พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 821
ตอนที่ ๘๒๑
ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
วันอาทิตย์ที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๖
ท่านอาจารย์ ไม่ต้องเรียกเลยก็เจ็บ จะเรียกอะไรก็เจ็บ เจ็บก็ต้องเป็นเจ็บ
อ.วิชัย หมายความว่าถ้าเข้าใจในลักษณะของเขา สิ่งที่ปรากฏ ไม่ว่าจะใช้คำไหนก็สามารถเข้าใจในลักษณะของเขาได้
ท่านอาจารย์ ถ้ามีความเข้าใจธรรม ก็จะอ่านพระไตรปิฎกเข้าใจขึ้น
อ.วิชัย ในส่วนของคำว่าทุกข์ จะมีคำแสดงไว้หลายอย่าง เช่น ทุกขทุกขะ ทุกข์เพราะทนได้ยาก หมายถึงทุกขเวทนาที่เป็นไปทางกายและจิต และวิปริณามทุกข์ ทุกข์เพราะเปลี่ยนแปลง และสังขารทุกข์ ทุกข์ของสังขาร ขอคำอธิบายว่าทุกขทุกขะนี้คืออะไร
อ.ธิดารัตน์ ที่ท่านแยกโดยนัยต่างๆ ถ้ายกลักษณะของเวทนา ทุกขทุกข์ ท่านก็จะหมายถึงทุกขเวทนากับโทมนัสเวทนา เพราะเป็นลักษณะ อย่างทุกข์กายเป็นทุกข์จริงๆ ที่ใช้คำว่าเจ็บ และความไม่สบายใจ ความเสียใจ โทมนัส มีลักษณะที่ทนได้ยากจริงๆ ทุกคนจะรู้สึกว่าทุกข์กายเดือดร้อน เราเดือดร้อนกับทุกข์ทางกาย และถึงแม้กายสบายๆ ทุกข์ทางใจก็เป็นทุกข์มากที่เดือดร้อน ท่านถึงใช้คำว่า ทุกขทุกข์ เพราะเป็นทุกข์จริงๆ แต่ท่านก็ยังแสดงวิปริณามทุกข์ ถ้าโดยลักษณะของเวทนาก็จะหมายถึงสุขเวทนากับโสมนัสเวทนาที่เปลี่ยนแปลงไป การเปลี่ยนแปลงของธรรมเหล่านี้ เพราะส่วนใหญ่เราก็ปรารถนาความสุข เมื่อสุขหมดไปก็ทุกข์ และจริงๆ แล้ว ลักษณะของสุขเวทนาก็ไม่เคยยั่งยืน เดี๋ยวก็พอใจในสิ่งนั้นสิ่งนี้ตลอด มีความแปรไปในอารมณ์ในสิ่งที่ต้องการทุกอย่าง ซึ่งรายละเอียดท่านอาจารย์ก็จะอธิบายเพิ่มเติม ส่วนสังขารทุกข์ถ้าพูดถึงเวทนา ท่านก็กล่าวถึงเวทนาที่เหลือก็คืออุเบกขาเวทนา หรือสภาพธรรมที่เกิดดับนั่นแหละเป็นทุกข์ แต่ถ้าโดยความหมายของสังขารธรรม ธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยปรุงแต่งเกิดดับทั้งนั้นเลย กราบเรียนท่านอาจารย์เพิ่มเติม
ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจความหมายที่เป็นสังขารทุกข์ หมายความว่า สิ่งที่เกิดแล้วดับเป็นทุกข์ ถ้ายังไม่เข้าใจอย่างนี้ก็ไม่รู้ว่า อะไรเกิด ใช่หรือไม่ และอะไรดับ เป็นทุกข์อย่างไร แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามไม่ว่าอะไรทั้งหมดเกิดแล้วดับ ไม่ใช่ทุกข์หรือ เกิดแล้วก็ดับ มีใครอยากตายบ้าง เกิดแล้วมีใครอยากตายบ้าง ไม่อยากตาย ใช่ไหม แต่สภาพธรรมเกิดแล้วดับ เหมือนกับเกิดแล้วตายอยู่ทุกขณะ แล้วน่าพอใจหรือไม่
เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่เพียงยาวๆ คิดไปถึงเกิดมาแล้วก็ตายจึงเป็นทุกข์ แต่ทุกข์จริงๆ สั้นกว่านั้นอีก เพียงแค่เกิดแล้วดับ จะไม่เป็นทุกข์หรือ ก็ต้องทุกข์ยิ่งกว่าเกิดมาอยู่ตั้งนานแล้วถึงจะตาย ใช่หรือไม่ แต่นี่เกิดแล้วตาย เกิดแล้วตายทันทีทุกขณะ ก็ยิ่งเป็นทุกข์ที่เร็วกว่า มากกว่า สั้นกว่า คือทุกขณะเลย เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจความจริงอย่างนี้แล้วก็จะรู้ได้เลย ไม่ว่าอะไรทั้งหมดไม่ใช่เฉพาะความรู้สึก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดมีปรากฏขณะนี้ เกิดแล้วดับทั้งนั้น ตายเร็วมากเลย เกิดแล้วตาย เกิดเเล้วตาย อยู่ตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างไม่พ้นจากสังขารทุกข์ เพราะคำว่า สังขาร หมายความถึงธรรมซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น เป็นปัจจัยปรุงแต่งซึ่งกันและกัน ปรากฏชั่วคราวที่เกิดแล้วดับทุกขณะที่เร็วมาก เพราะฉะนั้นครอบคลุมทุกอย่าง แต่ถ้าจะกล่าวถึงว่าสิ่งที่สำคัญในชีวิตทุกวันคืออะไร ทุกคนก็ตอบได้ว่าความรู้สึก ไม่มีใครอยากรู้สึกเป็นทุกข์ หรือแม้แต่ความรู้สึกเฉยๆ ก็ไม่พอ สุขหรือว่าโสมนัสนี่เป็นสิ่งที่ปรารถนา แต่ถ้าไม่ได้สุข โสมนัสก็อุเบกขา อทุกขมสุขก็ยังดี แต่พอถึงทุกข์จริงๆ ทั้งกาย ทั้งใจ มีใครอยากได้บ้าง ก็ไม่มี
เพราะฉะนั้นสภาพธรรมอย่างหนึ่งคือความรู้สึกก็เป็นสิ่งสำคัญ จนกระทั่งตรัสแยกไว้เป็นขันธ์หนึ่ง ซึ่งเป็นที่ติดข้องอย่างยิ่ง คือติดข้องในความรู้สึก เมื่อกล่าวถึงสังขารธรรม ซึ่งเป็นสังขารทุกข์ทั้งหมด และก็กล่าวเฉพาะอย่าง คือกล่าวเฉพาะเวทนา ความรู้สึกว่า แม้ความรู้สึกที่ทุกคนรู้จักดีว่าเป็นทุกข์ก็มีประเภทหนึ่ง เช่น ทุกขทุกขะทุกข์กายใครไม่รู้จักบ้าง รู้จัก ทุกข์ใจใครไม่รู้จักบ้าง ก็รู้จัก ทุกข์กาย ทุกข์ใจ ไม่ต้องพูดไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะเป็นทุกขทุกขะทั้งๆ ที่ก็เป็นสังขารทุกข์ แต่ก็แยกสังขารออกเป็นแต่ละหนึ่งแต่ละอย่าง โดยเฉพาะเรื่องความรู้สึกให้เห็นได้ชัดเจนว่า เป็นทุกข์อย่างไร คือความรู้สึกที่เป็นทุกข์กายและทุกข์ใจ เป็นทุกขทุกขะแน่นอน แต่ก็ยังมีความรู้สึกอื่นซึ่งไม่ใช่ความรู้สึกเป็นทุกข์ เช่น ความรู้สึกเป็นสุขและโสมนัส ใช่ไหม แต่ไม่ลืมทั้งหมดเกิดขึ้นแล้วดับไป
เพราะฉะนั้นแม้สุขก็ไม่เที่ยง เช่นเดียวกับทุกข์ก็ไม่เที่ยง ทุกอย่างก็ไม่เที่ยง แต่สำหรับสุขเวทนาใช้คำว่า วิปริณามทุกข์ เพราะว่าทุกอย่างเป็นสังขารทุกข์หมด ใช่ไหม เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ทุกขทุกขะก็อย่างหนึ่ง พอถึงความสุข เที่ยงหรือไม่ ไม่เที่ยงเหมือนกัน เป็นสังขารทุกข์แน่นอน แต่สิ่งที่ว่าเป็นสุข เป็นสุขจริงหรือ ชั่วคราวแล้วก็เปลี่ยนใช่ไหม มีใครบ้างที่รับประทานอาหาร ถ้ามีหลายๆ อย่างก็ทานอย่างเดียว รับประทานอย่างเดียว เสื้อตัวเดียว หรือว่าไม่เหมือนจีวรของพระ ใช่ไหม แค่สามผืนตลอดปีหรือว่าหลายปี ถ้ายังไม่ขาดก็ยังใช้ได้ แต่ตามธรรมดาทั่วๆ ไปความสุข ความพอใจ โสมนัส จะเปลี่ยนไปไม่หยุด เป็นต้นว่ารับประทานอาหารอร่อยมาก สุขแล้ว ขนมหน่อยหนึ่งได้ไหม หรือว่ามีแค่อาหารของคาว ก็รู้สึกเหมือนยังไม่อิ่ม หรือยังไม่สุขเต็มที่ ยังต้องมีสุขอื่นอีก
เพราะฉะนั้นความสุขไม่สิ้นสุดเหมือนกัน คือการเกิดขึ้นแล้วดับไปและเปลี่ยนแปลงความสุข โสมนัสนั้นอยู่ตลอดเวลา ถ้าใครมีของใหม่ จะเป็นเสื้อผ้า จะเป็นรองเท้า จะเป็นอะไรก็ตามแต่ ชอบ โสมนัส นานเท่าไรถึงจะเบื่อ ถึงจะทิ้ง ถึงจะทำอะไรก็ได้ ก็เห็นได้เลยว่าแม้แต่ความรู้สึกที่เป็นสุขก็วิปริณาม เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปตามความไม่พอ เป็นทุกข์ไหม ก็เป็นทุกข์อย่างหนึ่ง ซึ่งมองไม่เห็น แต่ขวนขวายอยู่ตลอดเวลา ด้วยความรู้สึกที่ไม่ได้ทุกข์กายทุกข์ใจ แต่ความขวนขวายที่จะเป็นสุขไม่พอ และไม่หยุด เป็นทุกข์ไหม
เพราะฉะนั้นเวลาเห็นการขวนขวายที่จะได้สุขของใคร ก็เห็นชัด และของตัวเองก็มีมากหรือน้อย ก็จะเห็นได้ว่าถ้าไม่มี หมดสิ้นด้วยการที่ไม่เกิดอีกเลยจะพ้นจากทุกข์ทั้งปวง เพราะเกิดต่างหากจึงมีสิ่งต่างๆ ซึ่งนำความทุกข์ต่างๆ มาให้ไม่สิ้นสุด ยังไม่ทันจะมีความสุขสักเท่าไรก็ตายไปเสียแล้ว ก็ไม่พอ เกิดมาใหม่ก็เป็นอย่างนี้อีก ไม่มีวันจบสิ้น
แสดงให้เห็นว่าถ้าจะกล่าวถึงสังขารทุกข์ก็ทุกอย่าง แต่ถ้าจะกล่าวแสดงถึงความรู้สึก ก็สามารถจะเห็นความทุกข์แม้ความรู้สึกได้ ว่าทุกขทุกขะเห็นแน่ และวิปริณามทุกข์คือสุขเวทนา โสมนัสเวทนา ก็ต้องเป็นคนที่เห็นว่า ทำไมเราถึงได้ขวนขวายนักหนาทั้งวันทุกวัน เพื่ออะไร เพื่อความสุขซึ่งเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่สำหรับอุเบกขาเวทนารู้ยากมาก เพราะฉะนั้นก็เป็นสังขารทุกข์ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
อ.อรรณพ จริงอยู่ที่ว่าความสุข โสมนัสคือ ความสุขเวทนาและโสมนัสเวทนาเป็นสภาพที่แปรปรวนไป จึงเป็นวิปริณามทุกข์ แต่ชั่วเวลาที่สุขเวทนาเกิด หรือโสมนัสเวทนาเกิด ก็เกิดดับสืบต่อ เกิดดับสืบต่อ ก็พอจะทำให้เกิดความติดข้องได้ เพราะว่าถึงจะแปรปรวนไปเดี๋ยวก็มีมาให้อีก ท่านอาจารย์จะแสดงให้เห็นโทษของความติดข้องในสุข
ท่านอาจารย์ ติดข้องก็ขวนขวายหาไปเรื่อยๆ ไม่จบ เป็นทุกข์ไหม แทนที่จะอยู่สบายๆ ก็ขวนขวายเสียยิ่งนัก
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์เคยกล่าวเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ถ้าไม่สุขเสียเลย ไม่พอใจเสียเลยจะไม่ดีกว่าหรือ จะเกี่ยวเนื่องอย่างนี้อย่างไร
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ต้องขวนขวายเสียเลย ดีไหม อย่างไรๆ ก็ต้องมี อย่างไรๆ ก็ต้องเกิด เพราะเหตุว่ามีเหตุปัจจัย แต่ก็หวังด้วยความทุกข์ อยากจะให้เป็นอย่างนั้น อยากจะให้เป็นอย่างนี้ หวังทำไม ในเมื่ออย่างไรๆ ก็ต้องเป็นไปตามปัจจัย
อ.อรรณพ แต่ถ้าไม่ได้เห็นว่าต้องขวนขวายอะไร ไม่เห็นแม้กระทั่งว่าต้องขวนขวาย ก็เหมือนกับเวลาที่จะได้รับสุขกาย สุขใจ ก็มีเกิดขึ้นสบายดี
ท่านอาจารย์ คุณอรรณพชอบต้นไม้มากเลย มีทั้งดอกไม้สวยๆ และผลไม้อร่อยๆ ขวนขวายหาหรือไม่
อ.อรรณพ อย่างผมเห็นความทุกข์ที่ขวนขวาย แต่สมมติอย่างคนที่เขาสบาย เขาก็ใช้คนอื่นทำ หรือมีสตางค์ มีลูกน้อง มีอะไรที่เขาสบายกว่าผม เขาก็มีความสุขดีไม่ต้องลงแรงอะไรมาก
ท่านอาจารย์ เขาไม่ขวนขวายหาดอกไม้ ผลไม้ มาปลูก เขาก็ขวนขวายอย่างอื่น ซึ่งเป็นที่พอใจ เพราะความพอใจของแต่ละคนหลายรูปแบบ ไปเล่นกอล์ฟ ไม่ต้องปลูกต้นไม้ ดอกไม้ ขวนขวายไหม สนามก็ต้องสวย เดือดร้อนไหม
อ.อรรณพ ไม่เห็นว่าเดือดร้อน
ท่านอาจารย์ แต่ความจริงเดือดร้อนหรือไม่
อ.อรรณพ ความจริงก็ต้องเหนื่อยยาก
ท่านอาจารย์ เพราะความพอใจเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
อ.อรรณพ อย่างเทวดาที่ท่านมีความประณีตขึ้น เพียงแต่นึกก็ได้แล้ว หรือเทวดาที่ละเอียดกว่านั้น มีคนนึกให้อีก ยิ่งเกิดสุขกาย สุขใจ จนแทบจะไม่เห็นเลย
ท่านอาจารย์ ไม่ต้องให้ใครนึก แค่อยาก ไม่อยากดีกว่าหรือไม่ ยังไม่ต้องให้คนอื่นมาเนรมิต
อ.อรรณพ แค่จิตที่คิดอยาก ก็มีเทวดาที่ท่านสูงมาก ท่านก็กุศลวิบากมาก
ท่านอาจารย์ แม้มีทุกอย่างก็ยังมีโลภะ เทวดาไม่ได้อยู่เฉยๆ ไปสนุกที่สวนนันทวัน ธรรมไม่ผิด สุขเวทนาไม่มีจบ ขณะที่พอใจก็ขวนขวายแล้ว ติดข้องแล้ว
อ.อรรณพ ขณะที่พอใจ ขณะนั้นก็เป็นความขวนขวายของจิต เจตสิก ที่เกิดขึ้นมีวิริยะ มีอะไร
ท่านอาจารย์ ชั่วขณะแล้วดับ แล้วก็พอใจอีกแล้ว
อ.อรรณพ ต่อให้มีคนมาเนรมิตให้ จัดการให้ แต่ขณะที่โลภะเกิด ขณะนั้นก็ต้องมีความขวนขวายด้วยการทำหน้าที่ของเจตสิกต่างๆ
ท่านอาจารย์ กุศลธรรมเป็นกุศลธรรม อกุศลธรรมเป็นอกุศลธรรม
อ.วิชัย สักครู่ท่านอาจารย์กล่าวถึงสุขเวทนา และยังมีความขวนขวาย มีความปรารถนา มีความต้องการ แต่ถ้าจะคิดออกเป็นสองอย่างคือ ทุกข์ ตัวเวทนาเป็นทุกข์กับตัวที่เป็นความต้องการ เป็นความเร่าร้อนด้วยตัณหา ความไม่พอเป็นทุกข์ ลักษณะของความทุกข์คือลักษณะของเวทนาเองที่เปลี่ยนแปลงเป็นทุกข์ กับการทุกข์ด้วยการที่จะต้องมีการแสวงหาต่างๆ ที่เป็นกิเลส
ท่านอาจารย์ โสมนัสเวทนาเกิดกับจิตอะไร
อ.วิชัย โลภมูลจิตก็ได้
ท่านอาจารย์ ก็ได้ หมายความว่า ถ้าไม่พูดถึงวิบาก ไม่พูดถึงกิริยา ปกติทั่วๆ ไปใช่ไหม กุศลก็ได้
อ.วิชัย หมายถึงว่าความต้องการเป็นเหตุให้ทุกข์หรือ
ท่านอาจารย์ สุขไม่ได้จบ หรือจบแล้ว
อ.วิชัย ยัง
ท่านอาจารย์ ก็หาไปอีก นั่นคือทุกข์ที่หาสุขไปเรื่อยๆ
อ.วิชัย ที่มีข้อความว่า ตัณหาคือเมื่อเกิดย่อมนำทุกข์มา
ท่านอาจารย์ เพราะถ้าไม่มีตัณหา ไม่มีความติดข้อง จะทุกข์ไหม ธรรมดาทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
อ.วิชัย ยังมีอยู่ เพราะสะสมมายังมี
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเมื่อไรหมด
อ.วิชัย ต้องถึงความเป็นพระอรหันต์
ท่านอาจารย์ ก็ต้องมีหนทางคือปัญญา ความเห็นถูก ค่อยๆ สะสมไปทีละเล็กทีละน้อย
อ.วิชัย คำว่า ทุกข์กับทุกขลักษณะคืออย่างไร
อ.อรรณพ ถ้าเราจะพูดถึงความหมายสภาพธรรมที่เป็นทุกข์ ก็คือจิต เจตสิก รูป ใช่หรือไม่ ซึ่งอาศัยปัจจัยปรุงแต่งเกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้นที่จิต เจตสิก รูป นั่นแหละมีลักษณะที่ต้องเกิดและดับ ก็เป็นทุกขลักษณะคือทนอยู่ไม่ได้ ต้องดับไป หรือถ้าจะมองในมุมที่ว่า ไม่เที่ยงก็ได้ ก็คือไม่เที่ยง หรือว่าโดยที่ไม่มีใครบังคับบัญชา เพราะอาศัยปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นเป็นไปแล้วก็ดับ ก็เป็นอนัตตา แต่ก็คือสภาพที่ไม่สามารถที่จะยั่งยืนอยู่ บีบคั้น เกิดแล้วดับ คือตัวสภาพธรรมเขามีลักษณะเป็นอย่างนั้นเอง ท่านจึงแสดงลักษณะสามออกมาว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
อ.วิชัย หมายความว่าการรู้ในลักษณะของจิต เจตสิก รูป ที่เป็นทุกข์ หรือสังขารทุกข์ ลักษณะคือทุกข์ หรือว่าไม่เที่ยง อนัตตะ จะปรากฏใช่ไหม โดยการรู้ตัวทุกข์
อ.อรรณพ ตัวทุกข์ก็คือตัวสภาพธรรมที่เกิดดับ สภาพธรรมที่เกิดดับและปรากฏให้รู้ได้ ก็เป็นความจริงที่ให้รู้ได้ ก็เป็นทุกขสัจจะ เป็นความจริงที่ปรากฏให้รู้ และเป็นความจริงที่ปรากฏให้รู้อยู่ขณะนี้ สีบ้าง เห็นบ้าง คิดบ้าง ได้ยินบ้าง อะไรก็แล้วแต่ เป็นสภาพที่เกิดแล้วดับ และปรากฏให้รู้ ก็เป็นความจริงที่ควรรู้ ก็คือทุกขสัจจ์ เมื่อรู้ก็แล้วแต่ระดับปัญญาจะรู้แค่ไหน ระดับของปัญญาจะรู้ถึงขั้นไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ก็จะต้องสูงกว่าปัญญาที่เริ่มรู้ว่าเป็นของจริงอย่างหนึ่ง เป็นธรรม เพราะฉะนั้นปัญญาก็ต้องต่างระดับกันด้วย ที่จะรู้ในความเป็นทุกข์ ไม่เที่ยงหรือเป็นอนัตตา ก็ต้องเป็นปัญญาที่มากกว่าปัญญาที่เพียงรู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง จริงๆ
อ.วิชัย เมื่อสักครู่สนทนากับอาจารย์อรรณพว่า การรู้เข้าใจ อย่างเช่นสิ่งที่ปรากฏทางตาต่างๆ ก็รู้ว่าเป็นทุกข์
ท่านอาจารย์ เพียงเข้าใจเรื่องราวของเห็น ว่าเห็นนี้ขณะนี้เกิดแล้วก็ดับ
อ.วิชัย ขณะนี้ก็กำลังเห็น
ท่านอาจารย์ กำลังเห็น แต่ไม่ได้เห็นการเกิดดับ แต่ว่าเริ่มเข้าใจเรื่องราวของเห็น ว่าเห็นขณะนี้ ซึ่งเหมือนไม่ดับเลย ความจริงเห็นเกิดแล้วดับ เห็นทุกข์หรือยัง
อ.วิชัย เริ่มเข้าใจแล้ว
ท่านอาจารย์ แค่เข้าใจเรื่องราวของทุกข์ แต่ไม่ได้เห็นทุกข์ ไม่เห็นการเกิดดับ
อ.วิชัย หมายถึงว่าลักษณะต้องปรากฏก่อนหรือไม่ จึงจะเห็นทุกขลักษณะ ถึงลักษณะของเขา
ท่านอาจารย์ แน่นอน ไตรลักษณะของสภาพธรรมทุกอย่างที่เกิด อนิจจัง ไม่เที่ยง สภาพธรรมที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ แล้วก็บังคับบัญชาไม่ได้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สามัญญลักษณะของสภาพธรรมทั้งหมดที่เกิดต้องเป็นอย่างนี้
ผู้ฟัง เรื่องของทุกข์และท่านอาจารย์แสดงว่า ที่เราแสวงหาความสุขในชีวิตประจำวันก็คือกำลังแสวงหาความทุกข์ แม้แต่ได้ฟังอย่างนี้แล้ว แต่ในชีวิตประจำวันความเป็นจริงเราก็ยังแสวงหาความสุข เพื่อที่จะให้มีความสุขในชีวิตประจำวัน แสวงหาในทุกๆ วันเลย แล้วเราฟังเรื่องของทุกข์ เรื่องว่าแสวงหาความสุขแล้วเป็นทุกข์ เราฟังไปทำไม
ท่านอาจารย์ ฟังความจริงต้องไตร่ตรอง เราคิดอย่างหนึ่ง แต่ว่าความจริงเป็นอย่างที่เราคิดหรือว่าเป็นอีกอย่างหนึ่ง สุขเกิดขึ้นแล้วดับไหม
ผู้ฟัง ดับ
ท่านอาจารย์ แสวงหาไปเรื่อยๆ
ผู้ฟัง ก็เป็นความจริงที่ยังต้องแสวงหาไปเรื่อยๆ
ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้
ผู้ฟัง เพราะไม่รู้ จึงแสวงหาไปเรื่อยๆ
ท่านอาจารย์ เกิดแล้วดับ ดีไหม
ผู้ฟัง ไม่ดีแน่
ท่านอาจารย์ ตอบว่าไม่ดี แน่นอน
ผู้ฟัง ไม่ดี แต่ก็ยังแสวงหา
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นปัญญาไม่พอ ที่จะรู้ว่าไม่ดีแน่ๆ รู้นิดเดียวว่าไม่ดีแค่นั้นเอง แต่ถ้ารู้แน่นอนว่าไม่ดีด้วยปัญญาที่รู้จริงๆ จะต่างกัน ความรู้ต่างขั้น
ผู้ฟัง ที่ฟังอยู่นี่คือ ปัญญายังรู้ไม่พอความจริง
ท่านอาจารย์ แน่นอน พอก็คือเป็นพระอรหันต์
ผู้ฟัง เมื่อปัญญายังไม่พอ ก็ยังต้องแสวงหาความสุข โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นความทุกข์
ท่านอาจารย์ แสวงหาความจริง หรือความสุข
ผู้ฟัง จนกว่าเมื่อได้ฟังธรรมมีความเข้าใจมีปัญญามากขึ้น ที่รู้ความจริง
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง
ผู้ฟัง ตราบนั้นจึงไม่แสวงหาความสุขที่จริงๆ แล้วคือความทุกข์
ท่านอาจารย์ พระอรหันต์ไม่แสวงหาแน่
อ.วิชัย กล่าวถึงเรื่องความทุกข์ระยะหนึ่งแล้วก็มีความสุขด้วย อันนี้เป็นข้อความในอุทาน ซึ่งพระผู้มีพระภาคหลังพระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว หลังตรัสรู้พระองค์ก็กล่าวอุทานว่า วิเวกเป็นสุขของผู้ยินดี มีธรรมอันสดับแล้วพิจารณาเห็นอยู่ ความไม่เบียดเบียนคือความสำรวมในสัตว์ทั้งหลาย เป็นสุขในโลก ความเป็นผู้มีราคะไปปราศแล้ว คือความก้าวล่วงซึ่งกามทั้งหลายเสียได้ เป็นสุขในโลก ความนำออกซึ่งอัสมิมานะเสียได้นี้แล เป็นสุขอย่างยิ่ง กราบเรียนท่านอาจารย์ซึ่งวิเวกในที่นี้อรรถกถากล่าวว่าเป็นพระนิพพาน เป็นสุขของผู้ยินดี
ท่านอาจารย์ ถ้ายังแสวงหาสุขอื่น ยินดีในนิพพานหรือไม่
อ.วิชัย นิพพานยังไม่รู้จัก
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็แสวงหาความสุขอื่นไป เพราะไม่รู้จักนิพพาน
อ.วิชัย และที่ว่านิพพานเป็นสุขคืออย่างไร
ท่านอาจารย์ ก็ต้องรู้จักนิพพาน ถ้าไม่รู้จักนิพพานจะรู้ได้อย่างไรว่านิพพานเป็นสุข
อ.วิชัย คิดว่าคงต้องต่างกับทุกข์แน่ๆ ตรงกันข้ามกัน
ท่านอาจารย์ ธาตุที่ไม่เกิด จะนำความเดือดร้อนมาให้ได้ไหม
อ.วิชัย ไม่ได้ ที่กล่าวคือไม่ใช่สังขารทุกข์ แต่ว่าคือเป็นธรรมที่ตรงกันข้าม
ท่านอาจารย์ เพียงคิดง่ายๆ ทุกข์ทั้งหลายมาจากการเกิดขึ้น ถูกต้องหรือไม่ ถ้าไม่มีอะไรเกิดเลย ทุกข์จะมีได้ไหม
อ.วิชัย มีไม่ได้แน่นอน
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสงบอย่างยิ่งคือไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ต้องคิดนึก ไม่ต้องเป็นทุกข์ใดๆ เลย
อ.วิชัย และที่ว่ามีธรรมอันสดับแล้ว พิจารณาเห็นอยู่
ท่านอาจารย์ เวลานี้เห็นเกิดดับ เห็นหรือยัง สดับแล้ว แล้วก็สดับว่าขณะนี้เห็นเกิดดับ พิจารณาหรือไม่ เข้าใจขึ้นหรือไม่ และเกิดดับจริงๆ หรือไม่
อ.วิชัย ก็ต้องเป็นปัญญาความเข้าใจตามลำดับ
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง
อ.วิชัย ความไม่เบียดเบียนคือความสำรวมในสัตว์ทั้งหลาย เป็นสุขในโลก
ท่านอาจารย์ เบียดเบียนเขาเพราะอะไร
อ.วิชัย เพราะยังมีอกุศลอยู่
ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นสุขแล้วจะเบียดเบียนไหม
อ.วิชัย ไม่ และความเป็นผู้มีราคะไปปราศแล้ว คือความก้าวล่วงซึ่งกามทั้งหลายเสียได้ เป็นสุขในโลก
ท่านอาจารย์ ถ้าตราบใดที่ทุกสิ่งทุกอย่างยังเป็นที่ยินดีก็ต้องการ แม้ว่าเกิดดับก็ยังยินดี พระโสดาบันประจักษ์การเกิดดับก็ยังยินดี เพราะฉะนั้นถ้าหมดความยินดีก็เป็นสุขในโลก
อ.วิชัย เพราะท่านขยายว่า ตรงนี้คือท่านมุ่งหมายถึงพระอนาคามีบุคคล
ท่านอาจารย์ ก็ในเรื่องของกาม เฉพาะกามอย่างเดียว แต่กามรวมความหมายอื่นด้วย
อ.วิชัย อย่างเช่นขณะนี้ก็รู้สึกว่าจะยังมีความพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส
ท่านอาจารย์ ปุถุชนแน่นอน พระโสดาบันแน่นอน พระสกทาคามีก็มี แต่พระอนาคามีไม่ยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แต่ยังมีความยินดีในภพ ในความเป็น ก็ยังไม่หมดความยินดี
อ.วิชัย อย่างเช่นทานอาหารอร่อยๆ ก็รู้ว่าเป็นสุข แต่ถ้าไม่ยินดีในอาหารอร่อยเป็นสุขอย่างไร
ท่านอาจารย์ ทำได้หรือไม่
อ.วิชัย ไม่ได้
ท่านอาจารย์ มีแต่ถ้า แต่ว่าต้องรู้ความจริงว่า ตราบใดที่ยังมีเหตุของสุขเวทนา สุขเวทนาก็ต้องเกิด แม้เป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังมีสุขเวทนา แต่ไม่ติดข้อง ไม่ใช่ว่าจะไม่ให้สุขเวทนาเกิด พระอรหันต์ก็ยังมีโสมนัสเวทนา จะไม่ให้โสมนัสเวทนาเกิดเมื่อมีเหตุที่จะเกิดก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุกอย่างก็มีความเข้าใจที่มั่นคง เกิดเพราะมีเหตุปัจจัยที่ทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น คือตามปัจจัยที่ทำให้เป็นอย่างนั้น
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 781
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 782
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 783
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 784
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 785
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 786
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 787
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 788
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 789
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 790
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 791
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 792
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 793
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 794
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 795
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 796
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 797
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 798
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 799
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 800
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 801
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 802
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 803
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 804
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 805
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 806
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 807
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 808
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 809
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 810
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 811
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 812
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 813
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 814
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 815
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 816
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 817
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 818
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 819
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 820
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 821
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 822
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 823
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 824
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 825
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 826
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 827 --- ไม่ถอดเทป
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 828
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 829
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 830
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 831
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 832
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 833
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 834
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 835
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 836
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 837
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 838
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 839
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 840
