธรรมที่ทรงแสดงไว้มากมหาศาลมากมาย ทั้งพระสูตร พระวินัย พระอภิธรรม และอรรถกถา ใครสามารถที่จะเข้าใจได้หมด แม้แต่เพียงพระสูตร หรือว่าเพียงเล่มเดียวของพระไตรปิฎก ไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจโดยถ่องแท้ได้ เพราะฉะนั้น เป็นใคร สามารถจะเข้าใจอะไรได้แค่ไหน ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องของสภาพธรรมโดยละเอียด โดยผู้ที่ทรงประจักษ์แจ้ง พระอภิธรรม ทรงแสดงกับพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท่านพระสารีบุตรก็รับฟัง และก็แสดงอภิธรรมกับบุคคลที่สามารถเข้าใจได้ บุคคลเหล่านั้นในครั้งอดีตเป็นใคร ที่สามารถที่จะเข้าใจ อย่างในกถาวัตถุก็มีการถามตอบ โดยนัยหลากหลายมาก ซึ่งท่านผู้รู้กับท่านผู้รู้ ได้กล่าวถึงธรรมโดยนัยประการต่างๆ เพื่อให้ความเข้าใจชัดเจน แล้วเราเป็นใคร อยากจะรู้เรื่องนั้นเรื่องนี้หมดเลยในอรรถกถา หรือในพระไตรปิฎก โดยไม่รู้จักตัวธรรม

    เพราะฉะนั้น ประโยชน์สูงสุด ก็คือว่า รู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งถ้าไม่ได้มีการฟังพระธรรม จะไม่สามารถเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงได้เลย ด้วยเหตุนี้ ฟังเพื่อเข้าใจ และก็รู้ว่าสิ่งที่เข้าใจ กำลังมีในขณะนี้แน่นอน อย่างสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เดี๋ยวนี้เองกำลังมีในขณะนี้ และเห็นก็มีในขณะนี้ เพราะฉะนั้น ฟังให้เข้าใจความจริงของเห็น และสิ่งที่มี โดยนัยหลากหลาย แม้แต่ที่ทรงอุปมาว่า วิดน้ำออกจากเรือ ก็แสดงให้เห็นว่า กว่าจะเข้าใจความจริงได้ ก็ต้องอาศัยเครื่องมือ คือ ปัญญาจึงสามารถจะค่อยๆ นำสิ่งที่มีอยู่ลึกมาก แล้วก็ภายในที่สุด คือ อยู่ในจิต กิเลสเหมือนฝังแน่นอยู่ในจิต ออกยากมาก แต่ถ้าไม่มีปัญญาความเข้าใจ ที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้นๆ ก็ไม่สามารถที่จะทำให้กิเลสที่มีอยู่ในใจออกไปได้ แต่จากการฟัง และไม่ท้อถอย แล้วก็เห็นประโยชน์ ว่าเกิดมาทำอะไรบ้าง สนุกมากเลยตอนเป็นเด็กหมดแล้ว เมื่อวานนี้ก็รู้สึกว่าดี อาหารอาจจะอร่อย พบมิตรสหายมากหน้าหลายตา ก็หมดไปแล้ว แล้วจะมีอะไรที่จะยังเหลืออยู่ แต่ละวัน แต่ละขณะในสังสารวัฏ

    เพราะฉะนั้น ต่อไปข้างหน้าก็อย่างนี้แหละ ก็จะต้องได้เห็น ได้ยิน ได้คิดนึก อาจจะเรื่องสุขเรื่องทุกข์สารพัดอย่างแล้วก็ผ่านไป แล้วก็ไม่เหลืออะไรเลย แต่ถ้าได้ฟังธรรม ก็จะสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก โดยไม่ไปติดที่คำหรือว่า ไม่ไปติดที่เรื่อง แต่รู้ว่าทุกเรื่องที่ทรงแสดง แม้ในอดีต เช่น อดีตชาติของพระสาวกทั้งหลาย แสดงให้เห็นความเป็นไปของชีวิต กว่าจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ซึ่งเลือกไม่ได้เลย ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แต่เพราะไม่ขาดการฟัง มีความอดทน และเห็นประโยชน์ ที่จะได้เข้าใจสิ่งที่มี ก็ทำให้ท่านเหล่านั้นสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นพระโสดาบันก่อนที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้จะปรินิพพาน เป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามี เป็นพระอรหันต์ แล้วเราอยู่ที่ไหน กำลังทำอะไร ก็กำลังทำเหมือนท่านเหล่านั้น ด้วยความอดทน ด้วยวิริยะ เพื่อวันหนึ่งก็จะบรรลุถึง พุทธังสะระณังคัจฉามิ ธัมมังสะระณังคัจฉามิ สังฆังสะระณังคัจฉามิ ได้พึ่งแล้ว คือ ได้พึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะเป็นเลิศ และก็ทรงพระมหากรุณา ที่จะแสดงพระธรรมให้คนอื่นได้รู้ด้วย ได้พึ่งพระธรรม โดยการฟัง วาจาสัจจะ ซึ่งจะนำไปสู่โพธิปักขิยธรรม ธรรมทั้งหลายที่จะค่อยๆ เป็นเหตุให้มีการเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม จนกระทั่งปัญญานั้นสามารถที่จะรู้ความจริงได้ ถึงความเป็นพระอริยบุคคล ถึงความเป็นพระสาวก สังฆังสะระณังคัจฉามิ คุณธรรมของพระสงฆ์ก็มีกับบุคคลผู้ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ไม่ใช่พึ่งอย่างอื่นเลย แต่ว่าพึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ ที่ทำให้ไม่ว่าใครก็ตาม ที่สะสมการเห็นประโยชน์ การได้มีโอกาสฟังธรรม ได้เข้าใจขึ้น ในชาติที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม เพราะว่าต่อไปไม่มีใครรู้แน่เลย ใช่ไหม จะได้ฟังอีกหรือเปล่า

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ได้ฟังในชาตินี้ อีกเมื่อไหร่จะได้ฟัง เพราะฉะนั้น ก็เป็นโอกาสที่สวนานุตริยะ การฟังก็ฟังมาแล้วทุกเรื่อง เรื่องดีเรื่องร้ายสารพัดเรื่อง แล้วก็หมดไปเรื่องเหล่านั้นเป็นของใคร หรือว่าเป็นใคร หรือเพียงแค่ต้องคิดอย่างนั้น เพราะมีเหตุปัจจัย ที่เมื่อได้ยินแล้วก็ต้องคิดอย่างนั้น แต่ว่าจริงๆ แล้วอะไรเป็นของเรา แม้แต่ที่อยู่ที่อาศัย ยังไม่ต้องพูดถึงประเทศทั้งหมดแต่ละประเทศ แต่เพียงที่อยู่ที่อาศัย พรุ่งนี้จะอยู่ที่ไหน อยู่ที่เดิมหรือเปล่า ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ความจริงที่อยู่ในป่าก็มี ใต้ทะเลก็มี แล้วแต่ว่ากรรมจะพาไปที่จะให้ไปอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้น ให้เห็นความจริงว่าชีวิตที่ยังเหลืออยู่ ที่ประเสริฐที่สุด ไม่ใช่ยังคงยึดมั่นในความคิดเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น ที่เข้าใจว่าสำคัญมาก แต่ว่าก็เพียงคิดแล้วก็หมดไป แล้วห้ามไม่ให้คิดก็ไม่ได้ และจากโลกนี้ไปแล้วเอาความคิดเรื่องอย่างนี้ไปด้วยหรือเปล่า ไปเดือดร้อนไปวิตกกังวล ไปเป็นของเราก็ไม่ได้เลย เพราะเหตุว่า ต่อไปก็จะเป็นบุคคลอื่น เพราะฉะนั้น เป็นบุคคลนี้เพียงในชาตินี้ และในชาตินี้จะเป็นบุคคลไหนก็แล้วแต่กำลังของการสะสม ที่จะเห็นประโยชน์ว่า ที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด ก็คือ ได้เข้าใจพระธรรม แล้วก็เป็นคนดีเพราะเหตุว่า คนชั่วจะเข้าใจพระธรรมได้ไหม และเมื่อเข้าใจแล้ว จะเป็นคนชั่วต่อไปได้ไหม

    อ.คำปั่น ขอกล่าวถึงคำที่ได้ยินเมื่อสักครู่ ท่านอาจารย์กล่าวถึงคำว่า อัตภาพ อัตภาพเป็นภาษาไทย แต่ถ้าเป็นภาษาบาลี ก็คือ อัตตภาว โดยความหมาย ความเป็นบุคคลนี้ ก็ไม่พ้นจากความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรม ที่เป็นนามธรรม และรูปธรรม ที่สมมติว่าเป็นบุคคลแต่ละคน แต่ละคน แต่ละท่านก็มีความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรม ๒ อย่างนี้ คือ นามธรรม และรูปธรรม สำหรับพระธรรมเทศนาที่แสดงเรื่อง วิดน้ำออกจากเรือ ก็เป็นที่น่าพิจารณาว่า แต่ละคน แต่ละท่าน ที่จะได้ฟังพระธรรมนั้น ก็สะสมอุปนิสัยมาต่างกัน


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 185
    25 ม.ค. 2567