พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 781


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๘๑

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๕


    อ.กุลวิไล การสนทนาธรรมในวันนี้ ก็จะเป็นการสะสมความเห็นถูกนั่นเอง ซึ่งจะมีข้อความที่ท่านแสดงถึงว่า หมู่สัตว์นั้นย่อมฟังด้วยดีเงี่ยโสตสดับตั้งจิตเพื่อรู้ทั่ว ดิฉันกราบเรียนท่านอาจารย์ เพราะว่าพระธรรมที่ทรงแสดงลึกซึ้งมาก แม้แต่นัยของพระสูตรก็ไม่พ้นสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ แต่หมู่สัตว์นั้นเป็นผู้ฟังด้วยดี ด้วยดี อย่างไรที่จะเข้าถึงตัวจริงที่กำลังปรากฏในขณะนี้ กราบเรียน

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ด้วยดี คือจะไปทำให้ด้วยดี แต่ฟังเข้าใจสิ่งที่กำลังฟังทุกคำ เพียงคำเดียวอย่างคำว่า ธรรม ได้ยินแล้วก็เข้าใจด้วย สิ่งที่มีจริงในภาษาไทยทุกอย่างที่มีจริงในขณะนี้เปลี่ยนไม่ได้ เป็นสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นสิ่งนั้น เปลี่ยนเป็นสิ่งอื่นไม่ได้ มีความเข้าใจในสิ่งที่ปรากฏจริง อย่างนี้ หรือเปล่า เพราะฉะนั้น เพียงคำเดียวไม่ใช่ว่าเราจะผ่านไปโดยที่ไม่เข้าใจว่า ขณะนี้เรากำลังฟังเรื่องอะไร และฟังด้วยดีเป็นยังไง ไม่ใช่อย่างนั้นเลย แต่ว่ามีสิ่งที่มีจริงๆ แล้วก็ฟังเพื่อที่จะให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงเท่านั้น

    เพราะเหตุว่า ขณะนี้ไม่มีสิ่งอื่นนอกจากสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ มี แต่ว่ายังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง อย่างนี้ชื่อว่าฟังด้วยดี หรือไม่ ฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีจริงขณะนี้ยิ่งขึ้น เพราะรู้ว่า แม้ปรากฏตั้งแต่เกิดจนตายก็ไม่ได้รู้ความจริงเลย เพียงแต่ปรากฏ แล้วก็ไม่ได้ปรากฏตลอดไป ด้วยชั่วคราวจริงๆ ปรากฏแล้วก็หมดไป แต่การเกิดขึ้นปรากฏก็ไม่รู้หมดไปก็ไม่รู้ทั้งๆ ที่ความจริงเป็นอย่างนี้

    เพราะฉะนั้น ฟังไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลย เพื่อเข้าใจ จนกว่าจะรู้ว่าสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง เพียงหนึ่ง ไม่ใช่พร้อมๆ กันหลายอย่าง เพราะฉะนั้น สิ่งที่กำลังปรากฏว่ามีจริงขณะนี้เริ่มเข้าใจถูกต้อง ว่าไม่ใช่สิ่งอื่นที่จะเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้เป็นคน เป็นสัตว์ แต่ว่าลักษณะของสิ่งนั้นเป็นสิ่งซึ่งใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย อย่างขณะนี้ มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ฟังด้วยดี ฟังด้วยดี สิ่งที่กำลังปรากฏ ปรากฏ กำลังปรากฏให้รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงที่ปรากฏให้เห็นได้

    เพราะฉะนั้น ที่เคยเข้าใจว่าเป็นดอกไม้ เป็นคน เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ ขณะนั้น เป็นความเข้าใจถูก หรือเปล่า ไม่ใช่ให้ไปคิดทำอะไรเลยทั้งสิ้น แต่ให้พิจารณาจนกว่าจะเข้าถึง หรือเข้าใจจริงๆ ในความเป็นจริงของสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งยากมาก เพียงเท่านี้ก็ยังเป็นคนนั้น คนนี้ เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ที่ปรากฏให้เห็น เพราะการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วสุดที่จะประมาณได้ ไปเปลี่ยนสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นใบไม้ ดอกไม้ หรือว่าขาโต๊ะ หรือว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏเปลี่ยนได้ หรือไม่ ไม่มีทาง แม้แต่ความเป็นใบไม้ที่ปรากฏก็ต้องเป็นอย่างนั้น แต่สามารถที่จะเข้าถึงความจริงว่าที่กำลังปรากฏ จริงๆ แล้วก็คือแน่นอนที่สุด ต้องเป็นเพียงสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้แต่จะปรากฏในรูปร่างลักษณะอย่างใดก็แล้วแต่เหตุปัจจัย แต่ความจริงที่แน่นอนก็คือว่า เป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้น

    ฟังด้วยดี ไม่ใช่ไปฟังอย่างอื่นเลย และก็พูดบ่อยๆ เพื่อให้พิจารณา ว่าจริงอย่างนี้ หรือเปล่า เมื่อจริงอย่างนี้ ที่เข้าใจว่าเป็นคนต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ที่เป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ เพราะมีสิ่งซึ่งเป็นคำที่เราใช้กันอยู่เป็นประจำ และเข้าใจแล้วก็คือว่า ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ต้องมีแข็ง หรือมีอ่อน เย็น หรือร้อน ตึง หรือไหว และก็สภาพของอาโปธาตุ ที่เกาะกุมสิ่งที่อ่อน หรือแข็ง เย็น หรือร้อน ตึง หรือไหว โดยที่ใครก็ไปสั่ง ไปเปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย นี่คือศึกษาให้เข้าใจความจริงที่เป็นปรมัตถธรรม เป็นธรรมที่มีจริงๆ เราบอกว่าดอกไม้มีจริง แต่สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นสีสันวรรณ แล้วเวลากระทบสัมผัสก็อ่อน หรือแข็ง เวลาที่กลิ่นปรากฏก็เป็นอีกอย่างหนึ่งก็คือสิ่งที่มีจริงแต่ละอย่าง ซึ่งรวมกันแต่ว่าเป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ผู้ที่ทรงตรัสรู้แล้ว ทรงแสดงความจริงให้คนอื่นเริ่มฟังเริ่มเข้าใจเริ่มพิจารณาว่าความจริงเป็นอย่างนี้

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เราเกิดเราตาย ไม่ใช่คนนั้นคนนี้ สิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่เป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งใช้คำว่าธาตุ ธา-ตุ ในภาษาบาลี หรือจะใช้คำว่าธรรมก็ได้ แต่ว่าถ้าเราเข้าใจความหมาย ก็คือสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งใครก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงลักษณะที่มีจริงนั้นให้เป็นอย่างอื่นได้เลย

    ฟังด้วยดี หรือเปล่า นี่ก็คือฟังให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏให้เข้าใจขึ้น ขอยกตัวอย่าง ถ้าเรียกชื่อคุณอรวรรณแค่ได้ยิน ทุกคนจำได้ใช่ หรือไม่ นึกถึงรูปร่างสัณฐาน หรือเย็น ร้อน อ่อน แข็ง หรือไม่ ก็ไม่เลย แต่ชื่อที่จำสิ่งที่เคยปรากฏรูปร่างสัณฐานต่างๆ และก็เคยสนทนากันก็เป็นเรื่องราว ว่าพบกันเมื่อไหร่ครั้งไหนยังไงเป็นต้น นั่นเป็นตัวตนเป็นการจำ ในสิ่งที่ไม่มี เพราะไม่ได้ปรากฏ แต่สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ มี แต่ว่าไม่ได้รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏนี่ก็เป็นความต่างกัน

    เพราะฉะนั้น ก็ต้องเข้าใจแม้แต่คำที่ว่า สิ่งที่มีจริงเมื่อปรากฏว่ามี แล้วเมื่อสิ่งนั้นหมดไปยังคงเป็นสิ่งที่มีจริง หรือไม่ หมดแล้วไม่เหลือเลย นี่คือฟังด้วยดี จนกว่าแม้ว่าเห็น และก็รู้ว่าเป็นคุณอรวรรณ แต่ก็สามารถที่จะเข้าใจถูกว่า เพียงเห็นสิ่งที่ปรากฏ และต้องมีธาตุดินน้ำไฟลมแล้วก็มีอากาศธาตุแทรกขั้นละเอียดยิบ เหมือนกองฝุ่น และเกิดดับอยู่ตลอดเวลา สิ่งใดที่เกิดแล้วสิ่งนั้นก็ดับแล้ว

    จะรู้ หรือไม่รู้ สิ่งนั้นก็เป็นอย่างนั้น นี่คือฟังให้เข้าใจสิ่งที่ปรากฏ ฟังด้วยดี แท้ที่จริงแค่เป็นคุณอรวรรณ แต่สามารถที่จะเข้าถึงความจริงของสิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นคุณอรวรรณ ถ้าไม่มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่มีสิ่งที่จะปรากฏกระทบตา ให้ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานได้เลย

    เพราะฉะนั้น ความจริงแท้ๆ ก็คือว่า มีสภาพธรรม คือ สิ่งที่มีจริงเกิดดับ ปรากฏได้แต่ละทางว่ามีจริงๆ เวลากระทบสัมผัส แข็งมีจริง แต่ก่อนนั้น เข้าใจว่าเป็นดอกไม้ เป็นถ้วยแก้ว เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ มีการจำรูปร่างสัณฐาน เพราะว่ารวมกันจากสิ่งที่ปรากฏทางตา และก็รูปร่างที่ปรากฏด้วย

    เพราะฉะนั้น เวลาที่มีการนึกถึงสิ่งใด ขณะนั้นอะไรจริง คิดจริง และสิ่งนั้นอยู่ที่ไหนแม้แต่เวลานี้ ถ้าเทียบ กำลังคิดถึงคุณอรวรรณ คิดถึง คุณอรวรรณอยู่ที่ไหน เห็นไหม เพราะมีสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็น กว่าจะเข้าใจธรรมว่า คุณอรวรรณอยู่ที่ไหน มี หรือไม่ แต่ว่ามีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว แม้แต่สิ่งที่เคยยึดถือว่ามีจริงๆ เกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก ปรากฏทีละทาง และก็ยังจะคงยึดถือต่อไป ถ้าไม่เข้าใจความจริง

    เพราะฉะนั้น ถ้าประจักษ์แจ้งความจริงของธรรม ไม่ใช่โดยความไม่รู้ และไปนั่งทำอะไร คิดว่าจะได้เห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ และเข้าใจว่าไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา แต่ต้องเป็นความเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ทีละเล็กละน้อยจนกระทั่งสามารถที่จะละความติดข้องได้เพราะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ขณะนี้เข้าใจอย่างนี้ หรือเปล่า คือ การฟังด้วยดี จนกว่าจะเข้าใจความหมายของคำว่า อนัตตา แม้จะพูดว่าไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ก็มีลักษณะเฉพาะ ซึ่งเกิดแล้วดับไป ในความหมายที่ว่า ไม่ใช่ตัวตน หมายความว่า สิ่งนั้นมีเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป สิ่งที่ดับแล้วหมดแล้วก็ไม่ใช่ของใคร และไม่ใช่เป็นใคร ว่างเปล่า จากการที่เคยยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง จนกว่าจะหมดความสงสัยในลักษณะของสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งกำลังปรากฏจริงๆ ด้วยความเข้าใจขึ้น

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์กล่าวถึงฟังด้วยดี นั่นก็คือ ความเข้าใจในสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เพราะว่าจริงๆ แล้ว แท้จริงก็คือ ธรรมทั้งหมด แต่การศึกษา ศึกษาเพื่อที่จะเข้าใจความจริง ที่เรายึดถือในสิ่งที่ปรากฏในขณะนี้ ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นี่คือไถ่ถอนความเห็นผิด และความไม่รู้ในธรรมตามความเป็นจริง

    ท่านอาจารย์ยกตัวอย่างถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ก็คือสิ่งที่ปรากฏทางตา ทุกท่านก็คงมีสิ่งที่ปรากฏทางตาให้รู้ได้ แต่สิ่งเหล่านี้เรายึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือเปล่า หรือแม้แต่บุคคลที่ท่านอาจารย์ยกขึ้นมา ว่าเป็นคุณอรวรรณ ทุกท่านคงจำชื่อคุณอรวรรณได้ และนึกถึงคุณอรวรรณได้ แต่การที่จะเราจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมเรียกว่าคุณอรวรรณ ขณะนั้น รู้ หรือไม่ว่าต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้รู้ได้ทางตา

    เพราะฉะนั้น หาคุณอรวรรณอยู่ที่ไหน ทุกท่านก็คงจะรู้ว่าคุณอรวรรณ ต้องนั่งอยู่ที่หนึ่งที่ใด ที่ต้องมีลักษณะของสัณฐานรูปร่างที่ให้รู้ได้ และจริงๆ แล้วก็คือ สภาพธรรมนั่นเอง ขณะที่คิดถึงชื่อ ก็ไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพธรรม หรือไม่ได้เห็นในสิ่งที่กำลังปรากฏ เหมือนกับที่กำลังเห็นอยู่ในขณะนี้ แต่ความไม่รู้ยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ จะหมดความเป็นตัวตนได้ หรือไม่ สิ่งที่ปรากฏทางตาต้องเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เพราะเหตุว่า ต้องเป็นเพียงสิ่งที่สามารถกระทบกับรูปพิเศษที่อยู่กลางตา และก็มีจิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏเป็นสีสันวรรณต่างๆ จึงปรากฏได้

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรมเพื่อให้ถึงการรู้ความจริงของสัจจธรรม ดอกกุหลาบดับไม่ได้แน่ รวมกันแล้ว เป็นกลีบแต่ละกลีบ และสีอ่อนแก่ก็ต่างกัน แต่ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ได้ปรากฏตลอดเวลา เพราะในขณะนี้ ที่เสียงปรากฏสิ่งที่ปรากฏทางตายังอยู่ หรือไม่ ถ้าสิ่งที่ปรากฏทางตายังอยู่ เสียงก็ปรากฏไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏทางตา ก็ต้องดับไม่สามารถที่จะคงทนต่อไปได้ ตรงกับพระธรรมที่ทรงแสดงว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีความเกิดเป็นธรรมดา สิ่งนั้นก็มีความดับไปเป็นธรรมดา จะห้ามไม่ให้ดับไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วไปจำรูปร่างสัณฐานว่าเป็นอะไร แท้ที่จริง ขณะที่ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐาน สิ่งที่ปรากฏทางตาจริงๆ ดับไปแล้ว อายุสั้นมากแค่ ๑๗ ขณะของจิต เพราะฉะนั้น กว่าจะไถ่ถอนความเป็นเรา หรือความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ด้วยความค่อยๆ เข้าใจความจริง จะพ้นจากกมาฟัง และไตร่ตรองให้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ และกำลังฟังด้วยดี ไม่ใช่คิดเอง แต่ต้องไตร่ตรองว่าเป็นความจริงอย่างนี้ หรือไม่ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเห็นอะไรทั้งหมดปัญญาเท่านั้นที่สามารถที่จะรู้ว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เหมือนกันหมดเลย

    ผู้ฟัง กราบเท้าท่านอาจารย์ที่เคารพ ท่านอาจารย์ สิ่งที่ปรากฏทางตาแล้วจำสัณฐานนี้คือ ความเข้าใจคิดว่า เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเหมือนกัน แต่การที่รู้ว่าเป็นท่านอาจารย์ หรือเป็นอาจารย์กุลวิไล คือก็มีความต่างจิตเห็น เขาจะแจ้งในสิ่งที่ปรากฏทางตาที่ต่างๆ กัน จึงรู้ได้ว่าอันนี้ไม่ใช่อันนี้ ขอกราบเรียนสนทนาว่า จริงๆ สิ่งที่ปรากฏทางตาเหมือนกัน แต่ในสิ่งที่ปรากฏทางตาก็จะมีต่างๆ กันเช่นสีชมพูไม่ใช่สีแดง จะสงสัยตรงนี้

    ท่านอาจารย์ ต่างยังไง ก็เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาใช่ หรือไม่

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ในความหมายว่า ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ได้บอกเลยว่าแดง หรือขาว ดำ หรือเหลืองใช่ หรือไม่ แต่ก็เป็นสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้แน่ๆ กำลังเห็นอยู่ กำลังปรากฏอยู่ เพราะฉะนั้น จะเปลี่ยนสิ่งที่ปรากฏทางตาให้ไปปรากฏทางหู หรือว่าให้ปรากฏทางจมูกได้ หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ นี่คือความหมายของสิ่งที่ปรากฏทางตา เกิดเป็นอย่างหนึ่งไม่เป็นอย่างอื่น รูปที่เกิดที่คุณอรวรรณก็อย่างหนึ่ง รูปที่เกิดที่คุณพรทิพย์ก็อีกรูปหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งไม่ใช่อย่างเดียวกัน เพราะฉะนั้น ลักษณะของธรรมที่เกิดดับโดยปัจจัยต่างๆ ละเอียดมากจึงทรงแสดงขันธ์ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้นจะต้องหยาบ หรือละเอียด ไกล หรือใกล้ เป็นต้น แสดงความหลากหลาย อาหารที่โต๊ะ แข็งก็มีนุ่มก็มี แต่ก็ปรากฏความหลากหลายเมื่อกระทบสัมผัส สิ่งนี้ต้องเป็นสิ่งที่ปรากฏเมื่อกระทบสัมผัส จะไม่ปรากฏให้เห็นว่าแข็ง หรือนุ่ม หรืออ่อน เพราะว่าเพียงแต่เห็นสิ่งที่ปรากฏแล้วจำไว้เท่านั้นเอง

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นความละเอียดที่จะต้องรู้ว่า แม้สิ่งที่ปรากฏเพียงหนึ่งแล้วก็ดับแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย ก็ต่างกันหลากหลาย สุดที่จะประมาณได้ แต่ก็ทรงประมวลไว้โดยความเป็นขันธ์ ที่เป็นรูปขันธ์ และนามขันธ์ เปลี่ยนเสียงให้เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ได้ แม้สิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ละหนึ่งก็หลากหลาย เสียงแต่ละหนึ่งก็หลากหลาย

    อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ครับ ขออนุญาตกราบเรียนถาม ท่านอาจารย์กล่าวถึงสิ่งที่ปรากฏทางตา จากการฟังพระธรรม ก็เริ่มเข้าใจว่า ตามความเป็นจริงแล้วเป็นเพียงธรรมอย่างหนึ่งที่ปรากฏได้ทางตา คือไม่ใช่ดอกไม้ ไม่ใช่บุคคลต่างๆ แต่ว่าโดยลักษณะของเขา คือ เพียงปรากฏได้ทางตา ขณะที่ฟังก็เริ่มเข้าใจ และพิจารณาตาม ดังนั้น ความรู้ความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นเจริญขึ้นขณะเพียงเห็น ความเข้าใจที่เจริญขึ้นขณะนั้นก็รู้ว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ ไม่ได้คิดถึงเรื่องที่เคยได้ยินได้ฟังมา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น การที่จะเข้าใจในความหมาย ของคำว่า เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ก็เมื่อกำลังเห็นแล้วก็ไม่ได้สนใจ ในการที่จะเป็นสีแดง สีเขียว หรือว่าเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ ถ้าเป็นอย่างนั้น ในขณะนั้นไม่ได้เข้าใจความจริงว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แล้วก็หมดไปด้วย ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ ไม่สามารถที่จะละความติดข้องที่เคยยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ ต่อเมื่อไหร่ไม่ลืมแล้วก็ค่อยๆ สะสมความเห็นถูก

    เกิดมาทุกชาติ ก็มีเพียงสิ่งที่ปรากฏแต่ละทางแล้วก็หมดไป หมดไป แม้แต่สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ซึ่งเห็นบ่อยๆ จนกระทั่งจำได้ว่า เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่ขณะที่จำก็ไม่ได้คิดถึงความจริง ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เพราะว่า ไปจำรูปร่างสัณฐานต่างๆ ด้วยเหตุนี้ การฟังธรรมด้วยดี คือ เข้าใจคำที่ได้ยินได้ฟัง และถ้าเข้าใจมากขึ้น ทรงแสดงโดยนัยหลากหลาย โดยความเป็นขันธ์ โดยความเป็นธาตุ โดยความเป็นอายตนะ แต่ต้องรู้ว่าเป็นสิ่งที่กำลังปรากฏนี้แหละ มิฉะนั้นแล้ว ไม่ใช่การศึกษาธรรมแต่เป็นการศึกษาวิชาพระพุทธศาสนา โดยไม่รู้เลยว่า ขณะนี้ เป็นสิ่งที่มีจริงที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงให้คนอื่นได้เข้าใจถูก ตามความเป็นจริงด้วย ถ้าพระองค์ไม่ทรงตรัสรู้ว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตาชั่วขณะแล้วดับไปใครจะไปละความเป็นตัวตน ความยึดมั่นที่เคยยึดถือสิ่งที่รวมกันว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงได้ และก็ยังลึกไปกว่านั้นอีก ขณะนั้นคือ ไม่มีอะไรเลยนอกจากธาตุ หรือธรรม จะใช้คำว่าธรรม หรือจะใช้คำว่าธาตุก็ได้

    ถ้าเราจะเรียนเรื่องธาตุ คือ สิ่งที่มีจริงนับประมาณได้ หรือไม่ ว่ามีธาตุอะไรบ้างมากมายเหลือเกิน สิ่งที่มีจริง และมีลักษณะเฉพาะตน โลภะเกิดขึ้นเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง ก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง ทั้งหมดเป็นธาตุ เปลี่ยนจากคำว่าธรรม หรือสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นแต่ละธาตุที่มีจริง โดยความเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นจึงปรากฏ และปรากฏเพียงสั้นมากแล้วก็หมดไป เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาสั้นมาก แล้วหมดไปกว่าจะถึงความจริงอันนี้ได้ ก็คือฟังจนกว่าเข้าใจมากขึ้น

    อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ สำหรับผู้ที่ฟังใหม่จากการฟังพระธรรมก็ทราบว่า พระผู้มีพระภาคก็ทรงทราบว่า นี่คือท่านพระอานนท์ นี่คือท่านพระสารีบุตร ดังนั้น สำหรับผู้ที่ดับกิเลสแล้ว การที่เห็นแล้วทราบว่าเป็นบุคคลต่างๆ คือ ต่างกับบุคคลที่ยังไม่รู้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ด้วยความรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาอยู่ที่ไหน ถ้าไม่มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม จะมีสิ่งที่ปรากฏที่กระทบตาได้ หรือไม่

    อ.วิชัย ก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ความเข้าใจ ก็คือว่าไม่ใช่เพียงเท่านั้น เพียงเท่านั้นดับกิเลสไม่ได้เลยแต่ถ้ารู้ตามความเป็นจริงว่า ต้องมีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม มิฉะนั้น จะไม่ทรงแสดงรูปธาตุซึ่งเป็นใหญ่ หมายความว่า ปราศจากธาตุทั้งสี่ไม่ได้เลย ธาตุอื่นๆ ก็ต้องอาศัยเกิดกับธาตุทั้งสี่ ที่ใช้คำว่ามหาภูตรูปนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ เราก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า ที่เป็นรูปร่างสัณฐานอย่างนี้ตามหาภูตรูป มหาภูตรูปไม่ใช่สี ไม่เขียว ไม่แดง ไม่เหลือง แต่เหมือนนางยักษ์แปลงกาย เป็นโน่นเป็นนี่ได้ทุกอย่าง ใช่ หรือไม่ เพราะสิ่งที่ปรากฏ เพราะสีสันวรรณต่างๆ ก็ทำให้ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ปรากฏเป็นคิ้ว เป็นผม เป็นตา เป็นปากต่างๆ นาๆ เพราะไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่ปรากฏทางตาเพียงปรากฏ ไม่มีการจะไปจับต้อง หรือเป็นเจ้าของสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เลย เพียงแค่เป็นธาตุชนิดหนึ่งมีจริงๆ เกิดพร้อมกับมหาภูตรูป ที่ใดที่มีมหาภูตรูป ที่นั้นจะมีอีกรูปหนึ่งที่สามารถกระทบจักขุประสาท และก็จิตเห็นเกิดเมื่อไหร่ ก็รู้ว่ารูปนี้มีจริงๆ แต่เมื่อไม่ใช่ปัญญาก็คิดว่ารูปนี้เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพราะการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก จนปรากฏเป็นสัณฐานต่างๆ และจะละความเป็นตัวตนได้อย่างไรถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้น ท่านพระอานนท์ก็มีมหาภูตรูป ใช่ หรือไม่ และก็มีสิ่งที่กระทบจักขุประสาทรูปร่างสัณฐานเป็นสิ่งที่จำได้ว่า นี่คือพระอานนท์ รูปร่างสัณฐานมหาภูตรูปของท่านพระอนุรุทธ ไม่ใช่พระพุทธเจ้าไม่รู้เลย และไปคิดว่านี่คือพระอนุรุทธ นั่นพระอานนท์ แต่แม้ว่าจะรู้ว่าเป็นท่านพระอานนท์ รู้ว่าเป็นท่านพระอนุรุทธ ก็คือรู้ความจริงว่า แท้ที่จริงก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้นเอง

    อ.กุลวิไล เป็นความจริงทั้งหมดเป็นธรรม จิตเห็นไม่ใช่จิตที่เกิดขึ้นรู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดทางใจนั่นเอง เพราะฉะนั้น ที่เรียกว่า คิด เพราะรู้ว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่สิ่งที่ปรากฏทางตา ก็เพียงแต่ปราฏทางตาเท่านั้น ท่านอาจารย์ถามว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาอยู่ที่ไหน สิ่งที่ปรากฏทางตา ต้องอาศัยเกิดกับมหาภูตรูปสี่ คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เพราะฉะนั้น ที่ใดมีสี ที่นั้นต้องมีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม และยังมีรูปอื่นอีกที่อาศัยเกิดกับมหาภูตรูปสี่ ถ้าศึกษาคงจำได้แปดรูปที่แยกขาดจากกันไม่ได้อย่างน้อยก็ต้องมีสี กลิ่น รสโอชา ที่อาศัยเกิดร่วมด้วย

    เพราะฉะนั้น สี ก็คือ สิ่งที่ปรากฏทางตา แต่เราบอกได้ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาอยู่ที่ไหน เพราะว่า เราจำนั่นเอง หลังจากที่เห็นแล้ว แล้วเราก็รู้ว่าสัณฐานรูปร่างของสีนั้นอยู่ที่ไหน เลยบอกตำแหน่งได้ แต่แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่ปรากฏทางตาเร็วมากไม่ทันให้เรารู้ว่า สัณฐานรูปร่างนั้น เป็นบุคคลหนึ่งบุคคลใด แต่เพราะธรรมเป็นจริงอย่างนั้นลองจับสี จับได้ หรือไม่ จับสีไม่ได้ ต้องเป็นผู้ที่ตรง สีหลากหลายทางตา ลองกระทบสัมผัสอะไรปรากฏ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 185
    21 ธ.ค. 2566