พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 824
ตอนที่ ๘๒๔
ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
วันอาทิตย์ที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖
ท่านอาจารย์ อริยสาวิตรี เป็นเบื้องต้นของพระไตรปิฎก เพราะถ้าไม่มีศรัทธา เลื่อมใสในพระปัญญาคุณ ในพระบริสุทธิคุณ ในพระมหากรุณาคุณ จะได้ฟังพระธรรมหรือไม่ เพราะบุคคลในครั้งโน้นได้ยินได้ฟัง และเทศนาอีกมากหลายสืบต่อมาใน ๔๕ พรรษา เพราะอริยสาวิตรี ความเลื่อมใสในพระพุทธรัตนะ ในพระธรรมรัตนะ ในพระสังฆรัตนะ เป็นเบื้องต้น ที่จะได้ยินได้ฟัง ข้อความทั้งหมดในพระไตรปิฎก
ผู้ฟัง ขณะนี้ก็ยังมีความเร่าร้อนที่อยากจะดู แล้วอะไรที่จะดับความเร่าร้อนซึ่งเป็นทุกข์นี้ได้
ท่านอาจารย์ ความเข้าใจถูก นี่จะมาดับแล้วใช่ไหม จะมาดับความเร่าร้อน แทนที่ฟังธรรมเพื่อเข้าใจความจริง ผิดแล้ว ไม่มีอะไรจะไปดับความเร่าร้อนได้เลย ธรรมเป็นธรรม ความเร่าร้อนเกิดแล้ว จะให้เป็นความไม่เร่าร้อนไม่ได้ แต่ปัญญาความเห็นถูกเกิดแล้ว จะให้เห็นผิดก็ไม่ได้ อย่างที่กล่าวเมื่อสักครู่ ไม่ใช่พอฟังแล้วไม่โกรธ ฟังแล้วไม่ติดข้อง แต่สภาพของจิตที่สะสมมานานแสนนาน มีทุกอย่างครบและยังสะสมเพิ่มขึ้น การฟังเพื่อเข้าใจ ค่อยๆ ไปละคลายการสะสมในจิต ซึ่งเป็นอนุสัยและสะสมมา มีปัญญาเท่านั้นอย่างเดียวที่จะทำให้กิเลสทั้งหลายเบาบางลงไปได้
เพราะฉะนั้นไม่ใช่ฟังแล้ว ทำอย่างไรถึงจะไม่อยากดูโอชิน แต่ทำอย่างไรถึงจะมีความเห็นถูก ความเข้าใจถูก อาจหาญที่จะรู้ว่าสิ่งนั้นเกิดแล้ว ไม่ใช่จะไปทำให้เกิด คุณนิรันดร์จะไม่รู้เลยว่า กำลังดูโอชินกับก่อนดู ขณะไหนเร่าร้อนกว่ากัน
ผู้ฟัง ก่อนดูเร่าร้อนกว่า
ท่านอาจารย์ แต่เวลาดูจริงๆ ใครจะรู้ใช่ไหม ยังไม่ได้ดู แล้วจะรู้ได้อย่างไร ว่าจะเร่าร้อนน้อยกว่าก่อนดู ไม่มีทางที่จะไปคาดคะเนได้เลย จนกว่าสิ่งนั้นเกิดเมื่อไร จึงสามารถที่จะรู้ความจริงว่าเปลี่ยนไม่ได้ เพราะเหตุว่าเกิดแล้วเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นอาจหาญร่าเริงคือลักษณะของปัญญา กล้าหาญ มีความเพียร มีสภาพธรรมฝ่ายดีงาม ต้องอาศัยเกื้อกูล ทำให้ความมั่นคงของการที่จะเห็นประโยชน์ของความเห็นถูกเพิ่มขึ้น อย่างที่บอกว่าก่อนจะได้ดูเร่าร้อนมาก คิด แต่จะรู้หรือว่าจะได้ดูอะไรในเรื่องนั้น อาจจะเร่าร้อนยิ่งกว่า ตื่นเต้นยิ่งกว่า อะไรยิ่งกว่าก่อนนั้นก็ได้ เพราะฉะนั้นต้องรู้เฉพาะสิ่งที่เกิดแล้ว
ผู้ฟัง ผมไม่เข้าใจที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ความเข้าใจเป็นธรรมเป็นเหตุที่จะให้ดับความเร่าร้อนนี้ได้ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น
ท่านอาจารย์ เมื่อปัญญาเจริญขึ้น ไม่ใช่แค่ฟัง เพราะอวิชชามีมากเท่าไร เทียบกับฟังเท่าไร แล้วจะไปทำให้ความเร่าร้อนที่สะสมมามากมายมหาศาลหมดไป ไม่เกิดเพียงได้ฟัง หรือแม้ความคิดของคุณนิรันดร์ที่ถามว่า แล้วทำอย่างไรถึงจะไม่เป็นอย่างนี้ ก็ผิด แปลว่าไม่ได้มีความเข้าใจเลยว่า ทำไม่ได้ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย อย่าคิดว่าจะหมดความยินดีพอใจในกามมูปธิ ต้องเป็นถึงพระอนาคามีบุคคล ใกล้ที่จะถึงความเป็นพระอรหันต์
ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้นท่านอาจารย์กำลังกล่าวว่า แม้ความเร่าร้อนอย่างนี้ก็เป็นธรรมดาของปุถุชนเป็นปกติธรรมดา
ท่านอาจารย์ เกิดหรือยัง
ผู้ฟัง มีปัจจัยที่จะเกิด
ท่านอาจารย์ เกิดแล้ว เป็นแล้ว แก้ไขอย่างไร เพราะดับแล้วด้วย แต่รู้ได้ว่าถึงจะอย่างไรก็ไม่เที่ยงสักอย่าง ไม่ว่าอะไรทั้งหมดที่เกิดแล้วต้องดับ จึงจะได้สาระ รู้ความจริงยิ่งขึ้นว่า ประโยชน์อะไรในการที่เกิดมา เดี๋ยวเร่าร้อนด้วยโลภะ เดี๋ยวเร่าร้อนด้วยโทสะ ประโยชน์ที่แท้จริงคือได้เข้าใจความจริง เพราะอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ถ้าไม่รู้ความจริง
ผู้ฟัง แล้วเราจะรู้ว่าเรื่องของโอชินไม่มีสาระ เป็นเรื่องราวคิดนึกต่างๆ แล้วก็นำมาซึ่งความทุกข์ นำมาซึ่งความเร่าร้อน แม้เราจะรู้อย่างนั้น ไม่ใช่ไม่รู้ รู้ว่าไม่มีสาระ รู้ว่าเป็นทุกข์ แต่ก็ยังยินดีกับสิ่งซึ่งไม่เป็นสาระ แต่ก็ยังยินดีกับสิ่งที่จะนำมาซึ่งความทุกข์ ก็ยังเป็นอย่างนั้น เป็นความจริง
ท่านอาจารย์ เพราะไม่ใช่คุณนิรันดร์
ผู้ฟัง เพราะไม่ใช่คุณนิรันดร์ ไม่เข้าใจหมายถึงอย่างไร
ท่านอาจารย์ เป็นธรรม
ผู้ฟัง เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ เป็นธาตุแต่ละอย่าง เปลี่ยนแข็งให้เป็นกลิ่นได้หรือไม่
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าสะสมมาที่จะเร่าร้อน เปลี่ยนให้เป็นอื่นได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ และธาตุอื่นๆ เมื่อเกิดขึ้นเป็นธาตุนั้นๆ เปลี่ยนได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ นี่คือความเข้าใจถูกต้อง ว่าโกรธเป็นโกรธ เห็นเป็นเห็น คิดนึกเป็นคิดนึก เป็นธาตุแต่ละหนึ่ง
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์บอกให้เริ่มต้นที่จะเข้าใจความเป็นจริงของสภาพธรรมก่อน
ท่านอาจารย์ เกิดมาทุกอย่างที่มีก็หมดไป เร็วมากเลยก็ไม่รู้ แล้วก็จากไปหมด โดยไม่รู้เลย กับเริ่มเข้าใจถูก เห็นถูก รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ
ผู้ฟัง การเข้าใจว่าเราจะไม่ไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ กับการเข้าใจว่าธรรมเหล่านั้นทรงไว้ซึ่งทุกข์ เพื่อที่จะให้ได้เข้าใจธรรมที่ถูกต้องอย่างไร
ท่านอาจารย์ ต้องค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะเพียงแค่ฟังแล้วจะไม่มีทุกข์ เป็นไปไม่ได้ แต่อาศัยความเข้าใจเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จะให้ไม่พ้นทุกข์ จะให้พ้นทุกข์ ใครทำได้
ผู้ฟัง ไม่ได้ ไม่มีใครทำได้
ท่านอาจารย์ ต้องเป็นความเข้าใจเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ในสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ด้วย เช่น ได้ยินคำว่า อุปธิ ธรรมซึ่งทรงไว้ซึ่งทุกข์ หมายความถึงทุกอย่างที่เกิดต้องดับ ทรงไว้ซึ่งการที่เพียงเกิดขึ้นแล้วต้องดับ สภาพนั้นเป็นทุกข์ แต่ในบรรดาธรรมทั้งหมดที่เป็นอุปาทาน ความยึดมั่นมี ๔ แสดงให้เห็นว่า แม้ธรรมจะหลากหลายมาก แต่ธรรมซึ่งเป็นอุปาทานการยึดมั่นมี ๔ คือกามุปาทาน ชัดเจนทุกวันมีใครบ้างที่ไม่ติดข้องในรูปที่ปรากฏทางตา ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ เพราะฉะนั้นกามุปาทานก็ทั่วไปหมด นอกจากกามุปาทานแล้ว ยังมีการติดข้องในความเห็นผิด ถ้ามีความเห็นผิดแล้ว ยากที่จะกลับเพราะเหตุว่ายึดมั่นในความเห็นนั้น แต่ถ้าไม่ถึงกับยึดมั่น ทุกคนมีความเห็นผิด แต่สามารถที่จะได้ยินได้ฟังและพิจารณาไตร่ตรอง ว่าสิ่งใดเป็นความถูกก็ทิ้งสิ่งที่ผิด แต่สำหรับคนที่ยึดมั่นในความเห็นผิดไม่ทิ้งเลย จะเห็นได้เลยจริงๆ แม้แต่ปฏิปัตติก็กลายเป็นสำนักปฏิบัติตามความคิดเห็น โดยไม่เข้าใจว่า ธรรมเป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง เลือกไม่ได้เลย สิ่งหนึ่งสิ่งใดยังไม่เกิด รู้ไม่ได้ สิ่งใดที่หมดไปแล้ว ก็รู้ไม่ได้ แต่สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เป็นสิ่งที่สามารถที่จะรู้ได้ นี่เป็นความเห็นถูกหรือความเห็นผิด
เพราะฉะนั้นสิ่งใดก็ตามที่ถูกก็คือถูก ถ้าผิดก็คือผิด ถ้ายังไม่ทิ้งความเห็นผิดก็เป็นทิฏฐุปาทาน ไม่มีทางจะกลับมาสู่ความเห็นถูกได้ เพราะฉะนั้นในบรรดาอุปาทาน กามุปาทาน เป็นของธรรมดาสำหรับทุกคน ทิฏฐุปาทานสำหรับผู้ยืดมั่นในความเห็นผิด แม้แต่ว่าทุกอย่างเป็นธรรมในภาษาบาลี แต่ภาษาไทยก็คือทุกอย่างที่มีจริงๆ เป็นสิ่งที่มีจริง ใครบอกว่าไม่จริงได้ อย่างเห็นมีจริงๆ จะบอกว่าเห็นไม่จริง ช่วยไม่ได้เลย ถึงขนาดที่ว่ากำลังเห็นแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเห็นจริง ได้ยินจริง คิดนึกจริง ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม
เพราะฉะนั้นถ้าจะรู้ธรรม จะศึกษาธรรม จะเข้าใจธรรม ก็เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ในขณะนี้ ไม่ใช่ว่าไปรู้เพียงบางสิ่งบางอย่าง แล้วเข้าใจว่าดับกิเลสได้ ถ้าอย่างนั้นก็เป็นการไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่ทรงแสดงให้ไม่รู้สิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ แม้แต่สิ่งใดที่ผ่านไปแล้วหมดไปแล้ว ก็ไม่ควรคำนึงถึง เพราะจะคิดสักเท่าไร ก็ไม่สามารถที่จะไปรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร หรือว่าสิ่งที่ยังไม่มาถึงก็เช่นเดียวกัน
เพราะฉะนั้นในขณะนี้ สิ่งใดก็ตามเกิดแล้วปรากฏเป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง ถูกหรือผิด และถ้าไม่รู้ จะไปรู้อะไร และถ้ายังคิดว่าไม่รู้สิ่งที่ปรากฏนี้แหละ แล้วจะรู้แจ้งหมดกิเลสหมดการยึดถือได้ ก็ผิด เพราะฉะนั้นทิฏฐุปาทานก็นำไปสู่สีลัพพตุปาทาน การประพฤติปฏิบัติหนทางที่ผิด เพราะเข้าใจว่าหนทางนั้นจะทำให้ดับกิเลสได้ และอีกอุปาทานหนึ่งก็คืออัตตวาทุปาทาน เชื่อมั่น เข้าใจมั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลงว่า สิ่งที่มีจริงๆ คือสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด คนเป็นคน ดอกไม้เป็นดอกไม้ โต๊ะเป็นโต๊ะ ไม่ได้เข้าใจเลยว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาได้เท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้นแข็งก็คือแข็ง แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้ ก็เป็นอัตตวาทุปาทาน เข้าใจว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เพราะเหตุว่าถ้ารู้จริงๆ เฉพาะสิ่งเดียวสิ่งนั้นต้องเกิดแล้วดับ ให้รู้ว่าความจริงสิ่งนั้นเป็นสิ่งเดียวไม่เป็นสิ่งอื่น ก็ต่อเมื่อเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นแล้วก็ดับไป จึงจะค่อยๆ ละคลายความเห็นผิด และการยึดมั่นในอัตตวาทุปาทาน ซึ่งอีกความหมายหนึ่งก็หมายความถึงสักกายทิฏฐิ หมายความว่านอกจากยึดมั่นสิ่งอื่นที่ปรากฏว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่สามารถที่จะเข้าใจถูกว่าเป็นแต่ละสิ่งที่รวมกัน เกิดดับอย่างรวดเร็วก็ไม่ปรากฏ เพียงปรากฎนิมิตรูปร่างสัณฐาน ให้ทรงจำเข้าใจว่ามีสิ่งนั้นที่เที่ยงไม่ได้ดับเลย แต่สักกายะคือที่ยึดถือว่าเป็นตัวตนของเราแต่ละคน
เพราะฉะนั้นถึงแม้อุปธิ เป็นสภาพซึ่งทรงไว้ซึ่งทุกข์ แต่เมื่อทุกอย่างเป็นอุปธิก็มีอุปาทาน หมายความว่าการยึดมั่นซึ่งมีสี่อย่าง ได้แก่ การยึดมั่นติดข้องในกาม รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นกามุปาทาน ๑ ยึดมั่นในความเห็นผิด ทิฏฐุปาทาน ๑ ทำให้มีข้อประพฤติปฏิบัติที่ไม่ตรง เป็นสีลัพพตุปาทาน ๑ และอัตตวาทุปาทาน ยังยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ความยินดีพอใจมีไหม
อ.อรรณพ มี
ท่านอาจารย์ แล้วติดข้องในอะไร
อ.อรรณพ ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ
ท่านอาจารย์ รู้หรือไม่
อ.อรรณพ เพราะไม่รู้
ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้ จึงได้ทรงแสดงให้รู้
อ.อรรณพ แม้จะครอบคลุมขันธ์แล้ว แต่ก็จำแนกไป
ท่านอาจารย์ แม้แต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่าง อะไรๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เป็นขันธ์ เป็นอุปธิ ก็ยังแสดงกิเลสูปธิ อุปธิที่เป็นกิเลส รูปไม่เป็นกิเลส ก็ต้องแสดงตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงวาจาสัจจะ กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ให้มีความเห็นถูก ให้มีความเข้าใจถูกของแต่ละอย่าง แม้จะกล่าวว่าทุกอย่างเป็นอุปธิเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง แต่ก็ยังจำแนกตามประเภทของธรรมนั้นๆ ด้วย
อ.กุลวิไล ทำไมกิเลสถึงเป็นธรรมที่ทรงไว้ซึ่งทุกข์
อ.ธิดารัตน์ กิเลสก็คืออกุศลเจตสิกต่างๆ ที่เกิดขึ้นกลุ้มรุมจิต และโดยความหมายของกิเลสก็เป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต ขณะที่อกุศลเจตสิกทั้งหลายเกิดขึ้นกลุ้มรุม ขณะนั้นจิตก็เศร้าหมอง โดยความหมายของกิเลส ท่านก็จำแนกออกมามากมาย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วกับจิต และทำให้จิตเศร้าหมองเรียกว่ากิเลส โดยความเป็นอุปธิ กิเลสเกิดแล้วก็ดับไป และขณะที่มีโลภะ โทสะ โมหะเกิด นอกจากทำให้จิตเศร้าหมองแล้ว ขณะนั้นก็เป็นทุกข์อยู่แล้ว เพราะว่าสภาพธรรมนั้นนอกจากตัวเขาจะทำให้เศร้าหมองแล้ว เกิดและดับไปโดยความหมายของทุกขอริยสัจจ์แล้ว ยังมีผล ให้ผลเป็นทุกข์ด้วย โดยความหมายของกิเลส
อ.กุลวิไล มีผู้ที่เขียนมาเรียนถามว่า ในการให้ผลของกรรมก็ได้ฟังว่า จะกล่าวถึงอุปธิสมบัติและอุปธิวิบัติ ซึ่งอุปธิในที่นี้ท่านหมายถึงรูปร่าง หน้าตา ผู้ศึกษาจะเข้าใจได้อย่างไรสำหรับคำว่าอุปธิ
ท่านอาจารย์ อุปธิเป็นขันธ์หรือไม่ ที่เกิด รูปร่างหน้าตาเป็นขันธ์หรือไม่
อ.กุลวิไล เป็น
ท่านอาจารย์ อะไรจะพ้นจากอุปธิ ทุกอย่างที่เกิดแล้วดับ
อ.กุลวิไล นัยที่ท่านแสดงถึงการให้ผลของกรรม ต้องอาศัยสมบัติและวิบัติ ถ้ารูปร่างหน้าตาไม่ดี ก็คงไม่มีใครเลือกให้มาเป็นผู้นำ หรือว่ามาเป็นพระราชา พิการคงไม่เอาแน่นอน แต่ถ้าเป็นผู้ที่มีรูปร่างสง่างามก็ได้รับการรับเลือก จะเรียนถามท่านอาจารย์ว่า อุปธินัยที่ท่านกล่าวถึงรูปร่างหน้าตา กับอุปธิธรรมที่ทรงไว้ซึ่งทุกข์
ท่านอาจารย์ ธรรมต้องสอดคล้องกัน และต้องเข้าใจให้ถูกต้องด้วย อุปธิคือธรรมที่ทรงไว้ซึ่งทุกข์ เพราะฉะนั้นมีอะไรบ้างที่เกิดแล้วไม่ดับ ทรงไว้ซึ่งเมื่อเกิดแล้วต้องดับ นั่นคือความหมายของอุปธิ สิ่งใดที่เกิดดับเป็นทุกข์หรือเป็นสุข รูปร่างหน้าตาสวยสักเท่าไร รูปนั้นเกิดดับหรือไม่ เวลาที่ศึกษาธรรมต้องเข้าใจให้ถูกต้องด้วย กล่าวถึงความจริงของรูปขันธ์ จะงามหรือไม่งามเพราะกรรม กุศลกรรมหรืออกุศลกรรมก็ตามแต่ แต่รูปนั้นก็เกิดแล้วไม่เที่ยง รูปสวย เที่ยงไหม หรือเฉพาะรูปไม่สวย ไม่เที่ยง
อ.กุลวิไล ไม่เที่ยงเหมือนกันหมด
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นอุปธิหมายความถึงรูปด้วย
อ.วิชัย ถ้ากล่าวถึงเจตนาเจตสิกและเจตสิกอื่นๆ ที่เป็นสังขารขันธ์ ก็เป็นสังขารคือปรุงแต่ง เหตุใดพระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดงเรื่องของเจตนา กล่าวว่าเป็นอภิสังขารคือปรุงแต่งอย่างยิ่ง
ท่านอาจารย์ ทรงแสดงเฉพาะเจตนา หรือว่าทรงแสดงสภาพธรรมทั้งหมดโดยนัยประการต่างๆ
อ.วิชัย โดยนัยประการต่างๆ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเมื่อทรงแสดงสภาพธรรมที่ปรุงแต่งอย่างยิ่ง ผัสสะปรุงแต่งอย่างเจตนาหรือไม่
อ.วิชัย ไม่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเมื่อกล่าวถึงสภาพธรรมที่ปรุงแต่งอย่างยิ่ง คือเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล และเป็นกุศลประเภทกามาวจร หรือรูปาวจร อรูปาวจรก็ทรงจำแนกไปตามความเป็นจริง พระธรรมทั้งหมดก็เพื่อเข้าใจถูกเห็นถูกโดยนัยหลากหลาย
อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้นไม่พ้นสภาพธรรมที่ทรงไว้ซึ่งทุกข์ ศึกษาแล้วก็ไม่พ้นขณะนี้เอง ขณะนี้ต้องมีสภาพธรรมที่เป็นกาม เป็นรูป เป็นทั้งขันธ์และเป็นสภาพธรรมที่เป็นกิเลส และสภาพธรรมที่เป็นอภิสังขารก็คือเจตนา การกระทำกรรมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม ก็ต้องให้ผล และที่สำคัญผลนี้นำเกิดด้วย ก็ยังเป็นผู้ที่ยังต้องเกิด ก็ยังต้องทรงไว้ซึ่งทุกข์นั่นเอง เพราะฉะนั้นไม่มีขณะใดที่ไม่มีสภาพที่ทรงไว้ซึ่งทุกข์ นอกจากพระนิพพานนั่นเอง เพราะพระนิพพานไม่เกิดและไม่ดับ แต่สภาพธรรมที่เป็นสังขารธรรม เป็นขันธ์ห้าในขณะนี้ เกิดแล้วต้องดับไป
ผู้ฟัง ฟังแล้วก็มีความเข้าใจอุปธิ ธรรมที่ทรงไว้ซึ่งทุกข์ แต่ในชีวิตประจำวันของทุกคน ก็ยังต้องรักษาอัตภาพนี้อยู่ เพราะฉะนั้นความติดข้องในธรรมที่ทรงไว้ซึ่งทุกข์ย่อมมี และไม่ยอมจะจางไปง่ายๆ เลย
ท่านอาจารย์ รักษาสุขภาพร่างกายทั้งรูปธรรมและนามธรรม ไม่ใช่รักษาเพียงอย่างเดียว และเพื่ออะไร อุตส่าห์มีตาดีไม่บอด มีหูดีไม่หนวก เพื่ออะไร ต้องรู้ด้วยว่าเราทนุบำรุงร่างกายจริงๆ เพื่ออะไร ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องกิเลส ซึ่งจะต้องดับได้ด้วยปัญญาขั้นพระอนาคามีบุคคล จึงจะละความติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ก็ต้องเห็นประโยชน์ของการมีตาไม่บอด มีหูไม่หนวก ว่าเพื่ออะไร ถ้าเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน สะสมอกุศลมากๆ กับอยู่เพื่ออะไร รักษาร่างกายให้แข็งแรงเพื่ออะไร ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยเพื่ออะไร หลายท่านซึ่งท่านก็เคยมาที่มูลนิธิแต่ขณะนี้ท่านก็มาไม่ได้เสียแล้ว เพราะขาบ้าง เพราะอะไรบ้างก็แล้วแต่ นั่นก็เป็นสิ่งซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรักษาร่างกาย เพื่อประโยชน์คือการเข้าใจพระธรรม
เพราะฉะนั้นการมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง เพื่ออะไร ถ้าเพื่อบำรุงให้เป็นไปในทางกิเลสอกุศล ซึ่งยับยั้งไม่ได้ กับการเพื่อประโยชน์ยิ่งกว่านั้นคือ เพื่อปัญญาปรากฏ ถ้าปัญญาไม่เกิด ปัญญาปรากฏไม่ได้เลย แม้แต่จะเข้าใจว่าเดี๋ยวนี้ที่กำลังฟัง ได้เข้าใจสิ่งซึ่งแต่ก่อนนี้ไม่ได้เข้าใจอย่างนี้ อาจจะเข้าใจอีกอย่างหนึ่ง แต่พอฟังและพิจารณาไตร่ตรอง ความเข้าใจก็ละเอียดก็มั่นคงขึ้น เพราะฉะนั้นจะเห็นได้จริงๆ วันหนึ่งทุกคนต้องไปแน่จากโลกนี้แน่ๆ เลย แต่ไปไหน ก็น่าคิดใช่ไหม มีมืออีก หรือเปล่า หรือมีแต่ขาเยอะๆ หรือมีหู มีปีก ก็ไม่มีใครสามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น แต่มั่นคงในเหตุและผล กรรมดีก็ย่อมทำให้เกิดผลที่ดี อภิสังขารสำคัญไหม ถึงแม้ว่าจะเป็นอุปธิ แต่ก็เป็นอุปธิที่ปรุงแต่งอย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่กรรมคือเจตนา อยู่เพื่ออะไร ทุกคนลืมว่าจริงๆ แล้วอยู่เพื่ออะไร กินแน่ๆ นอนแน่ๆ แค่กินนอนจริงๆ เดี๋ยวตื่นเดี๋ยวหลับ เดี๋ยวตื่นเดี๋ยวหลับ คงไม่ลืมปฐมจิต ทุติยจิต ปัจฉิมจิต ปฐมจิตคือยังไม่มีอะไรให้เห็น ให้ได้ยินเลยทั้งสิ้นหลับสนิท แต่ก็จะเป็นอย่างนั้นต่อไปไม่ได้ หลับแล้วก็ต้องตื่น เพื่อเห็นชั่วคราว ได้ยินชั่วคราว แต่ชั่วคราวนั้นก็สะสมอกุศลไว้หมดเลย ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่เห็น กี่ครั้งที่ได้ยิน แสดงให้เห็นว่ามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร แต่ถ้ามีชีวิตแล้วมีโอกาสได้เข้าใจ ได้มีโอกาสฟังวาจาสัจจะ พิสูจน์ได้ว่าจริง ทำให้เป็นญาณสัจจะ จนกระทั่งดำเนินไปในหนทางที่จะทำให้รู้ความจริงได้ ปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ
เพราะฉะนั้นอยู่เพื่ออะไร จะอยู่เพื่อกินนอนเหมือนเดิม แต่เพิ่มความติดข้องไปด้วย เพราะเหตุว่าไม่ได้เข้าใจธรรม แต่ก็เหมือนเดิมคือเกิดแล้วก็ต้องกิน ไม่กินก็อยู่ไม่ได้ กินแล้วก็ต้องนอน แต่ก็เพิ่มความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ซึ่งเป็นสาระของชีวิตที่สำคัญที่สุดของการที่เกิดมาแล้ว ทุกอย่างที่ผ่านมาลืมแล้วถึงเดี๋ยวนี้และต่อไป จะเห็นจะได้ยินก็เพื่อลืม อาหารอร่อยมากแล้วก็ลืม สิ่งที่ปรากฏทางตาสวยงามน่าดูมากแล้วก็ลืม เสียงก็น่าฟังมาก เรื่องตื่นเต้น ภาพยนตร์โอชินหรืออะไรก็แล้วแต่ ดูแล้วก็ลืม อย่างไรๆ ก็ลืม เพราะว่าชาติก่อนเห็นอะไรมาแล้วลืมหมด อย่าว่าแต่เรื่องโอชิน ไม่ว่าอะไรทั้งหมดที่มีในชาตินี้ ชั่วขณะที่ปรากฏยังไม่หมดไป ดูเป็นสิ่งที่เป็นสาระสำคัญที่จะต้องน่าพอใจอย่างยิ่ง แต่ชั่วคราวชั่วขณะ แม้ความพอใจนั้นก็หมด และสิ่งนั้นก็ดับด้วย แล้วก็ลืมไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุดก็คือ อยู่เพื่อเข้าใจสิ่งที่มี ที่กำลังปรากฏ
อ.คำปั่น ที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่า ธรรมเป็นสิ่งที่น่าศึกษา น่าฟัง และการที่จะได้ฟังพระธรรม ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่มีศรัทธา เลื่อมใสในพระรัตนตรัย เห็นคุณค่าของพระรัตนตรัย จึงจะมีโอกาสได้ฟังและศึกษาพระธรรม เพราะฉะนั้นดูเหมือนว่าธรรมนี้ก็จำกัดเฉพาะผู้ที่สะสมเหตุที่ดีมาแล้ว เฉพาะผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรมเท่านั้น
ท่านอาจารย์ คุณคำปั่นมีเพื่อนกี่คน
อ.คำปั่น มีหลายคน
ท่านอาจารย์ ฟังธรรมกี่คน
อ.คำปั่น ไม่กี่คน
ท่านอาจารย์ แล้วทำไมไม่ฟัง
อ.คำปั่น เพราะไม่เห็นประโยชน์ และไม่ได้สะสมอุปนิสัยที่ดีมาอย่างนั้น เลยไม่สงสัยว่า เพราะเหตุใดท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี หรือว่าพระอริยสาวกท่านอื่นๆ พอได้ยินคำว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ อุบัติขึ้นในโลกแล้ว ท่านจึงเกิดความปิติ มีความปลาบปลื้มอย่างยิ่งที่ได้ยินคำนี้ ก็เพราะว่าได้สะสมมาแล้วนั่นเอง
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 781
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 782
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 783
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 784
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 785
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 786
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 787
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 788
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 789
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 790
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 791
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 792
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 793
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 794
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 795
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 796
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 797
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 798
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 799
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 800
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 801
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 802
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 803
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 804
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 805
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 806
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 807
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 808
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 809
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 810
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 811
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 812
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 813
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 814
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 815
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 816
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 817
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 818
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 819
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 820
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 821
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 822
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 823
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 824
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 825
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 826
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 827 --- ไม่ถอดเทป
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 828
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 829
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 830
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 831
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 832
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 833
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 834
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 835
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 836
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 837
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 838
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 839
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 840
